ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๔ เมืองทิศอาคเนย์ (2) Rewrite!!

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 65



    (Rewrite!!) 


    กว่าที่ฮาร์คินและคุโรจะเดินไปรับจิณณ์และเซเล็นมา ก็เป็นเวลาที่ร้านจะต้องปิดแล้ว พวกเขาแทบจะต้องวางมวยกับเจ้าของร้านอยู่แล้วในตอนที่ไปถึง แต่ทว่าด้วยเงินก้อนโตที่ฮาร์คินกัดฟันควักออกมาวางเป็นค่าอาหารอย่างเสียไม่ได้  เรื่องราวจึงจบลงอย่างเรียบร้อยได้ในที่สุด

    พวกเขาทั้งหมดเดินฝ่าความมืดและความหนาวมายังวัดที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสไตล์ญี่ปุ่นหลังหนึ่ง ใครคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าวัดเล็ก ๆ แห่งนั้น

    จิณณ์และเซเล็นได้รับการแนะนำเพียงว่า นักบวชผู้นี้มีนามว่า ‘เนฟฟิว’ เท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของชื่อนั้นนอกจากจิณณ์คนเดียว ก็เพราะเขาเองที่เป็นคนตั้งชื่อคุณนักบวชซึ่งเป็นหลานของพ่อมดโซเทปป์ ว่า Nephew ตามความหมายภาษาอังกฤษที่แปลว่า หลานชาย

    ท่าน ‘หลาน’ ก็แสนจะใจดี ยอมให้พวกเขาทั้งหมดพักที่วัดคืนนี้โดยไม่ต้องไปเสียเงินนอนโรงแรม เพราะฮาร์คินยืนยันว่าพวกเขาเสียเงินไปกับค่าอาหารมากเกินความจำเป็นไปแล้ว

    ห้องที่ท่านเนฟฟิวพาพวกเขาไปพักนั้น แม้จะไม่ใหญ่โตนัก หากก็กว้างพอที่พวกเขาทั้งสี่คนจะสามารถปูที่นอนนอนเรียงกันได้อย่างไม่อึดอัด พื้นห้องทั้งห้องนั้นปูด้วยเสื่อตาตามิสีอ่อนที่นุ่มสบาย เครื่องนอนผ้าห่มต่าง ๆ แม้จะไม่มีเพียงพอต่อจำนวนคน แต่สุภาพบุรุษ (ที่คิดว่าตัวเองเป็น) อย่างจิณณ์ก็ยอมเสียสละที่นอนให้กับเซเล็นได้ เพราะอย่างน้อยการนอนกลิ้งไปมาบ่นเสื่อก็ย่อมสบายกว่านอนกลางป่าเป็นร้อยเท่า

    เดี๋ยวก่อนนะ...

    จิณณ์จ้องมองเซเล็นที่กำลังจัดแจงปูที่นอนของตัวเองชิดริมหน้าต่างอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

    “เธอไม่ควรจะนอนห้องนี้นะ เซเล็น!”

    เด็กสาวชะงักมือที่กำลังจัดหมอนอยู่ แล้วหันกลับมามองจิณณ์ด้วยอาการงุนงง หากคนที่ชิงถามคำถามก่อนกลับเป็นฮาร์คิน

    “แล้วทำไมเซเล็นต้องไปนอนที่อื่น? แค่ท่านเนฟฟิวให้พวกเราพักที่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว หรือเจ้ามีเงินพอให้พวกเราไปนอนโรงแรม?”

    “นั่นสิ ข้าว่าที่นี่ก็ดีแล้วนี่ ทำไมล่ะ?” เซเล็นถามย้ำ

    จิณณ์มองสีหน้าสงสัยไร้การเสแสร้งของเซเล็นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    ยังจะมาถามอีกว่าทำไม!

    ก็เธอเป็นผู้หญิงนะ จะมานอนรวมกันกับพวกเขาได้ยังไงกันล่ะ!!

    จิณณ์รู้สึกคันปากยิบ ๆ อยากจะโพล่งประโยคที่คิดออกไป หากแต่ก็ทำไม่ได้

    ทำไมนะ ทำไมเขาต้องแต่งนิยายให้นางเอกปลอมตัวเป็นชายด้วยเนี่ย?!

    เจ้าพวกนี้ก็นะ...

    ทำตัวเหมือนในพวกละครน้ำเน่าหลังข่าว ที่นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายได้อย่างไม่เนียนเอาเสียเลย แต่พระเอกก็จับผิดไม่ได้จนกระทั่งเกือบจะจบเรื่อง...

    พวกพระเอก...เอ่อ...ไม่ใช่ ‘โง่’ ธรรมดา... แต่ ‘โง๊โง่’!

    นั่งฮึดฮัดขัดใจตัวเองอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายจิณณ์ก็ลุกขึ้นเดินไปจัดแจงลากที่นอนของฮาร์คินและคุโรที่ปูไว้แล้วอย่างเรียบร้อย ออกมากองไว้อย่างไม่ใยดีที่อีกฟากหนึ่งของห้อง ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับหน้าต่างที่เซเล็นนอนปูที่นอนไว้ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรต่อทุกสายตาที่มองการกระทำอันแสนประหลาดของเขาอย่างงุนงง

    “งั้นพวกนายนอนตรงนี้!”

    จิณณ์ออกคำสั่งอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก่อนโยนหมอนกับผ้าห่มของตัวเองตามมามองกองด้วยติด ๆ 

    “ฉันด้วย!”

     

    **************************************

     

    สายลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ พาผ้าม่านสีขาวเบาบางให้พัดพลิ้วไปตามแรงลม แสงจันทร์สีขาวสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างมืดสลัว ร่างสูงนั่งไขว่ห้างอยู่อย่างเงียบ ๆ บนเก้าอี้พนักสูงข้างหน้าต่าง นัยน์ตาสีม่วงแห่งอัญมณีอเมทิสต์จับจ้องออกไปยังหิมะสีขาวที่โปรยตัวอย่างเชื่องช้าลงมาจากฟากฟ้าราตรีกาล หลังจากที่จ้องมองอยู่พักใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าต่าง และส่งนิ้วเรียวยาวสีค่อนข้างซีดออกไปข้างนอกเพื่อรองรับละอองหิมะ...

    แสงจันทร์สีขาวฟ้าส่องกระทบใบหน้ารูปสลักสีซีด เรือนผมสีเงินสว่างยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถูกมัดเป็นหางม้าไว้เหลือทิ้งเป็นปอยสองข้างไว้ด้านหน้าเพียงเล็กน้อย ชุดที่สวมใส่นั้นเป็นเสื้อแขนยาวคอตั้งสีขาวสะอาดขลิบดิ้นเงิน ที่มีชายเสื้อยาวลงมาคลุมกางเกงสีขาวจนเกือบถึงเข่า

    แม้บนใบหน้าอาจดูเหมือนไร้ซึ่งอารมณ์ใด...

    ทว่าในแววตาสีม่วงคู่นั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหมองเศร้า...

    ก๊อก ๆ !!

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทว่าไม่ได้ทำให้ร่างนั้นขยับไปจากเดิม นอกจากเปล่งเสียงอนุญาตเรียบ ๆ 

    “เข้ามา”

    นายทหารในชุดเครื่องแบบสีขาวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานหินอ่อนตัวใหญ่ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สั่นสะท้านด้วยอุณหภูมิที่เย็นจัดภายในห้อง

    “มีอะไร?”

    เจ้าของห้องถามเสียงเรียบ แม้ดวงตาจะยังคงจับจ้องปุยสีขาวเบาบางที่ในมือ

    “สายของเรารายงานเข้ามาว่า มีกลุ่มคนแปลกหน้าสี่คนที่เดินทางมาจากต่างเมืองเข้าไปยุ่มย่ามแถว ๆ ‘วัดแห่งนั้น’ ในเมืองทิศอาคเนย์ขอรับ ท่านไซลาร์

    นัยน์ตาสีม่วงที่เย็นชา จับจ้องมาราวกับจะทำให้ขั้วหัวใจถูกแช่แข็งเพียงแค่ได้สบมอง นายทหารชั้นผู้น้อยรีบหรุบสายตาลงมองพื้นหินอ่อนแทนในทันที

    “แล้วไง? ก็แค่มีคนแวะไปที่นั่น ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต?”

    “แต่พวกนั้นมาตามหา ‘สิ่งนำทาง’ นะขอรับ”

    ได้ยินคำตอบเช่นนั้น ทำให้เกิดความเงียบปกคลุมในบรรยากาศอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่น้ำเสียงเย็นชาจะเอ่ยถาม...

    “แล้วพวกนั้นได้ไปหรือไม่?”

    “น่าจะ...ขอรับ” นายทหารตอบเสียงอ่อย ด้วยความไม่มั่นใจในข้อมูล

    “น่าจะ?”

    “ถึงจะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่มีความเป็นไปได้สูง เพราะที่ผ่านมานักบวชผู้นั้นยังไม่เคยอนุญาตให้ใครเหยียบเข้าไปในเขตที่พักในยามวิกาลมาก่อน...”

    “ไหนเจ้าเคยรายงานเรื่องส่งคนไปรื้อวัดนั่น จนวัดทั้งหลังพังราบไปทีหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีใครเจอ ‘สิ่งนำทาง’ ไม่ใช่รึ?”

    “ขอรับ เป็นเช่นนั้น”

    นายทหารผู้นั้นรับคำก่อนลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออึกใหญ่ บรรยากาศภายในห้องของผู้เป็นนายยิ่งเย็นเยียบกว่าที่เคย...

    “แต่นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า ‘สิ่งนำทาง’ คืออะไร หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...”

    อีกครั้งที่เกิดความเงียบอันอึมครึมและน่าอึดอัด... เม็ดเหงื่อใส ๆ รินไหลลงมาตามไรผมของนายทหารผู้น้อย แม้ว่าองศาของอุณหภูมิภายในห้องนั้นเกือบจะติดลบ...

    “ส่งคนของเราออกไป... ถ้าพวกนั้นได้ ‘สิ่งนำทาง’ ไปจริง จัดการชิงมาให้ได้” 

    “ขอรับ!” นายทหารผู้นั้นรับคำทันที ก่อนทำความเคารพผู้เป็นนายและรีบหันกลับตรงไปที่ประตู เพื่อที่จะหลีกหนีบรรยากาศภายในห้องแช่แข็งนี้ไปให้เร็วที่สุด 

    ผู้เป็นนายเปลี่ยนมาจับจ้องขวดคริสตัลเจียระไนสวยใสบนโต๊ะซึ่งบรรจุน้ำยาสีแดงเข้มไว้จนเกือบเต็ม พลันในใจก็นึกไปถึงคนที่ทำให้เขาต้องดื่มเจ้าสิ่งนี้อยู่ทุกคืนวัน นิ้วเรียวขาวซีดที่ทิ้งลงข้างกายถูกกำเป็นหมัดแน่น

    “เดี๋ยว”

    เสียงไซลาร์ที่ดังขึ้นเรียก ทำให้มือของนายทหารที่จับลูกบิดประตูเย็นเฉียบต้องชะงัก

    “จัดการเงียบ ๆ อย่าให้เรื่องนี้ถึงหูท่านแม่มด...”

    นายทหารคนนั้นจ้องบุรุษร่างสูงนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนรับคำ

    “ขอรับ”

    “อะไรกัน ๆ ทำไมจะให้ถึงหูท่านแม่มดไม่ได้ล่ะ?”

    เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังท้วงขึ้น ไซลาร์ค่อย ๆ เบือนหน้ากลับไปมองยังที่มาของเสียงนั้นอย่างช้า ๆ

    บุรุษร่างกำยำในชุดรูปแบบเดียวกันกับของไซลาร์ทว่าเป็นสีคู่ตรงกันข้าม นั่นคือสีดำสนิทที่ขลิบด้วยด้วยดิ้นสีทอง ผู้มาใหม่ยืนกอดอกพิงขอบหน้าต่างบานใหญ่ที่เจ้าของห้องเปิดทิ้งไว้ แสงจันทร์สาดกระทบเรือนผมสีเงินสว่างไม่ผิดไปจากเจ้าของห้อง หากแต่ถูกตัดเป็นทรงสั้นที่มีด้านหน้าเป็นหน้าม้าปาดไปทางขวา ยาวจนบังดวงตาข้างขวาไปข้างหนึ่ง

    “อย่าบอกนะว่าเจ้าตั้งใจจะมีความลับกับท่านแม่มด”

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหลือให้เห็นเพียงข้างเดียวนั้นฉายแววสนุกสนาน ในขณะที่ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน

    “ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าไม่ให้เข้ามาทางหน้าต่าง...ไอเด็น” ไซลาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา สีหน้านิ่งเรียบยิ่งกว่ารูปสลัก

    “ก็เจ้าอยากเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทำไมกันล่ะ” ผู้มาใหม่นาม ‘ไอเด็น’ ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า ตกลงเรื่อง ‘สิ่งนำทาง’ ของอดีตพ่อมดหลวงน่ะ ตั้งใจจะชิงมาโดยไม่ให้ท่านแม่มดรู้อย่างนั้นรึ?”

    “มีด้วยเหรอ เรื่องที่ปิดบังท่านแม่มดได้? เพียงแต่ข่าวครั้งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน ข้าก็แค่ไม่อยากสร้างความรำคาญให้ท่านแม่มดหากว่าข่าวนี้ไม่มีมูล...”

    “งั้นก็แล้วไป...”

    ไอเด็นสาวเท้าเข้ามาใกล้ไซลาร์จนเกือบประชิด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มข้างเดียวนั้นสบนัยน์ตาคู่สีม่วงที่เย็นชาอย่างท้าทาย

    “แต่เรื่องคราวนี้ คนของข้าเป็นคนหาข่าวได้ เพราะฉะนั้นคนของข้าจะเป็นผู้จัดการเอง เจ้าบอกคนของเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

    ไซลาร์สบสายตาไอเด็นนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนในที่สุดก็กล่าวสั่งกับทหาร

    “ได้ยินแล้วใช่มั้ย?”

    “ขอรับ”

    ทหารผู้น้อยรับคำเท่านั้นก็รีบก้าวออกจากห้องอันหนาวเหน็บและมืดสลัวไป ทิ้งเจ้าของห้องไว้ลำพังกับผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญ

    “อย่าห่วงเลย ‘สิ่งนำทาง’ นั้นข้าจะชิงมาให้เอง แล้วก็...”

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองขวดแก้วเจียระไนที่บรรจุของเหลวสีแดงเข้ม

    “ถึงหูท่านแม่มดแน่นอน”

    สิ้นคำ ร่างของผู้ไม่ได้รับเชิญก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงเจ้าของห้องที่ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจับจ้องออกไปข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง

    ด้วยดวงตาที่หมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

    *************************************

     

    ภาพของห้องที่สว่างไสวด้วยแสงไฟสีส้มจากคบเพลิงเบื้องหน้านั้นค่อนข้างฝ้ามัว...

    เซเล็นกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับภาพให้ชัด ทว่าก็ไม่เป็นผล

    ที่นี่ที่ไหน?

    เธอพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าโซ่ตรวนที่รัดข้อมือและข้อเท้าของเธอเอาไว้ทำให้เธอขยับไม่ได้

    เสียงสวดบทคาถาประหลาดดังไม่ขาดตอนมาจากใครคนหนึ่งข้าง ๆ เป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างช้าและฟังดูวังเวง ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงเกลียดน้ำเสียงเย็น ๆ ของหญิงผู้สวดนั้นอย่างบอกไม่ถูก...

    เซเล็นรู้สึกว่าร่างของเธอที่นอนอยู่นั้นเย็นเยียบและไร้เรี่ยวแรง หากเธอก็พยายามอีกครั้งที่จะลุกขึ้น ทว่าโซ่ตรวนกลับยิ่งหนักอึ้ง

    ทันใดนั้นเสียงสวดก็หยุดลง

    หญิงผู้สวดคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ในมโนภาพของเธอ หากภาพของคนผู้นั้นกลับเลือนรางราวกับโดนม่านหมอกหนาทึบบดบัง เซเล็นพยายามเพ่งมองใบหน้านั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามสลัดร่างกายให้เป็นอิสระจากพันธนาการไปด้วย

    หญิงผู้นั้นก้าวเข้ามาประชิดร่างของเด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนแท่นหินที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบ ก่อนเงื้อมือทั้งสองจับวัตถุบางอย่างชูขึ้นสูงเหนือร่างของเธอ เซเล็นพยายามเพ่งมองอีกครั้ง

    วัตถุในมือสะท้อนแสงจากเปลวเพลิงเป็นเงาวับ

    คมดาบ!

    เฮือก!!!!

    นัยน์ตาสีม่วงสวยเบิกโพลงขึ้นในความมืด รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นทั่วร่างกายและจังหวะของหัวใจที่ยังคงเต้นระรัว

    มันเป็นเพียงความฝัน...

    เด็กสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งและถอนหายใจยาว

    ฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว...

    นัยน์ตาสีม่วงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ภายใต้แสงจันทร์สีขาวนวลที่สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ข้างกายเข้ามา เพื่อนใหม่ของเธอทั้งสามคนนอนหลับสนิทเบียดเสียดกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

    เซเล็นถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อนล้มตัวลงนอน

    หากก็ไม่สามารถหลับตาลงได้

    ความฝันเดิม ๆ ที่ตามมาเยือนอยู่เป็นนิตย์ เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงเรื่องราวบางอย่าง...

    ที่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่าคือเรื่องอะไรกันแน่...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×