คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๔ เมืองทิศอาคเนย์ (2) Rewrite!!
(Rewrite!!)
กว่าที่ฮาร์คินและคุโรจะเดินไปรับจิณณ์และเซเล็นมา
ก็เป็นเวลาที่ร้านจะต้องปิดแล้ว พวกเขาแทบจะต้องวางมวยกับเจ้าของร้านอยู่แล้วในตอนที่ไปถึง
แต่ทว่าด้วยเงินก้อนโตที่ฮาร์คินกัดฟันควักออกมาวางเป็นค่าอาหารอย่างเสียไม่ได้ เรื่องราวจึงจบลงอย่างเรียบร้อยได้ในที่สุด
พวกเขาทั้งหมดเดินฝ่าความมืดและความหนาวมายังวัดที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสไตล์ญี่ปุ่นหลังหนึ่ง
ใครคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าวัดเล็ก ๆ แห่งนั้น
จิณณ์และเซเล็นได้รับการแนะนำเพียงว่า
นักบวชผู้นี้มีนามว่า ‘เนฟฟิว’ เท่านั้น
แม้ว่าจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของชื่อนั้นนอกจากจิณณ์คนเดียว
ก็เพราะเขาเองที่เป็นคนตั้งชื่อคุณนักบวชซึ่งเป็นหลานของพ่อมดโซเทปป์ ว่า Nephew ตามความหมายภาษาอังกฤษที่แปลว่า ‘หลานชาย’
ท่าน
‘หลาน’ ก็แสนจะใจดี
ยอมให้พวกเขาทั้งหมดพักที่วัดคืนนี้โดยไม่ต้องไปเสียเงินนอนโรงแรม
เพราะฮาร์คินยืนยันว่าพวกเขาเสียเงินไปกับค่าอาหารมากเกินความจำเป็นไปแล้ว
ห้องที่ท่านเนฟฟิวพาพวกเขาไปพักนั้น
แม้จะไม่ใหญ่โตนัก
หากก็กว้างพอที่พวกเขาทั้งสี่คนจะสามารถปูที่นอนนอนเรียงกันได้อย่างไม่อึดอัด
พื้นห้องทั้งห้องนั้นปูด้วยเสื่อตาตามิสีอ่อนที่นุ่มสบาย เครื่องนอนผ้าห่มต่าง ๆ
แม้จะไม่มีเพียงพอต่อจำนวนคน แต่สุภาพบุรุษ (ที่คิดว่าตัวเองเป็น)
อย่างจิณณ์ก็ยอมเสียสละที่นอนให้กับเซเล็นได้
เพราะอย่างน้อยการนอนกลิ้งไปมาบ่นเสื่อก็ย่อมสบายกว่านอนกลางป่าเป็นร้อยเท่า
เดี๋ยวก่อนนะ...
จิณณ์จ้องมองเซเล็นที่กำลังจัดแจงปูที่นอนของตัวเองชิดริมหน้าต่างอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“เธอไม่ควรจะนอนห้องนี้นะ
เซเล็น!”
เด็กสาวชะงักมือที่กำลังจัดหมอนอยู่
แล้วหันกลับมามองจิณณ์ด้วยอาการงุนงง หากคนที่ชิงถามคำถามก่อนกลับเป็นฮาร์คิน
“แล้วทำไมเซเล็นต้องไปนอนที่อื่น?
แค่ท่านเนฟฟิวให้พวกเราพักที่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
หรือเจ้ามีเงินพอให้พวกเราไปนอนโรงแรม?”
“นั่นสิ
ข้าว่าที่นี่ก็ดีแล้วนี่ ทำไมล่ะ?” เซเล็นถามย้ำ
จิณณ์มองสีหน้าสงสัยไร้การเสแสร้งของเซเล็นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ยังจะมาถามอีกว่าทำไม!
ก็เธอเป็นผู้หญิงนะ
จะมานอนรวมกันกับพวกเขาได้ยังไงกันล่ะ!!
จิณณ์รู้สึกคันปากยิบ
ๆ อยากจะโพล่งประโยคที่คิดออกไป หากแต่ก็ทำไม่ได้
ทำไมนะ
ทำไมเขาต้องแต่งนิยายให้นางเอกปลอมตัวเป็นชายด้วยเนี่ย?!
เจ้าพวกนี้ก็นะ...
ทำตัวเหมือนในพวกละครน้ำเน่าหลังข่าว
ที่นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายได้อย่างไม่เนียนเอาเสียเลย
แต่พระเอกก็จับผิดไม่ได้จนกระทั่งเกือบจะจบเรื่อง...
พวกพระเอก...เอ่อ...ไม่ใช่
‘โง่’ ธรรมดา... แต่ ‘โง๊โง่’!
นั่งฮึดฮัดขัดใจตัวเองอยู่ได้ไม่นาน
สุดท้ายจิณณ์ก็ลุกขึ้นเดินไปจัดแจงลากที่นอนของฮาร์คินและคุโรที่ปูไว้แล้วอย่างเรียบร้อย
ออกมากองไว้อย่างไม่ใยดีที่อีกฟากหนึ่งของห้อง
ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับหน้าต่างที่เซเล็นนอนปูที่นอนไว้ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรต่อทุกสายตาที่มองการกระทำอันแสนประหลาดของเขาอย่างงุนงง
“งั้นพวกนายนอนตรงนี้!”
จิณณ์ออกคำสั่งอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ก่อนโยนหมอนกับผ้าห่มของตัวเองตามมามองกองด้วยติด ๆ
“ฉันด้วย!”
**************************************
สายลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างบานใหญ่
พาผ้าม่านสีขาวเบาบางให้พัดพลิ้วไปตามแรงลม
แสงจันทร์สีขาวสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างมืดสลัว
ร่างสูงนั่งไขว่ห้างอยู่อย่างเงียบ ๆ บนเก้าอี้พนักสูงข้างหน้าต่าง
นัยน์ตาสีม่วงแห่งอัญมณีอเมทิสต์จับจ้องออกไปยังหิมะสีขาวที่โปรยตัวอย่างเชื่องช้าลงมาจากฟากฟ้าราตรีกาล
หลังจากที่จ้องมองอยู่พักใหญ่
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
และส่งนิ้วเรียวยาวสีค่อนข้างซีดออกไปข้างนอกเพื่อรองรับละอองหิมะ...
แสงจันทร์สีขาวฟ้าส่องกระทบใบหน้ารูปสลักสีซีด
เรือนผมสีเงินสว่างยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถูกมัดเป็นหางม้าไว้เหลือทิ้งเป็นปอยสองข้างไว้ด้านหน้าเพียงเล็กน้อย
ชุดที่สวมใส่นั้นเป็นเสื้อแขนยาวคอตั้งสีขาวสะอาดขลิบดิ้นเงิน
ที่มีชายเสื้อยาวลงมาคลุมกางเกงสีขาวจนเกือบถึงเข่า
แม้บนใบหน้าอาจดูเหมือนไร้ซึ่งอารมณ์ใด...
ทว่าในแววตาสีม่วงคู่นั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหมองเศร้า...
ก๊อก ๆ !!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทว่าไม่ได้ทำให้ร่างนั้นขยับไปจากเดิม นอกจากเปล่งเสียงอนุญาตเรียบ ๆ
“เข้ามา”
นายทหารในชุดเครื่องแบบสีขาวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานหินอ่อนตัวใหญ่
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สั่นสะท้านด้วยอุณหภูมิที่เย็นจัดภายในห้อง
“มีอะไร?”
เจ้าของห้องถามเสียงเรียบ
แม้ดวงตาจะยังคงจับจ้องปุยสีขาวเบาบางที่ในมือ
“สายของเรารายงานเข้ามาว่า
มีกลุ่มคนแปลกหน้าสี่คนที่เดินทางมาจากต่างเมืองเข้าไปยุ่มย่ามแถว ๆ ‘วัดแห่งนั้น’
ในเมืองทิศอาคเนย์ขอรับ ท่านไซลาร์”
นัยน์ตาสีม่วงที่เย็นชา
จับจ้องมาราวกับจะทำให้ขั้วหัวใจถูกแช่แข็งเพียงแค่ได้สบมอง
นายทหารชั้นผู้น้อยรีบหรุบสายตาลงมองพื้นหินอ่อนแทนในทันที
“แล้วไง?
ก็แค่มีคนแวะไปที่นั่น ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต?”
“แต่พวกนั้นมาตามหา
‘สิ่งนำทาง’ นะขอรับ”
ได้ยินคำตอบเช่นนั้น
ทำให้เกิดความเงียบปกคลุมในบรรยากาศอยู่ชั่วอึดใจ
ก่อนที่น้ำเสียงเย็นชาจะเอ่ยถาม...
“แล้วพวกนั้นได้ไปหรือไม่?”
“น่าจะ...ขอรับ”
นายทหารตอบเสียงอ่อย ด้วยความไม่มั่นใจในข้อมูล
“น่าจะ?”
“ถึงจะยังไม่ได้รับการยืนยัน
แต่มีความเป็นไปได้สูง
เพราะที่ผ่านมานักบวชผู้นั้นยังไม่เคยอนุญาตให้ใครเหยียบเข้าไปในเขตที่พักในยามวิกาลมาก่อน...”
“ไหนเจ้าเคยรายงานเรื่องส่งคนไปรื้อวัดนั่น
จนวัดทั้งหลังพังราบไปทีหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีใครเจอ ‘สิ่งนำทาง’ ไม่ใช่รึ?”
“ขอรับ
เป็นเช่นนั้น”
นายทหารผู้นั้นรับคำก่อนลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออึกใหญ่
บรรยากาศภายในห้องของผู้เป็นนายยิ่งเย็นเยียบกว่าที่เคย...
“แต่นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า
‘สิ่งนำทาง’ คืออะไร หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...”
อีกครั้งที่เกิดความเงียบอันอึมครึมและน่าอึดอัด...
เม็ดเหงื่อใส ๆ รินไหลลงมาตามไรผมของนายทหารผู้น้อย
แม้ว่าองศาของอุณหภูมิภายในห้องนั้นเกือบจะติดลบ...
“ส่งคนของเราออกไป...
ถ้าพวกนั้นได้ ‘สิ่งนำทาง’ ไปจริง จัดการชิงมาให้ได้”
“ขอรับ!”
นายทหารผู้นั้นรับคำทันที ก่อนทำความเคารพผู้เป็นนายและรีบหันกลับตรงไปที่ประตู
เพื่อที่จะหลีกหนีบรรยากาศภายในห้องแช่แข็งนี้ไปให้เร็วที่สุด
ผู้เป็นนายเปลี่ยนมาจับจ้องขวดคริสตัลเจียระไนสวยใสบนโต๊ะซึ่งบรรจุน้ำยาสีแดงเข้มไว้จนเกือบเต็ม
พลันในใจก็นึกไปถึงคนที่ทำให้เขาต้องดื่มเจ้าสิ่งนี้อยู่ทุกคืนวัน
นิ้วเรียวขาวซีดที่ทิ้งลงข้างกายถูกกำเป็นหมัดแน่น
“เดี๋ยว”
เสียงไซลาร์ที่ดังขึ้นเรียก
ทำให้มือของนายทหารที่จับลูกบิดประตูเย็นเฉียบต้องชะงัก
“จัดการเงียบ
ๆ อย่าให้เรื่องนี้ถึงหูท่านแม่มด...”
นายทหารคนนั้นจ้องบุรุษร่างสูงนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ
ก่อนรับคำ
“ขอรับ”
“อะไรกัน
ๆ ทำไมจะให้ถึงหูท่านแม่มดไม่ได้ล่ะ?”
เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังท้วงขึ้น
ไซลาร์ค่อย ๆ เบือนหน้ากลับไปมองยังที่มาของเสียงนั้นอย่างช้า ๆ
บุรุษร่างกำยำในชุดรูปแบบเดียวกันกับของไซลาร์ทว่าเป็นสีคู่ตรงกันข้าม
นั่นคือสีดำสนิทที่ขลิบด้วยด้วยดิ้นสีทอง
ผู้มาใหม่ยืนกอดอกพิงขอบหน้าต่างบานใหญ่ที่เจ้าของห้องเปิดทิ้งไว้
แสงจันทร์สาดกระทบเรือนผมสีเงินสว่างไม่ผิดไปจากเจ้าของห้อง หากแต่ถูกตัดเป็นทรงสั้นที่มีด้านหน้าเป็นหน้าม้าปาดไปทางขวา
ยาวจนบังดวงตาข้างขวาไปข้างหนึ่ง
“อย่าบอกนะว่าเจ้าตั้งใจจะมีความลับกับท่านแม่มด”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหลือให้เห็นเพียงข้างเดียวนั้นฉายแววสนุกสนาน
ในขณะที่ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว
ว่าไม่ให้เข้ามาทางหน้าต่าง...ไอเด็น” ไซลาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
สีหน้านิ่งเรียบยิ่งกว่ารูปสลัก
“ก็เจ้าอยากเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทำไมกันล่ะ”
ผู้มาใหม่นาม ‘ไอเด็น’ ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า
ตกลงเรื่อง ‘สิ่งนำทาง’ ของอดีตพ่อมดหลวงน่ะ ตั้งใจจะชิงมาโดยไม่ให้ท่านแม่มดรู้อย่างนั้นรึ?”
“มีด้วยเหรอ
เรื่องที่ปิดบังท่านแม่มดได้? เพียงแต่ข่าวครั้งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ข้าก็แค่ไม่อยากสร้างความรำคาญให้ท่านแม่มดหากว่าข่าวนี้ไม่มีมูล...”
“งั้นก็แล้วไป...”
ไอเด็นสาวเท้าเข้ามาใกล้ไซลาร์จนเกือบประชิด
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มข้างเดียวนั้นสบนัยน์ตาคู่สีม่วงที่เย็นชาอย่างท้าทาย
“แต่เรื่องคราวนี้
คนของข้าเป็นคนหาข่าวได้ เพราะฉะนั้นคนของข้าจะเป็นผู้จัดการเอง
เจ้าบอกคนของเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
ไซลาร์สบสายตาไอเด็นนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ
ก่อนในที่สุดก็กล่าวสั่งกับทหาร
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย?”
“ขอรับ”
ทหารผู้น้อยรับคำเท่านั้นก็รีบก้าวออกจากห้องอันหนาวเหน็บและมืดสลัวไป
ทิ้งเจ้าของห้องไว้ลำพังกับผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญ
“อย่าห่วงเลย
‘สิ่งนำทาง’ นั้นข้าจะชิงมาให้เอง แล้วก็...”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองขวดแก้วเจียระไนที่บรรจุของเหลวสีแดงเข้ม
“ถึงหูท่านแม่มดแน่นอน”
สิ้นคำ
ร่างของผู้ไม่ได้รับเชิญก็หายวับไป
ทิ้งไว้เพียงเจ้าของห้องที่ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหนักหน่วง
ก่อนจับจ้องออกไปข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ด้วยดวงตาที่หมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม
*************************************
ภาพของห้องที่สว่างไสวด้วยแสงไฟสีส้มจากคบเพลิงเบื้องหน้านั้นค่อนข้างฝ้ามัว...
เซเล็นกระพริบตาถี่
ๆ เพื่อปรับภาพให้ชัด ทว่าก็ไม่เป็นผล
ที่นี่ที่ไหน?
เธอพยายามจะลุกขึ้นนั่ง
ทว่าโซ่ตรวนที่รัดข้อมือและข้อเท้าของเธอเอาไว้ทำให้เธอขยับไม่ได้
เสียงสวดบทคาถาประหลาดดังไม่ขาดตอนมาจากใครคนหนึ่งข้าง
ๆ เป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างช้าและฟังดูวังเวง
ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงเกลียดน้ำเสียงเย็น ๆ ของหญิงผู้สวดนั้นอย่างบอกไม่ถูก...
เซเล็นรู้สึกว่าร่างของเธอที่นอนอยู่นั้นเย็นเยียบและไร้เรี่ยวแรง
หากเธอก็พยายามอีกครั้งที่จะลุกขึ้น ทว่าโซ่ตรวนกลับยิ่งหนักอึ้ง
ทันใดนั้นเสียงสวดก็หยุดลง
หญิงผู้สวดคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ในมโนภาพของเธอ
หากภาพของคนผู้นั้นกลับเลือนรางราวกับโดนม่านหมอกหนาทึบบดบัง
เซเล็นพยายามเพ่งมองใบหน้านั้น
ในขณะเดียวกันก็พยายามสลัดร่างกายให้เป็นอิสระจากพันธนาการไปด้วย
หญิงผู้นั้นก้าวเข้ามาประชิดร่างของเด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนแท่นหินที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบ
ก่อนเงื้อมือทั้งสองจับวัตถุบางอย่างชูขึ้นสูงเหนือร่างของเธอ เซเล็นพยายามเพ่งมองอีกครั้ง
วัตถุในมือสะท้อนแสงจากเปลวเพลิงเป็นเงาวับ
คมดาบ!
เฮือก!!!!
นัยน์ตาสีม่วงสวยเบิกโพลงขึ้นในความมืด
รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นทั่วร่างกายและจังหวะของหัวใจที่ยังคงเต้นระรัว
มันเป็นเพียงความฝัน...
เด็กสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งและถอนหายใจยาว
ฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว...
นัยน์ตาสีม่วงกวาดมองไปรอบ
ๆ ห้องขนาดไม่ใหญ่นัก
ภายใต้แสงจันทร์สีขาวนวลที่สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ข้างกายเข้ามา
เพื่อนใหม่ของเธอทั้งสามคนนอนหลับสนิทเบียดเสียดกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
เซเล็นถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง
ก่อนล้มตัวลงนอน
หากก็ไม่สามารถหลับตาลงได้
ความฝันเดิม
ๆ ที่ตามมาเยือนอยู่เป็นนิตย์ เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงเรื่องราวบางอย่าง...
ที่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่าคือเรื่องอะไรกันแน่...
ความคิดเห็น