คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๔ เมืองทิศอาคเนย์ (1) Rewrite!!
บทที่ ๔ (Rewrite!!)
ร้านที่สองผู้คุ้มกันรับจ้างพาจิณณ์และเซเล็นมาปล่อยทิ้งไว้นั้นเป็นร้านอาหารเล็ก
ๆ ที่ค่อนข้างเงียบเหงาแห่งหนึ่ง ทั้งร้านตกแต่งด้วยไม้สีอ่อน
ตรงกลางมีโต๊ะบาร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูเป็นเอกลักษณ์ พนักงานของร้านเพียงคนเดียวยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์...
คิ้วของจิณณ์ขมวดมุ่น
มนุษย์หัวทองตาน้ำข้าวที่ตัวเล็กกว่ายักษ์วัดแจ้งนิดเดียว
ยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หลังบาร์กลางร้าน
ตั้งแต่เข้ามาในอาณาจักรจินตภพ
ก็เพิ่งได้เห็นฝรั่งตัวเป็น ๆ ที่นี่
แล้วจะสปีคกันรู้เรื่องไหมเนี่ย?!!
“เซเล็น
เธอพูดภาษาอังกฤษได้รึเปล่า?” จิณณ์รีบหันไปถาม
เด็กสาวทำหน้างุนงง
“ภาษา
อะไรนะ?”
ดูท่าจะไม่ได้...
“ไม่เป็นไร
งั้นฉันเอง!”
จิณณ์เดินตรงเข้าไปหาพนักงานคนนั้นด้วยความแน่วแน่
ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็พอจะมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอยู่บ้าง
ในเมื่อเขาได้ร่ำเรียนวิชานี้มาตั้งแต่ ป.1
ตามหลักสูตรวิชามาตรฐานของกระทรวงศึกษา ก็ย่อมจะพอมีทักษะอยู่บ้างเป็นธรรมดา...
“กู๊ดมอนิ่ง
ทีเช่อ!”
เขาทักทายพนักงานหนุ่มล่ำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
น่าแปลกที่ท่าทางเจ้าคนหัวทองจะไม่เข้าใจ
ทั้ง ๆ ที่คุณครูยังฟังเขารู้เรื่องอยู่ทุกต้นชั่วโมงเรียนเลย
“แต๊งกิ้ว
ทีเช่อ!”
จบชั่วโมงเรียนแล้ว
มันก็ยังทำหน้างุนงงแบบคนฟังไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ...”
จิณณ์ยังคงไม่ละความพยายามที่จะสื่อสารต่อ
พยายามหาประโยคระดับ ‘แอดวานซ์’ มาสู้
“ดิส
อีส อะ บุ๊ค~”
คุณครูสอนว่าให้ออกเสียงเน้นตัวสะกด
เขาก็เลยออกเสียง ‘เคอะ’ หลัง ‘บุ๊ค’ ให้ดังชัดเจนอย่างที่คุณครูสอน
พนักงานมองเขาด้วยสีหน้าที่พูดเป็นประโยคได้ว่า...
ไอ้นี่บ้ารึเปล่า!
ความรู้ทางด้านภาษาเท่าหางอึ่งของจิณณ์ได้หดหายเข้าไปในตัวอึ่งอย่างเรียบร้อย
“โอย
อย่างงี้จะได้กินมั้ยเนี่ย!”
จิณณ์บ่นอย่างหมดปัญญา
ทันใดนั้นเองพนักงานฝรั่งตัวโตก็ตบโต๊ะบาร์เสียงดังป้าบใหญ่
แบบที่ดูก็รู้ว่าชักโมโห
“ฮ่วย!!
จะสั่งอิหยังเว่ามาโลด! ข่อยสิได้เฮ็ดให่!” (โอ๊ย จะสั่งอะไรบอกมาเลย
ข้าจะได้ทำให้)
จิณณ์กลืนน้ำลายลงคอกดังเอื๊อก...
ฝรั่งตัวโต... สปีคไทยสำเนียงอีสานแท้...
แล้วก็ปล่อยให้เขาปล่อยไก่อยู่ได้ตั้งหลายฝูง
เว่าไทยได้ก็ไม่บอกกันหนี่ ฮู้!
“ขอมันบดกับสเต๊กปลาเด้อ”
เสียงเล็ก
ๆ ที่เริ่มจะคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านข้าง
จิณณ์หันไปมองเซเล็นซึ่งนั่งแปะลงตรงบาร์เมื่อไหร่ไม่รู้
เปิดเมนูสั่งอาหารด้วยภาษาถิ่นหน้าตาเฉย
“แล้วก็หมั่นโถวกับขนมจีบกุ้งสองเข่ง
สปาเกตตี้คาโบนาร่าอีกหนึ่งจาน ซุปมิโสะหนึ่งถ้วย แล้วก็ น้ำเปล่าหนึ่ง
น้ำแข็งบ่ต้อง”
จิณณ์หันไปกระพริบตาปริบ
ๆ มองเซเล็นอย่างไม่อยากเชื่อ
กินคนเดียวหมดนั่นเหรอเนี่ย?!!
“แล้วเจ้าล่ะจะกินอะไร
หิวไม่ใช่เหรอ ไม่สั่งล่ะ?” เซเล็นหันมาถาม
จิณณ์กลืนน้ำลายลงคออีกหนึ่งครั้ง
ก่อนหันไปถามพนักงานด้วยภาษาไทยภาคกลางอย่างใสซื่อ
“ข้าวคลุกกะปิมีมั้ยครับ?”
ใช้เวลาไม่นาน
อาหารทั้งหมดที่สั่งก็ถูกจัดการจนเหลือแต่เพียงจานเปล่า ๆ กองตรงหน้าเป็นภูเขาขนาดย่อม
ไม่น่าเชื่อว่าเกือบทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของเซเล็น ของเขามีแค่พาสต้าเลี่ยน ๆ
จานหนึ่ง กับซุปผักน้ำใสอีกหนึ่งถ้วย
สุดท้ายก็ไม่มีข้าวคลุกกะปิให้เขากินจริง
ๆ
จิณณ์ถอนหายใจยาว...
รู้งี้สั่งส้มตำปูปลาร้าก็ดีหรอก
ให้มันรู้ไปสิว่าฝรั่งเว่าอีสานจะไม่มีปลาร้าน่ะ!
เจ้าฝรั่งตัวโตที่หันไปคว้าไม้ถูพื้นมาทำความสะอาดร้านแทนนั้น
หันกลับมาจ้องหน้าเขาวินาทีหนึ่งราวกับจะรู้ว่ากำลังถูกนินทาอยู่ในใจ...
เวลาผ่านไปอีกเป็นชั่วโมงแล้ว
ทว่าก็ยังไม่มีวี่แววของคุโรและฮาร์คิน จนเซเล็นชักจะเริ่มหวาดระแวงว่าผู้คุ้มกันของเธอมีเจตนาจะชิ่งหนีไปพร้อมกับเงินค่าจ้างแล้วหรือเปล่า
แต่พวกเขาจะทำอะไรได้นอกจากรอ
ในเมื่อจะลุกจากร้านไม่ได้ ถ้าไม่ได้จ่ายค่าอาหารเสียก่อน!
“เงินเก็บข้า...
ก็ให้พวกนั้นเป็นค่าคุ้มกันไปหมดแล้วไง” เป็นคำตอบที่จิณณ์ได้รับจากเซเล็น
ก่อนที่เด็กสาวจะโน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบ
“หรือจะให้ข้าหาเงินมาใหม่ตอนนี้มั้ยเล่า?”
ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉายชัดโดยไม่ปิดบังบนใบหน้าสวยหวานนั้น
จิณณ์จึงรีบยกมือขึ้นมาห้ามความคิดพิเรนทร์ ๆ ทั้งหลายของเด็กสาวทันที
เพราะรับรองว่าวิธีหาเงินที่สาวมือเท้าเบาคนนี้จะเสนอนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญอย่างการร้องเพลงเปิดหมวกแน่นอน
แต่ในเมื่อเซเล็นไม่มีเงิน
เขาเองก็ไม่มี หรือต่อให้มีก็คงมีแต่เงินบาทไทย ไม่ใช่เงินที่เป็นเหรียญทองหน้าตาประหลาดขนาดเท่าฝาน้ำอัดลมแบบที่ใช้ที่นี่...
แล้วพวกเขาจะจ่ายค่าอาหารกันยังไง?
พวกนั้นมัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะ?!!!
เพื่อหาคำตอบ
จิณณ์จึงหยิบสมุดนิยายของตัวเองขึ้นมาพลิกเปิด
นี่เขาเพิ่งจะแต่งถึงฉากที่คุโรและฮาร์คินช่วยเหลือเซเล็นออกมาจากพวกค้าทาสเท่านั้นเอง
ดังนั้นจิณณ์จึงพลิกกระดาษต่อไปยังหน้าท้าย ๆ
ในส่วนที่เขาจดพล็อตเรื่องเอาไว้ด้วยลายมือไก่เขี่ย
พล็อตที่ว่านั้นเป็นโน้ตสั้น
ๆ เขียนเตือนว่ามีเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นในเรื่องบ้าง
เขาไล่นิ้วตามบรรทัดลงมายังส่วนที่เป็นเหตุการณ์ต่อมาในเมืองแห่งนั้น
ซึ่งทุกคนที่นี่บอกว่าคือ “เมืองทิศอาคเนย์”
หรือก็คือเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้...
เรื่องชื่อเมืองตามทิศเหล่านี้
จิณณ์พยายามนึกแต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยตั้งชื่อเมืองต่าง ๆ แบบสิ้นคิดเช่นนี้
จะว่าไปอันที่จริงเขายังไม่ทันได้ตั้งชื่อเมืองเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่วาดรูปแผนที่เอาไว้ที่หลังสมุด แล้วก็กำหนดทิศเอาไว้เฉย ๆ
หรืออาจเป็นเพราะเขียนแต่ทิศไม่ได้ตั้งชื่อเมืองเอาไว้ด้วย
ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้เหรอ?
อย่างไรก็ตาม
นัยน์ตาสีดำสนิทไล่ลงมาตามเส้นบรรทัดไปเรื่อย
ในที่สุดก็พบข้อความเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวละครของเขาต้องทำในคืนที่เดินทางมาถึงเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
‘ไปที่วัดซึ่ง
‘เนฟฟิว’ (หลานชายเพียงคนเดียวของอดีตพ่อมดหลวงโซเทปป์) บวชเป็นนักบวชอยู่ :
ตามหาเบาะแส ‘สิ่งนำทาง’ ที่พ่อมดทิ้งไว้ ที่จะช่วยนำพาไปสู่ที่ซ่อนของดาบแห่งแสง
แปลว่า
มาเมืองนี้ทั้งทีก็เลยได้โอกาสไปตามหา ‘ไอเท็ม’ ที่จะเป็น GPS พาพวกมันไปหาพ่อมดโซเทปป์งั้นสิ…
อ้าว...
จิณณ์เริ่มนั่งพลิกหน้ากระดาษในสมุดเล่นไปเรื่อยด้วยความหงุดหงิด...
ในเมื่อจะไปตามหาเบาะแสของพ่อมด แล้วทำไมไม่พาเขากับเซเล็นไปด้วย?!
ถึงแม้สุดท้ายก็ไม่ได้ไอเท็มอะไรกลับมาจากวัดนั่นก็เถอะ
อย่างน้อยก็น่าจะพาไปด้วยกันสิ!
แต่ก็ช่างเถอะ
เขารู้ดีกว่าใครว่าอย่างไรพวกนั้นก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับมาอยู่ดี สมน้ำหน้าแล้วล่ะ!
แล้วเมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะกลับมาสักที!!
*********************************
ฮาร์คินเดินลัดเลาะมาตามถนนเส้นแคบ
ๆ ในเมืองทิศอาคเนย์
ระยะทางระหว่างวัดของท่านเนฟฟิวกับร้านอาหารที่จิณณ์และเซเล็นนั่งกินข้าวกันอยู่นั้นไม่ได้ไกลมากมาย
ทว่าเขากลับเดินอ้อม
ฮาร์คินเดินทอดน่องสบาย
ๆ ฝ่าสายลมเย็นจัด สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อความอบอุ่น
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองซ้ายมองขวาดูอาคารบ้านเรือนไปเรื่อย
ราวกับนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินชมเมืองยามค่ำคืน
ทว่าเขาไม่ได้สนใจจะชมเมือง
จิตของเขากลับจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้หนึ่งที่ด้านหลัง
มันเดินตามเขามาตลอดตั้งแต่ออกจากวัดท่านเนฟฟิวมาแล้ว
คุโรนั่งรออยู่ที่นั่น
เขาเดินมาคนเดียว
มันก็มาคนเดียว
ที่ด้านหน้ามีทางเลี้ยวแยกไปทางซ้าย
เป็นซอยเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างมืด
ฮาร์คินเดินเลี้ยวไปยังซอยนั้น
ผู้ตามหลัง
เร่งรุดออกจากเสาที่กำบัง เดินเลี้ยวหักศอกตามเข้าไปยังซอยนั้นทันที
ทว่าเดินเข้าไปได้สองก้าว ฝีเท้าที่กำลังรีบเร่งก็พลันต้องชะงักหยุด
“ไง”
ภายในเงามืด
ร่างสูงโปร่งที่มันติดตามกลับกำลังยืนหันข้างเอาหลังพิงกำแพงในท่าทีสบาย ๆ มือทั้งสองยังคงล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่เช่นนั้น
“ตามข้ามาตั้งนานสองนาน
ต้องการอะไร? ถ้าไม่ได้เป็นลูกค้าจะมาจ้างงานคุ้มกันล่ะก็...
ข้าไม่มีธุระด้วยหรอกนะ”
ไม่มีคำตอบจากบุรุษผู้นั้น
แม้เวลาจะผ่านไปนานจนน่าอึดอัด
แต่ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“พวกเจ้าเป็นใคร
ไปทำอะไรที่วัดแห่งนั้นในยามวิกาลเช่นนี้?”
“แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม?”
ฮาร์คินตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาใกล้ชายแปลกหน้า
แสงไฟสีส้มสลัว ๆ จากโคมกระดาษตามถนนด้านนอกทำให้เขามองเห็นใบหน้าของมันไม่ชัดนัก หากแต่ก็มากพอจะทำให้เห็นแววยิ้มเยาะจากนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น
“ข้าจะรู้ไปทำไมนั้น
ไม่สำคัญ”
นิ้วเรียวซีดถูกยื่นออกมาจ่อกับลำคอของฮาร์คินอย่างช้า
ๆ
“สำคัญที่เจ้าตอบมาตามความจริงก็พอ”
เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาจากจุดที่เล็บคมกริบจรดบนผิวเนื้อ!
“รู้จักกรรไกรตัดเล็บมั้ย
เจ้าน่ะ?”
หากเพียงถ้ามันออกแรงกดอีกแค่เล็กน้อย
ฮาร์คินคงไม่มีโอกาสได้กล่าวทีเล่นทีจริงเช่นนั้น
“คุยกันดี
ๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเล่นของมีคม”
มุมปากซีดของบุรุษแปลกหน้าเหยียดเชิดขึ้นเล็กน้อย...
“งั้นก็จงตอบมา”
“พวกข้าเป็นผู้คุ้มกันรับจ้าง
พานายจ้างเดินทางผ่านมาแถวนี้ เลยว่าจะไปขออาศัยนอนวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย...
แค่นั้นเอง” รอยยิ้มน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดีปรากฏบนริมฝีปากของฮาร์คิน
“หึ”
เสียงหัวเราะในลำคอของคนแปลกหน้าดังขึ้น
“ตั้งใจจะไปนอนวัดงั้นรึ?”
นัยน์ตาสีดำสนิทของมันหรี่เล็กลง
มองฮาร์คินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา...
“แต่ข้าบังเอิญได้ยินมากับหู...
ว่าพวกเจ้ามาตามหา ‘สิ่งนำทาง’ ของพ่อมดโซเทปป์!”
“ถ้าจะโกหกกัน
ก็ให้มันแนบเนียนหน่อย!” มันกระชากเสียง หากฮาร์คินกลับส่งรอยยิ้มน้อย ๆ
ให้อีกครั้ง
“ไม่เนียนเหรอ
ข้าก็ว่าเนียนที่สุดแล้วนะ”
ในตอนนั้นเอง
ที่เล็บคมกริบถูกเลื่อนจากลำคอขึ้นไปจ่อใกล้นัยน์ตาสีน้ำตาลสว่างโดยฉับพลัน!
“อย่ามายียวน!!!”
มันตะคอก
พลางมืออีกข้างคว้ากระชากคอเสื้อฮาร์คินเข้ามาใกล้
เล็บคมกริบยังคงจ่ออยู่ที่นัยน์ตาของเขา
หากนัยน์ตาสีอำพันไม่แม้แต่จะกระพริบ!!
“ส่ง
‘สิ่งนำทาง’ มาเดี๋ยวนี้!”
“สิ่งนำทางอะไรนั่น
พวกข้าไม่มีหรอก”
ประโยคสุดท้ายดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายแปลกหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ...
พร้อมกับดาบเพรียวที่จ่ออยู่ที่กลางหลัง!
เล็บคมกริบถูกปล่อยทิ้งลง
ชายแปลกหน้าค่อย ๆ หมุนกลับมาเผชิญหน้า
คุโรยืนอยู่ที่นั่น!
ไม่ใช่ดาบที่จ่ออยู่
หากเป็นความเยือกเย็นในสีหน้าของผู้มาใหม่นั้นที่ทำให้มันต้องชะงัก
“ทีนี้เป็นคราวข้าตั้งคำถามบ้าง...
เจ้าเป็นใคร?”
แทนการตอบคำถามนั้น
มันกลับแสยะยิ้ม
ยกมือขาวซีดขึ้นจัดเส้นผมสีดำมันขลับที่หล่นลงมาให้เรียบเนี้ยบดังเดิม
วินาทีนั้นเองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของบุรุษตรงหน้าก็พลันกลับปลี่ยนแปลงไป
ฮาร์คินและคุโรมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา!
มันกลายร่างเป็นอีกา!!
นัยน์ตาสีดำของมันยังคงฉายแววยิ้มเยาะ
ก่อนที่มันจะกระพือปีกบินหายไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล
ผู้ใช้เวทย์?
คุโรและฮาร์คินสบตากัน
เค้าลางของความยุ่งยากกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว!
ความคิดเห็น