ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๔ เมืองทิศอาคเนย์ (1) Rewrite!!

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 65



    บทที่ ๔ (Rewrite!!)

     

    ร้านที่สองผู้คุ้มกันรับจ้างพาจิณณ์และเซเล็นมาปล่อยทิ้งไว้นั้นเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบเหงาแห่งหนึ่ง ทั้งร้านตกแต่งด้วยไม้สีอ่อน ตรงกลางมีโต๊ะบาร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูเป็นเอกลักษณ์ พนักงานของร้านเพียงคนเดียวยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์... คิ้วของจิณณ์ขมวดมุ่น

    มนุษย์หัวทองตาน้ำข้าวที่ตัวเล็กกว่ายักษ์วัดแจ้งนิดเดียว ยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หลังบาร์กลางร้าน

    ตั้งแต่เข้ามาในอาณาจักรจินตภพ ก็เพิ่งได้เห็นฝรั่งตัวเป็น ๆ ที่นี่

    แล้วจะสปีคกันรู้เรื่องไหมเนี่ย?!!

    “เซเล็น เธอพูดภาษาอังกฤษได้รึเปล่า?” จิณณ์รีบหันไปถาม

    เด็กสาวทำหน้างุนงง

    “ภาษา อะไรนะ?”

    ดูท่าจะไม่ได้...

    “ไม่เป็นไร งั้นฉันเอง!”

    จิณณ์เดินตรงเข้าไปหาพนักงานคนนั้นด้วยความแน่วแน่ ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็พอจะมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ในเมื่อเขาได้ร่ำเรียนวิชานี้มาตั้งแต่ ป.1 ตามหลักสูตรวิชามาตรฐานของกระทรวงศึกษา ก็ย่อมจะพอมีทักษะอยู่บ้างเป็นธรรมดา...

    “กู๊ดมอนิ่ง ทีเช่อ!”

    เขาทักทายพนักงานหนุ่มล่ำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    น่าแปลกที่ท่าทางเจ้าคนหัวทองจะไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่คุณครูยังฟังเขารู้เรื่องอยู่ทุกต้นชั่วโมงเรียนเลย

    “แต๊งกิ้ว ทีเช่อ!”

    จบชั่วโมงเรียนแล้ว มันก็ยังทำหน้างุนงงแบบคนฟังไม่รู้เรื่อง

    “เอ่อ...”

    จิณณ์ยังคงไม่ละความพยายามที่จะสื่อสารต่อ พยายามหาประโยคระดับ ‘แอดวานซ์’ มาสู้

    “ดิส อีส อะ บุ๊ค~

    คุณครูสอนว่าให้ออกเสียงเน้นตัวสะกด เขาก็เลยออกเสียง ‘เคอะ’ หลัง ‘บุ๊ค’ ให้ดังชัดเจนอย่างที่คุณครูสอน

    พนักงานมองเขาด้วยสีหน้าที่พูดเป็นประโยคได้ว่า... 

    ไอ้นี่บ้ารึเปล่า!

    ความรู้ทางด้านภาษาเท่าหางอึ่งของจิณณ์ได้หดหายเข้าไปในตัวอึ่งอย่างเรียบร้อย

    “โอย อย่างงี้จะได้กินมั้ยเนี่ย!”

    จิณณ์บ่นอย่างหมดปัญญา

    ทันใดนั้นเองพนักงานฝรั่งตัวโตก็ตบโต๊ะบาร์เสียงดังป้าบใหญ่ แบบที่ดูก็รู้ว่าชักโมโห

    “ฮ่วย!! จะสั่งอิหยังเว่ามาโลด! ข่อยสิได้เฮ็ดให่!” (โอ๊ย จะสั่งอะไรบอกมาเลย ข้าจะได้ทำให้)

    จิณณ์กลืนน้ำลายลงคอกดังเอื๊อก... ฝรั่งตัวโต... สปีคไทยสำเนียงอีสานแท้...

    แล้วก็ปล่อยให้เขาปล่อยไก่อยู่ได้ตั้งหลายฝูง เว่าไทยได้ก็ไม่บอกกันหนี่ ฮู้!

    “ขอมันบดกับสเต๊กปลาเด้อ”

    เสียงเล็ก ๆ ที่เริ่มจะคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านข้าง จิณณ์หันไปมองเซเล็นซึ่งนั่งแปะลงตรงบาร์เมื่อไหร่ไม่รู้ เปิดเมนูสั่งอาหารด้วยภาษาถิ่นหน้าตาเฉย

     “แล้วก็หมั่นโถวกับขนมจีบกุ้งสองเข่ง สปาเกตตี้คาโบนาร่าอีกหนึ่งจาน ซุปมิโสะหนึ่งถ้วย แล้วก็ น้ำเปล่าหนึ่ง น้ำแข็งบ่ต้อง”

    จิณณ์หันไปกระพริบตาปริบ ๆ มองเซเล็นอย่างไม่อยากเชื่อ

    กินคนเดียวหมดนั่นเหรอเนี่ย?!!

    “แล้วเจ้าล่ะจะกินอะไร หิวไม่ใช่เหรอ ไม่สั่งล่ะ?” เซเล็นหันมาถาม

    จิณณ์กลืนน้ำลายลงคออีกหนึ่งครั้ง ก่อนหันไปถามพนักงานด้วยภาษาไทยภาคกลางอย่างใสซื่อ

    “ข้าวคลุกกะปิมีมั้ยครับ?”

    ใช้เวลาไม่นาน อาหารทั้งหมดที่สั่งก็ถูกจัดการจนเหลือแต่เพียงจานเปล่า ๆ กองตรงหน้าเป็นภูเขาขนาดย่อม ไม่น่าเชื่อว่าเกือบทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของเซเล็น ของเขามีแค่พาสต้าเลี่ยน ๆ จานหนึ่ง กับซุปผักน้ำใสอีกหนึ่งถ้วย

    สุดท้ายก็ไม่มีข้าวคลุกกะปิให้เขากินจริง ๆ

    จิณณ์ถอนหายใจยาว...

    รู้งี้สั่งส้มตำปูปลาร้าก็ดีหรอก ให้มันรู้ไปสิว่าฝรั่งเว่าอีสานจะไม่มีปลาร้าน่ะ!

    เจ้าฝรั่งตัวโตที่หันไปคว้าไม้ถูพื้นมาทำความสะอาดร้านแทนนั้น หันกลับมาจ้องหน้าเขาวินาทีหนึ่งราวกับจะรู้ว่ากำลังถูกนินทาอยู่ในใจ...

    เวลาผ่านไปอีกเป็นชั่วโมงแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีวี่แววของคุโรและฮาร์คิน จนเซเล็นชักจะเริ่มหวาดระแวงว่าผู้คุ้มกันของเธอมีเจตนาจะชิ่งหนีไปพร้อมกับเงินค่าจ้างแล้วหรือเปล่า

    แต่พวกเขาจะทำอะไรได้นอกจากรอ ในเมื่อจะลุกจากร้านไม่ได้ ถ้าไม่ได้จ่ายค่าอาหารเสียก่อน!

    “เงินเก็บข้า... ก็ให้พวกนั้นเป็นค่าคุ้มกันไปหมดแล้วไง” เป็นคำตอบที่จิณณ์ได้รับจากเซเล็น ก่อนที่เด็กสาวจะโน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบ “หรือจะให้ข้าหาเงินมาใหม่ตอนนี้มั้ยเล่า?”

    ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉายชัดโดยไม่ปิดบังบนใบหน้าสวยหวานนั้น จิณณ์จึงรีบยกมือขึ้นมาห้ามความคิดพิเรนทร์ ๆ ทั้งหลายของเด็กสาวทันที เพราะรับรองว่าวิธีหาเงินที่สาวมือเท้าเบาคนนี้จะเสนอนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญอย่างการร้องเพลงเปิดหมวกแน่นอน

    แต่ในเมื่อเซเล็นไม่มีเงิน เขาเองก็ไม่มี หรือต่อให้มีก็คงมีแต่เงินบาทไทย ไม่ใช่เงินที่เป็นเหรียญทองหน้าตาประหลาดขนาดเท่าฝาน้ำอัดลมแบบที่ใช้ที่นี่... แล้วพวกเขาจะจ่ายค่าอาหารกันยังไง?

    พวกนั้นมัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะ?!!!

    เพื่อหาคำตอบ จิณณ์จึงหยิบสมุดนิยายของตัวเองขึ้นมาพลิกเปิด นี่เขาเพิ่งจะแต่งถึงฉากที่คุโรและฮาร์คินช่วยเหลือเซเล็นออกมาจากพวกค้าทาสเท่านั้นเอง ดังนั้นจิณณ์จึงพลิกกระดาษต่อไปยังหน้าท้าย ๆ ในส่วนที่เขาจดพล็อตเรื่องเอาไว้ด้วยลายมือไก่เขี่ย

    พล็อตที่ว่านั้นเป็นโน้ตสั้น ๆ เขียนเตือนว่ามีเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นในเรื่องบ้าง เขาไล่นิ้วตามบรรทัดลงมายังส่วนที่เป็นเหตุการณ์ต่อมาในเมืองแห่งนั้น ซึ่งทุกคนที่นี่บอกว่าคือ “เมืองทิศอาคเนย์” หรือก็คือเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้...

    เรื่องชื่อเมืองตามทิศเหล่านี้ จิณณ์พยายามนึกแต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยตั้งชื่อเมืองต่าง ๆ แบบสิ้นคิดเช่นนี้ จะว่าไปอันที่จริงเขายังไม่ทันได้ตั้งชื่อเมืองเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่วาดรูปแผนที่เอาไว้ที่หลังสมุด แล้วก็กำหนดทิศเอาไว้เฉย ๆ

    หรืออาจเป็นเพราะเขียนแต่ทิศไม่ได้ตั้งชื่อเมืองเอาไว้ด้วย ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้เหรอ?

    อย่างไรก็ตาม นัยน์ตาสีดำสนิทไล่ลงมาตามเส้นบรรทัดไปเรื่อย ในที่สุดก็พบข้อความเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวละครของเขาต้องทำในคืนที่เดินทางมาถึงเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

    ‘ไปที่วัดซึ่ง ‘เนฟฟิว’ (หลานชายเพียงคนเดียวของอดีตพ่อมดหลวงโซเทปป์) บวชเป็นนักบวชอยู่ : ตามหาเบาะแส ‘สิ่งนำทาง’ ที่พ่อมดทิ้งไว้ ที่จะช่วยนำพาไปสู่ที่ซ่อนของดาบแห่งแสง

    แปลว่า มาเมืองนี้ทั้งทีก็เลยได้โอกาสไปตามหา ‘ไอเท็ม’ ที่จะเป็น GPS พาพวกมันไปหาพ่อมดโซเทปป์งั้นสิ…

    อ้าว...

    จิณณ์เริ่มนั่งพลิกหน้ากระดาษในสมุดเล่นไปเรื่อยด้วยความหงุดหงิด... ในเมื่อจะไปตามหาเบาะแสของพ่อมด แล้วทำไมไม่พาเขากับเซเล็นไปด้วย?! ถึงแม้สุดท้ายก็ไม่ได้ไอเท็มอะไรกลับมาจากวัดนั่นก็เถอะ อย่างน้อยก็น่าจะพาไปด้วยกันสิ!

    แต่ก็ช่างเถอะ เขารู้ดีกว่าใครว่าอย่างไรพวกนั้นก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับมาอยู่ดี สมน้ำหน้าแล้วล่ะ!

    แล้วเมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะกลับมาสักที!!

     

    *********************************

     

    ฮาร์คินเดินลัดเลาะมาตามถนนเส้นแคบ ๆ ในเมืองทิศอาคเนย์

    ระยะทางระหว่างวัดของท่านเนฟฟิวกับร้านอาหารที่จิณณ์และเซเล็นนั่งกินข้าวกันอยู่นั้นไม่ได้ไกลมากมาย

    ทว่าเขากลับเดินอ้อม

    ฮาร์คินเดินทอดน่องสบาย ๆ ฝ่าสายลมเย็นจัด สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อความอบอุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองซ้ายมองขวาดูอาคารบ้านเรือนไปเรื่อย ราวกับนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินชมเมืองยามค่ำคืน

    ทว่าเขาไม่ได้สนใจจะชมเมือง

    จิตของเขากลับจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้หนึ่งที่ด้านหลัง

    มันเดินตามเขามาตลอดตั้งแต่ออกจากวัดท่านเนฟฟิวมาแล้ว

    คุโรนั่งรออยู่ที่นั่น เขาเดินมาคนเดียว

    มันก็มาคนเดียว

    ที่ด้านหน้ามีทางเลี้ยวแยกไปทางซ้าย เป็นซอยเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างมืด

    ฮาร์คินเดินเลี้ยวไปยังซอยนั้น

    ผู้ตามหลัง เร่งรุดออกจากเสาที่กำบัง เดินเลี้ยวหักศอกตามเข้าไปยังซอยนั้นทันที ทว่าเดินเข้าไปได้สองก้าว ฝีเท้าที่กำลังรีบเร่งก็พลันต้องชะงักหยุด

    “ไง”

    ภายในเงามืด ร่างสูงโปร่งที่มันติดตามกลับกำลังยืนหันข้างเอาหลังพิงกำแพงในท่าทีสบาย ๆ  มือทั้งสองยังคงล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่เช่นนั้น

    “ตามข้ามาตั้งนานสองนาน ต้องการอะไร? ถ้าไม่ได้เป็นลูกค้าจะมาจ้างงานคุ้มกันล่ะก็... ข้าไม่มีธุระด้วยหรอกนะ”

    ไม่มีคำตอบจากบุรุษผู้นั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานจนน่าอึดอัด

    แต่ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

    “พวกเจ้าเป็นใคร ไปทำอะไรที่วัดแห่งนั้นในยามวิกาลเช่นนี้?”

    “แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม?”

    ฮาร์คินตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาใกล้ชายแปลกหน้า แสงไฟสีส้มสลัว ๆ จากโคมกระดาษตามถนนด้านนอกทำให้เขามองเห็นใบหน้าของมันไม่ชัดนัก หากแต่ก็มากพอจะทำให้เห็นแววยิ้มเยาะจากนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น

    “ข้าจะรู้ไปทำไมนั้น ไม่สำคัญ”

    นิ้วเรียวซีดถูกยื่นออกมาจ่อกับลำคอของฮาร์คินอย่างช้า ๆ

    “สำคัญที่เจ้าตอบมาตามความจริงก็พอ”

    เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาจากจุดที่เล็บคมกริบจรดบนผิวเนื้อ!

    “รู้จักกรรไกรตัดเล็บมั้ย เจ้าน่ะ?”

    หากเพียงถ้ามันออกแรงกดอีกแค่เล็กน้อย ฮาร์คินคงไม่มีโอกาสได้กล่าวทีเล่นทีจริงเช่นนั้น

    “คุยกันดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเล่นของมีคม”

    มุมปากซีดของบุรุษแปลกหน้าเหยียดเชิดขึ้นเล็กน้อย...

    “งั้นก็จงตอบมา”

    “พวกข้าเป็นผู้คุ้มกันรับจ้าง พานายจ้างเดินทางผ่านมาแถวนี้ เลยว่าจะไปขออาศัยนอนวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย... แค่นั้นเอง” รอยยิ้มน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดีปรากฏบนริมฝีปากของฮาร์คิน

    “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของคนแปลกหน้าดังขึ้น  “ตั้งใจจะไปนอนวัดงั้นรึ?”

    นัยน์ตาสีดำสนิทของมันหรี่เล็กลง มองฮาร์คินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา...

    “แต่ข้าบังเอิญได้ยินมากับหู... ว่าพวกเจ้ามาตามหา ‘สิ่งนำทาง’ ของพ่อมดโซเทปป์!”

    “ถ้าจะโกหกกัน ก็ให้มันแนบเนียนหน่อย!” มันกระชากเสียง หากฮาร์คินกลับส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ให้อีกครั้ง

    “ไม่เนียนเหรอ ข้าก็ว่าเนียนที่สุดแล้วนะ”

    ในตอนนั้นเอง ที่เล็บคมกริบถูกเลื่อนจากลำคอขึ้นไปจ่อใกล้นัยน์ตาสีน้ำตาลสว่างโดยฉับพลัน!

    “อย่ามายียวน!!!”

    มันตะคอก พลางมืออีกข้างคว้ากระชากคอเสื้อฮาร์คินเข้ามาใกล้ เล็บคมกริบยังคงจ่ออยู่ที่นัยน์ตาของเขา

    หากนัยน์ตาสีอำพันไม่แม้แต่จะกระพริบ!!

    “ส่ง ‘สิ่งนำทาง’ มาเดี๋ยวนี้!”

    “สิ่งนำทางอะไรนั่น พวกข้าไม่มีหรอก”

    ประโยคสุดท้ายดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายแปลกหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ...

    พร้อมกับดาบเพรียวที่จ่ออยู่ที่กลางหลัง!

    เล็บคมกริบถูกปล่อยทิ้งลง ชายแปลกหน้าค่อย ๆ หมุนกลับมาเผชิญหน้า

    คุโรยืนอยู่ที่นั่น!

    ไม่ใช่ดาบที่จ่ออยู่ หากเป็นความเยือกเย็นในสีหน้าของผู้มาใหม่นั้นที่ทำให้มันต้องชะงัก

    “ทีนี้เป็นคราวข้าตั้งคำถามบ้าง... เจ้าเป็นใคร?”

    แทนการตอบคำถามนั้น มันกลับแสยะยิ้ม ยกมือขาวซีดขึ้นจัดเส้นผมสีดำมันขลับที่หล่นลงมาให้เรียบเนี้ยบดังเดิม

    วินาทีนั้นเองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของบุรุษตรงหน้าก็พลันกลับปลี่ยนแปลงไป ฮาร์คินและคุโรมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา!

    มันกลายร่างเป็นอีกา!!

    นัยน์ตาสีดำของมันยังคงฉายแววยิ้มเยาะ ก่อนที่มันจะกระพือปีกบินหายไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล

    ผู้ใช้เวทย์?

    คุโรและฮาร์คินสบตากัน

    เค้าลางของความยุ่งยากกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว!




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×