ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๓ อาณาจักรจินตภพ (2) Rewrite!!

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 65



    (Rewrite!!)


    ข้าหมายถึงว่า เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าชื่อ ‘ฮาร์คิน’ เห็นเรียกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

    คำถามที่ไม่คาดคิด สกัดจิณณ์ที่กำลังพล่ามน้ำไหลไฟดับให้ชะงักทันทีจนน้ำลายแทบติดคอ

    “เอ่อ... ก็นายบอกฉันไม่ใช่เหรอ?”

    “คิดว่าไม่ และค่อนข้างแน่ใจด้วย”

    “ค่อนข้าง...แต่ก็ไม่ถึงกับแน่ใจเลยทีเดียวใช่มั้ยล่ะ?”

    “แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์!”

    “ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ใช่ล้านเปอร์เซ็นต์?”

    “พอเถอะ!” คุโรห้ามทัพอย่างหมดความอดทน ก่อนหันไปหาเด็กสาวและดึงบทสนทนากลับมายังเรื่องเดิม “ตกลงว่าเจ้า หลอกลวงเงินคนอื่นมาหรือเปล่า?”

    “ไม่ใช่!” เซเล็นตอบเสียงแข็ง

    “แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้โกหก?”

    “ข้าสาบาน!”

    “สาบานลอย ๆ งั้นรึ? สาบานต่ออะไร?”

    “สาบานต่อบรรพบุรุษของข้า!”

    “บรรพบุรุษของเจ้า? บรรพบุรุษที่เป็นสิบแปดมงกุฎด้วยหรือเปล่า?”

    “นี่เจ้า!!”

    “สรุปว่า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง! พวกข้าจะคอยทำหน้าที่ดูแลคุ้มกันเจ้าเป็นอย่างดี ให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพปลอดภัย คุ้มกับราคาค่าจ้างที่เจ้าให้มานี้แน่นอน!” ฮาร์คินรีบหันกลับมาชิงตอบรับนายจ้างหนุ่มน้อยก่อนจะเสียลูกค้าไป

    “ว่าแต่เจ้าจะเดินทางไปไหนล่ะ?” ฮาร์คินรีบถามต่อ เพื่อเป็นการปิดช่องว่างไม่ให้คุโรที่กำลังจะอ้าปากได้มีโอกาสพูด

    “ข้ากำลังจะเดินทางไปยังเทือกเขาอาราซินด้า” เด็กสาวตอบ

    “เทือกเขาอาราซินด้า? ส่วนไหนของเทือกเขาล่ะ มันไม่ใช่เขาลูกเล็ก ๆ นะ”

    “ข้า... ข้าให้คำตอบที่ชัดเจนขนาดนั้นไม่ได้หรอก”

    “ถ้าเจ้าตอบไม่ได้แล้วพวกข้าจะทำงานยังไงล่ะ ผู้คุ้มกันต้องรู้สิว่าจะพาลูกค้าไปส่งที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่างานจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่”

    เซเล็นก้มหน้านิ่งไปพักหนึ่งอย่างใช้ความคิด หากไม่นานนักก็เงยกลับขึ้นมาพร้อมสายตาที่มุ่งมั่น

    “ข้ากำลังเดินทางเพื่อออกตามหา... ดาบแห่งแสง

    ทันทีที่คำสุดท้ายหลุดออกมา นัยน์ตาสีเทาหมอกของคุโรก็เบิกกว้าง ในขณะที่ฮาร์คินอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว

    ส่วนเด็กหนุ่มที่เหลืออีกคน... โดยไม่มีใครสังเกตเห็น... กลับมีร้อยยิ้มยกที่มุมปากน้อย ๆ 

    “ข้าได้เบาะแสมาว่า ‘พ่อมดโซเทปป์’ หลบซ่อนตัวอยู่ที่เทือกเขาอาราซินด้า พ่อมดเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าดาบแห่งแสงอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นข้าจึงจะเดินทางไปที่นั่น แต่ข้าตอบไม่ได้หรอกว่าพ่อมดอยู่ส่วนไหนของเทือกเขา ข้าได้เบาะแสมาเพียงเท่านี้...”

    ประโยคที่กล่าวออกมาอย่างแสนจะธรรมดานั้น หากทำเอานัยน์ตาสีเทาหมอกและสีน้ำตาลอำพันต่างเพ่งมองผู้พูดอย่างตกตะลึงที่สุด! นักคุ้มกันทั้งคู่หันสบตากันเองทันที เซเล็นไม่อาจเข้าใจความหมายที่ทั้งสองสื่อสารกันผ่านสายตาในความเงียบนั้น

    แต่แน่นอน จิณณ์ย่อมรู้ดี...

    การบอกว่าจะตามหา ‘พ่อมด’ ในจินตภพนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป ขนาดแค่ ‘ผู้ใช้เวทย์’ ที่สามารถใช้พลังเวทย์เฉพาะทางได้ยังหาจับตัวได้ยาก เพราะเป็นบุคคลที่มีรางวัลค่านำจับมากที่สุดพวกหนึ่งในการจะไปขึ้นเงินกับเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ ผู้ใช้เวทย์นับวันจึงค่อย ๆ หายไป นับประสาอะไรกับพ่อมดแม่มดที่นับว่าเป็น ‘ผู้ใช้เวทย์ระดับสูง’ ซึ่งมีพลังในระดับที่เรียกว่าเป็น ‘เวทย์มนต์’ ที่ทั้งมีพลังอำนาจสูง และมีขอบเขตการใช้อันกว้างขวาง

    แค่พ่อมดธรรมดาว่าหายากแสนยากแล้ว ยังไม่พอ ยังจะเพิ่มระดับความยากเย็นเข้าไปอีกเมื่อคนที่จะตามหาเป็นถึง ‘พ่อมดโซเทปป์’  อดีตพ่อมดหลวงที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าหลวงพระองค์ก่อน... ที่ไม่เพียงหายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเจ้าหลวงองค์ใหม่ขึ้นบัลลังก์... แต่ยังเป็นพ่อมดที่มีค่าหัวแพงที่สุดแห่งอาณาจักรจินตภพ

    เพราะเป็นผู้ที่ ‘นางแม่มด’ ผู้นั้นต้องการตัวมากที่สุด!

    สาเหตุนั้นก็แน่นอน

    เพราะพ่อมดโซเทปป์เป็นเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าดาบแห่งแสงอยู่ที่ไหน!

    หลังจากที่ใช้เวลาใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ในที่สุดฮาร์คินก็เป็นผู้ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้น

    “ดาบแห่งแสง มันเป็นของในตำนานที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ และมีข่าวว่าพ่อมดโซเทปป์ตายไปแล้วด้วย การที่เจ้าจ้างพวกข้าออกเดินทางตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ก็เท่ากับว่างานของพวกข้าไม่มีที่สิ้นสุด...”

    “ดาบแห่งแสงมีอยู่จริง!” น้ำเสียงของเด็กสาวนั้นจริงจังจนเกือบแข็งกระด้าง

    “เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไร?” คิ้วของคุโรขมวดมุ่น นัยน์ตาสีเทาคมแทบจะมองทะลุตัวเด็กสาวได้

    “ข้า... ข้าบอกพวกเจ้าไม่ได้...”

    คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้นักคุ้มกันรับจ้างสบตากันเองอีกครั้ง

    “ก็เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ” จิณณ์กล่าวแทรกขึ้นมา “พวกนายก็รับงานคุ้มกันเซเล็นไปจนถึงเทือกเขาอาราซินด้า แค่ไปถึงเท่านั้นแหละเป็นอันจบงาน จะทิ้งฉันกับเซเล็นเอาไว้ส่วนไหนของเทือกเขาก็ช่าง แล้วพวกนายจะไปไหนก็ไป แบบนี้โอเคมั้ย?”

    ทันทีที่พูดจบประโยค เซเล็นก็ปราดเข้ามากระตุกแขนเสื้อของจิณณ์พลางส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่าง ทว่าจิณณ์ตอบกลับดวงตาสีม่วงคู่นั้นด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ 

    ไม่มีความจำเป็นที่เซเล็นจะต้องกังวลอะไร

    เพราะเขารู้ดีกว่าใครทั้งหมด... ความจริงที่ทั้งสองคนนั่นกำลังตามหาพ่อมดอยู่! ไม่สิ... ต้องบอกว่าตามหาดาบแห่งแสงอยู่เหมือนกัน!

    ทั้งสองคนนั่นไม่อาจปฏิเสธงานนี้ได้แน่นอน!

    นัยน์ตาสีอำพันและเทาหมอกจ้องมองกันเองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วจิณณ์ก็ไม่ได้นับ แต่อาการนั้นทำให้รอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาฉีกกว้างมากขึ้น

    ทว่าจู่ ๆ  ฮาร์คินก็หันขวับกลับมาหาจิณณ์อย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

    “แล้วเจ้า? เจ้าจะเดินทางไปด้วยทำไม ไหนบอกว่าจะหาทางกลับบ้าน อย่าบอกนะว่าบ้านเจ้าอยู่บนเทือกเขาอาราซินด้าน่ะ!”

    “สำหรับเรื่องนั้น...” จิณณ์กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ  “ฉันเองก็จะไปตามหาพ่อมดโซเทปป์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสรุปให้ฟังง่าย ๆ ก็คือเซเล็นไปที่ไหน ฉันก็ไปที่นั่นน่ะแหละ!”

    แม้จะยังไม่รู้ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง

    แต่อย่างน้อย เขาก็ควรจะต้องเดินทาง “ติดตาม” ตัวละครของเขาเหล่านี้ไป... นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้...

    และอีกอย่าง การที่เขาบอกออกไปว่าต้องการตามหาพ่อมดเหมือนกัน น่าจะทำให้ทั้งสองคนอยากจะเก็บเขาเอาไว้ใกล้ตัวเพื่อดูท่าที มากกว่าจะอยากผลักไสไล่ส่งไปให้พ้น ๆ เหมือนทีแรก...

    แค่ได้เห็นสีหน้าอันเคร่งเครียดของคุโรและฮาร์คินในตอนนี้...

    เขาก็รู้แล้วว่าตนเองคิดถูก!

    “เจ้ายอมจ่ายเงินให้เจ้าเตี้ยนี่เดินทางไปด้วยแน่นะ?” ฮาร์คินหันไปหาเซเล็นด้วยความสงสัยสุด ๆ 

    “ฉันชื่อ จิณณ์ เลิกเรื่องเจ้าเตี้ย ๆ ซะทีเถอะ!” จิณณ์แทรกขึ้นมาอย่างขัดใจ

    “เออ ๆ ข้ารู้แล้ว” ฮาร์คินตอบรับส่ง ๆ ก่อนหันกลับไปหาเซเล็นอีกรอบ “เจ้ายอมให้มันไปด้วยได้ยังไง?”

    “เรื่องนั้น...” เด็กสาวถอนหายใจ

    “เอาเป็นว่าข้ามีเหตุผลแล้วกัน”

     

    ************************************

     

    ก่อนหน้านี้ ในตอนที่คุโรและฮาร์คินเพิ่งจะเดินแยกไปหลังจากที่จัดการกับพ่อค้าทาสทั้งสองเรียบร้อยแล้ว จิณณ์ยังคงจำได้ถึงสีหน้าของเด็กสาวในยามที่เขายื่นข้อเสนอบางอย่างออกไป

    “เจ้าจะให้ข้าจ้างคนพวกนั้นเป็นผู้คุ้มกัน?” เด็กสาวในมาดหนุ่มน้อยนาม ‘เซเล็น’ ถามย้ำอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน “และตัวเจ้า ต้องการจะติดตามไปในการเดินทางด้วย?”

    จิณณ์พยักหน้าหงึกหงักอย่างกระตือรือร้น

    “แล้วทำไมข้าต้องจ้างพวกนั้นด้วย ข้าดูแลตัวเองได้!”

    “ไม่ได้หรอก... ยังไงก็ต้องจ้าง!

    ไม่อย่างนั้นเรื่องก็ไม่ดำเนินไปตามพล็อตที่วางไว้กันพอดีน่ะสิ!

     “ฉันจะบอกความลับอะไรให้ฟัง สองคนนั่นที่จริงแล้วก็กำลังตามหาพ่อมดโซเทปป์กับดาบแห่งแสงเหมือนกับเธอ เพราะงั้นถ้าเธอจ้างสองคนนั่นไปด้วย การตามหามันก็จะง่ายขึ้นนะ เชื่อฉันเถอะ”

    ดวงตาสีม่วงคู่สวยเบิกโพลงกว้างขึ้นด้วยความตระหนก

    “เจ้ารู้ได้ยังไง ว่าข้ากำลังตามหาดาบแห่งแสง!!”

    คำถามของเด็กสาวทำให้จิณณ์ถึงกับอึ้งไป

    รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ...

    ถ้าตอบเหตุผลที่แท้จริงออกไป เขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นคนบ้าหรือยังไงกัน!

    “ฉันรู้ได้ยังไงไม่สำคัญ แต่เช่นเดียวกับที่ฉันรู้ว่าเธอกำลังตามหาดาบ คือฉันรู้ว่าเธอยังจะต้องเจอกับอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งการเดินทางคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย...”

    เด็กสาวหรี่ตาลงมองจิณณ์อย่างครุ่นคิด

    “สมมุติ...สมมุติเท่านั้นนะ...สมมุติว่าข้าตกลงที่จะจ้างสองคนนั่น...แต่จะมีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะต้องไปด้วย?”

    เป็นคำถามที่ดีอีกข้อหนึ่ง...

    แต่เขาเองก็อยากจะถามกลับใจจะขาด ว่าถ้าไม่ให้ไปด้วย แล้วเขาจะไปไหนได้ล่ะ?!

    จะให้เขาทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากเกาะติดคนเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเขาไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากตัวละครของเขา!

    แล้วระหว่างนั้นก็หาทางกลับบ้านไปด้วย

    เขาอาจจะต้องตามหาประตูมิติ หรือตามหาผู้วิเศษที่จะส่งเขากลับไป เหมือนที่ตัวละครในนิยายแฟนตาซีจำพวกหลุดเข้าไปอยู่อีกมิติหนึ่งมักจะต้องทำเพื่อหาทางกลับไปยังโลกของตัวเอง

    ไม่แน่ว่า ผู้วิเศษผู้นั้น อาจจะเป็นพ่อมดโซเทปป์ก็เป็นได้!

    ...ล่ะมั้ง?

    จิณณ์ถอนหายใจยาว

    “คำถามของเธอฉันตอบไม่ได้ แต่เอาอย่างนี้นะ... ฉันจะสรุปข้อเสนอของฉันให้ง่ายขึ้น...”

    เขาหยุดเว้นจังหวะ เพื่อส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กสาวในมาดของหนุ่มน้อยตรงหน้า

    “เธอให้ฉันไปด้วย แล้วฉันจะไม่บอกใคร เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง เซเลน่า!

     

    *******************************

     

    คุโรและฮาร์คินพานายจ้างทั้งสองไปปล่อยทิ้งไว้ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองทิศอาคเนย์ เพราะกว่าที่พวกเขาทั้งหมดจะเดินทางมาถึงเมืองก็เป็นเวลาค่ำแล้ว และตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาทุกคนต้องคอยฟังเสียงท้องของจิณณ์ร้องครวญครางมาเป็นระยะ อีกทั้งร้านอาหารก็เป็นสถานที่ที่ดีในการหลบพักจากอากาศหลังพระอาทิตย์ตกดินที่เริ่มจะเย็นจัดด้านนอก

    ในขณะที่ผู้คุ้มกันหนุ่มทั้งสอง หลบออกมาทำอะไรอย่างอื่น...

    ใช้เวลาเดินตามหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย

    แสงไฟสีส้มลอดผ่านบานหน้าต่างออกมาจากวัดนิกายเซนแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ  และเรียบง่าย ฮาร์คินหันมองหน้าคุโร ก่อนตั้งคำถามด้วยเสียงกระซิบ

    “จะดีเหรอที่ไม่พาพวกนั้นนั่นมา ในเมื่อก็ตามหาสิ่งเดียวกัน?”

    คุโรนิ่งอยู่ชั่วอึดใจต่อคำถามนั้น ก่อนจะตอบออกมาในที่สุด

    “ข้ามีลางสังหรณ์แปลก ๆ เกี่ยวกับสองคนนั่น ถ้าพามาด้วยอาจจะเสี่ยงต่อการต้องเปิดเผยข้อมูลของพวกเรา อย่างน้อยควรดูท่าทีไปก่อนซักระยะ แล้วค่อยว่ากันอีกที”

    ฮาร์คินพยักหน้าเข้าใจ เขาถอนหายใจยาวเป็นไอสีขาวก่อนเอื้อมมือไปเคาะประตู...

    ไม่นานนักประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออก นักบวชวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดสีน้ำตาลเข้มที่ค่อนข้างเก่ายืนอยู่ที่นั่น

    “นี่หมดเวลาเปิดให้คนนอกเข้าวัดแล้ว มาใหม่พรุ่งนี้นะ” นักบวชผู้นั้นกล่าวรวดเร็ว ก่อนทำท่าจะปิดประตู

    “พวกข้ากำลังตามหา พ่อมดโซเทปป์” ฮาร์คินแทรกขึ้นมา ทำให้นักบวชผู้นั้นชะงัก ก่อนถอนหายใจหนักและยาว

    “ข้าเบื่อเหลือเกินที่จะต้องบอกซ้ำบอกซากกับคนอย่างพวกเจ้า แต่ขอยืนยันอีกครั้งว่าอดีตพ่อมดหลวงผู้นั้นตายไปแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุครั้งนั้นนั่นแหละ”

    “ไม่ว่าพ่อมดจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะได้พบท่านพ่อมดที่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่...” คิ้วสีน้ำตาลอ่อนของฮาร์คินขมวดมุ่น ยามที่เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย “อย่างน้อย ที่นี่อาจมีใครให้เบาะแสกับเราได้บ้าง”

    นักบวชจ้องมองทั้งสองอย่างพิจารณาภายใต้แสงสีส้มของตะเกียงเจ้าพายุที่ถือติดตัวออกมาด้วย

    “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด ในเมื่อพ่อมดตายไปแล้ว เจ้าจะยังต้องการเบาะแสอะไรอีก... ข้าคงบอกอะไรที่เจ้าต้องการไม่ได้หรอก”

    ชายวัยกลางคนทำท่าจะปิดประตูอีกครั้ง ทว่ามือแข็งแรงดันประตูเอาไว้ได้ทัน

    “ช้าก่อน”

    คุโรกล่าวเรียบ ๆ หากกระแสจริงจังแต่นุ่มนวลในนัยน์ตาสีเทาหมอกคู่นั้น ทำให้นักบวชวัยกลางคนผู้นั้นกลับต้องหยุดชะงัก...

    เป็นนัยน์ตาสีเทาอ่อนที่ดูลึกลับและคุ้นตาอย่างน่าประหลาด...

    ขนในกายของเขาพากันลุกซู่ และความหนาวเหน็บยะเยือกวิ่งปราดผ่านร่างกายของชายวัยกลางคนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อตะหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง เขาเพ่งสายตามองบุคคลทั้งสองตรงหน้าอย่างพินิจอีกครั้ง

    “พวกเจ้าเป็นใคร และต้องการอะไรกันแน่?”

    “พวกเราเป็นใครนั้นไม่สำคัญ” คุโรตอบ

    “แต่พวกเราทราบมาว่า ‘สิ่งนำทาง อยู่ที่นี่!”

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×