คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๓ อาณาจักรจินตภพ (1) Rewrite!!
บทที่ ๓ (Rewrite!!)
"ที่นี่คืออาณาจักรจินตภพ?!"
จิณณ์ทวนประโยคพร้อมนัยน์ตาสีดำที่เบิกกว้าง
ชื่อเหมือนดินแดนที่เขาแต่งขึ้นมาในนิยายเลย!
เด็กหนุ่มอึ้งไปพักใหญ่ แววตาสีดำคู่นั้นสั่นไหวและเลื่อนลอย
สมองภายใต้ศีรษะที่ยังคงมึนระบม บัดนี้กำลังวิ่งวุ่นอย่างสับสน
“จู่ ๆ ก็เป็นอะไรไปเนี่ย?” ชายผมน้ำตาลถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นอาการนิ่งแปลก
ๆ ของคนตรงหน้า
ทว่าแทนคำตอบ จิณณ์กลับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ทำเอาทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้นชักเริ่มไม่ไว้ใจกับสติที่อาจจะไม่ค่อยเต็มของคนผู้นี้
“ฉัน? ฉันเป็นอะไร? ไม่เป๊นน! ฉันสบายมาก!” จิณณ์ตอบเสียงสูง
ก่อนอุทานกับตัวเองต่ออย่างร่าเริง
“ในโลกนี้มีสถานที่ชื่อจินตภพจริง ๆ เหรอเนี่ย
ไม่น่าเชื่อ!!!”
ไม่มีเหตุผลอื่นใดจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ดีไปกว่า ความบังเอิญ!
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
การจะบอกว่าเขากำลังอยู่ในดินแดนที่ตัวเองเป็นคนจินตนาการขึ้นมาน่ะเหรอ?! แค่คิดเขาก็อยากจะหัวเราะให้ฟันหัก!
มันไม่มีทางเป็นไป...ได้...
เสียงหัวเราะของคนบ้าหยุดชะงักลงอย่างฉับพลัน
แววตาของเด็กหนุ่มสั่นระริกอีกครั้งในยามที่ความคิดบางอย่างโลดแล่นเข้ามาในศีรษะที่กำลังปวดตุบ
ๆ ของเขา
หญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่ม สองชายหนุ่มผู้คุ้มกันรับจ้าง
พ่อค้าทาส...
นัยน์ตาสีดำเบิกกว้าง!
“ไม่จริง! ไม่ใช่แล้ว! ไม่ใช่หรอก!”
ความขัดแย้งในหัวของเขาทวีความรุนแรงขึ้นจนจิณณ์เผลอตะโกนสุดเสียงอย่างลืมตัว
“เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!”
“อะไรเป็นไปไม่ได้?” น้ำเสียงเรียบของชายผมดำดังถามขึ้น
“ข้าว่าอย่าไปสนใจเลย ออกเดินทางกันเถอะ คุโร”
จิณณ์ที่เหมือนจะจมอยู่ในความคิดของตนเอง ทว่าทันทีที่ได้ยินชื่อ
‘คุโร’ กลับหันขวับมายังเจ้าของชื่อด้วยดวงตาที่เบิกโพลง
ก่อนหน้านี้ทำไมเขาไม่เอะใจนะ!
นี่มันชื่อตัวละครของเขา!
วินาทีนั้น...
ความจริงที่ได้รับ
ถาโถมเข้าใส่เด็กหนุ่มดุจกระแสน้ำเชี่ยวกรากอันเย็นเยียบ
ซัดกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่ปรานี จนไม่อาจทรงตัวไว้ได้
...ที่นี่คือ อาณาจักรจินตภพ...
ไม่ใช่สถานที่ชื่อจินตภพที่บังเอิญเหมือน
ที่นี่อาณาจักรจินตภพ จินตภพที่เขาสร้างขึ้น...ในจินตนาการ...
เขาเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่ง!!
ไม่สนใจสายตาคนอื่นที่กำลังมองมาอย่างไม่เข้าใจ
จิณณ์รีบดึงสมุดนิยายปกเทาของเขาที่เหน็บเก็บเอาไว้ที่หลังขึ้นมาพลิกเปิดออกอ่านเพื่อยืนยันความคิด...
ไม่ผิดแน่...
เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ตัวละครจะต้องเผชิญในนิยายของตัวเอง!
ไม่สิ...
ต้องบอกว่า เผชิญเหตุการณ์ “ร่วมกัน” กับตัวละครของเขามากกว่า!
นี่มันเป็นไปได้หรือ?!
“หรือที่ฉันล้มหัวฟาดพื้น
อาจทำให้สมองโดนกระทบกระเทือนจนสติฟั่นเฟือน?” อีกครั้งที่จิณณ์เหมือนถามตัวเองมากกว่าจะต้องการคำตอบจากผู้อื่น
“หรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็นแค่ความฝัน?”
เพี๊ยะ!!!
จิณณ์ตบหน้าตัวเองอย่างแรงท่ามกลางความตกใจของทุกคน ก่อนบ่นพึมพำ
“เจ็บขนาดนี้ แสดงว่าไม่ใช่ความฝันสินะ”
หมับ!
จู่ ๆ เขาก็หันไปยกมือทั้งสองข้างจับใบหน้าคนผมสีน้ำตาลที่อยู่สูงกว่าอย่างถือวิสาสะ
ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นยืนทื่อตัวแข็งด้วยความตกใจ!
“ท... ทำอะไรของเจ้า?!!”
แทนคำตอบ มือคู่นั้นกลับจับหน้าคนตัวสูงกว่าหันบิดไปทางซ้าย
บิดไปทางขวา แล้วก็บิดไปทางซ้าย
“สีตาใช่ สีผมถูก แต่ ฮาร์คิน
นายมันต้องหน้าตาดีขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ชายหนุ่มที่ถูกจับหน้าบิดไปมา
อยู่ในอาการตกใจเกินกว่าจะขัดขืนการกระทำของคนตรงหน้า
แต่พอมีสตินึกจะจับมือของเจ้านั่นเหวี่ยงทิ้ง
เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับชิงปล่อยมือเองเสียก่อน
มิหนำซ้ำยังทิ้งเขาไว้แล้วเดินไปหยุดยืนจับจ้องเพื่อนของเขาอีกคนแทน
ชายหนุ่มผมสีดำนาม ‘คุโร’ ไม่ได้หลบนัยน์ตาของเด็กหนุ่มแปลกหน้า
ที่กำลังจ้องเขม็งมองเขาตรง ๆ อย่างพิจารณา
“ส่วนนาย คุโร ตรงกับที่คิดไว้ทุกอย่าง
แต่หล่อเกินไปและวางมาดจนน่าหมั่นไส้”
พูดจบจิณณ์ก็เดินผละออกมา ไม่สนใจดวงตาสีเทาคมที่หันมองตามด้วยร่องรอยแห่งความสงสัย
คราวนี้จิณณ์มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเด็กสาวคนสุดท้าย
ก่อนคว้าไหล่บางให้เข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ
“เธอก็เหมือนกัน
ทำไมฉันต้องให้เธอมาทำอะไรอย่างนี้ด้วยนะ พล็อตปลอมตัวนี่มันก็ทั้งโหลทั้งน้ำเน่า ไม่รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ตอนที่เริ่มแต่งเหมือนกัน”
“ปลอมตัวอะไร... เจ้า...เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ...”
เด็กสาวเอ่ยกะท่อนกะแท่น แต่ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเบิกกว้าง
“ไม่มีใครเข้าใจทั้งนั้นแหละเจ้าหนู มันเป็นบ้าไปแล้ว!”
ฮาร์คินผู้มีผมสีน้ำตาลกล่าวพลางเข้ามาช่วยปัดมือของจิณณ์ออกจากไหล่บาง “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก”
“ใช่...ฉันมันเป็นบ้าไปแล้ว...” จิณณ์กระซิบกับตัวเอง
เข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองเป็นคนแต่ง?! ไม่ต้องหาหมอก็รู้ว่าเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ !!
“รู้ตัวเองก็ดี! คุโร ไปเถอะ
ปล่อยมันบ้าต่อไปคนเดียวเถอะ”
ประโยคหลัง ฮาร์คินหันไปกล่าวกับเพื่อนผมดำ ก่อนเดินนำลิ่ว ๆ
ออกไปจากที่ตรงนั้นโดยไม่หันกลับมามองอีก ทำให้คุโรจำต้องหันหลังเดินตามออกไปด้วย
แม้นัยน์ตาสีเทาจะอดหันกลับมามองไม่ได้
ทว่าสุดท้ายคนทั้งคู่ก็เดินจากไปจริง ๆ
“ทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะ” จิณณ์บ่นกับตัวเองต่อเสียงอ่อย
การหาทางกลับบ้าน มันคงไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว...
ถ้ายังอยู่ในประเทศไทย ยังหารถตู้ รถทัวร์ หรือรถไฟกลับได้
ถ้ายังอยู่บนโลก ยังพอหาเครื่องบินกลับได้ ถ้ายังอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล
อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าจะต้องตามหายานอวกาศสักลำขอติดกลับมาที่ดาวโลก
แต่นี่เขาอยู่ที่มิติไหน!
จะกลับบ้านยังไง?!
แต่แล้ววินาทีต่อมา
นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มชาวไทยก็กลับตวัดมองหาเด็กสาวที่ยังยืนอยู่ที่นั่นอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“ว่าแต่เธอ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?!”
****************************
เฮ้อ~
ฮาร์คินถอนหายใจ อากาศยามสายเช่นนั้นไม่หนาวพอจะทำให้ลมหายใจของเขากลายเป็นไอสีขาว
เจ้าตัวเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงในท่าทางสบาย ๆ อย่างเป็นนิสัย
แม้จะมองเห็นตัวเมืองอยู่ข้างหน้าแล้วก็ตาม
หากระยะทางไปสู่เมืองทิศอาคเนย์จากจุดที่พวกเขาอยู่นั้นก็ไม่ใช่จะใกล้นัก
เขาและเพื่อนก้าวเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
เฮ้ออออออ~
ผู้คุ้มกันรับจ้างหายใจยาวอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์
“จะปล่อยให้พวกนั้นตามเราไปแบบนี้จริง ๆ เหรอ คุโร?”
คิ้วได้รูปสีดำของสหายร่วมอาชีพเลิกขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปมองด้านหลัง
ผลุบ!
ร่างสองร่างไม่ห่างออกไปนัก เคลื่อนหลบหลังลำต้นไม้ใหญ่คนละต้นทันทีที่หันกลับไปมอง...
เหมือนดังที่เป็นมาตลอดทาง ตั้งแต่ที่แยกจากกันก่อนหน้านี้...
“ปล่อยไปเถอะ
พวกนั้นอาจจะแค่ไปเมืองทิศอาคเนย์เหมือนเรา”
ความเห็นนั้นของคุโร ทำให้ฮาร์คินถอนหายใจออกมายาว ๆ อีกรอบ
ก่อนหันไปตะโกนเสียงดัง
“จะหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันอีกนานมั้ย!
ถ้าจะไปทางเดียวกันก็ออกมาเดินดี ๆ !”
เป็นดังที่เขาคาดไว้ เมื่อมีเสียงตะโกนตอบกลับมา
“ในเมื่อพวกนายรู้ตัวแล้ว งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ร่างเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ชักจะเริ่มคุ้นเคย ก้าวเดินพรวด ๆ
เข้ามาพร้อมกับหนุ่มน้อยอีกคน จนในที่สุดก้าวตามขึ้นมาทันฮาร์คินและคุโร
“ตามมาทำไมล่ะ!” ฮาร์คินกล่าวห้วน ๆ ลอย ๆ
ไม่ได้เจาะจงถามใครคนใด
“พวกข้าทั้งสองเปลี่ยนใจจะไปกับพวกเจ้าด้วยน่ะสิ!”
คำตอบของเจ้าหนูผู้นั้น
ทำให้คนถามถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างคาดไม่ถึง
“พวกเจ้าจะไปด้วย?”
เด็กสาวล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมของเธอที่มีช่องลับเป็นซิปกระเป๋าอันเล็ก
ๆ ซ่อนไว้ใต้เนื้อผ้าหนา ก่อนหยิบอะไรบางอย่างออกมาโยนส่งให้คุโร
คิ้วสีดำของชายหนุ่มขมวดมุ่นยามจ้องมองสิ่ง ๆ นั้น ทว่าฮาร์คินกลับไปคว้ามาถือไว้เองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
มันเป็นถุงผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้มขนาดเล็ก... ที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง!
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!
จะขอจ้างพวกเจ้าให้มาเป็นผู้คุ้มกัน” เด็กสาวกล่าว
“ได้เลย!/ไม่ได้!”
สองผู้คุ้มกันรับจ้างตอบพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ทว่าเป็นคนละคำตอบ
“ก็ไหนบอกว่าเอาตัวรอดได้?” คุโรกล่าวถามกลับเสียงเข้ม
ฮาร์คินรีบยกมือข้างที่ถือถุงเงินชูโบกไปมาตรงหน้าสหาย
“คุโร เจ้าอย่าเพิ่งด่วนตัดรอนเจ้าหนู เอ๊ย! ข้าหมายถึง
น้องชายผู้นี้สิ!”
“ข้าชื่อ เซเล็น เรียกข้าว่าเซเล็นก็ได้” เด็กสาวกล่าว
เมื่อคำสรรพนามที่ถูกใช้เรียกตัวเองฟังดูยิ่งน่ากระอักกระอ่วนใจมากขึ้น “โชคดีที่พวกพ่อค้าทาสค้นไม่เจอกระเป๋าลับข้า
ไม่อย่างนั้นเงินคงไม่เหลือแล้ว”
เป็นตอนนั้นที่คุโรกล่าวขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เงินสกปรกที่ได้มาจากการหลอกลวงชาวบ้าน ข้าไม่รับ...”
นัยน์ตาสีม่วงสวยตวัดมองคนพูดอย่างขุ่นเคือง
ทว่าเขากลับไม่ได้มองเธออยู่ด้วยซ้ำ เด็กสาวจึงก้าวมาหยุดยืนต่อหน้าคนตัวโตกว่าอย่างท้าทาย
“จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎ!!”
“ข้าไม่เชื่อ”
“ฉันยืนยันให้อีกเสียงหนึ่งว่าเซเล็นไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกน่า”
ประโยคตัดบทที่ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ ดังมาจากเด็กหนุ่มที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุด
เรียกทุกสายตาให้เปลี่ยนไปจับจ้องที่จิณณ์เป็นตาเดียว
แน่นอน จิณณ์ย่อมรู้ดีว่าทำไมคุโรถึงได้ไม่ไว้ใจเซเล็น
เหตุการณ์แรกในบทที่หนึ่งซึ่งเขียนจบไปแล้ว
เขาแต่งให้ทั้งสามเจอกันในสถานการณ์ที่ทำให้คุโรเข้าใจผิดว่าเซเล็นเป็นนักต้มตุ๋น
ซึ่งที่จริงแล้วตอนนั้นเธอเพียงต้องการหลอกพวกพ่อค้าทาสเพื่อช่วยเหยื่อที่จะถูกขายต่างหาก!
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงเจ้าเตี้ย?” ฮาร์คินหันไปถามจิณณ์
ด้วยสายตาที่ยังคงสื่อความหมายว่า ‘เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย!’
“ก็นะ... เซเล็นเล่าให้ฟังหมดแล้ว
ถึงแม้ที่ผ่านมาน้องเขาจะโกหกบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ และอาจจะเคยขโมยมานิด ๆ หน่อย ๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากทำซักหน่อย ความจำเป็นมันบังคับ พวกนายก็น่าจะ...”
“ข้าหมายถึงว่า เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าชื่อ ‘ฮาร์คิน’
เห็นเรียกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
ความคิดเห็น