ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๒ ที่นี่คือ (2) Rewrite!!

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 65


    (Rewrite!)


    “หมายความว่าไง ทำไมข้าไม่ต้องไปตลาดมืด?”

    ก็เพราะเจ้าจะไม่มีอะไรให้ไปขายที่นั่นแล้ว

    “หมายความว่าไง ทำไมข้าไม่ต้องไปตลาดมืด?”

    “ก็เพราะเจ้าจะไม่มีอะไรให้ไปขายที่นั่นแล้ว”

    พ่อค้ารู้สึกเย็นวาบยามจับจ้องนัยน์ตาสีเทาคู่นั้น ทว่ากลับมีเหงื่อเม็ดใส ๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า

    “คงไม่ได้หมายความว่าจะเหมาซื้อทาสทั้งหมดตรงนี้หรอกใช่มั้ย...”

    “ต้องให้พูดซ้ำ? บอกแล้วว่าพวกข้าไม่ได้มาซื้อ...” ชายผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนกล่าวเสริมด้วยท่าทีสบาย ๆ ทว่าทำเอาพ่อค้าทาสลอบกลืนน้ำลาย

    เขาไม่อยากยอมรับ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธ

    คนตรงหน้าพวกนี้... น่ากลัว!!

    “ชอน!! เฮ้ย! ชอน!! ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนวะ ชอนโว๊ย! มาช่วยข้าจัดการตรงนี้หน่อย!!” พ่อค้าหัวฟูหันรีหันขวางตะโกนเรียกคู่หูของเขาที่หลบไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งแถวนั้น

    “ถ้าเจ้ากำลังเรียกเจ้ายักษ์คู่หูตัวดำของเจ้าล่ะก็ นู่นแหนะ นอนเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ตรงนู้นนนนนนน”

    เจ้าผมน้ำตาลกล่าวพลางชี้มือชี้ไม้ไปทางป่าด้านหลังของพ่อค้าทาส

    “ว่าไงนะ!”

    มันตวัดสายตากลับไปด้านหลังทันที และพบขาคนคู่หนึ่งโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ใต้เงาไม้ไกลออกไป...

    นั่นมันขาของเจ้าชอนแน่แล้ว!

    ช่วยไม่ได้...

    แบบนี้คงต้องลงมือเอง!

    พ่อค้าทาสที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวชักดาบใหญ่ที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมา ก่อนพุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดโดยไม่รีรอ ทว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทกลับยกดาบเพรียวผอมขึ้นรับไว้ทั้งฝักด้วยมือข้างเดียวอย่างง่าย ๆ

    ด้วยสีหน้าเรียบเฉย...

    และเพียงออกแรงกระแทกเล็กน้อย ดาบใหญ่เล่มนั้นพร้อมกับคนถือก็ถึงกับกระเด็นเซถลาออกไป

    “หนอย! แก!”

    ร่างพ่อค้าทาสปราดเข้ามาอีกครั้งพร้อมดาบที่เงื้อสูง ครั้งนี้ชายหนุ่มเพียงเบี่ยงตัวเล็กน้อย ดาบใหญ่นั้นก็วืดฟันอากาศ ทำเอาร่างพ่อค้าเซถลาไปด้านหน้า ก่อนถูกกระแทกตามด้วยด้ามดาบเพรียวของชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าที่กลางหลังจนล้มคว่ำลงไปไม่เป็นท่า

    จิณณ์จ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

    ตื่นตะลึงในความเก่งกาจของชายผู้นั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง...

    แต่อีกสาเหตุนั้น... เป็นเพราะไม่อยากจะเชื่อ...

    สมัยนี้ยังจะมีคนใช้ดาบสู้กันอีก!

    ทำไมไม่รู้จักซื้อปืนกันมาคนละกระบอก ยิงกันโป้ง ๆ ป่านนี้รู้ผลแล้ว!

    พ่อค้าทาสหัวฟูใช้ดาบใหญ่ดันกายให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง เสื้อผ้าของมันบัดนี้คลุกไปด้วยฝุ่นดินจนสกปรกมอมแมม ทว่ามันยังคงตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาอีก

    หากคราวนี้ไม่ทันจะได้ลงมือ เสียงของเจ้าคนหน้าหล่อที่ไม่ได้ร่วมวงสู้ด้วยก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

    “พอเถอะ คุโร สู้ไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ” เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันกล่าวกับสหาย “ข้าก็หลงนึกว่าพวกที่จะค้าทาสได้จะต้องมีฝีมือเสียอีก นี่อะไร แม้แต่ดาบเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องชักออกจากฝักด้วยซ้ำ ผิดหวังจัง”

    พ่อค้าทาสหันขวับกลับไปตามเสียง ทว่าชายผู้นั้นกลับยืนพิงกรงเหล็กขึ้นสนิมด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ

    เท่านั้นพ่อค้าทาสก็คิดเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี!

    หากทว่าในวินาทีนั้นเอง

    พรึ่บ!

    ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยังคงยืนที่เดิมเหมือนไม่ได้ขยับ แต่สิ่งที่ทำให้พ่อค้าทาสหยุดชะงัก กลับเป็นความรู้สึกเย็นวาบที่เบื้องล่าง...

    กางเกงของเขาที่เคยใส่ บัดนี้ลงไปกองอยู่กับเท้า!!

    “ลายดอกซะด้วย... น่ารักดีนี่นา”

    เจ้าหัวน้ำตาลกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะมองกางเกงบ๊อกเซอร์ลายดอกสีส้มแปร๊ดของพ่อค้าทาส

    “แก!!”

    มันรีบก้มลงไปดึงกางเกงของตัวเองขึ้นมาสวม ทว่าเมื่อหันกลับมาจ้องคาดโทษคนต้นเรื่อง มันกลับต้องเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเสียเอง

    แม้จะมีรอยยิ้มบนริมฝีปากของชายหนุ่ม หากนัยน์ตาสีอำพันกลับฉายแววตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!

    “เมื่อกี้ข้าแค่ปลดตะขอกางเกง... แต่ครั้งต่อไป อาจจะเป็นคอของเจ้าก็ได้ ใครจะรู้”

    มันพูดถูก...

    เขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันปลดตะขอกางเกงของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

    ฝีมือระหว่างเขากับเจ้าพวกนี้มันห่างชั้นกันเกินไป!

    ดาบใหญ่ในมือของพ่อค้าทาสร่วงหล่นลงกระทบพื้นในตอนนั้น ส่วนตัวมันยืนกุมกางเกงตัวสั่นงันงก!

    ภาพนั้นเรียกรอยยิ้มของชายหนุ่มคนเดิมให้กลับมาฉีกกว้างอย่างอารมณ์ดี

    “เอาล่ะ ทีนี้ อยากจะส่งกุญแจเปิดกรงมาดี ๆ มั้ย หรืออยากจะให้ข้าหาเองตอนที่เจ้าสลบ?”

    สีหน้าพ่อค้าทาสหัวฟูซีดเผือด

    ก่อนที่กุญแจเหล็กจะถูกส่งยื่นออกมาด้วยมืออันสั่นเทา

     

    ****************************************

     

    “แล้วพวกเจ้าตามมาถูกได้ยังไง?”

    จิณณ์ได้ยินเสียงเด็กสาวกล่าวกับชายแปลกหน้าทั้งสองแว่ว ๆ

    กลุ่มคนที่โดนจับตัวมาทั้งหมดได้ทยอยกันมากล่าวขอบคุณชายหนุ่มทั้งสอง แล้วพากันแยกย้ายเดินทางกลับเมืองบ้านเกิดหรือเดินทางไปยัง ‘เมืองทิศอาคเนย์’ ที่อยู่ใกล้ ๆ โดยอาศัยเดินเท้ากันไปบ้าง หรือพวกที่อยู่ไกลออกไปก็เอารถเกวียนของพ่อค้าทาสนั่งกันไป เหลือแต่เพียงคนหลงทางอย่างเขาที่ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอะไรหรือไปที่ไหนต่อ

    “พวกข้าตามรอยล้อเกวียนมา ตั้งแต่รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวไป” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งตอบเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม

    ดูท่าทางจะรู้จักกันมาก่อนแล้ว

    เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟังเรื่องของสามคนนี้หรอกนะ

    แค่หูมันดันได้ยินเอง! จริงจริ๊ง!

    “ขอบคุณมากนะที่ตามมาช่วย” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจ และรอยยิ้มสดใสแบบที่เห็นแล้วจิณณ์รู้สึกตามันพร่ามัวไปหมด

    “ไม่ต้องมาขอบคุณข้าหรอกเจ้าหนู ขอบคุณคุโรเถอะ! มันบังคับให้ออกตามหาเจ้าตั้งแต่เมื่อคืนเพราะเป็นห่วง!” คนผมสีน้ำตาลบุ้ยไปทางเพื่อนอีกคน ซึ่งยืนทำหน้าดุอยู่ไม่ห่าง

    นัยน์ตาสีเทาคมของผู้ที่ถูกพาดพิง ตวัดมองสหายด้วยแววอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้เป็นเพื่อนได้แต่หัวเราะเจื่อน ๆ

    “โอเค ๆ ไม่มีใครห่วงใครทั้งนั้นแหละ พวกข้าแค่บังเอิญผ่านมา เจ้าพอใจหรือยัง?” ประโยคหลังหันไปกล่าวถามกับเพื่อน

    “ยังไงก็ขอบใจเจ้าด้วยแล้วกันที่ไม่ขัดใจเพื่อนน่ะ” ผู้ถูกมองว่าเป็นเจ้าหนูน้อยกล่าวยิ้ม ๆ

    “แล้วนี่จะยังจะเดินทางด้วยตัวคนเดียวต่อไปอีกงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มผมน้ำตาลถามต่อ “ไม่ใช้บริการให้พวกข้าเป็น ‘ผู้คุ้มกัน’ จริง ๆ น่ะรึ?”

    เด็กสาวไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิด ก็พยักหน้ารับโดยทันที

    “ก็ยืนยันหนักแน่นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ว่าดูแลตัวเองได้” คราวนี้เป็นชายผู้มีเรือนผมสีดำสนิทกล่าวลอย ๆ ขึ้นมา น้ำเสียงเจือความประชดประชัน ก่อนปลายตาสีเทาคมมองเด็กสาว “ขอให้โชคดีไม่ถูกจับขายอีกแล้วกัน”

    พูดจบก็ทำท่าจะเดินผละออกมา หากทว่าไม่ทันได้ก้าวออกไปอย่างที่คิด เสียงของสหายผมสีอ่อนก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

    “เดี๋ยวก่อน แล้วเจ้าเตี้ยนี่ล่ะ?” นัยน์ตาสีอำพันตวัดกลับมามองเด็กหนุ่มในที่นั้นอีกคนหนึ่ง

    จิณณ์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอมาหยุดยืนจ้องมองคนทั้งสามคุยกันอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้แต่ชี้ตัวเองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

    “นายหมายถึง... ฉันเหรอ?”

    “ก็นอกจากเจ้าหนูแล้วจะมีใครเตี้ยแถวนี้อีกล่ะ นอกจากเจ้า?”

    เป็นความจริงที่จิณณ์แม้ว่าจะพยายามยืดตัวสุด ๆ แล้วยังสูงได้แค่หางคิ้วของคนแปลกหน้าทั้งสอง ความจริงข้อนี้ทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถโต้แย้งสรรพนามนั้นได้ แม้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งจะถูกเรียกเช่นนี้เป็นครั้งแรก

    ก็แค่ “เตี้ยกว่า” แต่ไม่ใช่ “เตี้ย” ซะหน่อย!

    ทว่าไม่ทันได้อ้าปากเถียง เจ้าหน้าหล่อคนเดิมก็ชิงถามตัดบท

    “ทำไมยังไม่ไปไหนอีก? ยืนรออะไรล่ะ?”

    “ไม่ได้รออะไร แต่กำลังคิดว่าจะหาทางกลับบ้านยังไงดี” จิณณ์กล้ำกลืนความหงุดหงิดแล้วถามต่อ “แถวนี้มีรถอะไรผ่านบ้างล่ะ? จะเข้ากรุงเทพฯ ได้ยังไงเหรอ?”

    ได้ยินคำถามนั้น เจ้าหัวน้ำตาลถึงกับหันไปมองหน้าสหายผมดำด้วยสายตางุนงง ก่อนหันไปถามเด็กสาว

    “นี่เจ้ารู้จักมันเหรอ?”

    “ไม่รู้จักหรอก... ก็เจอเขาพร้อม ๆ กับคนอื่นในกรงนั่นแหละ” เธอตอบพลางส่ายหน้ายิก

    “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าบ้านอยู่ไหนนะ?” นัยน์ตาสีอำพันหันกลับมาหาจิณณ์อีกรอบ

    “อยู่กรุงเทพฯ”

    “กรุงเทพฯ? ไม่เห็นเคยได้ยิน ชื่อหมู่บ้านเรอะ”

    คิ้วของจิณณ์เลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามนั้น...

    ไม่รู้จักกรุงเทพฯ?!!

    “ก็กรุงเทพฯไง! อ่อ หรือนายอาจจะเคยได้ยินในชื่อ Bangkok”

    “แบง...อะไรนะ?” คิ้วสีน้ำตาลขมวดมุ่น “ช่างเถอะ บ้านเจ้าคงจะอยู่อาณาจักรอื่นล่ะสิ มาจากอาณาจักรไหนล่ะ?”

    “อาณาจักร? หมายความว่าไง? ก็อาณาจักรไทย สยามประเทศ ประเทศไทย ไทยแลนด์” จิณณ์ตอบรัวยาวไม่เว้นวรรคหายใจ

    “อาณาจักรอะไรชื่อยาวจริง”

    ได้ยินเช่นนั้น ปากของเด็กไทยตาดำ ๆ ถึงกับอ้าค้างโดยไม่รู้ตัว

    “ถามจริง! ประเทศไทยก็ไม่รู้จักเหรอ?!”

    บ้าน่า!

    ใช้ภาษาไทยอยู่แท้ ๆ แต่ไม่รู้จักประเทศไทยได้ไง?!

    แต่นี่... ก็แปลว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยจริง ๆ สินะ

    “งั้นพวกนายช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าที่นี่มันที่ไหน?”

    ในเมื่อไม่รู้จักกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย แต่อย่างน้อยก็ต้องบอกได้ใช่มั้ยล่ะว่าที่นี่มันคือที่ไหน!

    สีหน้าที่เปลี่ยนไปอยู่ในโหมดจริงจังของเด็กหนุ่ม ทำให้ชายทั้งสองถึงกับหยุดชะงักให้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

    “ที่นี่ก็... เป็นชายป่าเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของเมืองทิศอาคเนย์” คราวนี้เจ้าของนัยน์ตาสีเทาคมเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น

    “ไม่ใช่ ๆ ฉันอยากรู้ว่าที่นี่ประเทศอะไร!”

    “คำศัพท์ประหลาด ข้าเห็นพูดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ประเทศคืออะไรกันล่ะ?” คราวนี้เด็กสาวในมาดหนุ่มน้อยเป็นผู้ถามกลับ

    เป็นคำถามที่ทำให้จิณณ์ถึงกับอึ้งไปวินาทีหนึ่ง...

    “ประเทศคืออะไรน่ะเหรอ...ประเทศก็คือ...เอ่อ... สิ่งที่ใหญ่กว่าเมือง ที่ใช้เรียกเมืองที่มารวม ๆ กันน่ะ”

    “อ้อ เจ้าคงหมายถึงอาณาจักร...”

    คิ้วสีดำของเด็กนักศึกษาปีหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์ขมวดมุ่น อะไรบางอย่างกำลังสะกิดในหัวใจของเขา ทำให้มันเริ่มต้นเต้นเร็วและถี่ขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

    ความเงียบสงบปกคลุมทั่วบริเวณ

    ไม่มีแม้กระทั่งสายลมพัดผ่าน

    ประโยคคำตอบของเด็กสาวถูกกล่าวออกมาในวินาทีถัดไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด

    ทว่าเมื่อได้ฟังแล้ว ราวกับเป็นเสียงที่กรีดร้องใส่ทุกประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มให้ด้านชา และทิ่มแทงเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจราวเข็มนับร้อย


    “ที่นี่คือ อาณาจักรจินตภพ”

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×