คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒ ที่นี่คือ (1) Rewrite!!
บทที่ ๒ (Rewrite!!)
สิ่งแรกที่จิณณ์รับรู้...
คือความปวดตึง ๆ ที่ศีรษะด้านหลัง
เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักศึกษาค่อย ๆ
เปิดเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้น แสงแดดจ้าที่สาดส่องผ่านเข้ามานั้นทำให้นัยน์ตาสีดำไม่อาจเปิดรับภาพได้ในทันที
มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มถูกยกขึ้นมาบดบังแสงโดยอัตโนมัติ
ที่นี่ที่ไหน?
คิ้วสีดำของเด็กหนุ่มนักศึกษาขมวดมุ่น
นัยน์ตาสีดำกวาดมองไปรอบกายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงง ๆ
เขาพบตัวเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางคนนับสิบ
นั่งเบียดเสียดกันอยู่ในกรงเหล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกบรรทุกไว้ด้านหลังของรถเกวียนเทียมม้า
ซึ่งขณะนี้หยุดจอดอยู่นิ่ง ๆ ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ริมข้างทางที่ไหนสักแห่ง
เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ? เป็นอะไรมากมั้ย?”
ได้ยินเสียงหวานดังถาม จิณณ์จึงค่อย ๆ
หันไปหาเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ทว่าทันทีได้มองเห็นคนข้างกายชัด ๆ
คำถามที่เขาตั้งใจจะเอ่ยทั้งหมด กลับถูกกลืนลงคอไปจนหมดสิ้น
แม้ว่าเธอผู้นั้นจะสวมหมวกทรงขอทานใบโตใหญ่เทอะทะจะบดบังเส้นผมจนมิด
และเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นจะหลวมโคร่งไม่พอดีตัว แต่ว่า...
ปกปิดความน่ารักไม่มิด!
นี่ถ้าจะต้องบรรยายเหมือนบทพรรณนาในนิยายทั่วไป
คงต้องบอกว่าใบหน้าเรียวรูปไข่ค่อนข้างเล็ก
ดวงตากลมโตสีม่วงราวผลึกอเมทิสต์สวยใสถูกล้อมด้วยขนตายาวหนาดูเป็นแพ ทั้งจมูกโด่งและริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ...
โอเค... คมชาญพูดถูก ยังไงเขาก็ไม่ถนัดบทพรรณนาอยู่แล้ว ปล่อยผ่าน ๆ
ไปก็แล้วกันนะ!
ว่าแต่นัยน์ตาสีม่วง? ใบหน้าที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนไทย? แต่น้องพูดภาษาไทยภาคกลางชัดแจ๋วเลยนี่...
“หรือว่าจะเป็นลูกครึ่ง...”
จิณณ์เผลอคิดเสียงดัง
ทำให้คนตรงหน้าเอียงใบหน้าน่ารักนั้นมองเขาอย่างงุนงง
หมายถึง ครึ่งคนครึ่งนางฟ้า!
เขาตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์มาเจอนางฟ้านางสวรรค์เหรอเนี่ย!
“ตกลง... เจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?” เธอผู้นั้นกล่าวถามต่อ
ในความดีใจเล็ก ๆ ที่เห็นนางฟ้าเป็นห่วง เขาอยากจะตอบกลับไปว่าใช่เพื่อรักษามาด
หากแต่ความปวดตุบ ๆ ที่กะโหลกศีรษะด้านหลังนั้นทำเอาพูดไม่ออก เด็กหนุ่มค่อย ๆ
เอื้อมมือไปสัมผัสแผล รู้สึกว่ามันบวมเป่งขึ้นอย่างชัดเจน
เจ็บขนาดนี้ ไม่น่าจะตายแล้วมั้ย วิญญาณคงรู้สึกเจ็บไม่ได้หรอก
ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้?
สมองของจิณณ์รีบวิ่งหาคำตอบให้กับตัวเองอย่างสุดกำลัง
เขาอยู่ในชุดนักศึกษา... วันนี้เขามีชั่วโมงเรียนตอนบ่าย...
แล้วจากนั้นยังไงต่อ?
นัยน์ตาสีดำเหลือบเห็นสมุดปกแข็งสีเทาเล่มกะทัดรัดในอุ้งมือของเขาข้างหนึ่ง
ซึ่งจนถึงบัดนี้ยังคงถูกบีบไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว...
สมุดนิยาย
ใช่สิ... เขาเอาสมุดนิยายติดตัวมาเรียนด้วย เพราะจะเอาให้คมชาญอ่าน
พวกเขานั่งอยู่ในห้องอาหารกลางของมหาวิทยาลัย ก่อนที่สมชายจะมา... และ...
ใช่แล้ว... เขาสะดุดล้มท่าไหนไม่รู้... และคงจะหมดสติไป!
แต่แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
ความเคยชินทำให้จิณณ์ล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง
ทว่ากลับพบเพียงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่ง...
มือถือก็ไม่อยู่ กระเป๋าตังค์ก็ไม่มี
เขาได้แต่กำสมุดนิยายปกเทาที่อยู่ในมือแน่น
ไม่ว่าจะมาที่นี่ด้วยวิธีไหน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าจะกลับไปด้วยวิธีใด!
“ขอโทษนะ นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกันเหรอ?”
จิณณ์เอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่ดูจะอายุน้อยกว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพ
พลางสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ เด็กหนุ่มแน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ
เพราะรถเทียมม้าคันนี้จอดอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งหนึ่งริมถนนดินที่ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งบนถนนยังมีรอยล้อเกวียนลากเป็นสายหลายเส้นทำให้ดูเป็นเส้นทางสันจรในชนบทมากกว่าจะเป็นเส้นทางในเมือง
นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนอยู่บนเนินเขาไกล ๆ
ไร้ซึ่งวี่แววของตึกสูงระฟ้าอย่างที่คุ้นเคย
“ป่าทางเหนือของเมืองทิศอาคเนย์น่ะ... นั่นไง มองเห็นเมืองอยู่นั่นแล้ว”
เด็กสาวตอบ พลางชะเง้อคอยืดยาวมองออกไปด้านนอกกรงเหล็ก
คิ้วของจิณณ์ขมวดยุ่งเมื่อได้ยินชื่อ ‘เมืองทิศอาคเนย์’
ถึงเขาจะชอบหลับชอบโดดวิชาภูมิศาสตร์มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม
แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินประเทศไหนในโลกตั้งชื่อเมืองด้วยชื่อทิศดื้อ ๆ
แบบนี้มาก่อนเลย
ทุกคนใช้ภาษาไทย แต่เขายังอยู่ในประเทศไทยแน่หรือเปล่า
ทำไมความรู้สึกถึงบอกเขาว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นนะ!
“ตอนนี้พวกพ่อค้าทาสหยุดให้ม้าได้พักหลังจากที่เร่งเดินทางมาทั้งคืน
คงจะพักครั้งสุดท้ายเพราะใกล้ถึงแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกลัวนะ หากพวกเราทั้งหมดร่วมมือกันต้องหาหนทางหนีได้แน่”
ประโยคของเด็กสาวนั้นทำเอาความคิดของจิณณ์หยุดชะงัก
เดี๋ยวนะ...
“เมื่อกี้เธอบอกว่า... พ่อค้าทาสเหรอ?”
“ใช่แล้ว นี่เจ้าคงโดนจับมาขายโดยที่ไม่รู้ตัวล่ะสิ?”
จิณณ์กำลังอ้าปากค้าง
อย่าบอกนะว่า...
เขากำลังจะถูกพาไปขายเป็นทาส!
“บ้าแล้ว! นี่มันยุคไหนกันเนี่ย ค้าทาส? เขาเลิกทาสกันไปตั้งนานแล้วนะ!” จิณณ์เผลอพูดเสียงดังออกมา
ทำเอาเด็กสาวข้างกายขยับถอยห่างออกมาอย่างชักไม่ค่อยไว้ใจ
“เจ้าหนู อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ท่าทางจะไม่ค่อยปกตินะ”
เสียงใครอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของกรงเหล็ก
จิณณ์หันกลับไปมองตามเสียงนั้น
พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังกอดเด็กชายมอมแมมเอาไว้แน่น
คุณป้าและเด็กน้อยเองก็ดูไม่เหมือนคนไทยเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นก็คือ...
เจ้าหนู?
ป้าเรียกใครว่าเจ้าหนูกัน?
“ศรีษะคงได้รับความกระทบกระเทือนน่ะท่านป้า”
เด็กสาวข้างกายของเขาตอบกลับไป
เดี๋ยวก่อนสิ
‘เจ้าหนู’ อะไรกันล่ะ! ทำไมแค่นี้ดูป้าดูไม่ออกเหรอครับ
น้องเขาเป็นผู้หญิงชัด ๆ เลยนะ!
จิณณ์มองดูเด็กสาวข้างกายพูดจากับคุณป้าผู้นั้นต่อ โดยที่เธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะแก้ไขความเข้าใจผิดของคุณป้า
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหุบปากที่กำลังจะอ้าเถียงแทนนั้นลง
เอาเถอะ ก็แล้วแต่น้องเขาแล้วกัน...
อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนแปลกหน้าอย่างเขาสมควรจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว
สิ่งที่ค้างคาใจมากกว่าในตอนนี้
ก็คือการที่เขากำลังจะถูกพาไปขายต่างหาก!
“แล้วนี่พวกเราจะถูกพาไปขายที่ไหนเหรอ?” จิณณ์หันไปถามเด็กสาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
สงสัยว่าตัวเองอาจจะกำลังถูกส่งไปเป็นแรงงานเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้านหรือเปล่า
“จะขายทาสก็ต้องไป ตลาดมืด สิ เจ้าโง่!”
คำตอบนั้นดังแทรกขึ้นมาจากชายผู้หนึ่งที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้
เขามีผมสีทรายทรงสั้นที่ดูหยิกหย็องและฟูไร้น้ำหนัก
นัยน์ตาสีเดียวกันนั้นดูเจ้าเล่ห์ มันยื่นหน้าที่มีจมูกคด ๆ
เข้ามาใกล้เด็กหนุ่มแล้วแสยะยิ้ม
พ่อค้าทาส!
“นี่ ไอ้หัวหมูหยอง ปล่อยฉันกับคนพวกนี้เดี๋ยวนี้นะ!” เด็กสาวในมาดเด็กหนุ่มคนเดิมผุดลุกขึ้นยืนตะคอกใส่พ่อค้าทาสผ่านลูกกรงสนิมเขรอะ
ท่ามกลางความตกใจของจิณณ์
“แกมันก็ปากดีได้แต่ตอนอยู่ในกรงนั่นแหละ ไอ้ห้าเหรียญ!
แกคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ ทำไมข้าต้องปล่อยแกด้วย?!” พ่อค้าตะคอกกลับ
“ไอ้ห้าเหรียญ?” คิ้วได้รูปสีน้ำตาลสวยคู่นั้นขมวดมุ่น
“ห้าเหรียญคืออะไร?”
ได้ยินคำถามนั้น ทำให้พ่อค้าทาสหัวเราะเสียงดัง
“หัวเราะอะไรอยู่ได้!”
“ก็หัดดูป้ายราคาตัวเองซะมั่ง!”
เจ้าหัวหมูหยองยื่นมือเข้ามาในกรงพลางชี้ไปยังป้ายบางอย่างที่ติดอยู่กับอกเสื้อของเด็กสาว
จิณณ์มองตาม และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นป้ายลังกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งติดอยู่บนเสื้อของเธอ
จะว่าไปแล้ว บนเสื้อของเขาและทุกคนในนั้นต่างก็มีป้ายแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น
เพียงแต่ในป้ายมีตัวเลขต่าง ๆ กันไป ตั้งแต่ 500 จนถึง 1,000
“ป้ายนี่มันอะไร?” เด็กสาวกระชากเสียงถาม
“ยังไม่รู้อีกเรอะ มันก็คือ ‘ราคา’ ไงเจ้าหนู ราคา!”
ถูกพามาขายเป็นทาสแบบนี้จะเป็นราคาอะไรได้อีกนอกเสียจากราคาค่าตัว!
“5 เหรียญ?!!!! ค่าตัวข้าแค่ 5
เหรียญเนี่ยนะ?! นี่มันจะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว!!”
“อย่างแกน่ะ 5 เหรียญทองก็ถือว่าแพงมากแล้วโว้ย!!
ไอ้เหยาะแหยะอย่างนี้ใครจะอยากซื้อ?!” พ่อค้าทาสตวาดกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน
“เจ้าว่าใครเหยาะแหยะ?!”
“ก็ไอ้คนที่คิดจะมาช่วยคนอื่น แต่ดั๊นเอาตัวเองไม่รอด
ก็เลยโดนจับมาด้วยยังไงล่ะ!”
เด็กสาวข้างกายอ้าปากเหมือนอยากจะตอกกลับ ทว่ากลับเถียงไม่ออก...
เพราะมันดันเอาความจริงที่น่าเจ็บปวดขึ้นมาโจมตี!
ตอนนั้น เธอก็เพียงแค่อยากจะช่วยคนที่ถูกจับเหล่านี้ให้เป็นอิสระ จึงได้แอบขโมยกุญแจลูกกรงมาจากพ่อค้าทาสยามที่มันเมาแอ๋อยู่ในร้านอาหารกลางเมืองทิศบูรพาที่เธออาศัยอยู่
แต่โชคไม่ดีคู่หูของมันดันจับเธอได้เสียก่อน!
“ถ้าอย่างนั้น ให้พวกข้าช่วยแทนมั้ยล่ะ? พวกข้าไม่เหยาะแหยะหรอกนะ”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น หาได้มาจากพ่อค้าทาสผู้นั้นไม่
จิณณ์รีบชะเง้อมองไปตามต้นเสียงนั้น เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ทั้งหมด
นัยน์ตาคู่สีดำของเด็กหนุ่มชาวไทยเบิกกว้างเมื่อได้เห็นผู้มาใหม่สองคน
คนหนึ่งดวงหน้าสงบ ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลา
ผิวขาวตัดกับเส้นผมทรงสั้นสีดำแห่งราตรีที่ไร้ดาว นัยน์ตาคมสีเทาควันราวสายหมอกที่ดูดุและทรงอำนาจ
ร่างสูงนั้นสวมชุดสีดำสนิทซึ่งคลุมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมยาวผ้าสักหลาดสีเดียวกัน
ทำให้รูปร่างสูงโปร่งนั้นดูคล้ายกับพวกจอมเวทย์ในการ์ตูน
ส่วนคนที่สองผู้เป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้
มีเรือนผมสีน้ำตาลสว่างซึ่งถูกซอยเป็นทรงยาวประบ่าที่ดูค่อนข้างยุ่ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคล้ายผลึกอำพันยามต้องแสง
เขาสวมโค้ทหนังสีกาแฟทรงสั้นกับกางเกงเข้ารูปผ้าหนาสีดำสนิท
มีรองเท้าบู้ทหนังกลับสีน้ำตาลอ่อนทับสูงขึ้นมาครึ่งแข้ง
ดูคล้ายไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
เจ้าสองคนนี่มันติดสินบนพระเจ้าก่อนมาเกิดหรือไงวะ!
“แล้วนี่พวกเจ้าเป็นใคร? จะมาหาซื้อทาสรึ?” พ่อค้าทาสหัวฟูหันไปถามผู้มาใหม่ทั้งสอง
“สนใจเจ้าห้าเหรียญใช่มั้ยล่ะ? ข้าแถมมันให้ฟรี ๆ
เลยก็ได้นะถ้าเจ้าซื้อทาสคนอื่นไปด้วย”
“พวกข้าไม่ได้มาซื้อ แต่มาช่วยให้เจ้าไม่ต้องไปตลาดมืด”
ผู้ตอบคำถามเป็นชายผู้มีนัยน์ตาสีเทาและมีเรือนผมสีดำ
น้ำเสียงเรียบที่ใช้กล่าวนั้นทรงอำนาจไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนัยน์ตาสีเทาหมอกที่ดูเย็นจัดของชายหนุ่ม
“หมายความว่าไง ทำไมข้าไม่ต้องไปตลาดมืด?”
“ก็เพราะเจ้าจะไม่มีอะไรให้ไปขายที่นั่นแล้ว”
ความคิดเห็น