ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒ ที่นี่คือ (1) Rewrite!!

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 65



             บทที่ ๒  (Rewrite!!)


    สิ่งแรกที่จิณณ์รับรู้...

    คือความปวดตึง ๆ ที่ศีรษะด้านหลัง

    เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักศึกษาค่อย ๆ เปิดเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้น แสงแดดจ้าที่สาดส่องผ่านเข้ามานั้นทำให้นัยน์ตาสีดำไม่อาจเปิดรับภาพได้ในทันที มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มถูกยกขึ้นมาบดบังแสงโดยอัตโนมัติ

    ที่นี่ที่ไหน?

    คิ้วสีดำของเด็กหนุ่มนักศึกษาขมวดมุ่น นัยน์ตาสีดำกวาดมองไปรอบกายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงง ๆ

    เขาพบตัวเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางคนนับสิบ นั่งเบียดเสียดกันอยู่ในกรงเหล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกบรรทุกไว้ด้านหลังของรถเกวียนเทียมม้า ซึ่งขณะนี้หยุดจอดอยู่นิ่ง ๆ ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ริมข้างทางที่ไหนสักแห่ง

    เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

    “รู้สึกตัวแล้วเหรอ? เป็นอะไรมากมั้ย?”

    ได้ยินเสียงหวานดังถาม จิณณ์จึงค่อย ๆ หันไปหาเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ทว่าทันทีได้มองเห็นคนข้างกายชัด ๆ คำถามที่เขาตั้งใจจะเอ่ยทั้งหมด กลับถูกกลืนลงคอไปจนหมดสิ้น

    แม้ว่าเธอผู้นั้นจะสวมหมวกทรงขอทานใบโตใหญ่เทอะทะจะบดบังเส้นผมจนมิด และเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นจะหลวมโคร่งไม่พอดีตัว แต่ว่า...

    ปกปิดความน่ารักไม่มิด!

    นี่ถ้าจะต้องบรรยายเหมือนบทพรรณนาในนิยายทั่วไป คงต้องบอกว่าใบหน้าเรียวรูปไข่ค่อนข้างเล็ก ดวงตากลมโตสีม่วงราวผลึกอเมทิสต์สวยใสถูกล้อมด้วยขนตายาวหนาดูเป็นแพ ทั้งจมูกโด่งและริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ...

    โอเค... คมชาญพูดถูก ยังไงเขาก็ไม่ถนัดบทพรรณนาอยู่แล้ว ปล่อยผ่าน ๆ ไปก็แล้วกันนะ!

    ว่าแต่นัยน์ตาสีม่วง? ใบหน้าที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนไทย? แต่น้องพูดภาษาไทยภาคกลางชัดแจ๋วเลยนี่...

    “หรือว่าจะเป็นลูกครึ่ง...”

    จิณณ์เผลอคิดเสียงดัง ทำให้คนตรงหน้าเอียงใบหน้าน่ารักนั้นมองเขาอย่างงุนงง

    หมายถึง ครึ่งคนครึ่งนางฟ้า!

    เขาตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์มาเจอนางฟ้านางสวรรค์เหรอเนี่ย!

    “ตกลง... เจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?” เธอผู้นั้นกล่าวถามต่อ

    ในความดีใจเล็ก ๆ ที่เห็นนางฟ้าเป็นห่วง เขาอยากจะตอบกลับไปว่าใช่เพื่อรักษามาด หากแต่ความปวดตุบ ๆ ที่กะโหลกศีรษะด้านหลังนั้นทำเอาพูดไม่ออก เด็กหนุ่มค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสแผล รู้สึกว่ามันบวมเป่งขึ้นอย่างชัดเจน

    เจ็บขนาดนี้ ไม่น่าจะตายแล้วมั้ย วิญญาณคงรู้สึกเจ็บไม่ได้หรอก

    ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้?

    สมองของจิณณ์รีบวิ่งหาคำตอบให้กับตัวเองอย่างสุดกำลัง

    เขาอยู่ในชุดนักศึกษา... วันนี้เขามีชั่วโมงเรียนตอนบ่าย...

    แล้วจากนั้นยังไงต่อ?

    นัยน์ตาสีดำเหลือบเห็นสมุดปกแข็งสีเทาเล่มกะทัดรัดในอุ้งมือของเขาข้างหนึ่ง ซึ่งจนถึงบัดนี้ยังคงถูกบีบไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว...

    สมุดนิยาย

    ใช่สิ... เขาเอาสมุดนิยายติดตัวมาเรียนด้วย เพราะจะเอาให้คมชาญอ่าน พวกเขานั่งอยู่ในห้องอาหารกลางของมหาวิทยาลัย ก่อนที่สมชายจะมา... และ...

    ใช่แล้ว... เขาสะดุดล้มท่าไหนไม่รู้... และคงจะหมดสติไป!

    แต่แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?

    ความเคยชินทำให้จิณณ์ล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ทว่ากลับพบเพียงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่ง...

    มือถือก็ไม่อยู่ กระเป๋าตังค์ก็ไม่มี

    เขาได้แต่กำสมุดนิยายปกเทาที่อยู่ในมือแน่น

    ไม่ว่าจะมาที่นี่ด้วยวิธีไหน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าจะกลับไปด้วยวิธีใด!

    “ขอโทษนะ นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกันเหรอ?”

    จิณณ์เอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่ดูจะอายุน้อยกว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลางสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ เด็กหนุ่มแน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เพราะรถเทียมม้าคันนี้จอดอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งหนึ่งริมถนนดินที่ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งบนถนนยังมีรอยล้อเกวียนลากเป็นสายหลายเส้นทำให้ดูเป็นเส้นทางสันจรในชนบทมากกว่าจะเป็นเส้นทางในเมือง นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนอยู่บนเนินเขาไกล ๆ ไร้ซึ่งวี่แววของตึกสูงระฟ้าอย่างที่คุ้นเคย

    “ป่าทางเหนือของเมืองทิศอาคเนย์น่ะ... นั่นไง มองเห็นเมืองอยู่นั่นแล้ว” เด็กสาวตอบ พลางชะเง้อคอยืดยาวมองออกไปด้านนอกกรงเหล็ก

    คิ้วของจิณณ์ขมวดยุ่งเมื่อได้ยินชื่อ ‘เมืองทิศอาคเนย์

    ถึงเขาจะชอบหลับชอบโดดวิชาภูมิศาสตร์มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินประเทศไหนในโลกตั้งชื่อเมืองด้วยชื่อทิศดื้อ ๆ แบบนี้มาก่อนเลย

    ทุกคนใช้ภาษาไทย แต่เขายังอยู่ในประเทศไทยแน่หรือเปล่า ทำไมความรู้สึกถึงบอกเขาว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นนะ!

    “ตอนนี้พวกพ่อค้าทาสหยุดให้ม้าได้พักหลังจากที่เร่งเดินทางมาทั้งคืน คงจะพักครั้งสุดท้ายเพราะใกล้ถึงแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกลัวนะ หากพวกเราทั้งหมดร่วมมือกันต้องหาหนทางหนีได้แน่”

    ประโยคของเด็กสาวนั้นทำเอาความคิดของจิณณ์หยุดชะงัก

    เดี๋ยวนะ...

    “เมื่อกี้เธอบอกว่า... พ่อค้าทาสเหรอ?”

    “ใช่แล้ว นี่เจ้าคงโดนจับมาขายโดยที่ไม่รู้ตัวล่ะสิ?”

    จิณณ์กำลังอ้าปากค้าง

    อย่าบอกนะว่า...

    เขากำลังจะถูกพาไปขายเป็นทาส!

    “บ้าแล้ว! นี่มันยุคไหนกันเนี่ย ค้าทาส? เขาเลิกทาสกันไปตั้งนานแล้วนะ!” จิณณ์เผลอพูดเสียงดังออกมา ทำเอาเด็กสาวข้างกายขยับถอยห่างออกมาอย่างชักไม่ค่อยไว้ใจ

    “เจ้าหนู อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ท่าทางจะไม่ค่อยปกตินะ”

    เสียงใครอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของกรงเหล็ก จิณณ์หันกลับไปมองตามเสียงนั้น พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังกอดเด็กชายมอมแมมเอาไว้แน่น คุณป้าและเด็กน้อยเองก็ดูไม่เหมือนคนไทยเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ...

    เจ้าหนู?

    ป้าเรียกใครว่าเจ้าหนูกัน?

    “ศรีษะคงได้รับความกระทบกระเทือนน่ะท่านป้า”

    เด็กสาวข้างกายของเขาตอบกลับไป

    เดี๋ยวก่อนสิ

    ‘เจ้าหนู’ อะไรกันล่ะ! ทำไมแค่นี้ดูป้าดูไม่ออกเหรอครับ น้องเขาเป็นผู้หญิงชัด ๆ เลยนะ!

    จิณณ์มองดูเด็กสาวข้างกายพูดจากับคุณป้าผู้นั้นต่อ โดยที่เธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะแก้ไขความเข้าใจผิดของคุณป้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหุบปากที่กำลังจะอ้าเถียงแทนนั้นลง

    เอาเถอะ ก็แล้วแต่น้องเขาแล้วกัน... อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนแปลกหน้าอย่างเขาสมควรจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว

    สิ่งที่ค้างคาใจมากกว่าในตอนนี้

    ก็คือการที่เขากำลังจะถูกพาไปขายต่างหาก!

    “แล้วนี่พวกเราจะถูกพาไปขายที่ไหนเหรอ?” จิณณ์หันไปถามเด็กสาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน สงสัยว่าตัวเองอาจจะกำลังถูกส่งไปเป็นแรงงานเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้านหรือเปล่า

    “จะขายทาสก็ต้องไป ตลาดมืด สิ เจ้าโง่!”

    คำตอบนั้นดังแทรกขึ้นมาจากชายผู้หนึ่งที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขามีผมสีทรายทรงสั้นที่ดูหยิกหย็องและฟูไร้น้ำหนัก นัยน์ตาสีเดียวกันนั้นดูเจ้าเล่ห์ มันยื่นหน้าที่มีจมูกคด ๆ เข้ามาใกล้เด็กหนุ่มแล้วแสยะยิ้ม

    พ่อค้าทาส!

    “นี่ ไอ้หัวหมูหยอง ปล่อยฉันกับคนพวกนี้เดี๋ยวนี้นะ!” เด็กสาวในมาดเด็กหนุ่มคนเดิมผุดลุกขึ้นยืนตะคอกใส่พ่อค้าทาสผ่านลูกกรงสนิมเขรอะ ท่ามกลางความตกใจของจิณณ์

    “แกมันก็ปากดีได้แต่ตอนอยู่ในกรงนั่นแหละ ไอ้ห้าเหรียญ! แกคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ ทำไมข้าต้องปล่อยแกด้วย?!” พ่อค้าตะคอกกลับ

    “ไอ้ห้าเหรียญ?” คิ้วได้รูปสีน้ำตาลสวยคู่นั้นขมวดมุ่น “ห้าเหรียญคืออะไร?”

    ได้ยินคำถามนั้น ทำให้พ่อค้าทาสหัวเราะเสียงดัง

    “หัวเราะอะไรอยู่ได้!”

    “ก็หัดดูป้ายราคาตัวเองซะมั่ง!” เจ้าหัวหมูหยองยื่นมือเข้ามาในกรงพลางชี้ไปยังป้ายบางอย่างที่ติดอยู่กับอกเสื้อของเด็กสาว

    จิณณ์มองตาม และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นป้ายลังกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งติดอยู่บนเสื้อของเธอ จะว่าไปแล้ว บนเสื้อของเขาและทุกคนในนั้นต่างก็มีป้ายแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ในป้ายมีตัวเลขต่าง ๆ กันไป ตั้งแต่ 500 จนถึง 1,000

    “ป้ายนี่มันอะไร?” เด็กสาวกระชากเสียงถาม

    “ยังไม่รู้อีกเรอะ มันก็คือ ‘ราคา’ ไงเจ้าหนู ราคา!”

    ถูกพามาขายเป็นทาสแบบนี้จะเป็นราคาอะไรได้อีกนอกเสียจากราคาค่าตัว!

    “5 เหรียญ?!!!! ค่าตัวข้าแค่ 5 เหรียญเนี่ยนะ?! นี่มันจะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว!!”

    “อย่างแกน่ะ 5 เหรียญทองก็ถือว่าแพงมากแล้วโว้ย!! ไอ้เหยาะแหยะอย่างนี้ใครจะอยากซื้อ?!” พ่อค้าทาสตวาดกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน

    “เจ้าว่าใครเหยาะแหยะ?!”

    “ก็ไอ้คนที่คิดจะมาช่วยคนอื่น แต่ดั๊นเอาตัวเองไม่รอด ก็เลยโดนจับมาด้วยยังไงล่ะ!”

    เด็กสาวข้างกายอ้าปากเหมือนอยากจะตอกกลับ ทว่ากลับเถียงไม่ออก...

    เพราะมันดันเอาความจริงที่น่าเจ็บปวดขึ้นมาโจมตี!

    ตอนนั้น เธอก็เพียงแค่อยากจะช่วยคนที่ถูกจับเหล่านี้ให้เป็นอิสระ จึงได้แอบขโมยกุญแจลูกกรงมาจากพ่อค้าทาสยามที่มันเมาแอ๋อยู่ในร้านอาหารกลางเมืองทิศบูรพาที่เธออาศัยอยู่ แต่โชคไม่ดีคู่หูของมันดันจับเธอได้เสียก่อน!

     

    “ถ้าอย่างนั้น ให้พวกข้าช่วยแทนมั้ยล่ะ? พวกข้าไม่เหยาะแหยะหรอกนะ”

     

    เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น หาได้มาจากพ่อค้าทาสผู้นั้นไม่ จิณณ์รีบชะเง้อมองไปตามต้นเสียงนั้น เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ทั้งหมด

    นัยน์ตาคู่สีดำของเด็กหนุ่มชาวไทยเบิกกว้างเมื่อได้เห็นผู้มาใหม่สองคน

    คนหนึ่งดวงหน้าสงบ ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลา ผิวขาวตัดกับเส้นผมทรงสั้นสีดำแห่งราตรีที่ไร้ดาว นัยน์ตาคมสีเทาควันราวสายหมอกที่ดูดุและทรงอำนาจ ร่างสูงนั้นสวมชุดสีดำสนิทซึ่งคลุมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมยาวผ้าสักหลาดสีเดียวกัน ทำให้รูปร่างสูงโปร่งนั้นดูคล้ายกับพวกจอมเวทย์ในการ์ตูน

    ส่วนคนที่สองผู้เป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้ มีเรือนผมสีน้ำตาลสว่างซึ่งถูกซอยเป็นทรงยาวประบ่าที่ดูค่อนข้างยุ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคล้ายผลึกอำพันยามต้องแสง เขาสวมโค้ทหนังสีกาแฟทรงสั้นกับกางเกงเข้ารูปผ้าหนาสีดำสนิท มีรองเท้าบู้ทหนังกลับสีน้ำตาลอ่อนทับสูงขึ้นมาครึ่งแข้ง

    ดูคล้ายไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

    เจ้าสองคนนี่มันติดสินบนพระเจ้าก่อนมาเกิดหรือไงวะ!

    “แล้วนี่พวกเจ้าเป็นใคร? จะมาหาซื้อทาสรึ?” พ่อค้าทาสหัวฟูหันไปถามผู้มาใหม่ทั้งสอง “สนใจเจ้าห้าเหรียญใช่มั้ยล่ะ? ข้าแถมมันให้ฟรี ๆ เลยก็ได้นะถ้าเจ้าซื้อทาสคนอื่นไปด้วย”

    “พวกข้าไม่ได้มาซื้อ แต่มาช่วยให้เจ้าไม่ต้องไปตลาดมืด”

    ผู้ตอบคำถามเป็นชายผู้มีนัยน์ตาสีเทาและมีเรือนผมสีดำ น้ำเสียงเรียบที่ใช้กล่าวนั้นทรงอำนาจไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนัยน์ตาสีเทาหมอกที่ดูเย็นจัดของชายหนุ่ม

    “หมายความว่าไง ทำไมข้าไม่ต้องไปตลาดมืด?”

    ก็เพราะเจ้าจะไม่มีอะไรให้ไปขายที่นั่นแล้ว




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×