ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๕ พล็อตแรก : เหตุการณ์ขโมยของ (1)

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 65



    บทที่ ๕ 

     

    แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ลงมากระทบใบหน้าให้รู้สึกอบอุ่น...

    จิณณ์รู้สึกว่ามีนิ้วใครสักคนมาจิ้มที่แขน แต่เขากลับยิ่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้าอย่างไม่อยากจะลืมตาตื่น

    “แม่ครับ ขอผมนอนต่ออีกสิบนาทีนะ”

    หรือว่าวันนี้เขาจะมีเรียนเช้า แต่ไปสายนิดสายหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ให้คมชาญมันเช็คชื่อให้ก่อนก็ได้นี่นา...

    นิ้วที่จิ้มแขนนั้นแรงและถี่ขึ้น...

    “อีกแป๊บนะแม่”

    คนถูกหาว่าเป็นแม่ชะงักนิ้วชี้กลางอากาศ ขมวดคิ้วจ้องมองคนตรงหน้า

    นี่เขากลายไปเป็นแม่หมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

    เมื่อไม่เห็นทีท่าคุณลูกว่าจะยอมตื่นขึ้นมาง่าย ๆ ฮาร์คินจึงออกแรงอีกครั้ง คราวนี้กระชากเพียงครั้งเดียวผ้าห่มทั้งผืนก็ถูกดึงออกจากเด็กหนุ่มมาอยู่ในมือของเขา

    แต่คุณลูกก็ยังสามารถนอนหลับต่อในท่าเดิมได้โดยไม่มีขยับเขยื้อน เส้นเลือดที่ขมับของฮาร์คินเริ่มเต้นตุบ ๆ ด้วยความโมโห

    “นี่ เจ้าเตี้ย! ตื่นได้แล้วไม่งั้นพวกข้าจะทิ้งไว้ที่นี่แหละ!!”

    เสียงที่ตะคอกกรอกข้างหู รวมถึงหมอนที่รัวฟาดลงบนร่างอย่างไม่ยั้งทำให้จิณณ์ต้องลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการสะลึมสะลือ

    ใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่จิณณ์จะรับรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

    ในห้องนั้นมีเขาเพียงคนเดียวที่ยังอยู่บนฟูกที่นอน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นหายกันไปหมดแล้วพร้อมกับหมอนผ้าห่มของแต่ละคนที่เก็บพับแล้วอย่างเรียบร้อย

    “อรุณสวัสดิ์”

    เสียงทักดังมาจากฮาร์คินที่นั่งอยู่ไม่ห่าง แม้จะมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปากนั้น หากนัยน์ตาสีอำพันกลับกำลังทิ่มแทงเขาจนแทบจะทะลุเป็นรูพรุน แถมมือทั้งสองยังเงื้อหมอนไว้สูงเหนือศีรษะอย่างเตรียมพร้อม

    “ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ตื่นแล้วครับ กรุณาวางอาวุธในมือของท่านลง” จิณณ์ที่หายง่วงทันทีรีบยกมือขึ้นห้าม

    สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องเดินตามฮาร์คินออกจากห้องนอนมาล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ ด้วยความเร็วระดับที่เรียกว่านักกีฬาผลัดเสื้อโอลิมปิกยังต้องอายเลยทีเดียว

    เสื้อผ้าชุดใหม่นั้นเขาได้รับการอนุเคราะห์มาจากท่านเนฟฟิว มันเป็นเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายทออย่างหยาบสีขาวออกครีม สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวหนาสีน้ำเงินเข้มทรงคล้ายกับแฟชั่นของญี่ปุ่นในยุคโบราณ กางเกงผ้าสีเทาตัวยาวที่แม้จะสั้นเต่อไปสักนิดแต่ก็ยังดีกว่าชุดนักศึกษาของเขาที่สกปรกไปด้วยฝุ่นดิน จิณณ์ตัดสินใจโยนชุดเดิมของเขาทิ้งไป เหลือไว้แต่เสื้อหนาวสีดำมีฮู้ดของตัวเองที่เอามาสวมทับชุดใหม่ไว้อีกชั้นเพื่อกันหนาว

    “แล้วทีนี้จะไปไหนกันต่อล่ะ?” จิณณ์เอ่ยปากถามเมื่อพวกเขาทั้งหมดก้าวออกมาเผชิญอากาศหนาว ๆ ยามเช้าตรู่ที่หน้าวัดนิกายเซนแห่งนั้น หลังจากที่จัดการอาหารเช้าแสนเรียบง่ายสไตล์นักบวชเสร็จเรียบร้อย

    “ก็แล้วพวกเจ้าจ้างให้พวกข้าพาไปไหนล่ะ” ฮาร์คินย้อน

    “เทือกเขาอาราซินด้า” จิณณ์ตอบเสียงอ่อย

    “รู้อยู่แล้ว ยังจะมาถามอีก”

    จิณณ์แยกเขี้ยวใส่ฮาร์คินที่ไม่ได้มองอยู่ ก่อนนึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ

    แล้วทำไมเขาจะต้องคิดเบาะแสเรื่องพ่อมดโซเทปป์ให้ถ่อขึ้นไปตั้งรกรากอยู่บนที่สูงขนาดนั้นด้วย?! ถ้าชอบอยู่ที่สูงนัก รู้อย่างนี้ให้ปลูกบ้านสิบชั้นอยู่แทนเสียก็ดีหรอก ลำบากคนจะมาตามหา!

    เส้นทางที่ทั้งสี่เดินทางผ่านนั้นเป็นถนนสายหลักที่ใหญ่และยาวที่สุดของเมือง สองข้างถนนสายหลักนั้นเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมายซึ่งเป็นช่องทางระหว่างเขตกำแพงรั้วระแนงไม้ของอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ  ซึ่งโดยมากจะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์ตะวันออกที่ถูกสร้างติด ๆ กันจนหลังคาเกือบจะเกยกันได้ ที่ริมรั้วบ้านนั้นมีสินค้าต่าง ๆ ที่ชาวบ้านนำออกมาตั้งโต๊ะขายเป็นระยะ มีทั้งผลไม้ เสื้อผ้าเครื่องประดับและข้าวของเครื่องใช้ที่หลากหลาย

    จิณณ์สนใจชื่นชมบรรยากาศร้านค้าและอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนในที่สุดก็เลิกสนใจและหยิบสมุดนิยายขึ้นมาเปิดพลิกไปที่ด้านหลังเพื่อค้นหาว่าพวกเขาจะได้พบพ่อมดโซเทปป์กันเมื่อไหร่ ทว่าไม่ทันจะได้คำตอบในเรื่องนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปอ่านเจออะไรบางอย่างเสียก่อน...

    ‘เหตุการณ์ : วิ่งหนี – เข้าใจผิดว่าขโมยของ’

    พล็อตที่เขียนไว้ส่วนใหญ่จะเป็นวลีหรือประโยคสั้น ๆ ที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากเช่นนี้ เพราะเขาเป็นพวกชอบมาคิดรายละเอียดเอาทีหลังระหว่างแต่งจริง

    จิณณ์อ่านทวนประโยคนั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในเมืองนี้ไม่ผิดแน่

    เขาคิดไว้ว่าระหว่างการเดินทางก็ควรจะต้องมีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นบางอย่างเกิดขึ้นให้เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ทำให้ตัวละครต้องวิ่งหนีอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างการขโมยของ แต่จะขโมยอะไรวิ่งหนีกันอย่างไร รายละเอียดพวกนั้น...

    แน่นอนว่ายังไม่ได้คิดไว้! หรือถ้าเคยคิดไว้ มันก็ผ่านมาตั้ง 2 ปีกว่าแล้ว เขาจำไม่ได้จ้า!!

    ความคิดของเขาชะงักลง เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรกลิ้งมาโดนเท้า

    จิณณ์หยุดก้มลงมอง... พบผลส้มที่มีสีสดมาก ๆ  ลูกหนึ่งหล่นอยู่ที่นั่น

    ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ก้มลงเก็บ เซเล็นก็คว้าส้มลูกนั้นไว้ได้ก่อน แล้วหันมาฉีกยิ้มกว้างเยาะเย้ย แสดงความภาคภูมิใจในความมือไวของตัวเอง

    “เฮ้ย!!! นั่น โจรขโมยส้ม!!!”

    เสียงแม่ค้าตะโกนดังลั่นมาจากแผงขายผลไม้ข้าง ๆ ทำเอาทั้งจิณณ์และเซเล็นสะดุ้งโหยง แม่ค้ารีบวิ่งตรงออกมาจากแผงผลไม้ของตนทันที

    “เจ้ารีบจ่ายค่าส้มมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

    “เดี๋ยวนะครับ ป้าเข้าใจผิดแล้ว...” จิณณ์ที่กำลังพยายามจะแก้สถานการณ์ กลับต้องชะงักหยุดในทันที่ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...

    เหตุการณ์เข้าใจผิดเรื่องขโมยของ...

    หรือจะเป็นเรื่องนี้?!

    แต่มันน่าจะเป็นเการขโมยของมีค่า อย่างพวกเครื่องประดับหรืออะไรพวกนั้นมากกว่าแค่ส้มหนึ่งลูกนี่นา!

    เห็นจิณณ์นิ่งไป ทำให้แม่ค้ายิ่งดูจะของขึ้นมากกว่าเก่า

    “เข้าใจผิดเผิดอะไรกัน!! หลักฐานก็คามืออยู่นั่นน่ะ แล้วยังจะเข้าใจอะไรผิดอีก?!!”

    “มีเรื่องอะไรกันครับ?” ฮาร์คินและคุโรที่เคยเดินนำหน้าอยู่ เดินจ้ำกลับเข้ามาช่วยเมื่อเห็นนายจ้างทั้งสองกำลังเหมือนจะมีเรื่อง

    “ก็เจ้าหนูนี่น่ะสิ! ขโมยส้มของข้าไปหน้าตาเฉย เงินค่าของก็ไม่ยอมจ่าย!”

    “ข้าไม่ได้ขโมยนะ! ส้มนี่มันกลิ้งหล่นมาบนพื้น!”

    คุโรยกมือขึ้นห้ามเซเล็น ก่อนหยิบเหรียญทองมาส่งให้แม่ค้าเกินราคาค่าส้ม แม่ค้าเมื่อได้เงินก็ยิ้มหน้าบานและยอมเดินกลับไปที่แผงขายผลไม้ง่าย ๆ อย่างไม่คิดจะเอาเรื่องอีกต่อไป

    “แต่ข้าไม่ได้ขโมยมาจริง ๆ นะ!” เซเล็นหันไปกล่าวกับคุโรด้วยน้ำเสียงร้อนรน

    “ข้ารู้”

    เพียงนัยน์ตาสีเทาคมที่มองมานิ่ง ๆ กับประโยคเดียวสั้น ๆ ที่ถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ นั้น เซเล็นก็ถึงกับสงบนิ่ง คุโรถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนอธิบาย

    “แต่มีเรื่องไปก็เท่านั้น เรื่องเล็กน้อยอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย เดินทางต่อเถอะ”

    ในขณะที่พวกเขาเริ่มออกเดินต่อ จิณณ์ก็ลอบระบายลมหายใจยาว ๆ ด้วยความโล่งใจ...

    บางทีคุโรอาจจะช่วยทำให้เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดนั้นคลี่คลายไปได้ด้วยดีแล้วหรือเปล่า?

    เด็กหนุ่มเอาสมุดนิยายเหน็บเก็บไว้กับกางเกงด้านหลังและดึงเสื้อลงมาปิด แม้ว่าขณะเดินไปยังคงครุ่นคิดอย่างไม่อยากจะเชื่อ...

    เนื้อเรื่องที่วางเอาไว้แล้ว... จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือ?!

    พอเริ่มสาย ร้านรวงต่าง ๆ ก็เริ่มมาเปิดแผงกันจนคึกคักมากขึ้น ผู้คนบนถนนก็มีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับจนดูไม่เงียบเหงาเหมือนตอนเช้า อาจเป็นเพราะอากาศที่เริ่มอบอุ่นขึ้นด้วยแสงแดดทำให้ผู้คนเริ่มออกจากบ้าน จนถนนเส้นหลักของเมืองนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน พวกเขาทั้งสี่จึงต้องเดินเกาะกลุ่มกันมากขึ้น โดยเฉพาะนายจ้างทั้งสองที่อาจจะถูกกระแสธารของผู้คนพัดพาให้หายไปได้อย่างง่าย ๆ  คุโรจึงเดินขึ้นนำหน้า ให้เซเล็นและจิณณ์อยู่ตรงกลาง และส่งฮาร์คินไปเดินปิดท้ายข้างหลังเป็นการคุ้มกันอีกที

    ทันใดนั้น...

    “ขโมย! ขโมย! ช่วยด้วย!! โจรขโมยของ!”

    ทั้งสี่ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังไกล ๆ จึงหันหลังกลับไปมอง ทว่าทันทีที่หันหลังกลับไปนั้น ร่าง ๆ  หนึ่งก็วิ่งซุกตัวผ่านฮาร์คินเข้ามากระแทกเซเล็นอย่างรวดเร็ว ก่อนวิ่งหนีหายเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง

    “เดี๋ยวก่อนสิ!!” เซเล็นร้องลั่นด้วยความตกใจ “นี่มันอะไรเนี่ย?!!”

    ทุกคนมองเซเล็นที่มีใบหน้าซีดเผือดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

    ในมือของเด็กสาวนั้น เป็นสร้อยมุกขนาดใหญ่เส้นหนึ่งที่มาจากไหนก็ไม่รู้!!

    สมองทั้งสี่คิดได้อย่างรวดเร็ว

    ต้องเป็นคนที่วิ่งมาชนเมื่อครู่นี้แน่ ๆ !!

    โจร?!!

    “นั่นไง เจ้าโจรอยู่นั่นไง ถือของกลางอยู่ในมืออยู่เลยนั่น!!!”

    เสียงดังมาจากผู้ชายคนหนึ่งพร้อมกับชี้ตรงมายังเซเล็นด้วยสายตาอาฆาต

    นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างสุดชีวิต!

    “มะ...ไม่ใช่นะ!”

    “อ๋อ!! เจ้าเด็กขโมยคนนั้นไง! คนที่เมื่อเช้าขโมยส้มของแม่ค้าขายผลไม้ด้วย!!”

    เสียงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ช่วยเสริม ทำให้พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยของร้านขายเครื่องประดับประมาณสิบคนในชุดเครื่องแบบซาฟารีสีดำที่ดูขัดกับการแต่งกายของชาวบ้านทั่วไป รีบรุดฝ่าฝูงผู้คนตรงรี่เข้ามาหาเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

    “ข้าไม่ใช่ขโมยนะ! เมื่อกี้โจรตัวจริงมัน...!~

    เซเล็นตะโกนกลับไปได้ไม่ทันจบประโยค คุโรก็คว้าข้อมือเด็กสาวเดินฝ่าผู้คนนำลิ่ว ๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ฮาร์คินก็หันไปคว้าฮู้ดเสื้อหนาวสีดำของจิณณ์ ก่อนกระชากพาเขาไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็วด้วยเหมือนกัน!

    ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งอธิบายเหตุการณ์ ในเมื่อแน่ใจได้ว่าไม่มีใครยอมเชื่อ เพราะมีทั้งหลักฐานที่ถูกจับยัดใส่มือ แล้วยังจะเรื่องที่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยมาก่อนอีก!

    นี่แหละ...

    เหตุการณ์เข้าใจผิดว่าขโมยของ!

    “เร็ว! มันแยกออกเป็นสองทางแล้ว รีบแยกกันตามไปเร็วเข้า!!”

    กลุ่มคนชุดซาฟารีสีดำแยกออกเป็นสองทาง กลุ่มหนึ่งวิ่งตามคุโรกับเซเล็นไป ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งตามจิณณ์กับฮาร์คินไป

    “รีบจับพวกโจรทั้งหมดแล้วเอาสร้อยคืนมาให้ได้!!”

     

    *******************************************

     

    “พวกมันหนีไปทางไหนแล้ว?”

    “ก็เข้าซอยนี้มาไม่ใช่เรอะ!”

    “ไหนล่ะ ไม่เห็นจะมีใครเลยนี่หว่า!”

    เสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มคนที่วิ่งไล่สองหัวขโมยเข้ามาในซอย ๆ หนึ่ง ทว่ากลับพบแต่ซอยอับชื้นที่มีแต่กองขยะและไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว

    “หรือว่ามันจะลัดเข้าซอยข้าง ๆ ไปแล้ว?”

    “เร็ว! รีบตามไป!”

    เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนั้นเบาลงจนกระทั่งหายไป

    พรวด!!

    จิณณ์พุ่งศีรษะโผล่ขึ้นมาจากกองขยะเหม็นเน่ากองโตอย่างรวดเร็วเพื่อสูดอากาศหายใจ

    “จะรีบโผล่ขึ้นมาทำไม พวกมันอาจจะยังอยู่แถวนี้ก็ได้!”

    ฮาร์คินเปิดฝาถังขยะที่ซ่อนตัวอยู่ขึ้นมาต่อว่า ก่อนทำท่าจะกดศีรษะจิณณ์ให้จมหายลงไปในกองขยะอีกรอบ ทว่าจิณณ์ซึ่งไม่ทันหายใจได้เต็มปอดหันขวับมามองตาขวาง!

    “นายก็พูดได้น่ะสิ! เล่นเทขยะในถังออกมากองทับคนอื่นจนหายใจแทบไม่ออก ส่วนตัวเองหนีเข้าไปซ่อนในถังเปล่า ๆ สบายใจเฉิบแบบนี้น่ะ!!”

    “จะตะโกนทำไม! เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่กันกลับมาหรอก!” ฮาร์คินตวาดด้วยเสียงกระซิบ ทว่าจิณณ์ซึ่งไม่อยู่ในโหมดสนใจฟัง ยังคงบ่นเสียงดังต่ออย่างอารมณ์เสีย

    “นึกอยู่แล้วเชียวว่าแค่เรื่องส้มมันไม่น่าจะใช่ สุดท้ายกลายมาเป็นเครื่องประดับจริง ๆ ด้วย!!”

    “เจ้าพูดเรื่องอะไร?”

    “ก็จะเรื่องอะไรล่ะ?! ก็เรื่องเหตุการณ์วิ่งหนีที่วางพล็อตไว้...”

    จิณณ์ยังตอบฮาร์คินได้ไม่ทันครบประโยค เสียงที่ดังขึ้นก็ทำเอาทั้งสองชะงักค้าง

    “นั่นไง มันซ่อนตัวอยู่นั่น!!”

    ฮาร์คินรีบกระโดดออกจากถังขยะที่ซ่อน ไม่ลืมที่จะคว้าฮู้ดสีดำเพื่อกระชากจิณณ์ออกจากกองขยะให้ไปด้วยกัน นัยน์ตาสีอำพันมองเจ้าหนุ่มประหลาดข้างกายแล้วก็ได้แต่คิดในใจอย่างเหนื่อยหน่าย...

    รู้อย่างนี้ไม่พามาด้วยซะก็ดี!

    อีกด้านหนึ่ง...

    คุโรพาเซเล็นวิ่งหลบเข้าซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่มากนัก ทว่าแม้จะวิ่งหลบเข้ามาอย่างรวดเร็ว หากแต่หนึ่งในพวกคนที่วิ่งไล่ตามก็เหลือบเห็นเข้าจนได้

    “เฮ้ย! พวกมันหนีไปทางนั้นไง ตามไปเร็ว!”

    กลุ่มคนชุดเครื่องแบบซาฟารีสีดำวิ่งตามคุโรและเซเล็นเข้ามาในซอยนั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าคุโรไม่แม้แต่จะเหลือบกลับไปมอง ยังคงฉุดข้อมือของเด็กสาววิ่งตรงต่อไปข้างหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์

    ทันใดนั้นเอง เซเล็นก็รู้สึกถึงมือแข็งแรงที่เอื้อมเข้ามาโอบร่างของเธอไว้ ก่อนที่คุโรจะออกแรงกระโดด และเพียงเท่านั้น ร่างของทั้งคู่ก็ลอยขึ้นมาอยู่บนหลังคาบ้านของใครสักคนอย่างนุ่มนวล!

    ไม่มีเวลาให้เซเล็นได้ตกใจนานนัก เมื่อพวกคนชุดเครื่องแบบสีดำเริ่มต้นปีนรั้วกำแพงบ้านเพื่อไต่ขึ้นมาบนหลังคาด้วย เด็กสาวจึงออกวิ่งตามหลังคุโรไปบนหลังคามุงกระเบื้องอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ลักษณะของหลังคาบ้านเมืองนี้ค่อนข้างจะอยู่ติด ๆ กัน ทำให้ทั้งสองสามารถวิ่งผ่านจากหลังคาบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งได้โดยง่าย...

    แต่นั่นก็หมายความว่า...

    คนตามก็วิ่งตามมาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน!

    แต่แล้วในตอนนั้นเอง ที่เบื้องหน้าจู่ ๆ หลังคาบ้านที่เคยอยู่ชิดติดกันก็เกิดจะมามีช่องว่างอยู่ห่างกันหลายเมตรเสียอย่างนั้น!

    “เตรียมกระโดด” เสียงออกคำสั่งห้วน ๆ ดังขึ้นจากคนที่เคยวิ่งนำหน้า แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาวิ่งอยู่ข้าง ๆ แทน

    “หา? ว่าไงนะ?!” เด็กสาวร้อง ก่อนซอยเท้าหยุดชะงักอยู่ริมขอบหลังคาบ้านหลังนั้น จ้องมองไปยังหลังคาบ้านอีกหลังเบื้องหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกเมตร!

    “เจ้าจะบ้าหรือไง?! ห่างขนาดนั้นใครจะไปกระโดดได้!”

    แต่เสียงฝีเท้าด้านหลังที่ดังเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นทำให้คุโรตัดสินใจคว้าเอวเด็กสาวอีกครั้ง ทว่าไม่ทันที่จะได้กระโดดออกไป แผ่นกระเบื้องใต้เท้าก็เริ่มสั่นไหว

    พรวด!!!

    ร่างของทั้งคู่ร่วงหล่นลงไปตามกระเบื้องบริเวณขอบหลังคาบ้านที่พังทลายลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!

    “เฮ้ย!! มันหล่นลงไปในบ้านคนแล้ว รีบตามเข้าไป อย่าให้หนีได้เด็ดขาด!”

     

    **************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×