ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุภาพบุรุษแฝงรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : สุภาพบุรุษแฝงรัก > ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 11 ส.ค. 64


     

     

    ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของเรื่องความอร่อยและสะอาดบวกกับเจ้าของร้านแสนสวยแถมเซ็กซี่จนขนาดเก้งกวางบ่างชะนียังต้องเหลียว คืนนี้มีผู้คนคับคั่งเหมือนเคย

    ร้านแห่งนี้จัดขึ้นสำหรับผู้บริหารและเหล่าเซเลปดาราที่ต้องการความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะ ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการต้องมีบัตรแสดงตัวของทางร้านหรือถ้าใครที่เคยมาเป็นครั้งแรกแล้วยังไม่มีบัตรก็ต้องมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าใช้ เพื่อกันการทะเลาะวิวาทเวลาขาดสติและกฎระเบียบข้างต้นก็ทำให้ร้านแห่งนี้ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทให้ได้เห็น

    ห้องวีไอพีบนชั้นสองในห้องห้องหนึ่งมีสองหนุ่มกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มรออาหาร หนึ่งหนุ่มในนั้นคือ ธีรเดช รัตนโชติสกุล ทายาทเพียงคนเดียวของธีรพัทธ์และดาริกา รัตนโชติสกุล ตอนนี้ชายหนุ่มขึ้นเป็นผู้บริหารโรงแรม TR HOTEL โรงแรมเจ็ดดาวที่มีสาขาอยู่ทั่วเอเชียและยุโรปบางประเทศแทนบิดาและอีกหนึ่งหนุ่มคือหนึ่งในหุ้นส่วนร้านอาหารแห่งนี้ ภูริช อัครมณี ทายาทเจ้าของปางไม้ทางภาคเหนือที่เพิ่งสละโสดกับสาวสวยอย่าง ชญาฎา ภูมิอนันท์ เจ้าของห้องเสื้อชื่อดังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

    “กลับมาคราวนี้อยู่นานหรือเปล่า” ภูริชเอ่ยถามเพื่อนที่คบกันมานานมากกว่าสิบปี

    “ก็คงอยู่ที่นี่เป็นหลักแล้ว”

    “คุณพ่อคุณแม่สบายดีนะ”

    “อือ สบายดี”

    “เป็นไรวะ ถามคำตอบคำ” ภูริชเลิกคิ้วขึ้นมองเพื่อนตรงหน้าซึ่งมีท่าทีผิดไปจากปกติ

    “เปล่าขอไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยว” ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไปทันที

    คล้อยหลังชายหนุ่มเดินออกไปจากห้องได้ไม่นานร่างบางในชุดเดรสสั้นรัดรูปเปิดหลังก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมพนักงานเสิร์ฟที่นำอาหารหลากหลายเมนูมาวางไว้บนโต๊ะและกลับออกไปอย่างมีมารยาทหลังจากปฏิบัติหน้าที่ของตนเสร็จ

    “ไง เหนื่อยไหม...หืม” ภูริชเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ กนกจันทร์ อัครมณี ลูกของน้าสาวของเขาซึ่งมีอายุห่างกันไม่กี่เดือนสองหนุ่มสาวโตมาด้วยกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ตอนอายุย่างเข้าสิบห้า

    “นิดหน่อยค่ะ แล้วนี่เพื่อนน่านอยู่ไหนล่ะเห็นเด็กบอกว่าเขามาแล้วนี่”

    “ไปเข้าห้องน้ำน่ะ นั่นไงมาแล้ว” จบคำพูดของภูริชคนที่เอ่ยถึงก็เดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มจึงพยักพเยิดหน้าให้ญาติสาวได้รู้ ทันทีที่กนกจันทร์เหลียวหน้าไปมองตาสองคู่ที่จ้องมองกันก็เบิกกว้าง ก่อนที่สองเสียงจะเอ่ยออกมาพร้อมกัน

    “คุณ!/คุณ!”

    “อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอ” ภูริชที่นั่งอยู่ถึงกับงงงวยกับอาการของทั้งสองคนตรงหน้าเพราะเพื่อนเขานั้นตอนนี้ใบหน้าที่เคยหล่อเหล่ายับยู่ยี่หัวคิ้วแทบผูกเป็นโบแต่แววตานั้นกลับไหวระริกคล้ายเจอของถูกอกถูกใจ ส่วนญาติผู้น้องของเขานั้นสะบัดหน้าสวยเชิดขึ้นโดยไม่กลัวว่าคอจะหักเลยทีเดียว แต่ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบประตูก็เปิดออกอีกครั้งโดยฝีมือของภรรยาคนสวยของเขา

    “ขอโทษค่ะที่ช้า” ชญาฎาเดินเข้าไปหาสามีโดยไม่ได้สังเกตถึงอาการผิดปกติของสองหนุ่มสาวที่ยืนจ้องตากันอยู่สักนิด

    “แพท เหนือมาทานข้าวก่อนเถอะเดี๋ยวค่อยจ้องตากันต่อ” ภูริชเอ่ยขึ้นขณะเลื่อนเก้าอี้ให้ภรรยา ทั้งสองหนุ่มสาวที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่จึงได้เดินไปยังโต๊ะอาหารบ้าง

    “แล้วตกลงยังไง พวกแกรู้จักกันแล้ว?” ภูริชถามขึ้นอีกครั้งหลังจากทานอาหารกันมาสักพัก

    “ไม่!/อืม” คราวนี้คำตอบของทั้งสองทำให้คนถามเลิกคิ้วสูง

    “ตกลงยังไงวะ รู้จักหรือไม่รู้จักกันแน่”

    “ไม่! เหนือไม่รู้จักเขา และไม่อยากรู้จักด้วย” คราวนี้กนกจันทร์เอ่ยเสียงเรียบทำเอาคนที่หญิงสาวคนสวยบอกว่าไม่รู้จักหันไปจ้องตาดุ

    “แพ้แล้วพาล ผู้หญิงอะไร” ธีรเดชเอ่ยขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทุกคนร่วมโต๊ะสนใจได้

    “คุณว่าใครไม่ทราบ”

    “แล้วใครที่แพ้แล้วพาลบ้างล่ะ ผมก็ว่าคนนั้น”

    “เหนืออิ่มแล้วขอตัวนะคะ” คำพูดของชายหนุ่มทำเอากนกจันทร์ทนไม่ไหวถึงกับปรี๊ดแตกกระแทกช้อนลงบนจานแล้วลุกขึ้นทันที

    “เหนือ แต่แกทานไปได้นิดเดียวเองนะ” ชญาฎาซึ่งนั่นเงียบตั้งแต่มาถึงค้านขึ้นมาบ้าง

    “เหนือทานไม่ลงแล้วกิ่ง” ว่าแล้วก็เหลือบมองไปยังต้นเหตุ

    “แค่แข่งรถแพ้ผมถึงกับทานข้าวไม่ลงเชียวเหรอ” คราวนี้คำพูดของชายหนุ่มทำเอาสองสามีภรรยาถึงกับถึงบางอ้อ

    “อ๋อ นี่แอบไปแข่งรถอีกแล้วเหรอเหนือ” เสียงเข้มของพี่ชายทำเอาผู้เป็นน้องสาวสะดุ้ง

    “ก็คลายเครียดไง” เสียงหวานอุบอิบตอบ

    “สนามไหนแพท” ภูริชหันไปถามเพื่อนเพราะรู้ว่าถึงคาดคั้นเอาคำตอบจากน้องสาวตัวดีก็คงไม่ได้คำตอบ

    “สนามนายนั่นแหละ แต่ดูท่าคุณเธอคงปิดปากเด็กๆ ที่นั่นไว้ล่ะมั้ง นายถึงไม่รู้เรื่อง” ธีรเดชตอบเพื่อนออกไปพร้อมทั้งเหล่ตาไปมองคนที่เพิ่งกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้แรงๆ โดยไม่กลัวว่าสะโพกงามนั้นจะหักหรือเคล็ดเลยสักนิด

    ธีรเดชชื่นชอบความเร็วแต่เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะลงสนามได้บ่อยๆ ส่วนกนกจันทร์นั้นชอบเช่นกันแต่ติดตรงที่ครอบครัวเป็นห่วงและยื่นคำขาดอยู่เสมอเนื่องจากไม่อยากให้เธอลงแข่งไม่ว่าจะจริงจังหรือเล่นๆ เดือดร้อนผู้เป็นพี่ชายที่เกือบจะต้องปิดสนามแข่งรถของตัวเองหลายครั้งเพราะผู้เป็นน้าเขยและพ่อของตนเองกลัวว่ายายตัวร้ายจะแอบไปแข่งรถจนได้รับอันตราย

    “เหนือ!” ภูริชปรามน้องสาวเสียงเข้ม

    “น่านอ่ะ เรียกดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำเสียงเข้มด้วยล่ะ กิ่งช่วยด้วยสิ” เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของพี่ชายกนกจันทร์ก็มองหาตัวช่วย

    “จริงของน่านนะเหนือ เรื่องนี้เหนือผิดกิ่งไม่ช่วยหรอก” เมื่อเพื่อนรักแปรพักตร์คนไม่มีพวกถึงกับหน้างอ มองค้อนคนขี้ฟ้องตาคว่ำปากก็พึมพำขมุบขมิบไปทางชายหนุ่มเจ้าของโรงแรม

    “เฮ้ย คุณเล่นไสยศาสตร์ด้วยเหรอ” ธีรเดชเย้าด้วยสีหน้ากวนๆ ยิ่งเห็นคู่ปรับถลึงตาใส่ก็ยิ่งรู้สึกสนุก

     

    ก๊อกๆ ก๊อกๆ

    “คุณเหนือครับแย่แล้ว!” สิ้นเสียงเคาะประตูร่างผอมบางของเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมรายงานผู้เป็นนายเสียงปนหอบ

    “มีอะไร”

    “คืนนี้ส้มมาไม่ได้ครับเธอเพิ่งโทรมาลาเมื่อสักครู่นี้เอง”

    “สาเหตุล่ะ”

    “มันบอกว่าแม่ป่วยต้องกลับต่างจังหวัดด่วนครับ”

    “แย่ล่ะ แล้วทีนี้ใครจะขึ้นร้องเพลง” ภูริชเอ่ยเสียงเครียดเช่นเดียวกับน้องสาวที่นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด

    “โทรตามเด็กๆ พวกนั้นมา ถ้าพวกเขามาได้ยกเลิกกลุ่มวันนี้ไปได้เลย” กนกจันทร์สั่งลูกน้องที่ยืนรอรับคำสั่งเสร็จแล้วก็วิ่งออกจากห้องไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

    “แน่ใจหรือว่าจะรอด” ภูริชถามน้องสาว

    “เหนือเชื่อว่าพวกเขาทำได้” เสียงหวานยืนยันด้วยความมั่นใจ

     

     

    ครึ่งชั่วโมงให้หลังทั้งสี่คนก็เดินลงไปยังห้องซ้อมของนักดนตรี หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสั้นโชว์แผ่นหลังกับรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วกำลังยืนคุมนักดนตรีหนุ่มทั้งสี่คนที่ตนเป็นคนสอนมากับมือ รองเท้าส้นสูงถูกถอดวางไว้ข้างประตูก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปยังไมโครโฟน หยิบจับขึ้นมาร้องคลอไปกับเด็กหนุ่มเพื่อช่วยลดความตื่นเต้น

    “ไหวหรือเปล่า” กนกจันทร์เอ่ยถามน้องๆ หลังจากซ้อมร้องมาหลายเที่ยว

    “ไหวครับ ขอบคุณพี่เหนือมากที่ให้โอกาสพวกผม” หนึ่งหนุ่มในสี่คนพูดออกมาก่อนจะเตรียมตัวขึ้นเวที

    “ไม่ต้องเครียดนะสบายๆ เล่นไปตามอารมณ์” หญิงสาวย้ำอีกครั้ง

    “ครับ” ทั้งสี่ตอบรับพร้อมกันก่อนจะเดินตามกันไปขึ้นเวที

    หลังจากนั้นทั้งสี่ก็กลับขึ้นไปบนห้องวีไอพีที่เคยนั่งทานข้าวกันอีกครั้ง กนกจันทร์ลุกขึ้นไปยืนติดกระจกมองดูลูกศิษย์ของตัวเอง หลังจากเพลงรกจบไปหญิงสาวก็ยิ้มออกเพราะดูเหมือนเหล่าบรรดาเก้งกวางและหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านล่างในส่วนพื้นที่หน้าเวทีจะติดใจเด็กหนุ่มของเธอไม่น้อยถึงได้กรี๊ดลั่น บางคนถึงกับมีการเอาดอกไม้ไปให้ บ้างก็แอบหอมแก้มฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ไปตามระเบียบ

    “เก่งที่สุดน้องสาวพี่” ภูริชซึ่งนั่งอยู่ข้างคนเป็นเพื่อนเอ่ยชมน้องสาว ความภาคภูมิใจฉายออกชัดทั้งจากน้ำเสียงและสีหน้า

    “เหนือไม่ได้ทำอะไรนี่คะ” คนถ่อมตัวตอบโดยไม่หันกลับไปมอง

    “ใครว่าล่ะ เหนือของกิ่งเก่งที่สุด” ชญาฎาเอ่ยชมขึ้นบ้างพร้อมทั้งลุกขึ้นไปยืนข้างเพื่อนสาว “เดือนหน้าใส่ชุดฟินนาเล่ให้กิ่งหน่อยสิ” สิ้นคำพูดออดอ้อนของเพื่อนสาวพ่วงด้วยพี่สะใภ้กนกจันทร์ก็ส่ายหน้าเหวอ

    “ไม่เอาอ่ะ”

    “เหนือใจร้าย” ชญาฎาทำหน้างอแล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งข้างสามีตามเดิม “คุณแพทคะช่วยเดินแบบให้กิ่งหน่อยสิคะ”

    “ได้ครับ ผมใจถึงอยู่แล้ว” ธีรเดชรับคำพร้อมทั้งหันมองคนที่หันกลับมาจ้องเขาอยู่เช่นกัน

    “ดีค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ ส่วนแกฉันจะฟ้องคุณน้าทั้งสองว่าแกแอบไปแข่งรถ” คำขู่ของเพื่อนสาวทำเอากนกจันทร์ถึงกับหน้าซีดเผือด เพราะถ้าบิดามารดารู้เข้าไม่แคล้วเธอโดนเรียกกลับไปอยู่บ้านแล้วถูกคุณนายของบ้านลากพาเข้างานสังคมพ่วงท้ายด้วยการพาไปพบคนนั้นคนนี้ที่ท่านหมายตาไว้ให้เป็นลูกเขยเป็นแน่ อี๋! แค่คิดเธอก็ขยาดแล้ว

    “กิ่งอ่ะใจร้าย” ใบหน้าหวานค้อนใส่เพื่อนอย่างแง่งอน

    “ก็เหนือใจร้ายก่อน” ชญาฎาโต้กลับ

    “ก็ได้! เดินให้ก็ได้” หญิงสาวตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำ แต่เท่านั้นคนเป็นเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังก็ยิ้มออกแล้ว

    “มะรืนน่านจะไปมาเก๊านะเหนือ” ภูริชเอ่ยบอกแล้วหันไปคุยธุรกิจกับธีรเดชต่อ

    “กลับมารอบนี้ขอหลานน่ารักๆ ด้วยล่ะกิ่ง”

    “บ้าสิ ฉันยังอยากทำงานอยู่นะยะ” ชญาฎามองค้อนเพื่อนสาวเบาๆ

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×