ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The dark ocean [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 17...พิษของฮาร์ปี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.11K
      20
      8 ส.ค. 56

    การเดินทางผ่านเงาไม่ใช่เส้นทางที่บุตรแห่งเทพหรือแม้กระทั่งทวยเทพอยากจะเลือกใช้ เพราะมันเป็นการเดินทางที่อันตรายและยากจะคาดเดา เส้นทางที่ซ้อนทับกันระหว่างกาลเวลาในอดีตกับปัจจุบันผันแปรเปลี่ยนทิศทางอยู่ทุกนาที เวทมนตร์จากความตายบิดเบือนสติและประสาทสัมผัสให้บกพร่องจนถึงขั้นอาจทำให้พลาดพลั้งเดินไปผิดทางส่งผลให้ติดอยู่ในวังวนแห่งความมืดอนธการนี้ไปตลอดกาล....
     
     
    “นายจะพาฉันไปไหน” ชานยอลพยายามถามเสียงเกรี้ยวกราดเท่าที่ร่างกายเขาจะเอื้อ ขณะที่โดนคริสกระชากไปตามทางเดินที่มืดมิด  ร่างสูงเดินต่อไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจจะตอบหรือหันมามองร่างโปร่งที่เดินตามหลังมา ท่าทางของเขานิ่งสงบเกินกว่าที่จะไว้ใจได้ รัศมีความโกรธและหงุดหงิดแผ่คลุมจากเร่งให้บรรยากาศรอบตัวดูหดหู่และมืดหม่นลงเรื่อยๆ
     
     
    “พาฉันกลับเดี๋ยวนี้นะ!!!!”ชานยอลย้ำอีกครั้ง ทั้งไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่เกลียด และเจ็บปวดจากบาดแผล ดวงตากลมเหลือบมองปากแผลท่ามกลางความมืด แม้จะมองไม่ถนัดแต่ก็รู้ว่าอาการของมันกำลังแย่ลงและความทรมานจากพิษก็ค่อยๆพอกพูนทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่อยู่ในที่นี่ราวกับที่แห่งนี้เป็นแหล่งฟูมฟักของพลังของมัน..
     
     
     
          ความทรมานราวเปลวเพลิงของพิษแผ่ซ่านไปทั่วร่าง มากจนเสียจนขอบตาของเขาร้อนผ่าว อุณหภูมิร่างกายร้อนฉ่าราวกับโลหิตในกายถูกทำให้เดือดพล่าน ประสาทสัมผัสและสติสัมปชัญญะทุกอย่างกำลังถูกลิดรอนลงเรื่อยๆ ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเรือนราวกับโทรทัศน์ที่สัญญาณไม่ดีบ่งบอกให้รู้ว่าสติของเขากำลังลดน้อยลงทุกที  ซ้ำร้ายวิญญาณที่อยู่ตามข้างทางยังป่วนประสาทของเขาให้สั่นคลอนมากขึ้นไปอีก เสียงกรีดร้องหวีดแหลมสูงและโหยหวนของพวกมันดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางและเวลาที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกกรามและข้อต่อต่างๆในร่างโปร่งแสงของมันดังกึกกักหลอนประสาทอยู่ในหู จนร่างโปร่งต้องหันไปมอง  เด็กข้างบ้านที่จมน้ำตายเพราะเขาไปช่วยเอาไว้ไม่ทันกำลังถลึงตาใส่เขาอยู่
     
     
    พี่ไม่ช่วยผม พี่ไม่ช่วยผม ผมตายเพราะพี่ เพราะพี่คนเดียว พี่ชานยอล  ทำไมพี่ไม่ช่วยผม!!!
     
     
    มะ ไม่ใช่นะ ชานยอลอ้าปากพูดไม่มีเสียง 
     
     
    พี่ฆ่าผม พี่ทำให้ผมตาย!!! วิญญาณดวงนั้นเริ่มร่ำไห้ 
     
     
    ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ชานยอลเตรียมก้าวขาไปหาเด็กผู้ชายคนนั้น แต่ไข่มุกของโพไซดอนที่พกติดตัวมาด้วยจู่ๆก็ร้อนวาบราวกับเหล็กร้อนที่นาบลงกับผิวเนื้อ ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะมองไปยังที่ตรงนั้นที่ไร้ร่างของเด็กคนนั้น หากแต่ปรากฏเป็นหุบเหวที่ลาดชันที่ถ้าใครตกลงไป คงไม่พ้นความตายอย่างแน่นอน...
     
     
     
     เขาต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะด้วยร่างกายที่ใกล้ดับสูญ หรือเพื่อนร่วมทางที่เขารังเกียจ อย่างไรเขาก็จะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะตายลงที่นี่เพราะถูกวิญญาณล่อลวง
     
     
     
    “พาฉันกลับเดี๋ยวนี้!” ร่างด้านหน้าหยุดชะงักกลางคันก่อนจะหันขวับกลับมามองเขา ณ วินาทีนั้น ร่างโปร่งแทบทรุดฮวบ เลือดในกายที่ร้อนรุ่มเหมือนถูกแช่แข็งอย่างเฉียบพลัน ดวงตาคู่คมสีทองเจิดจ้าที่อัดแน่นและเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและเหี้ยมโหดกำลังจับจ้องมาที่เขา  แววตาคู่นั้นทรงพลังมากพอๆกับอนุเทพองค์หนึ่ง และมากพอที่จะสั่นประสาทให้เขาหวาดกลัว
     
     
    “ทำไม อยู่กับฉันมันลำบากมากนักรึไง”คริสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผกออกไป มันไม่ได้ฟังดูโกรธจัด แต่กลับเย็นเยียบเสียจนน่ากลัว ราวกับคลื่นสงบก่อนเกิดสึนามิครั้งใหญ่ ราวกับสัญญาณเตือนก่อนภัยพิบัติที่ล้างผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง
     
     
     
      ชานยอลนิ่งงันไป หัวสมองและคำพูดต่างๆราวกับอันตธานหายไปเสียเฉยๆ โดยไม่เหลือไว้แต่เศษเสี้ยวให้ด้วยฉุกคิดหรือเอือนเอ่ย  มือเรียวกำชายเสื้อแน่น ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ตัวเองควรจะตอบไปว่าอะไร แต่พิษจากบาดแผลและเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่เร่งเร้าให้เขาออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด 
     
     
     
    “พาฉันออกไป” ดวงตาคมสีทองเจิดจ้าสบกับดวงตากลมโต ความโมโหและโกรธเคืองบดบังภาพของร่างโปร่งที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ
     
     
    “อยากไปหามันมากนักรึไง”ชานยอลนิ่งเงียบไป หากแต่ในสายตาของคริสเขากลับมองว่ามันเป็นการตอบรับคำกล่าวหาของเขาอยู่
     
     
    “หึ ถามหน่อยเถอะ  ถ้าหมอนั่นมันรู้ว่าคนที่มันรักนักรักหนายอมเสียตัวให้กับคนอื่นก่อนมันไปแล้วมันจะรู้สึกยังไง มันยังจะรักนายอยู่มั้ย ยังจะเทิดทูนอยู่มั้ยห๊ะ” ไม่มีการหยอกล้อหรือประชัดประชันอยู่ในน้ำเสียงทุ้ม มันกลับเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจังเสียจนชานยอลกลัว ร่างโปร่งหัวใจกระตุกวูบ คลื่นความรู้สึกถาโถมใส่อย่างรุนแรง ทั้งอดสูต่อสิ่งที่ตัวเองทำ ทั้งอับอายความจริงที่คนอื่นต้องมารับรู้
     
     
    “อย่านะ”
     
     
    “กลัวงั้นหรอชานยอล กลัวทำไมล่ะ ในเมื่อนายก็สมยอมเองไม่ใช่หรอ หรือว่ากลัวที่ต้องให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำตัวต่ำๆได้แค่ไหน” 
     
     
    “เลว” 
     
     
    “เลวแต่ก็ถึงใจนายตอนทำเรื่องอย่างว่าไม่ใช่รึไง ไม่งั้นคงไม่ยอมเสนอตัวให้เองหรอก!!!”
     
     
    “หยุดนะ”
     
     
    “ทำไม  รับความจริงไม่ได้รึไง นายมันร่าน!!!”
     
     
    เพี๊ยะ
     
     
    เสียงฝ่ามือเรียวตบหน้าร่างสูงจนหน้าหัน 
     
     
    “อย่ามาดูถูกฉัน”เขาเค้นเสียงอย่างสุดกำลังเท่าที่ร่างกายที่กำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆจะให้ได้ เมื่อถูกคริสกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง เขายอมรับว่าเขายอมเสนอตัวเอง แต่ที่ทำไปเขาไม่ใช่คนต่ำๆแบบนั้นแต่เขามีเหตุผลที่ต้องทำ
     
     
    “หึ ตบฉันงั้นหรอ”
     
     
    “พาฉันกลับไปหาพี่ซีวอนเดี๋ยวนี้….อั๊ก”ชานยอลร้องเสียงหลง เมื่อจู่ๆคริสก็พุ่งตัวเข้ามาทามทับเขาแล้วตรึงเขาไว้กับพื้นที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยโครงกระดูก  โซ่ตรวนสีดำสนิทผุดพรายขึ้นจากใต้ดินมาพันธนาการร่างของเขาเอาไว้เสียจนขยับไปไหนไม่ได้ หากแต่สภาพที่อันตรายเช่นนี้ไม่อาจเทียบได้กับความน่ากลัวของร่างสูงที่จับจ้องเขาอยู่
     
     
    “จำไว้!!! นายเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น เลิกพูดถึงไอ้บ้านั่นต่อหน้าฉันสักที!!!”มือหนาบีบท่อนแขนของชานยอลอย่างแรงโดยลืมไปว่าร่างโปร่งกำลังเจ็บอยู่ ริมฝีปากหนาตามลงมาบดขยี้กลีบปากอิ่ม ใบหน้านวลพยายามสะบัดหนี ก่อนจะกระตุกเล็กน้อยเมื่อฟันคมขบกัดลงมาที่กลีบปาก มือใหญ่บีบกราม บังคับให้ร่างโปร่งยอมอ้าปากให้เขารุกรานได้มากกว่านี้ ลิ้นสากแทรกเข้ามาเปิดกลีบปากอิ่มก่อนจะรุนรานลิ้นภายในอย่างจาบจ้วง รสขมปร่าของเลือดที่เจือในน้ำใสไม่อาจหยุดยั้งการกระทำของเขาได้ ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงคำนึงคือ เป็นเจ้าของ ต้องเป็นเจ้าของร่างนี้เท่านั้น!!!
     
     
     
          ทิวทัศน์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป จากเส้นทางที่มืดมน และเต็มไปด้วยภูตผีค่อยๆเลือนรางแล้วถูกแทนที่ด้วยห้องนอนของใครคนหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องเป็นทองและอัญมณีทั้งหมด หลังบางที่นาบลงกับพื้นเย็นเยียบค่อยๆอุ่นขึ้นเมื่อร่างของเขากำลังนอนอยู่บนเตียงสีดำสนิทไม่ใช่พื้น แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งอุ่นใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเขากลัวการร่วมรักกับคริส ไม่ได้กลัวการถูกภูตผีเห็นต่างหาก
     
     
     
    “อื้อออ!!”ชานยอลพยายามดิ้นรนอย่างถึงที่สุด แม้พละกำลังและสติจะถูกพิษของฮาร์ปี้ลิดรอนไปทีละนิดๆก็ตาม
     
     
     
    “อย่าลีลา ในเมื่อพอถึงเวลานั้นนายก็ร้องครางอยู่ดี”คริสพูดเสียงเย็น ก่อนจะฉีกกระชากเสื้อของร่างโปร่งออกในคราเดียว แล้วลูบไล้เรือนร่างนั้นอย่างหยาบโลน รอยแผลที่ม่วงคล้ำ และคราบเลือดแห้งกรังไม่อาจยับยั้งความพิโรธและพิษของความหึงหวงเอาไว้ได้
        
     
     
       ร่างโปร่งบางรีบยกมือขึ้นกั้นก่อนจะดีดดิ้นไปมา พยายามขืนตัวออกห่าง  สติเพียงน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ร้องเตือนซ้ำๆถึงขีดจำกัดของร่างกายที่ใกล้จะหมดลงอยู่ทุกขณะจิต
     
     
     
    “อย่า”ชานยอลพยายามร้องห้าม แม้รู้ว่าไร้ประโยชน์แต่ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ก่อนที่จะถอยหล่นร่างของตัวเองไปจนติดหัวเตียง หัวกะโหลกทองคำที่ประดับอยู่กลางหัวเตียงนาบกับแผ่นหลังจนเย็นวาบไปถึงกระดูก หากแต่สิ่งที่ทำให้ชานยอลชาวาบสะท้านไปทั้งร่างไม่ใช่ความหนาวเหน็บแต่เป็นสายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความต้องโกรธและโกรธเคือง
     
     
    “ทำไม รังเกียจกันมากนักเลยรึไง”คริสตะวาดก่อนจะลุกคืบมากักขังชานยอลด้วยสองแขนที่ค้ำไว้กับหัวเตียง 
     
     
    “พาฉันกลับไป” ชานยอลร้องบอก 
     
     
    “จะกลับไปหามันรึไง…..ร่าน!”
     
     
    “พาฉันกลับไป”ร่างสูงกระชากข้อเท้าแล้วดึงร่างโปร่งเข้ามาหาตัว มือหนาตรึงร่างนั้นเอาไว้ ก่อนจะตะคอกใส่หน้า
     
     
    “จำใส่สมองนายไว้ นายเป็นของฉันคนเดียว คนเดียวเท่านั้น!!!”สิ้นเสียงประกาศิตนั้น การลงทัณฑ์จากความตายก็ถาโถมเข้าใส่ชานยอล คริสพุ่งเข้ามาหาร่างโปร่ง มือหนากระชากดึงข้อเท้าชานยอลเข้ามาหาตัว พร้อมกับเรียวปากที่บดขยี้ขบกัดกลีบปากอิ่มและลิดรอนลมหายใจของชานยอลไปทีละนิด ทีละนิด
     
     
     
           เขากำลังจะตาย นั่นคือสิ่งที่เขารับรู้อยู่ตอนนี้ และถ้ายังนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ เขาก็จะหมดหนทางรอดในไม่ช้า เขาจะต้องหาทางหนีจากเงื้อมือของมัจจุราชตนนี้ให้ได้
     
     
     
          ดวงตาลมโตที่ลื่นไหลไปด้วยหยาดน้ำตาจากความทรมานจากบาดแผลและความหวาดกลัวในความดิบเถื่อนของร่างสูงเหลือบขึ้นมองเพดานสีดำสนิทที่มีโคมไฟระย้าทำจากกระดูกมนุษย์ ความหวาดกลัวและเคร่งเครียดผสมปนเปจนสั่นประสาทให้ไร้สมาธิหาทางออกไม่ได้  ชานยอลพยายามเพ่งสมาธิไปที่หัวกะโหลกกะโหลกหนึ่งเพื่อใช้เป็นจุดรวมสมาธิ 
     
     
     
        เขากำลังอยู่ในนรก อยู่ในอ้อมกอดของความตาย  ในถิ่นของยมทูตอย่างฮาเดส ภายใต้อาณัติของดวงวิญญาณ เขาไม่มีอำนาจในใต้พิภพเลยสักนิด ที่นี่คนที่ได้เปรียบคือคริส บุตรแห่งฮาเดส ผู้ซึ่งอยู่เหนือความตายและดวงวิญญาณทั้งปวง แล้วอย่างนี้เขาจะหนีออกไปได้ยังไง  แต่เดี๋ยวก่อน ฮาเดส ฮาเดสอย่างนั้นหรอ…
     
     
     
    “นายมันก็เหมือนกับฮาเดส”ชานยอลพูดออกไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าวิธีนี้ที่ใช้กลยุทธ์เปรียบอีกฝ่ายกับคนที่เขาเกลียดมันจะได้ผลมั้ย
     
     
    “นายว่าไงนะ”คริสชะงักงัน ดวงตาสีทองเจิดจ้าจับจ้องมาที่ชานยอล ปากอิ่มเม้มแน่น แม้จะกลัวอยู่ไม่น้อยที่ใช้วิธีนี้แต่เขาก็ต้องทำ
     
     
    “นายมันก็เหมือนกับฮาเดส บังคับ ขู่เข็นและขืนใจคนอื่น เหมือนอย่างที่ลักพาตัวเพอร์เซโฟเน่มาเป็นมเหสีของตัวเอง”มือหนากำแน่นจนข้อนิ้วซีดเมื่อเจอคำพูดของชานยอล เขาเกลียดพ่อของเขา แต่เขากลับเป็นอย่างพ่อของเขาน่ะหรอ เหลวไหลสิ้นดี!
     
     
     
      ชานยอลลอบมองปฏิกิริยาของคริส หัวใจดวงน้อยๆที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆค่อยๆกลับมาใจชื่นอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
     
     
     
    “นายเกลียดเขา ไม่ชอบทุกอย่างที่เขาทำ แต่นายก็เป็นเหมือนเขา เลวทรามและชั้นต่ำเหมือนกับเขา”
     
     
    “ฉันไม่ได้ต่ำเหมือนกับเขา!”คริสตะคอกกลับ
     
     
    “แล้วที่นายทำอยู่คืออะไร” คริสชะงักงัน ดวงตาคมวูบไหวอย่างสับสน มือที่กำแน่นผ่อนแรงลงก่อนที่เขาจะผละตัวออกมาจากร่างของชานยอล
     
     
    “อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนแบบนั้นอีก”ร่างสูงพูดเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะสลายโซ่ตรวนให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง แล้วผลุนผลันออกไปจากห้อง การมีอยู่ของชานยอลคือหลักฐานที่ตอกย้ำว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เลวทรามและชั่วร้ายไม่ต่างกับคนที่ฆ่าแม่ของเขา คนที่พรากทุกอย่างไปจากเขา…
     
     
     
     
         ชานยอลลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นคริสเดินออกไป ท่าทางที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งเมื่อครู่พังทลายลง ปากอิ่มเผยออ้าออกกว้างเพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด  สมองขาวโพลนและปวดจนแทบระเบิด เรี่ยวแรงน้อยลงไปทุกที จังหวะการหายใจเริ่มหอบหนักและขาดห้วง แผลที่แขนเต้นตุ้บๆ เลือดในกายร้อนรุ่มราวกับจะแผดเผาเรือนร่างของเขาให้ดับสูญ
     
     
     
         ดวงตากลมโตมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความอดสู แผลที่แขนรุกรามและเน่าเฟะขึ้นมาก เลือดที่ไหลออกจากแผลเป็นสีดำสนิท และยิ่งคริสโถมตัวเข้ามามาเท่าไร เลือดก็ยิ่งไหลมากขึ้นเท่านั้น เนื้อที่แผลค่อยๆตายลงช้าๆจนกลายเป็นสีคล้ำ สภาพที่เห็นน่ากลัวเกินกว่าที่ชานยอลจะทนดูได้ ร่างโปร่งหลับตาลงก่อนจะปรือตาขึ้นช้าๆ หากแต่ภาพที่เห็นกลับเปลี่ยนไป
     
     
    ทุกๆอย่างค่อยๆดำมืด
     
    ทุกๆอย่างค่อยๆจางหายไป
     
    พลังชีวิตของเขาลดลงจนเกือบถึงขีดสุดแล้ว เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
     
     
     
    “แฮ่ก แฮ่ก”ชานยอลที่พยายามยันตัวขึ้นนั่งบนเตียงหอบหายใจหนัก ปากอิ่มเริ่มเขียวคล้ำขาดเลือด มือสั่นระริก ความปวดร้าวแล่นพล่านไปทั่วร่าง แต่ถึงกระนั้นขีดจำกัดทางร่างกายต่างๆก็ผลักดันให้ขุกขึ้นมาหาทางหนี 
     
     
     
     
         ร่างโปร่งหลับตาลง พยายามเพ่งสมาธิหาสายน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้ ก่อนที่เสียงจากธาราสายหนึ่งจะดังแว่วมาในโสตประสาท แม้มันจะไม่ได้ดูเป็นมิตรเท่าแม่น้ำบนพื้นโลก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพอควบคุมมันได้อยู่ ชานยอลค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เฉียบพลันนั้น….
     
     
     
    ตุ้บ!!!
     
     
     
     
       เสียงร่างของชานยอลล้มลงกับพื้นดังออกมาถึงข้างนอก  คริสที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลหันขวับกลับไปมองยังห้องที่เพิ่งจากมา  ลางสังหรณ์ร้องบอกถึงเรื่องไม่ดี เขารับรู้ได้ถึงสายใยชีวิตของใครสักคนที่กำลังอ่อนแรงลงมากจนเฉียดใกล้ความตาย
     
     
     
    ผัวะ!
     
     
     
    คริสเปิดประตูออกอย่างแรง ก่อนที่ความโกรธทั้งหมดจะมลายหายไป ทันทีที่เห็นร่างที่สลบอยู่บนพื้น
     
     
     
    “ชานยอล!”คริสตะโกนเรียกชื่ออีกคนเสียงดังลั่น  ใบหน้านวลซีดราวกับกระดาษ กลีบปากอิ่มที่พร่ำจูบกลับเขียวคล้ำราวกับคนตาย…
     
     
    “ชานยอล ปาร์คชานยอล!”คริสคว้าร่างอีกคนขึ้นมาก่อนจะเขย่าเรียกแรงๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ…
     
     
     
    ร่างของชานยอลแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง
     
     
    “ชานยอล!”มือหนาคว้าแขนของชานยอล ก่อนจะชะงักงันเมื่อสัมผัสเข้ากับของเหลว…
     
     
     
    เลือดสีดำข้นหนืดเปื้อนเต็มมือหนา
     
     
     
       ดวงตาคมมองแผลนั้นอย่างตกตะลึง เขาไม่เคยห่วงชีวิตชานยอลเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้รอยแผลนั้นกำลังทำให้เขาหวาดกลัว ริมฝีปากหนาจูบที่ปากแผล รสของเลือดสีดำขมลึกเข้าไปในคอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดการกระทำ มือแกร่งลูบไล้ไปตามบาดแผล ควันสีเทาลอยขึ้นมาตามการลากผ่านของฝ่ามือ มือแกร่งที่มีเนื้อหนังค่อยๆโปร่งแสงมากขึ้นเรื่อยๆจนเนื้อล่องหนหายไปทั้งหมด…
     
     
     
    มือโครงกระดูกของคริส ลูบไปตามรอยแผลช้าๆ
     
     
     
    กระดูกสีขาวโพลนค่อยๆกลายเป็นสีดำราวกับว่ามันกำลังดูดซับเอาพิษของฮาร์ปี้มาไว้ที่ตัวเอง…
     
     
     
    แผลของชานยอลค่อยๆจางหายไป  ผิวเนื้อที่ปริแยกออกจากกันเริ่มสมานกันอย่างช้าๆ ขณะที่มือโครงกระดูกของคริสก็ค่อยๆซึมซับเอาพิษเข้ามา และทันทีที่รอยแผลสุดท้ายหายไป กระดูกมือทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำสนิท
     
     
     
    “อั๊ก”คริสกัดฟันก่อนจะกำมือโครงกระดูกของตัวเองแน่น จากนั้นเนื้อหนังก็ค่อยๆกลับคืนสู่ร่างกายของเขาอีกครั้ง 
     
     
     
     
            คริสมองไล่ไปตามเรือนร่างที่บอบช้ำจากการกระทำของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาไม่แน่ใจนักว่าควรรู้สึกอย่างไรดี ดีใจ หรือเสียใจ แต่ที่ดูจะเด่นชัดมากที่สุดตอนนี้
    คือ….ไม่อยากเห็น
     
     
     
    เขาไม่อยากเห็นร่างของชานยอล
     
     
    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
     
     
     
     
    ร่างสูงอุ้มชานยอลวางลงบนเตียง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างนั้นให้  แล้วลุกพรวดขึ้น เดินออกไปจากห้อง  โดยทิ้งไว้แต่หยดเลือดสีดำที่หยดลงบนพื้น
     
     
    การรักษามีอยู่หลายวิธี
     
    แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเลือกวิธีนี้
     
    วิธีที่ทนเจ็บแทนอีกฝ่าย
     
     
    ---------------------------------------------
     
     
     
     
    ติ๊ก ติ๊ก
     
     
     
    เสียงข้อต่อกระดูกนิ้วมนุษย์ที่ถูกทำเป็นเข็มนาฬิกาส่งเสียงขึ้นภายในห้องของคริสท่ามกลางความเงียบสงัดจนวิเวกวังเวงของนรกใต้พิภพ ร่างของชานยอลนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้าง ปากอิ่มอ้าพะงาบๆเหมือนกำลังเรียกใครสักคนอยู่ มือเรียวไขว่คว้ากลางอากาศราวกับคนที่เพรียกหากำลังจะจากไป 
     
     
     
    “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป”ชานยอลร้องเรียกหาคนในความฝันที่กำลังจะเดินหนีเขาไป
     
     
     
    ไว้เจอกันนะ
     
     
     
    “ไม่! ไม่ นายจะไม่กลับมาอีก เดี๋ยว เดี๋ยว!!!” เด็กคนนั้นหันมายิ้มให้เขาก่อนที่ภาพความฝันทั้งหมดจะตัดฉากไปเป็นภาพของฮาร์ปี้ตัวนั้นที่พุ่งเข้าใส่เขา ภาพเคลื่อนไหวช้าๆ ก่อนที่จะถูกความฝันเร่งให้มันเร็วขึ้น ใบหน้าของมันใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะสะดุ้งตื่นอย่างแรง
     
     
     
    “เฮือก!”ชานยอลลุกขึ้นนั่งหอบ มือเรียวกุมอกซ้ายของตัวเองแน่น ก่อนจะค่อยๆตั้งสติ แล้วหันมองไปรอบๆ เขายังอยู่ในห้องของคริส ไม่มีทางที่ฮาร์ปี้พวกนั้นจะเข้ามาในห้องนี้ได้ ไม่มีทางที่มันจะเข้ามาทำร้ายเขาอีกซ้ำสอง
     
     
     
       ร่างโปร่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเหลือบตามองไปที่แผลของตัวเอง ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ทันทีที่รอยแผลหายไป ก่อนที่มือเรียวจะเลื่อนไปลูบไล้ผิวเนื้อที่กลับมานวลเนียนเป็นปกติอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือเขากำลังจะไปที่แม่น้ำ แต่สุดท้ายก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สลบล้มลงกับพื้น แล้วจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
     
     
     
     
       ชานยอลยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเซไปทางซ้ายเล็กน้อย  อาการวิงเวียนคล้ายคนเพิ่งฟื้นไข้แล่นแปลบเข้ามาในหัว แต่ไม่ร้ายแรงเท่าครั้งก่อนๆ เขาพอจะพยุงตัวยืนได้ และเคลื่อนไหวช้าๆได้อีกนิดหน่อย มือเรียวจับปลายเตียงไว้เป็นหลักยึด ก่อนจะกวาดตามองหาร่างสูงของใครคนนั้น แต่แล้วก็สะดุดเข้ากลับหยดเลือดสีดำสนิทที่หยดเป็นทางบนพื้นห้อง
     
     
     
      เส้นทางการหยดของเลือดที่ตรงจากเตียงไปทางประตูห้องบ่งบอกให้รู้ว่านั่นไม่ใช่เลือดของเขา เพราะตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี่เขายังไม่ได้เดินไปทางนั้นเลย มีแต่ไปหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียง ดังนั้นถ้ามันจะเป็นเลือดของเขามันก็ควรจะหยดลงแค่บริเวณนั้นเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น
     
     
     
    “เลือดของใคร” ชานยอลพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะค่อยๆเดินตามหยดเลือดไป 
     
     
     
        หยดเลือดสีดำหยดไปตามทางเดินที่ทอดตัวไปที่ไหนสักแห่งในพระราชวังของฮาเดส โดยระหว่างที่เดินตามไปชานยอลก็นึกถึงภาพความฝันของตัวเองเมื่อครู่ เด็กผู้ชายที่เป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขา พวกเขาชอบเล่นด้วยกัน แต่เพราะอะไรบางอย่าง จู่ๆวันหนึ่งเด็กผู้ชายคนนั้นก็หายไปเสียเฉยๆ โดยคำพูดสุดท้ายที่พูดกับเขาไว้ก็คือ…
     
     
     
    ไว้เจอกันนะ
     
     
     
    แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเด็กผู้ชายคนนั้นอีกเลย โดยช่วงแรกๆที่เด็กคนนั้นหายไป เขาก็เอาแต่เศร้าและเหงามาก เขามารอที่จุดนัดพบกันของพวกเขาทุกวันๆ แต่แล้วก็ไม่เคยได้เจอกับเด็กคนนั้นเลย จนในที่สุดกาลเวลาก็ได้ชะล้างเอาภาพของเด็กคนนั้นออกไปจากความทรงจำของเขาทีละน้อย ทีละน้อย จนตอนนี้เขาได้ลืมเด็กคนนั้นไปหมดแล้ว แต่แล้วจู่ๆเขาก็กลับมาฝันถึงเด็กคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม…
     
     
     
    “อ๊ะ!”ชานยอลอุทานเมื่อจู่ๆก็เผลอเหยียบหยดเลือด ของเหลวสีดำข้นหนืดเลอะเท้าของเขา ดวงตากลมเบิกตากว้างตกใจ หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจไม่ใช่ความข้นที่บ่งบอกว่าพิษที่เจ้าของเลือดได้รับร้ายแรงเท่ากับเขา แต่เป็นลักษณะการหยดของเลือดที่หยดเป็นหยดๆ และเป็นไปในทางเดียวตลอดทางต่างหาก
     
     
     
     
    ได้รับพิษขนาดนี้ แต่ยังเดินได้อย่างสบายๆอยู่น่ะหรอ
     
     
     
    เพราะถ้าเป็นเขา เขาคงจะล้มลง หรือทุรนทุรายเพราะพิษจากบาดแผลไปเสียแล้ว  คงไม่เดินสบายอย่างนี้หรอก เพราะเขาไม่มีพลังต้านทานพิษจากปีศาจแห่งความตาย และคนที่มีภูมิคุ้มกันต่อพิษนั้นมากพอก็ต้องเป็นคนไม่ธรรมดา หรือไม่ก็ต้องเป็นคนของความตายเอง…
     
     
     
    “หายแล้วรึไงถึงได้ออกมา”เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืด ก่อนที่ร่างร่างหนึ่งจะเดินออกมาจากเงา
     
     
     
    “คริส…”ชานยอลเรียกชื่ออีกฝ่าย เกิดอาการทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่เกือบจะฆ่าเขา สุดท้ายจึงเลือกที่จะหลุบตาต่ำลงมองพื้น ก่อนจะเห็นว่าหยดเลือดสิ้นสุดตรงทางที่คริสเดินออกมา และมือซ้ายของร่างสูงที่มีผ้าพันแผลเอาไว้
     
     
    “มือนาย…”ชานยอลพูดไม่จบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน
     
     
    “ไม่ใช่ธุระอะไรของนาย”
     
     
    “………….เลือดนี่ของใคร”
     
     
    “ห่วงตัวเองก่อนดีมั้ย เกือบตายอยู่แล้ว ยังโง่ไม่รู้ตัว”ร่างสูงว่าก่อนจะเดินเลี่ยงกลับไปที่ห้อง ชานยอลเม้มปากแน่น ก่อนจะกล่าวถ้อยคำประชดประชัน
     
     
     
    “ถ้าฉันตาย นายไม่ดีใจรึไง”คริสชะงักงันก่อนจะหันขวับกลับมามองร่างโปร่งด้วยดวงตาสีทองที่ฉายแววจริงจัง
     
     
     
    “ถ้าฉันไม่อนุญาตให้นายตาย นายก็ห้ามตาย ชีวิตของนายขึ้นอยู่กับฉันคนเดียวเท่านั้น”ชานยอลชะงักงันไปเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะมองไปที่มือของคริส แล้วจึงเอ่ยถาม
     
     
     
    “งั้นก็คงเป็นนายใช่มั้ย ที่ช่วยชีวิตฉัน”เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงนิ่งงันจนความเงียบแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ เสียงดวงวิญญาณและเสียงน้ำไหลดังแว่วมาจากที่ไกลๆให้ได้ยิน ก่อนที่คนทั้งคู่จะเผลอสบตากัน
     
     
    “ฉัน…”
     
     
     
    ครืนนน ครืนนนน
     
     
    เปรี้ยง!
     
     
     
    คำพูดทั้งหมดถูกเสียงฟ้าผ่าดังกลบ ก่อนที่ความมืดมนจะถูกแสงสว่างของสายฟ้าแหวกออกจนเกิดช่องว่างส่องสว่างกลางอากาศ สองร่างปริศนาค่อยๆปรากฏกายออกมาจากช่องว่าง
    นั้น ก่อนจะยืนประเชิญหน้ากับคริสและชานยอล
     
     
     
    หนึ่งคือเทพผู้มีเกศาสีเงินยวง
     
    อีกหนึ่งคือเทพผู้มีนัยน์ตาสีปรอท
     
     
     
    “เซเทส  คาลาอีส (บุตรของเทพเจ้าแห่งสายลมเหนือ) ”คริสเรียกชื่อองค์เทพด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่เจือปนด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยชอบเทพสองคนนี้เพราะทั้งสองไม่ถูกกับสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างฮาร์ปี้ และยิ่งเกลียดมากขึ้นไปอีก เมื่อทุกครั้งที่เจอ เขาไม่เคยได้รับข่าวดีเลยสักครั้ง…
     
     
     
    “ไม่ได้เจอกันนานนะ คริส” เซเทสผู้มีผมสีเงินยวงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนสายลมกำลังพัดผ่านอยู่
     
     
     
    “มีธุระอะไร”คาลาอีสกระตุกยิ้ม ก่อนที่ดวงตาที่ดูราวกับจะมองทะลุทะลวงทุกอย่างได้จะมองมาที่เขา 
     
     
    “ตามบัญชาของมหาเทพซุส มีรับสั่งให้คริส บุตรแห่งฮาเดส และชานยอล บุตรแห่งโพไซดอน ขึ้นไปเข้าเฝ้ายังพระราชวังบนเขาโอลิมปัส”เสียงสายฟ้าดังกึกก้องกัมปนาทจนวิญญาณแตกตื่นพากันหลบหนี คริสมองเทพทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์ หากแต่ก็ฉงนกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน บุตรแห่งฮาเดสไม่เคยเป็นที่ต้อนรับบนสรวงสวรรค์ แต่ตอนนี้มหาเทพซุสจะเชิญเขาขึ้นไปงั้นหรอ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
     
     
     
    “ด้วยเรื่องอะไร”เซเทสหัวเราะก่อนจะสลายร่างเป็นสายลมเข้าพัดหยอกล้อร่างของชานยอล ก่อนจะปรากฏกายซ้อนที่ด้านหลังร่างโปร่ง
     
     
    “ก็เรื่อง…….พันธสัญญาระหว่างเจ้ากับสมุทรเทพ บิดาของชานยอลน่ะสิ”เทพเจ้ายกยิ้มก่อนจะสลายร่างเป็นสายลมแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของคริส แล้วพูดให้ร่างสูงได้ยินเพียงคนเดียว
     
     
     
     
     
     
     
    “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นต่อในเกมส์นี้ซะแล้วสิ คริส”
     
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×