ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 13...ความเกลียดชัง
“ท่านคริส ท่านจะไปที่แห่งใด”โอฟิอุสเอ่ยถามเมื่อผู้เป็นนายที่เอาแต่เดินเงียบมาตั้งแต่ปลีกตัวออกมาจากชายหาดไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย
สองขายาวของร่างสูงเดินไปตามเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยวร้างผู้คน ถนนหนทางร่มรื่นแต่วังเวงด้วยเงาจากกิ่งก้านของต้นสนทะเลที่โรยตัวลงมาจากสองข้างทาง แสงอาทิตย์ซีดจางในยามบ่ายแก่ๆส่องรอดก้านใบเข้ามาก่อเกิดเป็นเงาหน้าตาแปลกประหลาดทอดตัวอยู่บนพื้น พร้อมกับพริ้วไหวไปมาราวกับมีชีวิต เสียงระฆังโบสถ์ดังแว่วมาจากที่ไกลๆให้ได้ยิน ก่อนที่มันจะก้องซ้ำๆในอากาศอยู่หลายนาทีแล้วเงียบไป ฝูงนกกาสีดำทะมึนที่ไม่ควรจะอาศัยอยู่แถบนี่บินมาเกาะที่ต้นไม้ ดวงตาสีนิลจับจ้องมายังร่างของคริสราวกับอยากรู้ว่าเขามาทำอะไร แต่ก่อนที่พวกมันจะได้รู้คำตอบ สุนัขปีศาจที่ตามคริสมาก็รุมกระโจน ฉีกกระชากพวกมันเล่นเสียก่อน ขนนกสีดำปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดแผดก้องอยู่ในโสตประสาทร่างสูง แต่เขาทำเพียงแค่เปรยตามองมันเล็กน้อย ก่อนจะเลือนหายเข้าไปในเงาสีดำทะมึนของเจ้านกเคราะห์ร้ายที่เพิ่งตายไป โดยทิ้งท้ายคำสั่งเอาไว้กับผู้อารักษ์ขา
“ไม่ต้องตามมา” สิ้นเสียงนั้นทุกอย่างก็หลงเหลือแต่ความว่างเปล่า
โอฟิอุสมองไปยังที่ที่ร่างสูงเคยยืนอยู่ด้วยแววตาเป็นกังวล เขาไม่ได้กังวลว่าเจ้านายจะไปที่ไหน เพราะในโลกนี้คงไม่มีที่ใดทำอันตรายเจ้านายของเขาได้ แต่เขากำลังกังวลเหตุที่ทำให้เจ้านายของเขาไปที่นั่นต่างหาก…
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าเวทนา อยู่ใกล้แม่แท้ๆแต่กลับไม่รู้ว่าเธอคือใคร ซ้ำยังจำฝังใจว่าเธอตายจากไปแล้วเพราะถูกพ่อแท้ๆฆ่า และยังนำความเจ็บปวดนั้นมาทำลายพ่อผู้มีพระคุณของตัวเองอีก กลายเป็นลูกกตัญญูที่เนรคุณไปพร้อมๆกัน…
“ถ้าท่านรู้เรื่องราวทั้งหมด ท่านจะทำยังไง ท่านคริส” เสียงพึมพำเบาๆของเขาดังหวีดหวิวอยู่ในสายลม ก่อนที่จะเงียบหายไป พร้อมกับร่างของเขา
-----------------------------------------
การเดินทางผ่านเงาใช้เวลาไม่นานและยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีกเมื่อเงาที่ใช้ในการเดินทางเป็นเงาของความตาย ร่างสูงของคริสเดินออกมาจากความมืดมิดในราตรีกาล แสงนวลจากจันทราอาบไล้ไปทั่วใบหน้าคมคายของเขาให้ดูงดงามราวกับรูปปั้นกรีก หากแต่ก็ฉายชัดให้เห็นถึงความผิดปกติในร่างกายนั้น เมื่อที่หัวใจของเขากำลังพิกลพิการด้วยความโกรธแค้นและเศร้าโศกจนมันเริ่มบิดเบี้ยวไปเรื่อยๆ และยากที่จะกู้กลับคืนมาให้เป็นดังเดิม…
ขายาวออกเดินไปตามสุสานในแวนคูเวอร์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน สภาพอากาศที่หนาวเหน็บเสียจนเกือบติดลบ ไม่สามารถทำอะไรคริสได้ อาจเพราะสภาพอากาศเช่นนี้ใกล้เคียงกับในนรกบ้านเกิดของเขามาก จะต่างกันตรงที่ที่นี่ไม่มีความชื้นและกลิ่นไอแห่งความตายที่ชวนขนหัวลุก
ร่างสูงทรุดนั่งลงหน้าหลุมศพหลุมหนึ่งที่ป้ายหลุมสะอาดเอี่ยมอ่อง ไร้หิมะมาเกาะให้รกตา ที่แท่นหินสลักชื่อ ชะตา มรณะ และคำสดุดีถึงผู้ที่จากไป นิ้วยาวลูบไปตามข้อความ ก่อนจะหลับตาลง แล้วพิงศีรษะกับแท่นหินนั้น
“แม่ครับ…” สุ่มเสียงที่ฟังดูอิดโรยและเหนื่อยอ่อนถูกเอ่ยออกมาจากปากหนา เขากำลังอ่อนแอ และกำลังโหยหาความรักจากครอบครัว เพราะครอบครัวของชานยอล โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นที่พยายามเสนอตัวเป็นแม่ และมอบความรักให้เขาอย่างที่เขาไม่เคยร้องขอ และไม่มีวันจะทำ
“ผมจะไม่ให้เขามาแทนที่แม่เด็ดขาด ผมสัญญา”เสียงของเขาเบาแต่หนักแน่น ตาคมเหลือบมองชื่อแม่ของเขา ก่อนจะลูบมันอย่างโหยหา พลางคิดว่าถ้าตอนนี้แม่ยังมีชีวิตอยู่ แม่จะโอบกอดเขาที่อ่อนแอไว้มั้ย จะปลอบขวัญเขาบ้างรึเปล่า จะดูแลเอาใจใส่เหมือนอย่างที่ป้าชานยอลทำให้ชานยอลบ้างมั้ย จะรักเขา ห่วงเขา ดูแลเขามากขนาดไหน เขาอยากจะรู้จริงๆ…
เป็นดั่งหมาป่าหลงฝูง ที่อาภัพ
ไร้รักจากครอบครัว
เฝ้าเตร็ดเตร่พเนจรอย่างเดียวดาย
คริสนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไปไหน เขายังคงมองไปที่ป้ายหลุมศพด้วยสายตาแบบเดิม คือสับสน ว่างเปล่า และไร้หนทาง สิ่งเดียวที่โหยหาตอนนี้คือครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาไปด้วย พ่อ แม่ และลูก…
ในวัยเด็กครอบครัวของเขามีแต่ฮาเดสเท่านั้น เขาจดจำแต่เพียงแต่นั่นคือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกแล้ว มีพ่อเป็นเทพเจ้า เป็นนายเหนือหัวของความตาย ไม่มีอะไรจะมาต้านทานพ่อของเขาได้อีกแล้ว แต่เพราะอย่างนั้นมันทำให้พ่อและเขาเกิดช่องว่างของฐานะ พ่อเป็นเทพเจ้า เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เทพเจ้ามีงานล้นมือ มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีมากมายที่ต้องแบกรับจนไม่อาจลดตัวลงมายุ่งกับเขาได้มากนัก แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามคิดว่าครอบครัวของเขาสมบูรณ์แบบอยู่ดี จนกระทั่งเมื่อโตขึ้นได้เห็นและรู้อะไรมากขึ้น เขาก็เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีอยู่มันไม่สมบูรณ์…
เขาขาดแม่
เขาไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้อาจเอื้อมรับรู้ความรู้สึกของคนที่มีแม่ว่าเป็นเช่นไร บ่อยครั้งที่เกิดคำถามว่ามันเป็นอย่างไรหรือตอนที่แม่ห่วง มันเป็นอย่างไรหรือตอนที่แม่ดุว่า ความรู้สึกที่เราเป็นคนสำคัญ เป็นแก้วที่ใครสักคนถะนุดถนอมเท่าชีวิต มันเป็นอย่างไร แล้วทำไมบางคนถึงได้หงุดหงิด ต่อว่าแม่ รำคาญแม่ ทำเหมือนแม่ไม่สำคัญ ต่างจากเขาที่อยากได้ยินเสียงแม่ อยากให้แม่ห่วง อยากรู้ว่าการเป็นที่รักของคนอื่นมันเป็นยังไง…
แม้ว่าเขาจะคิดอย่างนั้น แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เอาแต่ใจกับฮาเดส คิดมาตลอดว่าพ่อทำหน้าที่พ่อที่ดีที่สุดแล้ว จะไม่งอแงหรือเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะสิ่งที่ได้มันมากพอแล้ว เขาฝังกลบความน้อยใจและขาดความรักของตัวเองด้วยการชื่นชมในตัวพ่อของเขา ซึ่งมากจนพัฒนากลายเป็นความศรัทธา และยึดพ่อเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…
คนที่ศรัทธา พรากสิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตไป
ภาพเหตุการณ์ในวัยเด็กไหลย้อนกลับเข้ามาซ้ำๆ สะกิดแผลในหัวใจที่ตกสะเก็ดไปแล้วให้เหวอะหวะอีกครั้ง ถ้อยคำที่เพอร์เซโฟเน่พูดดังก้องอยู่ในโสตประสาทราวกับมีนางไม้เอคโค่มาสิงสถิตอยู่ในหู แต่อะไรไม่เลวร้ายเท่าท่าทีที่ยอบรับคำกล่าวหาของฮาเดส...
พ่อฆ่าแม่
ความเจ็บปวดและโทษทัณฑ์เดียวที่เขาไม่อาจอโหสิกรรมให้ได้
“ผมจะไม่ยอมให้การตายของแม่ต้องสูญเปล่า คนสารเลวนั่นต้องได้รับบทเรียน”คริสพูดกับหลุมศพ ก่อนที่สายลมอ่อนๆหอบหนึ่งจะพัดผ่านมา พืชพันธุ์พฤกษาในอาณาบริเวณเหมือนได้รับแสงอาทิตย์และหยาดน้ำทิพย์ที่พวกมันรัก กิ่งก้านใบและดอกไม้ต่างๆกลับมาเขียวชอุ่มและงอกงามอีกครั้ง
ร่างๆหนึ่งค่อยๆเผยตัวออกมาจากความมืดมิดช้าๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาคริสด้วยท่าทางนอบน้อมติดจะเกรงกลัว ร่างสูงเปรยตามอง ก่อนจะหลับตานิ่งข่มอารมณ์ เขาไม่ชอบให้ใครมาที่นี่ และยิ่งเกลียดเมื่อคนคนนี้มา…
“ใครใช้ให้มา! คยองซู”
“ผม ผม มีเรื่องมารายงาน”
“แล้วจำเป็นต้องมาที่นี่เลยงั้นหรอ!!!”
“ผม ผม ผมไม่รู้ ผมแค่มารายงานเรื่องที่โรงเรียนเฉยๆ”คนถูกขู่ก้มหน้าพูดไปตามจริง เขาตามมารายงานคริสที่นี่ เพราะเห็นว่าร่างสูงอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนเวลาส่วนตัวหรืออะไรเลย
ดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่รายล้อมค่อยๆแห้งเหี่ยวและตายลงอย่างช้าๆราวกับว่าพวกมันกำลังตอบสนองต่อความกลัวของร่างเล็กอยู่
“กล้าดียังไงเข้ามาที่นี่ คนน่าขยะแขยงอย่างนายไม่สมควรจะมาในที่สูงส่งที่แม่ฉันอยู่!!!”ฉับพลันนั้นร่างของคยองซูก็ถูกคริสกระชาก ก่อนจะผลักให้คุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพของแม่เขา
“ก้มหัวให้แม่ฉันซะ ไอ้ลูกนังอสรพิษ”มือหนากดศีรษะร่างเล็กลงอย่างแรงจนกระแทกขอบแท่นหิน เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากแผล พร้อมกับความเจ็บปวดที่กรีดแทงลงไปในจิตใจร่างเล็ก เขาไม่น่ามาที่นี่เลยจริงๆ ไม่ควรจะโง่ตามคริสมาเลย ไม่งั้นก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“จำใส่กะโหลกไว้! สุสานแห่งนี้ไม่ต้อนรับเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้หญิงเลวๆอย่างเพอร์เซโฟเน่ แม่ของนาย!!!” หยดน้ำตาร่วงเผาะพร้อมกับที่คริสลากเขาออกมาจากสุสาน คำพูดของร่างสูงยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทราวกับต้องการจะตอกย้ำความจริงที่น่าหดหู่นี้
เรื่องน่าเวทนาที่เขาดันเกิดเป็นลูกของเพอร์เซโฟเน่กับมนุษย์ คริสถึงได้เกลียดชัง และอาฆาตพยาบาท ความเกลียดของร่างสูงมีมากจนถึงขั้นจับเขามาเป็นคนรับใช้เพื่อเยาะเย้ยเพอร์เซโฟเน่ และสร้างความเจ็บใจชอกช้ำให้กับเธออย่างสาสมที่เคยทำไว้กับเขา
นั่นคือความจริงที่เขารับรู้ และคอยย้ำเตือนให้อยู่ห่างจากร่างสูงมาตลอด แต่ครั้งนี้เขาทำพลาดไป เขาเข้ามาก้าวก่ายในพื้นที่ต้องห้ามของคริส…
“มีเรื่องอะไรที่โรงเรียน” คริสทำน้ำเสียงกรรโชกและรำคาญ เขาไม่ต้องการให้คนน่าขยะแขยงคนนี้อยู่ที่นี่นานนัก เพราะที่นี่คือที่ที่เป็นของเขา ที่ที่มีแค่เขากับแม่เท่านั้น
เปรียบเสมือนสถานที่พักพิง
เพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
“ทางโรงเรียนมีธุระสำคัญให้ประธานนักเรียนต้องไปจัดการ ท่านต้องรีบกลับไป”คริสกรอกตาไปมาก่อนจะเหลือบมองดูดอกไม้ที่ร่วงโรยช้าๆด้วยแววตารังเกียจ ฉับพลันนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นบดขยี้ดอกไม้ให้เละแหลกคาพื้นดิน บรรยากาศรอบๆค่อยๆหดหู่และมืดมนลงช้าๆ กลิ่นไอแห่งความตายและความโกรธคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ จนดวงวิญญาณที่อยู่ในสุสานหนีกระเจิง และพืชพรรณเหี่ยวเฉาไปหมด
“คราวหลังอย่าได้สะเออะมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”ร่างสูงพูดเสียงเย็นเยียบ ดวงตาคมท่อประกายสีทองที่แววโรจน์ด้วยความโกรธเกลียด
“ผม ผม ผมจะไม่มาอีก ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ”
“โรงเรียนให้กลับภายในวันไหน”
“พรุ่งนี้ครับ เอ่อ….ท่าน ท่านจะกลับเลยรึเปล่าครับ”คริสนิ่งเงียบไป การปรากฏตัวของคยองซูเป็นดังเชื้อเพลิงที่เติมเปลวไฟแห่งการล้างแค้นให้กับเขา และตอนนี้เขาก็เริ่มคิดอยากจะสั่งสอนคนเสียแล้ว…
หากพรุ่งนี้เขาต้องกลับแล้ว เขาก็ขอฝากความทรงจำกับครอบครัวนั้นไว้ก่อนจะกลับไปก็แล้วกัน ดวงตาคมเหลือบมองหลุมศพแม่ของเขาเล็กน้อย พลางคิดถึงใครบางคนที่กล้ามาเสนอตัวแทนที่แม่ของเขา…
ไม่มีวันซะหรอก
ไม่มีวันที่ผู้หญิงอย่างนั้นจะเทียบแม่ของเขาได้!!!
“ฉันยังไม่กลับ”คริสเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“มีธุระต้องไปสั่งสอนคนไม่เจียมตัวสักหน่อย”
-----------------------------------------------
ภายในบ้านริมหาดสีฟ้าหลังเล็กๆ ชายหญิงต่างวัยคู่หนึ่งกำลังจ้องมองไปที่นาฬิกาสลับกับมองหาใครบางคนว่าเมื่อไรจะกลับมา คนหนึ่งมองหาด้วยความห่วงใย ในขณะที่อีกคนกำลังกังวลถึงคนที่ห่วงอีกฝ่ายมากกว่า จานกับข้าวจานหนึ่งถูกเก็บไว้ในห้องครัวราวกับรอให้คนในครอบครัวอีกคนหนึ่งที่ยังไม่กลับมาได้มาทาน จนเวลาล่วงเลยไปได้สักพัก อาหารในจานเริ่มเย็นชืดเหมือนกับสภาพอากาศที่ค่อยๆหนาวเย็นในยามค่ำคืน เด็กหนุ่มก็อดรนทนไม่ไหว จำต้องปริปากพูดทำลายความเงียบออกมา
“คุณป้าครับ”
“รออีกสักหน่อยเถอะชานยอล คริสอาจกลับมาก็ได้”เธอพูดอย่างรู้ทันความคิดของชานยอล
เด็กหนุ่มเม้มปากอย่างลำบากใจก่อนจะถอนหายใจแล้วนิ่งเงียบ พลางคิดในใจว่า แล้วถ้าคริสไม่กลับมาล่ะ จะทำยังไง แต่เขาก็ไม่เลือกที่จะไม่พูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด เพราะกลัวว่าจะทำให้คนฟังเสียใจ
หลังจากที่รู้ความจริง ชานยอลไม่อาจทำใจให้เกลียดชังคริสได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่เคยทำ เขารู้สึกสงสาร และเห็นใจผู้ชายคนนี้เสียมากกว่าจะเยาะเย้ย ชะตากรรมของคริสโหดร้ายและทารุณต่อหัวใจคนคนหนึ่งมากเกินไป เขาถูกทำลายความเชื่อทั้งหมดจากคนที่ตัวเองศรัทธา ซ้ำยังเดินหน้าแก้แค้นเพื่อแม่ ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าหนทางนั้นมันช่างไร้ประโยชน์มากแค่ไหน จะหวังก็แต่อย่าให้ผู้ชายคนนั้นทำเรื่องผิดบาป ร้ายแรง ทำร้ายแม่ตัวเองไปมากกว่านี้เลย เพราะเขาทนไม่ได้ที่จะเห็น คนสำคัญเสียใจ และทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกแท้ๆทำร้ายแม่ตัวเอง…
กรุ่ง กริ๊ง
เสียงกริ่งตรงประตูเรียกความสนใจจากคนทั้งสอง ร่างสูงของคริสยืนอยู่ที่กรอบประตู สีหน้าและท่าทางของเขาไม่บ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ชานยอลก็เฝ้าภาวนาในใจว่าขออย่าให้คิดแผนการเล่นงานแม่ตัวเองอีกเลย
ป้าของชานยอลกระวีกระวาดเข้าไปหา ท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างนั้นทำเอาชานยอลน้อยใจ รู้สึกตัวเองถูกลดอันดับลง ขาเรียวเดินเลี่ยงเข้าไปหลบอยู่ในครัว ทนไม่ได้จริงๆหากต้องเห็นภาพความห่วงใยแบบนั้น
“นี่หายไปไหนมา ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะไปไหน รู้มั้ยว่าป้าเป็นห่วงแทบแย่ นี่ยังไม่ได้ทานอะไรใช่มั้ย มากินก่อนสิ”ป้าของชานยอลพูดราวกับคริสเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่ดูแลตัวเองไม่ได้และต้อง
ได้รับการปกป้องจากเธอ มือบางของเธอยกจานข้าวมาให้คริส
“ผมไม่หิวครับ ขอบคุณนะครับ”เธอกำลังล้ำเส้นมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังก้าวก่ายหน้าที่ของแม่มากขึ้นทุกที กำลังทำให้คริสเริ่มหมดความอดทนที่จะเสแสร้ง
“แต่เราต้องกินนะ โดนพิษแมงกะพรุนไม่ใช่หรอ ถ้าแผลมันอักเสบจะเป็นไข้เอาได้นะ ไหนป้าขอดูแผลหน่อย” เธอพูดก่อนจะคว้าแขนคริสมา ร่างสูงรีบชักแขนหนีทันที จะไม่มีวันยอมให้มือสกปรกๆของมนุษย์ชั้นต่ำที่กล้าดีมาแทนที่แม่ของเขาแตะต้องตัวเด็ดขาด แม่ของเขาสูงส่งและเลอค่ามากกว่าผู้หญิงคนนี้ อย่าได้สะเออะเอาตัวมาเทียบเคียง!!!
ดวงตาหวานมองชายหนุ่มอย่างห่วงใยก่อนจะพยายามเกลี่ยกล่อมให้คริสอ่อนลงด้วยคำพูดและหลักเหตุผลต่างๆนานา แต่เธอ…..คิดผิดที่พูดมันออกมา
“ป้าเป็นห่วงเรานะ นึกซะว่าป้าเป็นแม่คนหนึ่งได้มั้ยลูก ให้ป้าดูแลเรา….” มือบางที่จะเอื้อมไปสัมผัสถูกปัดทิ้ง ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกผลักไปชนกำแพง แล้วตามมาด้วยถ้อยคำที่เสียดแทงไปถึงขั้วหัวใจจากปากลูกแท้ๆของตัวเอง
“ไม่มีทาง! คนอย่างคุณมันก็แค่มนุษย์ชั้นต่ำ เป็นได้แค่เมียน้อยของโพไซดอน ไม่มีค่าอะไรให้ผมนับถือ เทียบอะไรกับแม่ของผมไม่ได้เลยสักนิด อย่าได้สะเออะเสนอตัวเป็นแม่ของผมอีก ผมไม่
ต้องการ!!!” คริสพูดจบก็เดินหนีขึ้นชั้นสองไปทันที ปล่อยให้หญิงวัยกลางคนชะงักงันอยู่กับคำพูดของลูกแท้ๆ…
มนุษย์ชั้นต่ำ
เมียน้อยของโพไซดอน
อย่าได้สะเออะเสนอตัว
ในสายตาของลูก แม่เป็นได้แค่นี้ใช่มั้ย…
“คุณป้า!!!”ชานยอลที่อยู่ในห้องครัวรีบวิ่งออกมาหาป้าของเขา ก่อนจะพยุงเธอให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้
“คริสทำร้ายคุณป้าอีกแล้วหรอครับ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มบางๆทั้งๆที่กำลังหลั่งน้ำตาอยู่ หัวใจดวงน้อยของชานยอลปวดหนึบเมื่อเห็นความเจ็บปวดของผู้หญิงที่เขานับถือเป็นแม่แท้ๆ
“ทำไมคุณป้าต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”
“คริสต่างหากที่ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”เธอพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยและเหนื่อยอ่อน ความเจ็บปวดจากแผ่นหลังที่ฟกช้ำไม่เท่าความทรมานที่เห็นลูกชายเป็นเหมือนหมาป่าที่คลุ่มคลั่งทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่หวังดีกับตัวเอง
“ผมทายาให้คุณป้าดีกว่า” ชานยอลเปลี่ยนเรื่อง เพราะเขาไม่อาจจะทนฟังเรื่องราวอันน่าเจ็บปวดจากปากของหญิงคนนี้ได้อีกแล้ว มือเรียวเอื้อมไปหยิบหลอดยา ก่อนจะป้ายยาลงไปบนแผ่นหลังของเธอช้าๆ ขณะที่ทาไป น้ำตาก็แทบจะร่วงเผาะลงมา เขาสงสารป้า เสียใจแทนที่ป้าผู้แสนดีของเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ทั้งๆที่เธอไม่ควรจะมาเจอกับมันเลยสักนิด
“คุณป้าขึ้นนอนเถอะครับ พักผ่อนเยอะๆ”ชานยอลพูดขณะที่พยุงเธอขึ้นมายังชั้นสอง ดวงตาหวานของเธอมองไปยังห้องฝั่งตรงข้ามที่คริสอยู่ด้วยแววตาเป็นกังวล
“แล้วคริสล่ะ แผลของเขายังไม่หายเลย”
“เดี๋ยวผมไปดูเขาให้ครับ คุณป้านอนเถอะนะ” เธอพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเดินกลับเข้าไปในห้อง และทันทีที่ประตูปิดลงชานยอลก็ทรุดตัวนั่งร้องไห้กับพื้น ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับเขาไม่ใช่ที่
หนึ่งของป้าอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ลูกรักที่เธอจะถามถึงคนแรกอีกแล้ว เขาเป็นแค่ตัวสำรอง เป็นแค่เบอร์สองที่ไม่สำคัญอะไรเท่ากับคริสเลย เหมือนกับเขาไม่เป็นที่ต้องการในบ้านหลังนี้อีกแล้ว…
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจถอดทิ้งร่างสูงคนนั้นได้ ในเมื่อเขาคือคนเพียงหนึ่งเดียวที่มีค่าและสามารถทำให้ป้าของเขากลับมามีความสุขได้…
มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเอื้อมไปบิดลูกบิดประตูห้องของคริสให้เปิดออก ภายในห้องมืดสลัว มีเพียงแต่แสงเดือนแสงดาวที่สาดส่องมาเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่าง ร่างร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้วยท่าทีสงบและสง่างามอย่างครั้งแรกที่เขาเคยเจอที่ท้องพระโรงของพระราชวังฮาเดส ร่างโปร่งเดินเข้ามาทรุดนั่งข้างเตียงบริเวณใกล้ๆกับร่างสูง ทุกการกระทำของเขาถูกจับตาด้วยดวงตานับสิบคู่ของเหล่าดวงวิญญาณและสุนัขปีศาจที่อารักษ์ขาผู้เป็นนายของมันอยู่
“แผลเป็นยังไงบ้าง”แววประหลาดใจฉายอยู่ในดวงตาคมคู่ที่จับจ้องมายังชานยอล
“ใครใช้ให้มา ผู้หญิงนั่นรึไง”ชานยอลเม้มปากแน่น ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆแล้วเอ่ยตอบ
“ฉันมาเอง ขอดูแผลหน่อย” มือเรียวจับแขนของคริสขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดไฟเพื่อให้สะดวกแก่การมองเห็นแผล นิ้วเรียวไล้นิ้วตรวจดูแผลเบาๆ ดวงตากลมโตเพ่งดูลักษณะของแผลอย่างตั้งใจ ปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อเห็นอาการของแผลที่รุกรามมากขึ้นกว่าเดิม นึกแปลกใจไม่น้อยที่ร่างสูงทนพิษของมันไปได้ยังไงตั้งนานสองนานโดยไม่แสดงความเจ็บปวดอะไรเลย
“ทนไปได้ยังไงกัน คราวหลังอย่าปล่อยทิ้งไว้นานแบบนี้อีกนะ พิษแมงกะพรุนตัวนั้นมันร้ายแรงมากเลยนะ” ชานยอลพูดพร้อมกับแตะนิ้วเบาๆที่ปากแผลถลอกก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับเลือดเบาๆ
“จะมาทำแผลหรือจะมาพูด” ชานยอลมองหน้าคริสเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“เดี๋ยวจะช่วยรักษาให้ แต่ทรมานหน่อยนะ” คริสมองการกระทำของชานยอลอย่างไม่เข้าใจ ร่างโปร่งที่เขารู้จักไม่เคยทำดีกับเขาเลยสักครั้ง แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เป็นห่วงเป็นใยเขาขนาดนี้
ดวงตาคมลอบมองเสี้ยวหน้าห่วงใยของอีกฝ่ายที่ถูกแสงจันทร์ต้องก่อนจะสะดุดตาเข้ากับคราบน้ำตาและเศษเสี้ยวของความเสียใจที่ยังอยู่บนดวงหน้านวล
“ร้องไห้มาทำไม”
“ไม่มีอะไร”
“บอกฉันมา”
“ไม่มีอะไรหรอก” ยิ่งถูกถามก็เหมือนยิ่งถูกสะกิดแผลในใจตัวเอง หยาดน้ำตาที่แห้งไปแล้วเอ่อล้นอยู่ริมขอบตาอีกครั้ง ชานยอลยกมือขึ้นเตรียมจะเช็ดมันออก แต่ก็ถูกร่างสูงจับมือไว้เสียก่อน
“ใครทำให้นายเสียใจ ตอบฉันมา” ชานยอลก้มหน้าพร้อมกับส่ายหน้ารัว พยายามซ่อนน้ำตาแห่งความอ่อนแอเอาไว้ไม่ให้คริสเห็น
“จำไว้นะชานยอล นอกจากฉันแล้ว ใครก็ไม่มีสิทธิทำให้นายเสียใจทั้งนั้น เลิกร้องไห้แล้วทำแผลได้แล้ว”
“อื้อ” ชานยอลพยักหน้าก่อนที่มือเรียวจะเทน้ำลงไปที่แผล แล้วอังมือเหนือมัน จากนั้นก็หลับตาเพ่งจิตสั่งให้น้ำเข้าไปแทรกตัวตามบาดแผล น้ำที่แทรกเข้าไปขยายตัวให้ปากแผลขยายกว้างออก จนเลือดไหลออกมาจากบาดแผลจำนวนมาก ความเจ็บปวดทวีคูณมากขึ้นเหมือนมีใครเอาครีมเหล็กมาถ่างแผลออก แล้วเอาเกลือมาป้าย
นิ้วเรียวลูบไล้เบาๆไปตามรอยแผล แสงสีฟ้าครามเรืองรองออกมาตามจังหวะการลากนิ้ว พร้อมกับความเจ็บปวดที่ค่อยๆทุเลาลง แต่แล้วจู่ๆ อยู่ดีๆควันสีเทาก็ปะทุขึ้นมาจากแผลบริเวณหนึ่ง ชานยอลรีบก้มลงไปเป่าแผลอย่างร้อนใจ
“เจ็บรึเปล่า” เขาเอ่ยถามทั้งๆที่ยังขะมักเขม้นอยู่กับการรักษาแผลบริเวณนั้น คริสลอบมองด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป…
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
คำพูดที่ดูเป็นกังวล
ทำให้หัวใจของเขารู้สึกดีแปลกๆ…
“นี่ เจ็บมั้ย”ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาถาม ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความกังวลสบเข้ากับดวงตาคมกริบที่กำลังประหลาดใจ หัวใจที่ด้านชากระตุกวูบไหวแปลกๆ ราวกับมันได้เจอความห่วงใยรูปแบบที่ไม่เคยพบเจอในชีวิตมาก่อน
“อ๊ะ โอ๊ยยย”ชานยอลกดที่ปากแผลของเขาแรงๆจนเจ็บไปหมด
“ถาม ตอบสิ เจ็บมั้ย ทนไหวรึเปล่า”
“ทำๆไปเถอะ”ชานยอลเผลอขมวดคิ้ว เบ้ปากไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะอังมือเหนือแผลสมานความเจ็บปวดให้ต่อ จวบจนแสงเรืองแสงสุดท้ายปรากฏขึ้น ความทรมานจากบาดแผลก็สลายหายไปเหลือแต่อาการชาเล็กน้อย
“นี่จะช่วยให้หายหรือเป็นหนักขึ้น”คริสพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเมื่อเขาต้องทนรับความเจ็บปวดจากการรักษาเมื่อครู่
“ก็หายแล้วนี่นา เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งอาการชาจะหายไป” ชานยอลว่าก่อนจะยันตัวลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกไป แต่ก็ถูกคริสรั้งไว้เสียก่อน
“ทำไมจู่ๆถึงมาทำดีกับฉัน”ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันสงสารคุณป้า”เฉียบพลันนั้นความโกรธเกลียดก็แล่นแปลบเข้ามาในจิตใจร่างสูง
“ ผู้หญิงนั่นตายไปรึยังล่ะ”
“คริส…ขอร้องล่ะ หยุดทำแบบนี้เถอะ หยุดทำร้ายคุณป้า หยุดพูดจาไม่ดี หยุดทำให้เสียใจ หยุดทำร้ายร่างกายเธอเถอะนะ อย่าทำบาปไปมากกว่านี้เถอะ เพื่อตัวฉันเอง…………แล้วก็เพื่อตัวนายด้วย” ความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตาของร่างสูง ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยแววตานึกสนุก
“ฉันจะทำก็ได้ แต่ให้แลกกับอะไรล่ะ”ชานยอลนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันจะยอมเชื่อฟังนายทุกอย่าง”
“พิสูจน์ตัวเองได้มั้ย” ชานยอลชะงักงัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าวิธีพิสูจน์ตัวเองกับคริส มีเพียงแค่วิธีเดียว…
ขาเรียวเดินเข้าไปหาคริส ก่อนจะค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนตักร่างสูง พร้อมกับเกี่ยวแขน โอบรอบคออีกฝ่ายเอาไว้…
หนทางเดียวที่ว่านั่น คือหนทางเดียวกันกับที่คริสใช้มันทำลายเกียรติแห่งโพไซดอนของเขา….
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น