ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The dark ocean [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 11...เรื่องของแม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.89K
      19
      29 มิ.ย. 56

    ชานยอลตัวแข็งทื่อ เหมือนมีคมมีดเย็นเยียบมาจ่ออยู่ที่คอหอย เลือดในกายราวกับหยุดไหลเวียนไปชั่วขณะหนึ่ง ภาพรอยยิ้มและสีหน้าที่ดูไม่ยี่หระของคริสยังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงคำนึง น้ำเสียงที่ฟังดูสบายๆแต่แฝงไปด้วยเจตนาร้ายดังก้องอยู่ในหัวซ้ำๆ 
     
     
     
    “ว่า ไงนะ”ชานยอลพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่กลบเกลื่อนความหวาดกลัวและตกใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
     
     
     
            คริสกระตุกรอยยิ้มราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกสนานที่ชวนให้ขบขัน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกโดยแพทย์และนางพยาบาลผู้ดูแลเสียก่อน
     
     
     
    “ใครเป็นญาติผู้ป่วยครับ”
     
     
    “ผมครับ!”ชานยอลยกมือขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหานายแพทย์แล้วรัวคำถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนเป็นห่วงทันที
     
     
    “คุณป้าของผมเป็นยังไงบ้างครับ”
     
     
    “มีฟกช้ำนิดหน่อยตามตัว แล้วก็ศีรษะแตก หมอได้ทำการเย็บให้แล้วนะครับ แต่เพื่อความไม่ประมาท หมอจะขอแอดมิทผู้ป่วยอยู่รอดูอาการที่นี่ เผื่อมีเลือดคลั่งในสมองจะได้รักษาทันท่วงที” เหมือนปัญหายังไม่หมด เรือยังข้ามไปไม่ถึงฝั่ง ความโล่งอกของชานยอลจึงดำเนินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น
     
     
    “ระยะเฝ้าดูกี่วันครับ”
     
     
    “สองครับ เดี๋ยวคุณไปเดินเรื่องผู้ป่วยกับพยาบาลคนนี้เลยนะครับ”เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินตามพยาบาลไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อคำพูดของหมอดังขึ้นด้านหลัง
     
     
    “คุณก็เป็นญาติคนไข้เหมือนกันใช่มั้ยครับ เดี๋ยวเราจะย้ายผู้ป่วยไปยังห้องพักก่อน จะได้ไม่เสียเวลา”นายแพทย์บอกกับคริส คำเตือนของฮาเดสแวบเข้ามาในหัวของชานยอลทันที  อย่าให้เขาเข้าใกล้หญิงผู้นี้....
     
     
    “มะ ไม่! ไม่ครับ เขาจะไปกับผม”ชานยอลโพล่งขึ้นมาอย่างรนราน  ก่อนจะกระตุกแขนคริสให้เดินตามตนมา ร่างสูงแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะแย้ง
     
     
    “ฉันอยู่ที่นี่ดีกว่า ถ้าคุณป้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครเลย อาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้นะ นายไปทำเรื่องห้องพักเถอะ ทางนี้ฉันจะดูแลเอง”
     
     
    “ดีเหมือนกันครับ ผมจะได้บอกเรื่องวิธีดูแลและสังเกตอาการผู้ป่วยหากมีเลือดคลั่งในสมองกับเขาไปเลย จะได้ไม่เสียเวลา” คำทักท้วงของชานยอลถูกหยุดด้วยประโยคตัดบทของนายแพทย์หนุ่ม
     
     
    “เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” นายแพทย์เดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับคริสที่เดินตามหลังมา รอยยิ้มร้ายที่แสนอันตรายถูกวาดขึ้นที่ริมฝีปากหนาก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินจะปิดลง ตัดขาดชานยอลออกจากภายใน
     
     
    “ไปกันเถอะค่ะ”พยาบาลเอ่ยเร่ง เป็นเหตุให้ชานยอลต้องจำใจเดินตามไป เขาพยายามปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลต่างๆนานาว่ามีหมอและพยาบาลอยู่ด้วย คริสคงไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งนักหรอก  และการเดินเรื่องแอดมิทก็คงจะกินเวลาไม่นานเท่าไร เขาอาจจะกลับมาถึงภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเลยก็ได้ แต่ถึงกระนั้นหัวใจดวงน้อยๆก็ยังคงสั่นระริก  คำเตือนของฮาเดสดังซ้ำๆราวกับไซเรนที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในสมองของเขา....
     
     
     
     
    อย่าให้เขาเข้าใกล้หญิงผู้นี้...เด็ดขาด
     
     
     
     
    “พี่พยาบาลครับ รีบหน่อยได้มั้ยครับ” ชานยอลเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
     
     
     
    “ ผมสังหรณ์ใจไม่ดี”มือเรียวที่สั่นระริกกำแน่น ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น อยากจะทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุด เพราะไม่ใช่เรื่องฉลาดนักที่เขาจะปล่อยคริสให้อยู่กับป้าของเขาแม้จะมีคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม...
     
     
     
     
     
    ----------------------------------------------
     
     
     
     
     
    “การดูแลผู้ป่วยก็ไม่มีอะไรมากนะครับ แผลฟกช้ำก็แค่ทายาในจุดที่ช้ำมากๆ แต่ส่วนที่ไม่เป็นอะไรมากก็ปล่อยไว้ก็ได้เดี๋ยวมันก็หายไปเอง  แต่ที่ผมห่วงคืออาการเลือดคลั่งในสมอง ถ้าผู้ป่วยรู้สึกปวดหัวมากๆ มีอาการคลื่นไส้ ซึมลงเรื่อยๆ ก็ขอให้เรียกหมอให้เร็วที่สุดนะครับ” เสียงนายแพทย์พูดขึ้นในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ คริสพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก ก็แล้วจะให้สนใจไปทำไมล่ะ....ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้เสียหน่อย
     
     
     
     
           พื้นที่ในหัวสมองของเขาถูกจับจองด้วยภาพเหตุการณ์ครั้งที่เขาบอกจะเอาชีวิตของชานยอล  เดิมทีนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอก  แต่หลังจากที่เขาทบทวนแผนการใหม่ทั้งหมด การเอาชีวิตถือเป็นหนทางที่ทรงพลังที่นำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของเขาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด...
     
     
     
     
       เพราะการกระชากวิญญาณบุตรแห่งโพไซดอนให้ดำดิ่งสู่นรกภูมิ ย่อมต้องทำให้สมุทรเทพพิโรธหนักจนต้องลงมายังแดนบาดาลเพื่อทวงคืนดวงวิญญาณของลูกตน และเมื่อถึงเวลานั้น ฮาเดส เทพแห่งความตายผู้เข้มงวดต่อกฎจะยอมให้สมุทรเทพทำเช่นนั้นหรือ...
     
     
     
     
    หนึ่งคือความพิโรธของมหาสมุทร
     
     
    อีกหนึ่งคือความเข้มงวดของเจ้าบาดาล
     
     
    สองขั้วอำนาจที่ไม่มีวันลดละ หนทางเดียวที่จะยุติความวุ่นวายทั้งหมดนี้จึงหนีไม่พ้น...
     
     
     
    การทำสงคราม!!!
     
     
     
     
     
       คริสแย้มยิ้มกับความคิดของตัวเอง เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงคราม แต่เขาสนใจแค่ชนวนที่ก่อให้เกิดสงครามเท่านั้น เพราะทุกคนจะจดจำว่าเขา บุตรแห่งฮาเดสเป็นผู้จุดชนวนนำเอาความพินาศและอัปยศมาสู่องค์เทพผู้เป็นบิดา!!!
     
     
     
     
     
            เสียงต่อว่าครหาถึงการไร้ความรับผิดชอบต่อบุตรของตนก็จะตามมาตอกย้ำและซ้ำเติมชื่อเสียงของฮาเดสให้ป่นปี้และย่อยยับยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ความเจ็บแสบที่พ่อได้รับจะหนักหนาสากันยิ่งกว่าครั้งที่เคยทำไว้กับเขา!!!
     
     
     
     
    “คุณครับ….”เสียงนายแพทย์หนุ่มดึงเขาออกจากภวังค์ คริสเปรยตามองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้
     
     
     
    “ผมจะทำตามที่คุณหมอบอกทุกอย่างเลยนะครับ ถ้ามีอะไรผมจะรีบแจ้งทันที” คริสตอบรับไปอย่างนั้น
     
     
    “ครับ งั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ”
     
     
    “ครับ ขอบคุณคุณหมอมาก”คริสพูดพร้อมกับโค้งศีรษะให้ และทันทีที่ประตูห้องพักปิดลงบรรยากาศในก็ห้องดำมืดลงด้วยรังสีหมองหม่นราวกับคลื่นแห่งความตายกำลังกลืนกินห้องทั้งห้อง วิญญาณอารักษ์ขาของคริสค่อยๆปรากฏกายขึ้นที่มุมห้อง พร้อมกับสุนัขปีศาจสองตัวที่เยื้องย่างมาหมอบขนาบข้างเขาช้าๆ 
     
     
     
     
              ร่างสูงทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ คราบเทพบุตรผู้ใจดีถูกแทนที่ด้วยปีศาจแสนชั่วร้าย ตาคมเหลือบมองร่างของหญิงผู้นั้นด้วยแววตาเรียบเฉยราวกับความเจ็บปวดของเธอไม่มีผลอะไรต่อจิตใจของเขาเลยสักนิด...
     
     
     
     
     
          โอฟิอุสมองผู้เป็นนายก่อนจะหันไปมองหญิงเคราะห์ร้ายที่เป็นเหยื่อในเกมส์ของร่างสูง  ฉับพลันนั้นดวงตาอย่างดวงวิญญาณของเขาก็เบิกโพล่งตกใจ วิญญาณกระตุกไหวพร่าเรือนไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามควบคุมสติแล้วหันมาพูดกับผู้เป็นนาย 
     
     
     
     
     
    “ท่านคิดจะทำอะไร ท่านคริส”
     
     
     
    “ไม่ใช่เรื่องของนาย โอฟิอุส”โอฟิอุสตั้งท่าจะแย่งต่อ แต่ก็ต้องรีบเลือนหายไปเมื่อร่างบนเตียงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ
     
     
    “ชะ ชาน” จู่ๆคนที่นอนสลบอยู่บนเตียงก็ร้องเรียกหาเด็กหนุ่ม  ดวงตาที่หนักอึ้งของเธอค่อยๆปรือขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัว  
     
     
     
    “ชานยอลไปทำเรื่องเอกสารอยู่ครับ”คริสตอบไปตามจริง
     
     
     
    “คริส...”เธอพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรย
     
     
    “ครับผมเอง”ร่างสูงเขยิบเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ
     
     
    “ป้าอยากกลับบ้าน”
     
     
    “หมอให้เฝ้าดูอาการก่อนสองวัน เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วครับ  ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”คริสถามไปอย่างนั้น
     
     
     
    “ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ป้าอยากเข้าห้องน้ำ พยุงป้าไปหน่อยได้มั้ย”ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะค่อยๆพยุงเธอลงมาจากเตียง แล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ หญิงวัยกลางเดินเข้าไปจัดการธุระอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเดินออกมา แต่ด้วยความที่ร่างกายบาดเจ็บ ทำให้ก้าวผิดท่า
     
     
    “คุณป้า!”คริสอุทานก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดึงเธอเอาไว้ ด้วยความตกใจทำให้เธอเผลอกอดร่างสูงเอาไว้แน่น ทำให้คริสเซไปชนขอบประตูจนเกิดเสียงดัง
     
     
     
    “เป็นอะไรรึเปล่าลูก!!!”เธออุทานเสียงหลง
     
     
    “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมไม่เจ็บหรอก คุณป้าเป็นอะไรรึเปล่า”คริสแสร้งเป็นคนดี
     
     
    “ป้าไม่เป็นไร ไหนขอป้าดูแขนหน่อย” เธอรีบคว้าแขนของร่างสูงขึ้นมาดู แววตาที่ตื่นตระหนกและห่วงใยฉายชัดอยู่ในดวงตาหวานของเธอ หญิงวัยกลางคนรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาซับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเป่าลมที่แผลนั้นเบาๆ ราวกับคริสเป็นเด็กตัวน้อยๆ
     
     
     
     
       แวบหนึ่งที่ความรู้สึกดีแวบเข้ามาในหัวใจของร่างสูง  ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครห่วงใยเขามากถึงขนาดนี้ ทุกคนมักจะดูแลเขาด้วยเพราะเป็นหน้าที่ เพราะเขาเป็นลูกของฮาเดส แต่ไม่เคยมีใครห่วงใยเขาจากใจจริงอย่างหญิงคนนี้เลยสักคน...
     
     
     
    “ผมไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณที่เป็นห่วง”คริสชักแขนกลับ เขาไม่อยากให้ตัวเองไขว่เขวหรือมีจุดอ่อนไหวในจิตใจ หญิงวัยกลางคนมองแขนที่ชักกลับไปด้วยแววตาผิดหวังและเศร้าสร้อยเล็กน้อย
     
     
     
    “คุณป้ากลับไปนอนพักที่เตียงเถอะครับ”ร่างสูงพูดก่อนจะพยุงเธอกลับไปที่เตียง แล้วทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงอย่างเก่า จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก คริสนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ในขณะที่หญิงวัยกลางคนทอดตามองท้องทะเลยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง
     
     
     
     
      เกลียวคลื่นสีขาวที่ถูกแสงจันทร์อาบไล้จนกลายเป็นสีเทาสาดกระทบเข้าชายฝั่ง ก่อนจะล้าถอยกลับลงไปในท้องทะเลกว้าง แล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่ ทำซ้ำๆอย่างนี้อยู่เป็นนิจจนเกิดเป็นภาพชินตา สายลมเย็นๆของฤดูหนาวผนวกกับกลิ่นไอทะเลพัดลอยไปทั่วชายหาด เสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงของเกลียวคลื่นผสมผสานจนกลายเป็นเสียงแห่งท้องทะเลที่ร่าเริงในยามกลางวัน แต่สงบในยามกลางคืน
     
     
     
    “คริส เชื่อเรื่องความรักมั้ย”จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมา ร่างสูงหันกลับมามองหน้าเล็กน้อยก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ
     
     
    “คนเรามักจะบอกว่ามันสวยงาม แต่ผมไม่เคยเชื่ออย่างนั้น”เขาแสร้งยิ้มไปตามบทของเทพบุตรที่เป็นฉากหน้าของตัว 
     
     
    “ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ” เป็นอีกครั้งที่คริสนิ่งไป ร่างสูงสูดหายใจเขาลึก 
     
     
    “ผมไม่เคยเชื่อมัน”คริสเว้นช่วงก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงแววเจ็บปวดในดวงตา
     
     
    “เพราะพ่อฆ่าแม่ของผมตาย”เธอหันกลับมามองใบหน้าของคนอ่อนกว่าด้วยแววตาที่สั่นระริก คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายลงไปด้วยความตกใจ ห้องทั้งห้องถูกความเงียบแผ่คลุมอย่างเฉียบพลัน ร่างสูงทิ้งดิ่งตัวเองให้จมลงสู่อดีตที่เป็นต้นตอของความแค้นของเขา...
     
     
     
           วันนั้นเป็นวันอันแสนธรรมดาในนรกภูมิ หมอกควันสีเทา กลิ่นความตายลอยเอื่อยไปตามสายลม เสียงไม้พายของแครอน*(คนแจวเรือพาวิญญาณข้ามแม่น้ำสติกซ์ไปสู่นรก)จ้วงน้ำจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะเนิบนาบ  ร่างของชายแก่ที่สวมชุดคลุมสีดำที่เรือนลางอยู่หลังม่านหมอกโค้งศีรษะทำความเคารพคริสในตอนนั้นที่อายุเพียงสิบสองขวบอย่างนอบน้อม ก่อนที่วิญญาณที่โดยสารอยู่บนเรือจะทำตาม  คริสยิ้มรับก่อนจะพูดทักทายราวกับพวกเขาเป็นเพื่อน
     
     
     
    “มาใหม่หรอ ฮาเดสยินดีต้อนรับนะ” คริสเอาชื่อพ่อมาเป็นคำเรียกต้อนรับดวงวิญญาณเหล่านั้น พวกมันเหลือบตามองดูเขาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆก้าวลงมาจากเรือเมื่อแครอนจอดเทียบท่า
     
     
     
    “ อย่าวิ่งสิลูก เดี๋ยวหกล้ม”เสียงวิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งร้องบอกลูกที่กำลังวิ่งอยู่ด้วยความเป็นห่วง
     
     
     
    “ผมเป็นวิญญาณ ผมไม่เจ็บหรอกฮะ แม่”
     
     
    “อย่าเถียงแม่สิ มานี่”เธอพูดก่อนวิ่งไปจับตัวลูกเอาไว้  คริสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย  แม่จากเขาไปด้วยโรคร้ายตั้งแต่เขายังเล็ก ดังนั้นความรัก  ความห่วงใย และความอบอุ่นจากแม่เป็นยังไง เขาย่อมไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยได้สัมผัสมันเลยสักครั้ง ที่ทำได้ก็แค่พยายามเข้าใจและถวิลหามันอยู่ลึกๆเท่านั้นเอง
     
     
    “ท่านคริส...”โอฟิอุสทักเจ้านาย เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของเขาเอาแต่นิ่งเงียบ
     
     
     
    “ฉันไม่เป็นไรหรอก ไม่มีแม่ก็ไม่เป็นไร เพราะฉันมีท่านพ่ออยู่!” คริสยิ้มร่าก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเดินที่รัดเราะเข้าไปยังปากทางเข้าสู่นรก 
     
     
     
     
              เซอร์บิรัส สุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรกส่งเสียงเรียกเขา พร้อมกับกระดิกหางให้อย่างดีใจที่ได้เจอ คริสหยุดทักทายมันเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวหัวหนึ่งของมันเล่น อีกสองหัวที่ถูกละเลยพยายามเรียกร้องความสนใจจากคริสจนไปๆมาๆพวกมันเริ่มทะเลาะกัน  เด็กชายหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน
     
     
     
     
               เด็กชายเคลื่อนที่ผ่านเงาเข้าไปยังพระราชวังของฮาเดสที่สร้างมาจากหินสีดำเงาแวววับเพื่อไปหาบิดา  เพราะทุกครั้งที่รู้สึกคิดถึงแม่ เขาก็มักจะไปหาพ่อเสมอ ขาสั้นเดินผ่านสวนดอกไม้ของเพอเซโฟเน่ แม่เลี้ยงใจร้ายของเขา ปากเล็กเบ้ปากไม่สบอารมณ์ ก่อนจะรีบก้าวขาออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด  คริสเดินเข้าไปยังโถงทางเดินที่มีทหารวิญญาณเรียงรายอยู่เต็มไปหมด พวกมันต่างโค้งศีรษะทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม  จะมีก็แต่ดวงเดียวที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูห้องส่วนพระองค์ของฮาเดสเท่านั้นที่ยืนขวางประตูเอาไว้ให้เขาเข้า
     
     
     
     
    “ท่านยังเข้าไปไม่ได้ครับ ท่านคริส”
     
     
     
    “ทำไมล่ะ ท่านพ่อยุ่งอยู่หรอ”
     
     
     
    “ครับท่าน กำลังหารืออยู่กับท่านเพอเซโฟเน่อยู่”
     
     
    “หรอ อือๆ ฉันกลับก็ได้ ไปล่ะ ทำงานดีๆนะ”คริสพูดก่อนจะหันหลังกลับ และทันทีที่วิญญาณดวงนั้นเผลอ คริสก็ผลักเขาออกไป แล้ววิ่งพรวดเข้าไปในห้องทันที โดยไม่ลืมลงกรประตูไม่ให้ดวงวิญญาณดวงนั้นเข้ามาได้
     
     
     
     
                   เสียงคุยของสองเทพดังแว่วมาจากด้านในของห้องโถงขนาดใหญ่  เนื้อความที่กำลังพูดถึงเขาอยู่ทำให้คริสอยากรู้อยากเห็นอยากฟังมากยิ่งขึ้น เด็กน้อยวิ่งไปแอบอยู่หลังม่านสีดำ ตั้งใจเงี่ยหูฟังบทสนทนา
     
     
     
    “ท่านจะต้องให้เด็กนั่นไปเรียนโรงเรียนประจำบนโลกมนุษย์โดยเร็วที่สุด! ข้าเบื่อที่จะเห็นหน้ามันเต็มทนแล้ว ท่านฮาเดส มันชวนให้นึกถึงชู้รักของท่าน!!!”เพอเซโฟเน่แผดเสียงของเธอ   หัวใจดวงน้อยเต้นรัว โรงเรียนประจำงั้นหรอ โรงเรียนประจำ...ไม่นะ เขาจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด
     
     
     
    “ไม่ คริสจะต้องอยู่ที่นี่ เขายังเด็กเกินไปที่จะขึ้นไปอยู่โรงเรียนประจำกับพวกมนุษย์พวกนั้น”
     
     
     
    “หรือจะให้ข้าบอกเรื่องนั้นกับเด็กนั่น” เพอเซโฟเน่เอาความลับของฮาเดสขึ้นมาขู่  ความลับที่เขาสั่งวิญญาณ และเทพทุกองค์ใต้พิภพให้ปิดเอาไว้ไม่ให้คริสรู้...
     
     
    “เจ้าไม่กล้าทำหรอก”
     
     
    “ทำไมจะไม่กล้า ดีซะอีกที่มันรู้ว่าพ่อแท้ๆฆ่าแม่ตัวเองเพียงเพื่อทำตามความต้องการของแม่เลี้ยงอย่างข้า!!!”มือที่จับผ้าม่านสั่นระริก ดวงตาเบิกโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด ปากเล็กอ้าออกกว้าง  ร่างทั้งร่างเหมือนถูกสูบพลังไปจนหมดสิ้น เลือดในกายเย็นเยียบหยุดนิ่ง หัวใจดวงน้อยสั่นกระตุกวูบโหวงไปหมด
     
     
    “วะ ว่าไงนะ” คริสพูดเสียงเบาแต่ก็ดังพอที่คนข้างในจะได้ยิน
     
     
    “คริส!!!”ฮาเดสอุทานอย่างตกใจ เมื่อคนที่เขาไม่อยากให้ร่วงรู้ความจริงมากที่สุดกลับได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว...
     
     
    “จะ จริงหรอครับ ท่านพ่อ...” ฮาเดสได้แต่นิ่งเงียบไม่อธิบายอะไร ดวงตาคมกริบหลบสายตาคาดคั้นของลูกชายตัวเองโดยหันไปมองที่อื่นแทน  คริสมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา  ความศรัทธา ความรัก ความเชื่อในตัวพ่อของเขาถูกพังทลายลงด้วยความจริงเพียงไปกี่ประโยค 
     
     
     
     
     
               การเงียบของฮาเดสเปรียบเสมือนคำตอบทุกอย่างของคริส  ทำนบน้ำตาที่พยายามกั้นเอาไว้พรั่งพรูออกมาเป็นสาย  เสียงสะอึกสะอื้นดังไปก้องไปทั่วห้อง ดวงตาของเด็กน้อยจ้องมองไปที่พ่อที่เขานับถือและยึดถือเป็นต้นแบบมาตลอดด้วยแววตาผิดหวัง เศร้าโศก และเสียใจอย่างถึงที่สุด  ก่อนที่เขาจะพาร่างของตัวเองวิ่งหนีออกไป...
     
     
     
     
             นับจากวันนั้นเด็กน้อยที่อ่อนโยนและรักพ่อเป็นที่หนึ่งก็เลือนหายไป เหลือไว้แต่เด็กที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย และเกลียดชังพ่อตัวเอง  เขาทำทุกอย่างเพื่อทำลายฮาเดส และเกลียดความรักทุกรูปแบบบนโลกนี้ สิ่งเดียวที่ค้ำจุนเขาเอาไว้มีแต่....
     
     
     
    ความคลั่งแค้นเท่านั้น
     
     
     
     
          คริสกำมือแน่นเมื่อย้อนคิดถึงอดีตที่ไม่น่าจดจำของตัวเอง ตาคมเหลือบมองท้องทะเลด้านนอกอย่างคลั่งแค้นราวกับความมืดนั้นคือพ่อของเขาเอง ก่อนที่เขาจะรีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติเมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง
     
     
     
    “ขอโทษนะครับ ที่พูดเรื่องนี้กับคุณป้า ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องน่าฟังสักเท่าไร”คริสสวมบทเป็นเทพบุตรอีกครั้ง 
     
     
     
    “ไม่เคยเจอแม่มาตั้งแต่.....”เธอละคำพูดเอาไว้ เมื่อความหมายของมันดูจะโหดร้ายกับชายหนุ่มมากเกินไป 
     
     
    “ครับ ตั้งแต่เกิด” แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เธอก็จับความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ หญิงวัยกลางนิ่งเงียบกับคำตอบไปสักพัก ชั่งใจว่าจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดดีมั้ย แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกมา
     
     
    “จะนับถือป้าเป็นแม่ อย่างชานยอลก็ได้นะ คริส” คริสชะงักงันไปชั่วครู่ คลื่นความตกใจ ประหลาดใจถาโถมจู่โจมหัวใจของร่างสูง จนเขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง 
     
     
     
     
           ภาพที่หญิงวัยกลางคนเห็นคือชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสับสน เศร้าโศก และเปล่าเปลี่ยว  ดวงตาคมวูบไหวราวกับเด็กชายตัวน้อยที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกถามด้วยคำถามที่ยากจะตอบ ความสงสาร และเห็นใจแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเธอ เนื้อในที่เธอเห็นตอนนี้ช่างแตกต่างจากชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มร่าเริงนั้นเหลือเกิน  ราวกับเปลือกนอกพวกนั้นมีไว้เพื่อปกปิดความเจ็บปวดภายในที่ถูกซ่อนไว้
     
     
     
          มือเรียวของหญิงวัยกลางคนค่อยๆลูบผมปลอบประโลมชายหนุ่ม ตาคมสั่นไหวด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ขัดขืน  ท่าทางสับสนและหวาดกลัวของเขากำลังทำให้เธอนึกถึงวันแรกที่เจอกับชานยอล เด็กคนนั้นก็แสดงท่าทีอย่างนี้ จนเธอนึกสงสารต้องกอดปลอบเอาไว้ และครั้งนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะใช้อ้อมกอดตัวเองปลอบขวัญเด็กหนุ่มผู้สับสนอีกครั้ง...
     
     
     
     
       หญิงวัยกลางคนคว้าตัวชายหนุ่มเข้ามากอดปลอบ ฝ่ามือเรียวลูบผมเบาๆราวกับเขาเป็นเด็กตัวน้อยที่อ่อนแอและไร้พิษสง  คริสกรอกดวงตาไปมาอย่างสับสน เขาไม่เคยได้สัมผัสกับอ้อมกอดที่ห่วงใยแบบนี้เลย แม้กระทั่งวัยเด็กที่ความสัมพันธ์กับพ่อยังดีอยู่ก็ไม่เคยจะถูกคนเป็นพ่อกอดเลยสักครั้ง  ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอถาโถมเข้ามาสู่จิตใจ สั่นคลอนให้ความเย็นชาทลายลงอย่างช้าๆ เผยหัวใจที่เคยอ่อนโยนให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง แต่ก่อนที่มันจะทำได้สำเร็จร่างสูงก็ได้สติขึ้นมาเสียก่อน....
     
     
     
     
         คริสผละออกมาจากอ้อมกอด ก่อนจะปฏิเสธความหวังดีของเธออย่างนุ่มนวล 
     
     
     
     
    “จะเช้าแล้วนะครับ คุณป้านอนพักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงถอะครับ” เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด จะไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอ และจะไม่ยอม..........
     
     
     
    ให้ใครมาแทนที่แม่เด็ดขาด
     
     
     
     
    หญิงวัยกลางคนมองเขาอย่างผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะล้มตัวนอนลงบนเตียงคนไข้ช้าๆ แต่ก่อนที่เธอจะหลับไป เธอก็กล่าวทิ้งท้ายกับร่างสูงเอาไว้
     
     
     
     
    “อย่าเอาความเจ็บปวดของตัวเองไปลงที่คนอื่นเลย เพราะสุดท้ายแล้ว มันจะย้อนกลับมาทำลายตัวเราเอง”ร่างสูงเลือกที่จะเงียบแทนการตอบ และปล่อยให้หญิงคนนั้นนอนหลับไปช้าๆ  
     
     
    “ทำลายตัวเองงั้นหรอ..........” คริสเงยหน้ามองกลุ่มดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ
     
     
     
     
     
     
     
    “ผมใช้มันเพื่อทำลายคนอื่นต่างหากล่ะครับ คุณป้า”
     
     
     
     
     
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×