ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The 5 elements [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1...ห้องใต้ดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 884
      6
      17 ต.ค. 56

    นานมาแล้วเคยมีคนบอกผมว่าทุกประวัติศาสตร์มักมีเรื่องราวบางส่วนที่หายไปเสมอ ไม่ว่าจะถูกจงใจและพลั้งเผลอให้หายไปก็ตาม    
     
     
    ผมไม่เคยสนใจว่าพวกมันหายไปไหน และไม่เคยอยากรู้ความจริงทั้งหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง….
     
     
     
    ที่ผมกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่หายไป…..ของอีกโลกโลกหนึ่ง
     
     
     
    -------------------------------------------------
     
     
    ตอนที่1 ห้องใต้ดิน
     
     
     
    “ขอโทษครับๆ หลีกทางหน่อยครับๆ ผมกำลังรีบ โอ้!!! คุณผู้หญิง ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ  เฮ้!!! อย่าเพิ่งออกนะ โอ้ว ให้ตายเถอะ!!!”ผมตะโกนโหวกเหวกโวยวายกลางลานรถไฟ ก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบตามขบวนรถไฟที่ผมต้องขึ้น 
     
     
    “รอก่อนสิ! ฮ๊า…..อุตส่าห์เสียค่าตั๋วไป ผมไม่ยอมชวดเงินหรอกนะ”ผมพูดอย่างมุ่งมั่นกับเจ้ารถไฟที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชลา
     
     
    “เอ้า หลานชาย โดดขึ้นมาเลย ก่อนที่เธอจะโดดขึ้นมาไม่ได้”ลุงท่าทางประหลาดคนหนึ่งตะโกนบอกผมพร้อมกับกวักมือให้กระโดดขึ้นไป โอเค มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะทำ แต่ถ้าเทียบกับการชวดเงิน และต้องเสียซื้อตั๋วใหม่อีกรอบ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่ง
     
     
     
    “คุณลุงหลบไปครับ ผมจะกระโดดแล้ว”ผมตะโกนบอกพร้อมโบกมือให้ลุงเขยิบออกไป ก่อนจะเอื้อมมือไปจับราวระหว่างโบกี้แล้วกระโดดเข้ามาข้างใน ผมกลิ้งลุนๆเข้ามาในห้องผู้โดยสาร ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไร ผมเผ้ายุ่งเหยิง  เสื้อผ้ายับยู่ยี่ มีรอยฟกช้ำจากการกระแทกนิดหน่อย
     
     
    “กระเป๋าเธอล่ะพ่อหนุ่ม”
     
     
    “ห๊ะ!!! กระเป๋า!!!!”ผมลุกพรวด โผล่หน้าไปดูที่ด้านนอก เจ้ากระเป๋าเดินทางซอมซ่อของผมยืนสงบนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ในขณะที่รถไฟเคลื่อนตัวออกมาจากชานชาลาแล้ว ให้ตาย แล้วอย่างนี้ผมจะใส่เสื้อผ้าอะไรกันล่ะ ต้องทนใส่ชุดนี่ไปตลอดงั้นหรอ เฮ้อ แย่ชะมัดเลยไอ้ปาร์คเอ๊ย 
     
     
    “กระเป๋าแสนรักล่ะสิ”คุณลุงเอ่ยถามทำลายอารมณ์เสียดายของผม 
     
     
    “ไม่รักก็เหมือนรักครับ เพราะมีอยู่ใบเดียว เฮ้อ….กระเป๋าของผม”ผมพูดอย่างอดมลายตายอยาก ก่อนจะมองเจ้ากระเป๋าตาละห้อย  บ๊ายบาย เจ้ากระเป๋า
     
     
    “เฮ้ ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้”คุณลุงพูดพร้อมกับส่งยิ้มกว้างที่ดูอบอุ่นมาให้ผม
     
     
    “ปัญหาคือไม่มีเงินซื้อน่ะสิครับ”ผมบอกก่อนจะเบ้ปากแล้วทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ที่ว่างข้างคุณลุง
     
     
    “ชัดช่า! แล้วนี่เราจะไปไหนรึ  เห็นขนของมาซะเยอะเชียว”
     
     
    “ย้ายบ้านน่ะครับ”
     
     
    “ย้ายด้วยตัวคนเดียวงั้นหรอ!”คุณลุงถามอย่างตกใจ ผมรีบโบกมือเป็นพัลวัน
     
     
    “เปล่าครับ คุณป้าผมล่วงหน้าไปก่อนแล้วท่านมีธุระต้องมาทำ แต่ผมติดเรื่องเรียนนิดหน่อยก็เลยตามไปทีหลัง”
     
     
    “อ๋ออ ฉันคิดว่าเธอไปคนเดียวเสียอีก”
     
     
    “ถ้าป้าผมรู้ว่าผมลืมกระเป๋าไว้ที่ชานชาลามีหวังตายแน่เลย”
     
     
    “ฮ่ะฮ่า  ป้าของเธอจะต้องไม่ว่าอะไรหรอก เชื่อฉันสิ”
     
     
    “ขอให้เป็นอย่างนั้นนะครับ” ผมตอบรับ  และขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตามปกติแล้ว ป้าต้องไม่เป็นอย่างที่ลุงบอกแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีว่าสักสองสามประโยค แต่ถ้าอย่างมากก็ ยาวเป็นบทสวดเลยล่ะ แต่ทำไงได้ล่ะ ป้าแกเป็นครูนี่นา  ก็คงต้องเฮี้ยบเป็นธรรมดาล่ะนะ แต่ถึงแกจะดุแค่ไหน ผมก็รักเธอนะ เพราะในชีวิตผมนอกจากเธอแล้ว ผมก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก พ่อกับแม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมเกิด ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ป้าไม่อยากเล่า และผมก็ไม่อยากเซ้าซี้จะถามต่อ เพราะฉะนั้นผมจึงรักเธอมาก และพยายามจะไม่หาเรื่องปวดหัวให้เธอมากที่สุด แต่แน่ล่ะ ถ้าปาร์คชานยอลไม่ก่อเรื่อง ก็คงไม่ใช่ปาร์คชานยอล ตัวป่วนของบ้าน
     
     
     
         ผมหันไปมองวิวทิวทัศน์ข้างนอก สภาพสังคมเมืองค่อยๆถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว และภูเขาขนาดใหญ่ที่โอบล้อมพื้นที่ สายน้ำใสสะอาดตัดผ่านคอยให้ความชุ่มชื่น อากาศเดือนตุลาคมเริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมาให้ทุกคนได้สดชื่น ยกเว้นผม ผมไม่ชอบฤดูหนาวเลยสักนิด มันทำให้ผมไม่สบาย และหงุดหงิด แต่ป้ามักจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะปกติตรงไหนเลย เด็กผู้ชายอายุสิบเก้าปี อยู่ที่นี่มาก็ตั้งแต่เกิด ใส่เสื้อมิดชิดและไม่เคยบ้าจี้ไปเล่นหิมะ แต่ดันเป็นหวัดทุกทีที่เข้าหน้าหนาว จะบอกว่าไม่ชินสภาพอากาศก็ไม่ใช่ อ่อนแอนี่ยิ่งไม่ใช่ สรุปทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าร่างกายผมเป็นอะไรกันแน่
     
     
     
    “อีกสิบนาทีจะถึงสถานีกอสเตอร์ ขอให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลง”
    เสียงพนักงานบอกผู้โดยสาร ผมเตรียมตัวตัวเองให้พร้อม คุณลุงที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามผม
     
     
    “ลงสถานีนี่หรอหลาน”
     
     
    “ครับ คุณลุงล่ะครับ”
     
     
    “อีกไกลโขเลย “
     
     
    “ไม่มีผมนั่งด้วย คุณลุงอย่าเหงานะครับ”ผมพูดติดตลก คุณลุงหัวเราะพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดผม
     
     
    “นั่นน่ะสิ คงเหงาน่าดู แล้วนี่ต่อไปเราจะขึ้นรถไฟก็มาให้ตรงเวลานะ พ่อหนุ่ม”
     
     
    “ฮ่าๆ ครับ ไม่เลทแล้ว”ผมตอบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน เมื่อถึงสถานีที่ผมต้องลง
     
     
    “โชคดีนะ”
     
     
    “คุณลุงก็เหมือนกันครับ”ผมบอกก่อนจะโค้งศีรษะลาแล้วเดินลงรถไฟไป  
     
     
     
     
        ผมเดินออกมาหน้าสถานีรถไฟที่มีรถแท็กซี่จอดรออยู่สองสามคัน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่เข้ามาผมก็แทบอยากจะปิดประตูแล้วออกมาทันที ก็นี่มันเศษเหล็กวิ่งได้ชัดๆนี่นา แต่จะให้ออกไปทั้งๆที่เข้ามาแล้วก็ดูจะใจร้ายกับคุณลุงเขาไป สุดท้ายผมเลยจำใจยื่นที่อยู่ให้เขาดู ก่อนที่ลุงจะขับเศษเหล็กออกไป
     
     
     
     รถเริ่มขับออกจากเขตเมืองไปเรื่อยๆ สองข้างทางจากที่มีแต่ตึกกลายเป็นธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร นี่ถ้ามีเก้งกวางโผล่ออกมาสักตัวผมจะไม่แปลกใจเลยนะเนี่ย ก็เล่นชนบทซะขนาดนี้ ป้าผมนี่ก็สรรหาบ้านใหม่ซะจริงๆเลย
     
     
    Rrrrrr Rrrrrrrr
     
     
     
    เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ขอบคุณสวรรค์ที่ชายปาร์คไม่บ้าจี้ยัดมันใส่กระเป๋าเดินทาง ไม่งั้นล่ะ ซวย!!
     
     
     
    “ฮัลโหล”
     
     
    “ชานยอล ถึงไหนแล้ว”เสียงของป้ากรอกมาตามสาย ไอ้ถามว่าอยู่ไหนนี่มันตอบง่ายมากนะถ้าอยู่ในลอนดอน แต่ถ้ามาถามตอนอยู่ที่นี่นี่ไม่รู้แฮ่ะ
     
     
    “ลุงครับ เราอยู่ตรงไหนแล้วหรอครับ”
     
     
    “โอ้! ใกล้ถึงแล้วล่ะ”ผมพยักหน้าก่อนจะกลับไปคุยโทรศัพท์ต่อ
     
     
    “ใกล้ถึงแล้วครับป้า”
     
     
    “ดีแล้ว ถ้าเราเห็นบ้านใหม่เราจะต้องชอบมากแน่”
     
     
    “ทำไมล่ะครับ มันเป็นยังไงมั่ง ป้าเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
     
     
    “มันมีของให้เราพังเยอะน่ะสิ ฮ่าๆ”
     
     
    “โหย ป้าอะ เห็นผมเป็นจอมทำลายล้างหรอ”ผมโวยวาย พร้อมกับตีหน้ายุ่ง ก็จริงนี่ ป้าชอบพูดอย่างนี้ทุกที อย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบชอบทำลายข้าวของงั้นล่ะ
     
     
     
    ครืนนนน ครืนนน คึก  คึก คึก
     
     
    จู่ๆรถก็ส่งเสียงแปลกๆระหว่างที่เรากำลังขับขึ้นสะพาน โอ้ ไม่นะ อย่าบอกว่ารถมาพังตอนอยู่กลางสะพานเนี่ยนะ!!!
     
     
    “รถเป็นอะไรหรอครับ”
     
     
    “สงสัยมันจะเกเรอีกแล้วน่ะสิ เดี๋ยวลุงลงไปดูมันก่อนนะ”คุณลุงพูดก่อนจะวิ่งลงไปเปิดกระโปรงรถ  ทันทีที่เปิดออก ควันจากเครื่องในมะเร็งกินของมันก็ลอยคลุ้งไปทั่ว จนกลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้ามาในตัวรถ 
     
     
    “รถเสียหรอชานยอล”
     
     
    “ใช่ครับ ผมไปช่วยลุงเขาดูดีกว่า เด็กนั่งรอผู้ใหญ่ ดูไม่ดี”
     
     
    “อย่าไปทำของเขาพังนะ!”
     
     
    “รู้น่า ป้าก็”ผมบอกงอนๆก่อนจะวางสายไปแล้วเดินไปหาคุณลุงที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสภาพรถ
     
     
    “มันเป็นอะไรหรอครับ”
     
     
    “อาการมันหลายอาการมากเลยนะ เดี๋ยวเธอรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวลุงไปหยิบอุปกรณ์หลังรถแปบนึง”คุณลุงว่าก่อนจะวิ่งไปที่หลังรถ ในขณะที่ผมก็ได้แต่จับสายนู่น ดูสายนี่มั่วไปหมด เกิดมาชาตินี่ยังไม่เคยขับรถเลย ประสาอะไรกับซ่อมรถเล่า นี่ที่ลงมาเพราะอยากจะช่วยแค่นั้นล่ะ เผื่อผมจะมีประโยชน์มั่ง ผมนั่งดูสายไปเรื่อย ก่อนจะเจอสายหนึ่งที่มีลมรั่วออกมา ผมขยับมันสองสามทีด้วยมือข้างเดียว  พร้อมกับเพ่งว่ามันมีรูอยู่ตรงไหน แต่ก่อนที่ผมจะทันเห็นมัน จู่ๆคุณลุงที่วิ่งมาก็อุทานเสียงดัง
     
     
    “ระวัง!!!”เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่เครื่องในของรถ ผมมองตามก่อนจะร้องเสียงหลง รีบชักมือกลับ เมื่อเห็นว่าไฟจากชิ้นส่วนเครื่องยนต์กำลังครอกมืออีกข้างของผมอยู่ โดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย….
     
     
    “เธอ! เป็นอะไรรึเปล่า” ลุงรีบปรี่เข้ามาหาผม ผมมองมือตัวเองด้วยความตกใจ ส่วนหนึ่งเกิดจากไฟครอก แต่ที่ตกใจมากกว่านั้นคือ….มือผมกลับไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่รอยแดงด้วยซ้ำ
     
     
    “ผม…ผม…ไม่เป็นไรครับลุง ลุง ลุงซ่อมรถเถ่อะ เดี๋ยวผมไปล้างมือก่อน”ผมบอกคุณลุงพร้อมกับซ่อนมือไว้ด้านหลัง แล้วรีบเดินออกมา 
     
     
     มัน…มัน มันไม่ใช่เรื่องปกติ  ไฟครอกขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่มีแผลเลยล่ะ มันเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงทนไฟขนาดนั้นได้….
     
     
    ผมก้มมองมือของตัวเองอย่างสงสัย พร้อมกับถามตัวเองซ้ำๆ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ  รอคุณลุงได้สักพัก ในที่สุดเขาก็ขึ้นมา พร้อมกับฉีกยิ้มโล่งออก บอกว่ารถวิ่งได้แล้ว ก่อนจะถามถึงแผลไฟลวกของผม 
     
     
    “ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ มันแค่ผองนิดหน่อย”ผมโกหก ความจริงมันไม่ผองเลยต่างหาก
     
     
    “อ่ะ เอ่อ…งั้นหรอ ดี ดีแล้วล่ะ งั้นเราก็ไปต่อกันเลยนะ จะได้ถึงไวๆ” ลุงบอกด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อสักเท่าไร แน่ล่ะ ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่เชื่อ เล่นโดนไฟครอกขนาดนั้น แผลมันต้องไม่ใช่แค่ผองแต่ต้องลุกลามและใหญ่กว่านั้นมากแน่นอน แต่จะให้ผมตอบอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะลุงต้องพาผมไปส่งโรงพยาบาลแน่ แล้วพอถึงตอนนั้นเรื่องมันก็จะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่
     
     
     
              ลุงขับรถต่อไปอีกราวๆสิบห้านาที ในที่สุดผมก็มาถึงบ้าน ทันทีที่เห็นผมก็ต้องร้องว้าว เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามมาก บ้านทุกหลังในหมู่บ้านนี้ทำมาจากหินสีขาวเกือบเทา บางหลังมีกาฝากสีเขียวเลื้อยขึ้นจนทำให้บ้านกลายเป็นบ้านพุ่มไม้ พื้นที่ว่างส่วนใหญ่ปลูกไม้ดอกไว้หลายชนิด ถัดออกไปสองสามหลังมีสะพานหินข้ามแม่น้ำสายเล็กที่ใสแจ๋วมองเห็นปลาตัวน้อยว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน ทางเดินเท้าถูกขนาบข้างด้วยหญ้าสีเขียวสด  ถ้าไม่มีใครบอกว่านี่คือหมู่บ้านหนึ่งในอังกฤษผมจะต้องคิดว่ามันเป็นเทพนิยายแน่
     
     
     
          ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูบ้าน ก่อนจะดูบ้านเลขที่ว่าตรงตามที่คุณป้าเขียนมาให้มั้ย แล้วสูดหายใจลึก คุณป้าจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าผมลืมกระเป๋าเดินทางไว้ หู่ย ไม่อยากจะคิด โดนด่าเละแน่เลยเรา ผมหยีตาอย่างหวาดเสียว ก่อนจะตัดสินใจกดออดที่หน้าบ้าน ไม่นานก็มีคนวิ่งมาเปิดให้ผม
     
     
     
    “หวัดดีครับ คุณป้า”ผมยิ้มแหยๆให้คุณป้าตัวอ้วนกลมของผม ก่อนจะหันไปทักทายเจ้าแมวตัวอ้วนที่เดินมาคลอเคลียข้างของผม
     
     
    “ไงงง ออบติน”ผมพูดก่อนจะเกาคางมัน
     
     
    “เลิกเล่นกับแมวเดี๋ยวนี้ ทำไมยิ้มอย่างนั้น ห๊ะ ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกรึเปล่า ชานยอล”หู่ย…..ทำไมต้องรู้ทันด้วยละ
     
     
    “ไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อย”ผมตอบอ้อมแอ้ม
     
     
    “เข้าบ้านเลย แล้วเล่าให้ป้าฟังละเอียดๆเลยด้วย”ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินตัวปลิวเข้าไปในบ้าน เอาวะ ถ้าจะโดนด่า ก็ขอโดนเงียบๆ ไม่เอาหน้าบ้าน มันสาธารณะไป อายข้างบ้านเขา
     
     
    “เอ๊ะ เดี๋ยว ชานยอล กระเป๋าเราล่ะ”ผมชะงักทันที ก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆให้คุณป้า
     
     
    “แหะๆ ลืมไว้ที่สถานีรถไฟ ย๊าๆ อย่าเพิ่งตีผมนะ  ผมมีเหตุผลนะ คุณป้า”ผมยกมือป้องทันทีที่ป้ากำลังจะปาทุษร้าย
     
     
    “เหตุผลอะไร”
     
     
    “ก็ ก็….เมื่อเช้าผมต้องรีบไปที่โรงเรียน จัดการเอกสารลาออก เสร็จแล้วผมก็ต้องรีบไปขึ้นรถไฟอีก แล้วมันก็………...”
     
     
    “ก็อะไร  ก็ไม่ทันรึไง”
     
     
    “ทันๆ ทันสิทัน แต่ว่าแบบฉิววววววเฉียดเลย ผมมาถึงรถก็ใกล้จะออกละ ผมก็เลย………กระโดดขึ้นรถไฟ แต่พอจะหันมาเอากระเป๋าอีกที รถไฟก็ขับเลยชานชาลาออกมาละ แหะๆ”ผมเกาแก้มพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ คุณป้านิ่งเงียบไป พนันกับผมมั้ยล่ะว่าภายในสามวิ คุณป้าจะต้องสวดผมยับ…..
     
     
     
    3
     
     
     
    “คิดยังไงห๊ะ ปาร์คชานยอล ถึงได้บ้ากระโดดขึ้นรถไฟ เกิดตายขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ แล้ววันหลังน่ะ ทำอะไรก็รู้จักเตรียมพร้อม เผื่อเวลาไว้เสียบ้าง รู้อยู่ว่าต้องไปทำเรื่องที่โรงเรียน ก็ควรจะเผื่อเวลา ความจริงมันควรจะเผื่อเป็นวัน ในเมื่อเราก็มีเวลาว่างไปโรงเรียนแทบจะทุกวัน ทำไม๊ ทำไมจะต้องเลือกไปวันนี้ นี่ดีนะที่ขึ้นรถไฟทัน แล้วดีนะที่ไม่เป็นอะไร”นั่นไง….เดาผิดที่ไหนล่ะ 
     
     
     
    “พลังชีวิตผมเหลือศูนย์แล่ว ป้าใช้ปืนกลยิงคำบ่นมาซะขนาดนี้”
     
     
    “เรานี่จริงๆเล้ย”คุณป้าบ่นก่อนจะเดินนำผมไป 
     
     
    เมี๊ยว 
     
     
    เจ้าออบตินร้องเมี๊ยวพร้อมกับเอาหน้าถูขาผม ผมอุ้มมันขึ้นมาก่อนจะถามเสียงเข้ม
     
     
     
    “หวังว่าเมี๊ยวในภาษาแมวไม่ได้แปลว่าบ่นนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พลังชีวิตฉันจะติดลบ”
     
     
     
     
           หลังจากนั้นคุณป้าก็ให้ผมขึ้นไปดูห้องนอนของตัวเอง แต่ผมใช้เวลาดูมันแค่สองนาทีเท่านั้นล่ะ เพราะแค่เปิดประตู นั่งบนเตียง จากนั้นก็ลงมา เพราะไม่มีเสื้อผ้าหรือข้าวของให้ต้องจัด พอดูห้องเสร็จคุณป้าก็เรียกผมลงมากินข้าวเย็น เราสองคนบวกกับอีกหนึ่งตัวกินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็ไปนั่งดูทีวีด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งสัญญาณทีวีก็….คมชัดมากทีเดียว คิดว่าผมอยากเล่นทายบุคลปริศนามากรึไง ถึงได้เบลอขนาดนี้น่ะ ผมทนดูทีวีความคมชัด1pixelได้สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ขอตัวขึ้นไปนอนอ่านหนังสือนิยายเล่นดีกว่า
     
     
     
    “ผมขึ้นนอนละ ฝันดีนะครับ คุณป้า พรุ่งนี้เช้าเจอกัน…”ผมบอกก่อนจะหอมแก้มคุณป้า 
     
     
    “ออบติน ดูแลเจ้านายแกดีๆล่ะ อย่าให้ลงมาหาของกินตอนดึกอีกนะ” คุณป้าพูดติดตลก  
     
     
    “ผมไม่ลงมากินหรอกน่า  ฝันดีครับคุณป้า”ผมบอกก่อนจะอุ้มเจ้าแมวขึ้นบ้าน…
     
     
     
     
    ---------------------------------------------------------
     
     
     
     
    “ออบตินนนน เราจะอ่านเรื่องไหนกันดี”ผมชูหนังสืออ่านเล่นสองสามเล่มให้เจ้าแมวดู
     
     
    เมี๊ยวววว
     
    ออบตินร้องก่อนจะนั่งทับหนังสือเล่มหนึ่ง
     
     
     
    “โอเค เรื่องนี้ มา อ่านกัน”ผมบอกก่อนจะดึงหนังสือออกมาจากออบติน แล้วนอนแผ่อ่านหนังสือบนเตียง ในขณะที่ออบตินก็ค่อยๆเดินมานอนแหมะบนตัวผม
     
     
     
       ผมอ่านหนังสืออ่านเล่นไปได้สักพักในที่สุดร่างกายก็ทนความเหนื่อยและง่วงนอนไม่ไหว ผล็อยหลับไปทั้งที่หนังสือปิดหน้าและมีเจ้าแมวเมี๊ยวนอนอยู่บนอก ก่อนผมจะสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
     
     
    แกร่ก แกร่ก
     
    ผมสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาเห็นออบตินกำลังเอาอุ้งเท้าตระกรุยประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย
     
     
     
    “ออบติน เป็นอะไร  จะไปไหน”ผมถามเจ้าแมวของผมที่วันนี้มันมีพฤตกรรมผิดปกติ แปลกจากที่เคยเป็น
     
     
    เมี๊ยว เมี๊ยวว!!!
     
    แกร่ก แกร่ก แกร่ก แกร่ก
     
    ออบตินยิ่งตระกรุยประตูหนักขึ้น จนผมกลัวว่าประตูไม้จะเป็นรอย สีจะลอกขึ้นมา มีหวังป้าด่าผมตาย โทษฐานดูแลแมวไม่ดี
     
     
    แกร่ก แกร่ก แคว่กกกก
     
     
    “เฮ้ย หยุดตระกรุยเลย ไปเปิดให้แล้วๆ ออบติน”ผมพูดก่อนจะกระโจนลงไปเปิดประตูให้ออบติน 
     
     
    “จะไป นะ……เฮ้ ออบติน จะไปไหนน่ะ!!!”ผมร้องเรียกเจ้าแมวที่ตอนนี้วิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งตามมันไป แปลก วันนี้ออบตินแปลก ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้ นี่เหมือนมันเป็นอะไรสักอย่าง บางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ…
     
     
     
      ออบตินวิ่งพรวดฝ่าห้องกินข้าว ตรงไปยังห้องครัว ก่อนจะตรงเข้าไปในห้องใต้ดิน ที่ผมมั่นใจว่า ให้ตายยังไงเมื่อตอนกลางวันมันก็ไม่มีห้องนี้ ผมเดินสำรวจมาแล้วทั่วบ้าน แล้วตอนนี้มันกลับมีได้ยังไง!!!
     
     
     
     ไม่มีเวลาให้ผมหาคำตอบ ออบตินวิ่งเข้าไปในเตาผิงที่อยู่ในห้องใต้ดิน ไอ้แมวบ้าเอ๊ย ไม่มีที่ดีๆกว่านี้แล้วรึไง ทำไมต้องเตาผิงด้วยเนี่ย!!!
     
     
     
    “ออบติน ออกมะ…เฮ้ยยยยยยยย !!!”ผมร้องเสียงหลง เมื่อผมคลานเข้าไปในเตาผิงที่พื้นควรจะตันกลับกลายเป็นโพรงลึกไร้ก้น ผมหลับตาปี๋นึกแน่ว่าตัวเองต้องตายทันทีที่ร่วงหล่นถึงก้นหลุม แต่แสงไฟที่ค่อยๆไล่ความมืดออกไปและการหยุดดิ่งอิสระจากเตาผิงนั้น กลับทำให้ผมสับสน  ทำไมไม่ตาย แล้วทำไมมีแสง.....
     
     
     
    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะเบิกตาโพล่ง เมื่อภาพเบื้องหน้า คือผืนป่าขนาดใหญ่  ที่บนต้นไม้มีบ้านมากมายถูกสร้างอยู่บนนั้น โดยต้นไม้และต้นถูกเชื่อมโยงกันด้วยสะพานไม้  ทำให้ทั้งหมดเปรียบเสมือนเมืองที่อยู่บนต้นไม้…
     
     
    ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปมองรอบๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นขัด
     
     
     
    “ในที่สุดก็มาสักทีนะ.....”เขาเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
     
     
     
    “ปาร์คชานยอล ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี”



     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×