คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หญิงสาวในความทรงจำ
หญิงสาวในความทรงจำ
ก๊อกๆๆ แกร๊ก!
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดนักเรียนม.ปลายเปิดประตูเข้ามาในบ้านกลับไม่พบวี่แววของอีกคน
‘สงสัยคงจะไปซื้อของ’ พูดกับตัวเองจบร่างของ วัฒนาเดินไปเปิดตู้เย็นหวังจะดื่มน้ำให้สดชื่นหลังจากกลับมาจากโรงเรียนเหนื่อยๆ
“กลับมาแล้วเหรอ!”
พรวดดดดดด!
เด็กหนุ่มสำลักน้ำไอค่อกแค่กเมื่อจู่ๆ คนที่คิดว่าไม่อยู่ดันโผล่พรวดออกมาจากด้านหลัง พลพลอาศัยจังหวะที่อีกคนมัวแต่ไอโขลกโยนเสื้อเปื้อนเลือดที่ตนเองเพิ่งจะเปลี่ยนเสร็จเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดไว้ก่อนจะมาฉีกยิ้มแห้งๆ ให้กับเด็กหนุ่ม
“เปิดเรียนวันแรกไปไงบ้างวัต” วัฒนาตวัดสายตาไปมองไอ้คนไม่สำนึกอย่างเคืองๆแต่ก็ตอบคำถามอีกฝ่าย
“ก็ปกติดี” ตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องนอนตัวเองเพราะรู้สึกปวดหัว แค่เปิดเรียนวันแรกของเทอมหลังจากโดนพักการเรียนไปหลายเดือนมันน่าสนใจตรงไหน
“แล้วได้เพื่อนใหม่รึเปล่า? แล้วได้กี่คน ตอบๆ” ชายหนุ่มรีบเข้าไปขวางประตูเอาไว้ แม้จะรับรู้ได้ว่ายังไงอีกฝ่ายคงยังไม่มี ถึงจะมีก็แต่เพื่อนสนิทสมัยประถมเท่านั้นแหละ แต่เขาก็อยากรู้อยู่ดีว่าคนตรงหน้าได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ อะไรบ้างหลังจากขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านเป็นปี
“ขอไปนอนพักสักหน่อยนะ” เด็กหนุ่มเลี่ยงคำถามเดินผ่านชายหนุ่มเข้าไปในห้อง
“นายไปเจออะไรมา วัต” พลพลรู้สึกถึงความไม่ปกติของเด็กในปกครองแทรกตัวเข้าไปในห้อง สายตาจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น วัฒนามีสีหน้าเจ็บปวดแต่แค่ชั่ววูบก็กลับไปเป็นสีหน้าหงุดหงิด บรรณาธิการหนุ่มย่อมมองเห็นแต่ไม่พูดอะไรออกไป
“เปล่า ไม่มีอะไร นายไปทำข้าวเย็นเถอะ”
“หรือว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ มาทำอะไรนาย” ชายหนุ่มรั้งแขนคนอายุน้อยกว่าไว้เมื่อคิดความเป็นไปได้ว่าอะไรที่ทำให้คนขี้โวยวายเงียบเป็นเป่าสากได้
“ฮึ ฉันเกลียดคนรู้ทันจริงๆ ไม่มีอะไรมากแค่เดินผ่านน่ะ” พูดจบก็ดันร่างทั่สูงกว่าออกไปแล้วปิดประตูปล่อยให้คนด้านนอกคิดหนักอยู่คนเดียว ‘ผ่านมาตั้งสิบกว่าปียังไม่ลืมอีกเหรอ’ พลพลพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าครัวไปทำอาหารปล่อยให้เด็กหนุ่มได้อยู่คนเดียว
ฟุ่บ…
หลังจากปิดประตูเสร็จวัฒนาทรุดตัวลงนอนแผ่หลากับเตียงนุ่ม ในหัวก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเดินกลับบ้าน
“ลูกพี่ พวกผมไปก่อนนะคร้าบ” เสียงตะโกนแซวอย่างร่าเริงของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสมัยเด็กของเขาซึ่งทำตัวไม่ต่างจากเด็กแปดขวบทั้งๆ ที่อายุย่างเข้าสิบแปดกันแล้วตะเบ็งเสียงจากฝั่งตรงข้ามของถนน
“กลับดีๆ นะโว้ยพวกมึง อ้อ ไอ้เต ไอ้ทิว ไอ้ฟิว ดูไอ้พีดีๆนะโว้ยเดี๋ยวมันโดนฉุดเข้าป่า ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มตะโกนตอบแต่ไม่วายตอกกลับอีกคนคืน เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือทันที
“ฮึ่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้วัต แล้วพวกมึงจะขำอะไรนักหนาวะ ไม่กลับบ้านเหรอ! ฮึ่ย!” เมื่อไม่รู้จะด่าไอ้เพื่อนตัวดียังไงเด็กหนุ่มหันไปโวยวายใส่เพื่อนข้างๆก่อนปึงปังจะเดินจากไป
“กลับดีๆ นะ” เต หนุ่มที่สุภาพที่สุดในกลุ่มพูด
“อย่าไปมีเรื่องระหว่างทางล่ะ” ทิว ไอ้หนุ่มจอมกะล่อนยักคิ้วให้
“แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะมึง” ฟิว หนุ่มดรีกรีนักกีฬาของโรงเรียนเอ่ยก่อนจะเดินตามเพื่อนๆไป วัฒนารอให้เพื่อนๆลับสายตาไปแล้วเขาจึงหันหลังเพื่อกลับบ้านทันที
ตุบ!
“ว๊าย!/โอ๊ย!” ทันที่ที่หันหลังร่างสูงร้อยแปดสิบก็ชนเข้ากับคนๆ หนึ่งเข้าอย่างจังเเรงชนนั้นเล่นเอาเขาเซถลาไปหลายก้าวเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้ามล้มก้นจ้ำเบ้า
“ขอโทษครับ คุณเป็น…” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอโทษแต่ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เขาคิดถึงที่สุด คนที่ตลอดสิบปีที่เธอคนนี้จากเขาและพ่อไปเพื่อความสุขของตัวเองไม่สนคนอื่น คนที่ทิ้งแต่ความเจ็บปวดเอาไว้ข้างหลังให้คนที่รอ
“แม่…” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยพยุงคนตรงหน้า
“แม่ฮะเป็นอะไรรึเปล่า นี่พี่ชายเป็นคนรึเปล่าชนคนอื่นแล้วไม่ขอโทษแถมยังยืนนิ่งไม่ช่วยอีก” วัฒนามองไอ้เด็กปากดีที่ว่าเขาฉอดๆจนคนแถวนั้นเริ่มหันมามองแล้วซุบซิบ ไอ้เด็กที่ดูๆแล้วทั้งๆที่อายุน่าจะไม่เกินสิบขวบด้วยซ้ำกลับอาจหาญมาชี้หน้าเขาอย่างไม่กลัวเกรงจนเขาเริ่มหงุดหงิดไอ้เสียงแจ๋นๆ นี่
“มีหูก็น่าจะได้ยินนะว่าฉันขอโทษแล้ว” วัฒนาเดินเข้าไปหมายจะปิดปากให้ไอ้เด็กช่างพูดเงียบซักทีแต่ต้องชะงักเมื่อผู้เป็นแม่เดินเข้ามาขวาง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! จะทำอะไรลูกฉัน รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร” เด็กหนุ่มมองท่าทางทรนงตัวเองของหญิงสาวด้วยสายตาว่างเปล่า นิสัยหยิ่งผยองแบบนี้เหมือนเมื่อสิบปีกก่อนไม่มีผิดแถมยังมีการเพิ่มเลเวลความดูหมิ่นชาวบ้านเป็นหลายเท่า วัฒนารู้สึกเกลียดนัก สายตาที่มองคนอื่นเหมือนมองใส้เดือนนี่
“ขนาดคุณป้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้วผมจะไปรู้เหรอครับ” วัฒนาตอบกวนๆ ยกมือเกาหัวเหมือนไม่สำนึกผิด หญิงสาวดิ้นเร่าๆ เมื่อได้ฟังสรรพนามที่เด็กหนุ่มเรียก
“กรี๊ดดดด แกว่าใครว่าป้ายะ!” ดาหลาชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย สายตาประเมินคนตรงหน้า หน้าตาเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอนั้นจัดได้ว่าดูดี คิ้วเรียวเข้มรับกับดวงตาคมชี้ขึ้นน้อยๆ อย่างหาเรื่อง จมูกรับกับริมฝีปากสีซีด เสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนม.ปลายปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงยืนท่าทางมาดเหมือนนักเลง ผมยุ่งๆ ผิดระเบียบไม่เป็นทรงแถมทั้งตัวยังมอมแมมอีก เธอเลยตัดสินเด็กหนุ่มว่าเป็นนักเลงที่ดีแต่ใช้กำลังเท่านั้น แม้จะกลัวบ้างแต่เมื่อมีคนอยู่เยอะดาหลาจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
วัฒนามองท่าทีนั้นเฉยๆ คงจะคิดว่าเขาเป็นนักเลงกระจอกซะแล้วสินะ เด็กหนุ่มก้มมองสภาพตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนฝุ่นเปื้อนดิน เขาไม่น่านึกคึกไปเล่นเตะบอลกับพวกเด็กห้องแปดก่อนกลับบ้านเลย
“ถ้าผมไม่พูดกับป้าแล้วผมจะพูดกับใครล่ะ ลูกป้าเหรอ น้องเขาเป็นผู้ชายนะผมว่า หรือไม่ใช่?” ได้ทีแอบเหน็บไอ้เด็กปากดีเป็นการเอาคืนโทษฐานที่มาว่าเขาทั้งๆ ที่รู้ความจริงไม่หมด วัฒนาเห็นสีหน้าแดงแบบโกรธๆ ของอีกฝ่ายและสีหน้าเหลอหลาที่ยังประมวลผลไม่ถูกของ เด็กตัวเปี๊ยกนั่นเขาอยากจะขำนัก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแม่ของเขา แต่เธอทำกับพ่อเขามากกว่านี้ ขนาดงานศพของผู้ชายที่เธอพร่ำปากว่ารักนักหนาก็ไม่แม้จะโผล่เงาหัวมาให้เห็นเลย ถ้าจะให้เขาญาติดีด้วย รอหลังเซเว่นปิดก่อนเถอะ
ดาหลาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เธอคือคุณหญิงแห่งบ้านอรุณศักดิ์ ที่มีสามีที่หล่อเหล่าและมากไปด้วยอำนาจ พร้อมกับลูกชายตัวน้อยที่น่ารัก เธอมีทั้งหน้าตาในสังคม มีชีวิตอย่างสุขสบาย ต่างจากที่อยู่กับไอ้สองพ่อลูกนั่นเมื่อสิบปีก่อน แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นๆกับสายตาแบบนั้นทั้งๆ ที่เธอเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี สายตาที่เหมือนจะรู้ทุกสิ่ง เธอเกลียดมัน!
“แก ไอ้เด็กปากเสีย อ๊ะ! คุณคะ” หญิงสาวหุบปากที่จะต่อว่าเด็กหนุ่มด้านหน้า หันไปสนใจชายหนุ่มร่างสูงที่เดินออกมาจากรถหรูสีดำตามมาด้วยบอดี้การ์ดอีกสองคน
ฝ่ายวัฒนาก็หันไปมองชายผู้มาใหม่ที่หญิงสาวเข้าไปกอดแขนอย่างถือสิทธิ์ เด็กเปี๊ยกนั่นก็เข้าไปกอดแขนอีกข้างอย่างดีใจ เขาจึงเดาได้ทันที่ว่าชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้หนีไม่พ้นเป็นสามีของ(อดีต)แม่ของเขา
“มีอะไรรึเปล่า ทำไมมีคนมุง” เสียงทุ้มที่ทรงอำนาจที่เอ่ยออกมาทำให้วัฒนาขนลุกซู่ เสียงนี้เขาจำได้ เขารู้แล้วว่าไอ้คนไหนมันมาทำให้พ่อของเขามีสภาพดูไม่ได้แบบนั้นเมื่อสิบปีก่อน มือหนากำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ เจ็บจนชา..แต่แค้นมากกว่า คิดได้ดังนั้นเขาจึงอาศัยในช่วงที่ชายหนุ่มกำลังสนใจฟังสิ่งที่หญิงสาวสาธยายอยู่นั้นวิ่งฝ่าคนมุงออกไปกลับบ้านทันทีก่อนเท้าจะเผลอไปประทับหน้าไอ้บ้านั่นให้เป็นเรื่องใหญ่
“ไปสืบมาหน่อยสิรุต” ชายหนุ่มย่อมเห็นทุกการกระทำเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มจึงเอ่ยสั่งลูกน้องคนสนิทให้ไปสืบมาทันที
“คุณฟังดาอยู่รึเปล่าคะ เด็กผู้ชายคนนั้นว่าดากับลูกอย่างไม่ไว้หน้ากันเลย คุณต้องจัดการให้ดากับลูกนะคะ”
“ครับๆ รีบขึ้นรถเถอะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็ดันอีกฝ่ายเข้ารถก่อนจะตามขึ้นไป นับวันเขาชักจะรำคาญอีกฝ่ายที่เอาแต่พูดๆ ฟ้องๆ ไม่คิดจะทำสิ่งที่เป็นประโยชนฺ์มากขึ้นทุกที แต่เจ้าหนุ่มนั่นก็น่าสนใจไม่น้อย ท่าทางเหมือนเจ้าป่าที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ก็ยอมถอยเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งกันทั้งสองฝ่าย น่าสนใจจริงๆ
“วัต ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะ” พลพลร้องเรียกเด็กหนุ่มก่อนจะหลุดขำเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย
“ขำอะไร” เด็กหนุ่มถามห้วนๆ เดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วปิดปากหาวหวอดๆ
“อุ๊บ! ก็เปล่านี่ ว่าแต่นายจะไปสำนักงานวันไหน ทางนั้นเขาติดต่อมาแล้วนะ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องกลั้นขำเต็มที่แม้จะไม่มีประโยชน์ก็ตาม
“พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” ว่าจบเด็กหนุ่มก็ตักข้าวผัดปูขึ้นมากินแบบไม่สนสภาพตัวเอง จะสนทำไมมันกินได้ด้วยเหรอ เด็กชายวัฒนาไม่ได้กล่าวไว้
“อุ๊บ! ฮ่าๆ นายนี่แม่งโคตรจี้เลยว่ะ “ เป็นพลพลที่ทนไม่ไหวหลุดขำ เมื่อหัวยุ่งๆ นั่นผงกขึ้นลงเหมือนคนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่บวกกับท่าเคี้ยวข้าวเอื่อยๆ ตาปรือๆ นี่ไม่ต่างจากเจ้าทุยเคี้ยวหญ้าสำหรับคนอื่นมันคงจะทุเรศแต่สำหรับคนเส้นตื้นอย่างพลพล มีหรือขนาดใบไม้ร่วงเขายังหัวเราะได้นับประสาอะไรกับท่าทางเหมือนเจ้าทุยเมาหญ้าของคนตรงหน้าเล่า
ขอเวลานอกแป๊บ...
ชี้แจงจ้า
สำหรับใครบางคนอาจสับสนในการเรียกชื่อของเฮียพลพินจะอธิบายติอจากนี้เนาะ
พลพล อ่านว่า พน-พน หรือ พะ-ละ-พน แต่ในที่นี้พินจะใช้เรียกพลพลว่า พะ-ละ-พน นะคะ
ความคิดเห็น