ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดิ อาเคเรสต์

    ลำดับตอนที่ #1 : เริ่มเดินทาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30
      0
      22 ก.ค. 47

    วันเสาร์ที่ 1 เมษายน ค.ศ.2559

    สนามบินนานาชาติเมทริซสัน  ประเทศมีคาเอล

    เวลา 8.30น.



                    ณ สนามบินนานาชาติเมทริซสัน เต็มไปด้วยบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลาน มันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่งนักที่ได้เห็นเด็กๆวัยรุ่นที่กอด หอมแก้ม บ้างก็พูดจาร่ำลากับผู้ปกครองที่มาส่ง บางคนก็มีน้ำตาที่มาจากความรัก คิดถึงต่อคนที่จะอยู่ข้างหลัง รอการกลับมาของพวกเขา บ้างก็ร้องไห้เพราะเป็นกังวลต่อสิ่งที่จะต้องพานพบเจอในภายภาคหน้า ผู้ปกครองเองก็ร้องไห้บ้างเมื่อคิดว่าลูกหลานของตนจะต้องพบเจอกับอะไรอีกเมื่อพ้นอ้อมอกพ่อแม่ไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหรือฝ่ายไหนที่ร้องไห้ ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือเด็กๆ ก็จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งปลอบใจ ดูราวกับว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่พวกเขาจะเคยทะเลาะเบาะแว้ง โต้แย้งและโต้เถียงกันด้วยเหตุผลประดามี ในเมื่อวันนี้ดูราวกับพวกเขาจะรวมตัวกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทุกเพศทุกวัย ในเวลาแห่งการจากลาเช่นนี้



                   ร่างสองร่างของคนสองคน ชายสูงอายุคนหนึ่งและเด็กสาวเอวบางอีกคนหนึ่งทื่อยู่ในห้องกระจกเหนือผู้คนเหล่านั้นขึ้นไปกำลังแอบดูภาพน่าประทับใจเหล่านั้น ใครคนหนึ่งก็ปล่อยมือที่ใช้จับผ้าม่านออก และหันมามองหน้าคนที่อยู่ในห้องด้วยกัน



                   \"ว่ายังไง เมลานี เธอคงไม่คิดว่านี่มันเกินคาดหรอกใช่ไหม หือ\" ชายผู้ดูสูงวัยกว่าถามเด็กสาว เธอยิ้มเห็นฟันขาวที่เรียงตัวเป็นระเบียบ ดวงตาเป็นประกาย

        

        เธอมีผมดัดสีทองเป็นประกายยาวถึงไหล่ ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำตาลเป็นประกาย เครื่องหน้าของเธอดูงดงาม ชุดที่เธอใส่อยู่เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวผ้าพริ้วบางสีดำ มันทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำสูง แต่ทว่าดูอ่อนโยนและดูเป็นคนที่ตัดสินใจได้เฉียบขาดยิ่งนัก เธอยิ้มให้กับชายชราและพูดว่า



                    \"ไม่หรอกค่ะ โทมัส หนูคิดเอาไว้แล้วว่าจะมีมาเยอะและหนูก็มั่นใจว่าเครื่องที่เตรียมมาจะมีความจุมากพอให้ผู้โดยสารของเราแน่นอนค่ะ\" เธอตอบ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่น ศีรษะเชิดตรง อย่างคนมั่นใจในตนเอง

        

                     \"แต่เธอก็คงต้องยอมรับนะว่าจำนวนของพวกเขามีมากกว่าที่เราต้องการ\"ชายชราผู้มีนามที่ใครๆเรียกขานว่า โทมัส กล่าวกับเธออย่างอ่อนโยน \"แต่คนที่เราต้องการน่ะน้อยกว่าที่พวกเขามากันหลายเท่าตัวนัก . . . นั่นหมายความว่า . . .\"

        

                     \"เราเตรียมการไว้แล้วนี่คะท่าน หนูคิดว่าเรามีมาตรการที่รัดกุมพอที่จะคัดตัวคนออกไป\" เมลานีพูดเบาๆ ดวงตาของเธอทอดไปยังชายชรา \"หนูคิดว่าเราพร้อมทำทุกทางเพื่อให้ได้คนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ใช่หรือคะ แม้ว่าเราอาจจะเหนื่อยหน่อยในการคัดตัว แต่หนูคิดว่า ถ้านี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ท่าน หนูเชื่อว่าเราจะต้องได้ตัวพวกเขาแน่นอน\"



                    โทมัสยิ้มอย่างเอ็นดูให้เด็กสาว ในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเก่งกาจสักเพียงไหน ก็ยังต้องพึ่งบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือธรรมชาติและเทคโนโลยีที่ทันสมัยไป ให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจในเวลาที่สิ้นหวังเช่นนี้



        08.50น. บัดนี้ เครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่ที่มีความสูงเทียบเท่าตึกสูง5ชั้นมาจอดเทียบเอาไว้ที่ภายนอกอาคาร เครื่องบินขนส่งรุ่นนี้เป็นรุ่นล่าสุด เพียบพร้อมไปทั้งห้องเล่นเกมส์ ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร และห้องสมุด นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่างๆไว้บริการเช่นร้านอาหารสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทานอาหารที่ห้องอาหาร เป็นต้น  



                    ขณะที่ผู้คนเบื้องล่างกำลังเตรียมตัวและร่ำลากัน โทมัสและเมลานีก็กำลังจะเดินไปเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้จะไปยังเครื่องบินขนาด5ชั้นนั้น แต่กำลังจะเดินไปยังหมอกควันสีขาวและมีประกายสีทองออกมาล้อแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามา ภายในหมอกควันนั้นคือหลุมมิติ ซี่งเป็นช่องทางที่จะนำทั้งคู่ไปสู่สถานที่ปลายทางที่นักเดินทางข้างล่างก็ต้องไป เพียงแต่หลุมมิตินี้จะพาพวกเขาไปถึงได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ในขณะที่เครื่องบินขนส่งนั้นต้องใช้เวลาถึงหนึ่งคืนเต็มๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ากว่าเครื่องบินขนส่งจะไปถึงที่หมายปลายทางนั้น ก็จะเป็นเวลา09.00น.ของวันรุ่งขึ้นพอดี



        \"หึๆ เด็กๆพวกนี้ดูกระตือรือร้นกันจัง ฉันแน่ใจว่าถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาต้องไปเจอกับอะไรต่อไปข้างหน้าก็ยังยืนยันที่จะไป ช่างเป็นวันรวมพลนักสู้ที่คึกคักดีจริง\" โทมัสพูด ขณะที่มองพวกเด็กๆเป็นครั้งสุดท้าย เมลานียิ้มอยู่ด้านหลังของเขา

        \"ใช่สิคะ เด็กๆเหล่านี้ล่ะค่ะ ที่จะเป็นกำลังของเรา ผ่านทางความเก่งกาจของพวกเขา และพลังมิตรภาพที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้\" เมลานีพูด ก่อนที่จะมองพวกเด็กด้วยคน \"พวกเขาจะรู้รึเปล่านะ ว่าการเดินทางของพวกเขาไม่ได้สิ้นสุดอยู่เพียงแค่สนามบินปลายทาง\" เธอพูด ขณะที่มองเด็กๆเดินขึ้นเครื่องบินไปอย่างกระตือรือร้นและดูมีชีวิตชีวา ในขณะที่ผู้ปกครองด้านล่างยืนมองด้วยความปลื้มใจ ราวกับเห็นเด็กๆวัยรุ่นเหล่านี้เป็นเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ และดูราวกับพวกเขาได้ประจักษ์ว่าลูกของพวกเขาได้เจริญเติบโตขึ้นมากเพียงใดในเวลานี้



        \"ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ\" ชายชราเรียกมาเบา เมลานีเดินตรงไปหาเขา ยิ้มให้ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปสู่หลุมมิติ เพื่อเดินทางต่อไปให้ถึงปลายทาง

        

        09:00:00

        เสียงเครื่องไอพ่นค่อยๆดังขึ้นเรื่อย ก่อนที่จะเงียบเสียงลงและทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ทิ้งให้อาคารผู้โดยสารและอาคารสูงเสียดฟ้าอื่นๆกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องล่าง ขณะที่ภายในส่วนโดยสารนั้นเริ่มมีเสียงพูดคุยดังขึ้นจากจุดต่างๆ และกลายเป็นเสียงที่ระเบ็งเซ็งแซ่ราวกับนัดกันไว้ มันเป็นเสียงที่รวมารทักทายกันของเพื่อนเก่าในโรงเรียนเก่าที่บังเอิญมาเจอกัน ขณะเดียวกันก็มีเสียงพูดคุยและแนะนำตัวกันในกลุ่มเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นดั่งนิมิตหมายอันดี ที่มีสิ่งที่เรียกกันว่า \"มิตรภาพ\" เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านไปไม่นาน และเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่พวกเขานั่งด้วยกันและพูดคุยกันไปนั้น ก็เหมือนกับพวกเขารู้จักกันมานานเป็นปีๆ จากที่กลัวและไม่มั่นใจว่าการมาครั้งนี้จะได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากและจะมีเพื่อนหรือไม่ก็กลับกลายเป็นว่าความกังวลนั้นหมดไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทว่า. . .



        \"เฮ้ย! นายน่ะ มันจะมากไปแล้วนะ ที่นั่งตรงนี้เป็นที่ที่ฉันจะนั่งนะเว้ย แล้วมันเรื่องอะไรที่นายมาแย่งฉันนั่งอย่างเนี้ยเนี่ย\" เสียงของชายหนุ่มรูปร่างเล็กแต่ท่าทางซ่าส์เอาเรื่องตะโกนก้องไปทั่วทางเดิน คู่กรณีของเขาเป็นชายหนุ่มผมสีทองเข้มที่นั่งอยู่กับผู้ชายผมสีขาวซีดกับ ผู้หญิงหน้าตาสะสวย2คน คนหนึ่งผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลัง และอีกคนผมสีน้ำเงินเข้มยาวประบ่า แต่ดูท่าทางของเขาจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่มีคนมากรอกเสียงดังโวกเวกอยู่ข้างหู ตรงกันข้าม เขาดูสบายอกสบายใจดีเสียด้วย



        \"แล้วมีป้ายตรงไหนรึเปล่าที่บอกว่าตรงนี้เป็นที่นั่งของนายน่ะ ในเมื่อฉันเห็นว่าที่ตรงนี้ไม่มีป้าย ฉันกับเพื่อนๆก็จะนั่งตรงนี้น่ะซิ\" ชายหนุ่มผมขาวซีดตอบ



        \"ก็เพราะมันไม่มีป้ายล่ะซิใช่มั้ย พวกแกถึงได้มานั่งตรงนี้ แล้วพวกเธอก็ด้วยใช่มั้ยล่ะ ทำสำออยบอกแฟนว่าเมื่อยแล้ว  หรือไม่ก็วิวตรงนี้สวยดีนะคะ แล้วก็มาแย่งที่ตรงนี้ของพวกฉันไป โธ่!พวกทุเรศ\" ชายร่างเล็กว่าเข้าให้ถึงหญิงสาวทั้งสอง และนั่นควรจะนับว่าเป็นข้อผิดพลาดของพวกเขา ที่มาว่าถึงผู้หญิงเช่นนี้



        \"นายพูดอะไรช่วยให้เกียรติผู้หญิงหน่อยได้ไหมล่ะ\"ชายหนุ่มผมสีทองเข้มผู้นั่งติดหน้าต่างพูดขึ้น ซึ่งแต่เดิม เขาไม่คิดจะร่วมเสวนากับกลุ่มผู้มาหาเรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่มาถึงตอนนี้ก็สุดจะทนแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าของเขาวาววับ และร่างกายของเขาก็ใหญ่กว่าฝ่ายตรงข้าม มันเป็นรูปร่างของผู้ชายที่แข็งแรง และแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ เขาผู้นี้คือ  เจมส์  เอ็ดเวิร์ด ผู้พร้อมแล้วที่จะสู้ การลุกขึ้นของเขาทำให้สาวๆหลายคนสนใจ เพราะเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบดึงดูดใจใครต่อใครยิ่งนัก



        \"เจมส์ นายนั่งลงเถอะ\" ชายผมสีขาวซีด ที่เป็นคนต่อปากต่อคำเป็นคนแรกพูดขึ้นเบาๆ เขาคือ - -  เดวิด รัชเชอร์ ท่าทีของเขานั้นยังคงนิ่ง แต่ดูเหมือนความร้อนภายในใจของเขาจะระเหิดไปหมดแล้ว \" น่า นั่งลงเถอะ\" เขาพูดอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจมส์ยังไม่ขยับ ทันใดนั้นก็เหมือนมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามของเดวิด หญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวดัดป็นลอนเล็กห่างๆกันผู้นั่งติดทางเดินพูดขึ้นเบาๆว่า

        

    \"นั่งลงเถอะค่ะ เจมส์ คุณไม่ควรจะมีเรื่องที่นี่นะคะ\" เธอพูดด้วยเสียงนิ่งๆ ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าเข้มแกมเทานั้นดูอ่อนโยน แต่ก็ดูทรงอำนาจเช่นกัน ท่าทีของเธอทำให้ผู้ระรานรู้สึกอยากยอมแพ้ และผู้ที่โดนเรียกชื่อก็นั่งลงตามคำพูดนั้นราวกับต้องมนตร์ ริมฝีปากสีชมพูนั้นยิ้มให้กลุ่มชายหนุ่มผู้มาเยือน  \"ถ้าพวกคุณอยากจะนั่งก็เชิญเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะลุกเอง\" เธอพูด แต่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นกลับส่ายหน้า

        

    \"ไม่ล่ะครับ เชิญพวกคุณนั่งกันตามสบายเถอะ ผมต้องขออภัยจริงๆที่มาก่อกวนพวกคุณเช่นนี้ ถ้ายังไง พวกผมขอตัวนะครับ\" ชายร่างใหญ่ที่มาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหนุ่มปากเสียพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ทำให้ใครๆคาดไม่ถึง หนุ่มร่างเล็กมีท่าทีขัดใจ

        

    \"แต่ว่า - - คุณมาร์คครับ \" เขาพูดขึ้น แต่ชายร่างใหญ่ผู้มีนามว่ามาร์คกลับโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้ตามเขามา

        \"อะไรอีกล่ะโจ พอได้แล้วน่า\" มาร์คพูด \"ตามฉันมา พวกนายนี่จริงๆเลยนะ ที่นั่งก็มีอยู่ตรงโน้น ยังมาก่อความวุ่นวายตรงนี้อีก\" แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ยกขบวนออกไป





        \"หึ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็มีคนคุ้มหัว รู้อย่างงี้อัดพลังใส่มันไปนานแล้ว\" ถ้าคุณคิดว่าประโยคนี้มาจากเจมส์หรือเดวิดคนใดคนหนึ่งล่ะก็ ต้องขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะเจ้าของคำพูดนี้กลับเป็นสาวหน้าหวานผู้มีผมสีน้ำเงินอย่าง เคท เอฟเวอร์ตัน ผู้นั่งอยู่ข้างๆสาวสวยผู้เจรจาสงบศึกไปเมื่อครู่ เอสเตล เพรวิท



        \"ฉันก็ว่างั้นล่ะ ไม่งั้นฉันคงจัดการไปก่อนแล้ว ไม่รอให้เอสเตลเจรจาสงบศึก หรือรอให้เธอพูดประโยคนี้หรอก\" เจมส์พูด ในขณะที่เคทส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ



        \"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สวะสังคมพวกนี้จะหมดไปซะที\" เคทพูด เธอจัดเป็นสาวเลือดร้อนคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุผล และยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง เช่นเดียวกับที่ยอมรับความคิดของคนอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม - - ความเลือดร้อนของเคทไม่สามารถที่จะบอกได้จากการมองหน้า เพราะว่าใบหน้าของเธอนั้นทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเธอเป็นสาวมาดนิ่มผู้เรียบร้อยมามากแล้ว



        \"เราว่าพวกเขาเป็นสวะสังคมน่ะได้ เคท แต่เราอย่าเป็นอย่างเขาก็แล้วกัน เพราะมันคงไม่ทำให้โรงเรียนของเราน่าอยู่มากขึ้นหรอกนะ\" เดวิดพูดด้วยเสียงต่ำๆ



        \"เราจบเรื่องนี้กันได้แล้วล่ะ ฉันไม่เห็นว่ามันจะทำให้การเดินทางของเราสนุกขึ้นตรงไหน\" เอสเตลพูดบ้าง และทุกคนก็ทำตามเธอ คือไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย



                    เคทหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงที่มีบริการให้ในเครื่อง เจมส์นั่งโหลดข้อมูลเพื่อหารายละเอียดสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนใหม่ เดวิดนั่งอ่านหนังสือที่โหลดมาจากระบบที่เก็บของมิติที่4 ซึ่งเป็นช่องว่างที่สงบนิ่งในมิติกาลเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบเอ็นจิเนีย ซิสเต็ม เพิ่งทำได้ เพื่อใช้เป็นที่เก็บของต่างๆเอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องนั่งแบกกระเป๋าเรียน หรือกระเป๋าเดินทาง โดยวิธีการเปิดหลุมมิติที่4นั้น ต้องใช้เปิดผ่านแหวนมิติ ซึ่งมีใช้กันอยู่ในหมู่คนรวยเท่านั้น ส่วนเอสเตลนั้นนั่งมองผู้ร่วมเดินทางไปเงียบๆ แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองใบหน้าของเธอมากกว่า เนื่องจากสะดุดตาในความสวยของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเบื่อ หันไปคว้าหนังสือมาอ่านแทน



                     \"เอ่อ ขอโทษนะคะ\" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นและเอสเตลเงยหน้าขึ้นมอง เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ผมสีทองดัดเป็นลอน เมื่อรวมกับชุดเกาะอกสีแดงสั้นแค่เข่า รองเท้าส้นสูง และกระเป๋าถือสีดำสายคล้องทำจากคริสตัล ยี่ห้อ \"Le Gothiye\" ซึ่งมีราคาแพงมากๆแล้ว ก็พอบอกได้ว่า เธอคนนี้เป็นพวกไฮโซของแท้เลยทีเดียว



                     \"ไม่ทราบว่าพวกคุณรู้จัก เจมส์ เอ็ดเวิร์ด รึเปล่าคะ\" เธอถาม เอสเตลยิ้มให้



                     \"นั่นไงคะ เจมส์ มีคนมาหาค่ะ\" เอสเตลพูด เจมส์เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะมองเห็นหน้าผู้มาเยือนเต็มตา



                     \"เจมส์ เจอเธอสักที ฉันเดินตามหาเธอไปทั่วเลยรู้รึเปล่า\" สาวนิรนามโผเข้าหาเจมส์ผู้ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวเขาเองยืนนิ่งอย่างงุนงงและตกใจ ก่อนที่จะผลักตัวหญิงสาวออกเพื่อมองหน้าให้ชัดๆ ก่อนที่จะหัวเราะและคว้าตัวเธอเข้าไปกอดอีกที



                     \"แวนนี่ เธอจริงๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย วิกเตอร์ล่ะ เค้ามาด้วยรึเปล่า\" เขาถาม เธอพยักหน้า และเขายิ้ม \"อยู่ไหนล่ะ อืม เอางี้ดีกว่านะ เดี๋ยวฉันไปกับเธอด้วย เดี๋ยวฉันกลับมานะพวกเรา\" เจมส์พูดกับเดวิด เอสเตล และเคท ซึ่งทั้งสามพยักหน้า เขาจึงยิ้มหน้าบาน เดินออกไปพร้อมกับสาวที่พวกเขารู้แต่ว่า ชื่อ แวนนี่



                     เดวิด เอสเตล และเคท หันกลับไปกิจกรรมของตนเองต่อ หลังจากที่นั่งกันเงียบๆไปราวๆ10นาที เดวิดก็พูดขึ้นมาว่า \" พวกเธอรู้รึเปล่าว่าเราทานอาหารกันได้ที่ไหนน่ะ\" เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นเวลา 11:55:29 บนหน้าปัดนาฬิกา



                     \"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอล่ะ เอสเตล\" เคทตอบ และหันไปถามคนข้างๆ ขณะที่เอสเตลคว้าคอมพิวเตอร์ที่เจมส์เปิดทิ้งไว้มาดูที่หน้า \'ตารางเวลาเดินทาง\'



                     \" สิบสองนาฬิกาเป็นต้นไป อิ่มอร่อยกับอาหารที่ห้องอาหารซึ่งจะมีบริการตั้งแต่ตอนเที่ยงไปจนถึงแปดโมงครึ่ง\" เอสเตลอ่านออกมา เคทกับเดวิดมองหน้ากัน และราวกับนัดกันไว้ ทั้งคู่ก็เอ่ยออกมาพร้อมกันว่า



                     \"โอเค งั้นเราไปที่ห้องอาหารกัน\"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×