คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Indoor game 5: แบบนี้อารมณ์ค้าง!
สายลมเพียงแผ่วปลิดขั้วใบไม้สีน้ำตาลเข้มให้หลุดลอยออกจากต้นได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะทิ้งตัวลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน ราวกับจะซ้ำเติมให้บรรยากาศที่สวนสาธารณะดูหงอยเหงามากยิ่งกว่าเดิม
แววตาหมองเศร้าของชายหนุ่มร่างสูงทอดมองไปไกล ปล่อยให้ความคิดหวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ภาพความทรงจำวันวานเกี่ยวกับครอบครัวที่ได้สูญเสียไปยังคงตามหลอกหลอนอยู่ทุกลมหายใจ
ไม่มีอีกแล้วสายตาที่ห่วงใยและชื่นชมของคุณพ่อ
ไม่มีอีกแล้วถ้อยคำปลอบประโลมหวานหูที่คอยผลักดันและเป็นกำลังใจให้เรื่อยมาของคุณแม่
มันไม่มีอีกแล้ว
ครอบครัวของเรามันไม่สมบูรณ์อีกต่อไปแล้วเมื่อขาดพวกท่าน
ความร้อนวิ่งขึ้นมาที่กระบอกตาราวกับรับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างต้องเผชิญกับความกล้ำกลืนเพียงใด หยดน้ำใสเอ่อคลอแต่ดวงตาคมกลับค่อย ๆ ปิดลงอย่างปวดร้าวไม่ให้มันไหลรินออกมา
“พี่ภู
” เสียงเล็กๆดังเรียกอยู่ไม่ห่าง เด็กชายตัวน้อยทำเพียงเอื้อมแตะแก้มของพี่ชายแผ่วเบาหากร่างหนากลับสะดุ้ง เผลอตวัดมือกอบกุมแขนเล็กเอาไว้ แรกทีเดียวเด็กชายตกใจในปฏิกิริยาแต่อึดใจต่อมารอยยิ้มน้อย ๆ จึงฉาบขึ้นบนแก้มนวล
“พี่ภูอย่าเศร้านะ คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่กับเราไม่ใช่หรอ ท่านแค่หลับไป พี่ภูเคยบอกนี่นาว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่มีวันทิ้งพวกเราไปไหน
หรือพี่ภูโกหกภัทร” ปลายเสียงสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เจ้าถ้วยฟู... ลูกสุนัขตัวเก่งของภัทรโดนรถชน มันเลือดไหลมากเหลือเกิน เสียงครางครวญอย่างเจ็บปวดยังคงติดหูเด็กชายอยู่จนถึงทุกวันนี้... สุดท้ายเจ้าถ้วยฟูถึงแน่นิ่งไป ภัทรร้องไห้จนหลับพอตื่นเป็นต้องร้องอีก
เป็นอย่างนี้หลายต่อหลายวันจนภูต้องบอกว่าเจ้าถ้วยฟูมันเพียงแค่หลับไปเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง
เพียงแค่ตอนนี้มันต้องรักษาตัวเลยยังไม่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น
ภัทรเชื่อมาตลอดว่าเจ้าถ้วยฟูยังมีชีวิตอยู่ มันแค่นอนหลับเพื่อรักษาตัว แล้ววันหนึ่งมันจะลุกขึ้นมาวิ่งเล่นกับเขาอีกครั้ง
แสดงว่าพ่อแม่เองคงกำลังนอนหลับพักรักษาตัวเหมือนเจ้าถ้วยฟูด้วยกระมัง
แล้วสักวัน
พวกท่านจะต้องกลับมาโอบกอดเขากับพี่อย่างที่เคยทำแน่นอน
เนิ่นนานทีเดียวกว่าภูจะปล่อยแขนของเด็กชาย น้องน้อยที่นั่งอยู่ไม่ห่างดูจะไม่เศร้ามากอย่างที่กลัวเอาไว้ อาจจะเป็นด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดซึ่งเขาเป็นผู้เอ่ยสอนในกาลก่อนด้วยกระมัง
จริงอยู่ที่พวกท่านเหมือนหลับไป เพียงแต่สิ่งที่ภัทรไม่รู้คือการหลับใหลครั้งนี้ของท่านทั้งสองมันจะยาวนานไปชั่วนิจนิรันดร์
ดวงตาเศร้าสร้อยของน้องชายตัวน้อยทำเอาหัวใจของพี่ชายอย่างเขากระตุกวูบ
นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่
เขาไม่ได้สูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปเสียหน่อย เขายังมีน้องชายแสนน่ารักคนนี้ที่ต้องปกป้องอยู่ไม่ใช่หรือ
นัยน์ตาพราวระยับของเด็กชายเหมือนจะช่วยเรียกสติและความเยือกเย็นของเขากลับคืนมา แววตาสีนิลที่เคยหมดอาลัยเริ่มทอประกายอีกครั้ง
สิ่งสำคัญสุดท้ายที่เหลืออยู่ ต่อให้ต้องแลกด้วยลมหายใจเขาจะต้องปกป้องรอยยิ้มนี้เอาไว้ให้ได้
“ระหว่างที่คุณพ่อกับคุณแม่กำลังพักผ่อน พี่จะปกป้องภัทรเองนะ” รอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยได้รับอยู่เป็นประจำ เวลานี้กลับกลายเป็นราวกับน้ำทิพย์ที่ชโลมหัวใจอันแห้งผากให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง
ขอแค่มีภัทร
พี่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“ภัทรอยากปกป้องพี่ภูเหมือนกันนะ ภัทรโตแล้วปกป้องพี่ภูได้แล้วด้วย” เอ่ยเหมือนจะอวด แขนเล็ก ๆ เบ่งกล้ามที่ไม่มีโชว์พี่ชาย เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากร่างสูงได้มากโข หากคนถูกหัวเราะกลับไม่ขำด้วย ภัทรทำตาโตอมลมจนแก้มป่องตีหน้ายักษ์ใส่พี่ชายเสียอย่างนั้น
จากที่กำลังจะหยุดหัวเราะ พอเห็นท่าทางแบบนั้นเสียงหัวเราะชุดใหญ่จึงหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือแกร่งเอื้อมไปขยี้หัวทุยอย่างหมันเขี้ยวก่อนจะเอ่ยด้วยความขบขัน
“จะปกป้องพี่ภัทรต้องตัวใหญ่กว่านี้ ภัทรต้องกินนมจนหมดโลกเลยนั่นล่ะ ถึงจะสูงกว่าพี่” เอ่ยเย้าเพราะรู้ดีว่าน้องชายไม่ถูกกับเจ้าของเหลวชนิดนี้อย่างหนัก และไม่ผิดหวังเมื่อเห็นหน้ากลม ๆ เริ่มแสดงปฏิกิริยาออกมา
“อื๋อ ภัทรเกลียดนม!” ร้องออกมาตามที่รู้สึก เมื่อคิดถึงเจ้าน้ำขาว ๆ ในแก้วขนาดใหญ่ที่โดนบังคับกินอยู่ทุกคืน เล่นเอาคนอยากเป็นฮีโร่ปกป้องพี่ชายถึงกับหน้าซีด
“งั้นพี่ภูปกป้องภัทรต่อไปแล้วกันนะฮะ” เอ่ยรวบรัดไม่สนใจความต้องการก่อนหน้านี้ของตัวเองแม้สักนิด เป็นอีกครั้งที่ภูคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา ดวงตาคมจับจ้องไปที่ร่างเล็กของน้องชายก่อนจะเงยขึ้นไปบนฟ้ากว้าง
คุณพ่อคุณแม่วางใจเถอะนะครับ ผมจะดูแลน้องอย่างดีที่สุด จะไม่มีวันยอมให้น้องต้องเสียใจเด็ดขาด
ผมสาบาน...
••••••••
วันต่อมา...
ภายในบ้านที่อดีตเงียบเหงาไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ปัจจุบันปรากฏร่างเด็กชายคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นหยอกล้ออยู่ภายในครัวพร้อมกับเสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงความสนุกสนานของทั้งคู่ บริเวณหน้าบ้านนายตำรวจผู้อุปการะเด็กทั้งสองกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับสูบบุหรี่มวนสีขาวอยู่บนเก้าอี้โยกสีชา เดชาหันไปทางที่มาของเสียงหัวเราะก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
...ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปคงดีสินะ...
“ภัทร พี่บอกให้อยู่เฉย ๆ น่า เดี๋ยวพี่ทำเอง” ร่างสูงหันไปหาน้องชายตัวดีที่กำลังถือที่ตีไข่พร้อมกับวิ่งไปมารอบ ๆ โต๊ะด้วยความซุกซน
“ภัทรโตแล้วนะ ภัทรช่วยพี่ภูได้!” เด็กชายเอ่ยออกมาเสียงดัง ภูจึงพูดแซวแล้วหันกลับไปหั่นผักสีเขียวในมือต่อ
“ไว้โตกว่านี้ดีกว่าเถอะภัทร”
“พี่ภูอ่ะ...” ภัทรได้แต่บ่นอยู่ในใจ... ใช่สิ เขามันยังเด็ก ยังช่วยอะไรไม่ได้นี่นา... ร่างเล็กทำแก้มป่อง เดินปึงปังไปนั่งเก้าอี้ริมห้องอย่างง้องอน
ภูเหลือบมองตามไป ลอบยิ้มน้อย ๆ ก่อนวางมีดลง เดินไปหาน้องชายของตนที่กำลังงอนอยู่ มือหนาเอื้อมไปลูบไล้แก้มนิ่มแล้วจับหน้าให้หันมามองตรง ๆ ภัทรยิ่งทำแก้มป่องขึ้นมากกว่าเดิมจนทำให้ผู้เป็นพี่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูทำหน้าเข้าสิ หน้าบูดยังกับตูดลิงกัง” ยิ่งได้ยินคำล้อยิ่งงอนหนักเข้าไปใหญ่ ภูจึงรีบเอ่ยง้อพลางบีบแก้มส่ายไปมา “โอ๋ๆ พี่ให้ทำก็ได้”
“เย้!” ร่างเล็กยิ้มแฉ่งออกมาทันที กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปมาอย่างร่าเริงเหมือนปรกติ จนภูที่มองตามต้องส่ายหน้าเบา ๆ
“เฮ้อ ภัทรมานี่มา ถ้าอยากทำเดี๋ยวพี่ให้..”
โครม !
เสียงเอิกเกริกพลันดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ภูรีบหันขวับไปมองก่อนที่จะสั่งภัทรไว้
“อยู่นี่นะครับ เดี๋ยวพี่มา...ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดนะ” เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ ภูค่อย ๆ เดินลัดเลาะออกไปทางหน้าบ้าน
“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ!!” เสียงของผู้ชายสูงวัยดังขึ้นจากด้านนอก ภูขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ค่อยๆ เดินไปหลบที่ฝาผนังของอีกฟากหนึ่ง ร่างสูงยื่นหน้าออกมาเล็กน้อยที่พอจะเห็นได้ทั่วทุกมุมบ้าน สายตาของเขาจะหยุดลงกับภาพที่เดชา นายตำรวจยศสูงที่กลับไปนอนกองอยู่บนพื้น และคนที่ยืนค้ำหัวอยู่นั้น...
...ลุงอานนท์
!!
ชายสูงวัยผู้เคยออกรับหมัดแทนเขา ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ละ แถมมีผู้ชายท่าทางน่าสงสัยยืนอยู่เต็มไปหมด..
“ม...ไม่... ฉันไม่ให้ภูไปกับแกเด็ดขาด” เสียงแหบแห้งของเดชาเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่ภูกลับได้ยินเต็มสองหู... มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“ทำอะไรกันน่ะ!!” เขาเผลอตะโกนลั่นก่อนที่จะปรากฏตัวออกมา.. ถึงจะรู้ว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยง แต่มันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว เขาทนเห็นคนที่ช่วยเขาไว้เจ็บไปต่อหน้าไม่ได้
“เอ้า จู่ ๆ หกล้มลงไปแบบนั้นก็แย่สิเดชา ภูตกใจหมดแล้ว ลุกขึ้นมาเร็ว” อานนท์หันมาเห็นเขาก็รีบยื่นมือไปพยุงตัวของนายตำรวจให้ลุกขึ้น ก่อนร่างนั้นจะเดินเข้ามาหาภู หากขาทั้งสองข้างของเขากลับก้าวถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ
“ภู... ลุงมารับหลานแล้วนะ”
“รับ? รับอะไร”
“รับหลานทั้งสองไปอยู่ด้วยไง มาสิ” ชายร่างท้วมเอ่ยตอบพลางผายมือออกไปเป็นการเชื้อเชิญ หากทว่าร่างโปร่งกลับไม่ยินยอม ภูมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างเลิกลั่ก ก่อนจะเหลือบไปเห็นเลือดสีแดงสดที่มุมปากของเดชา
หกล้ม? หกล้มทำไมมีแผลอย่างกับโดนต่อย...
พลันความคิดของภูไหลเข้ามาในสมองอย่างไม่หยุด ก่อนที่สมองของเขาจะสรุปผลได้ว่า...
...อานนท์ไม่น่าไว้วางใจ...
“ผมคิดว่าไม่เป็นไรดีกว่าครับ” ร่างโปร่งเอ่ยปฏิเสธอย่างเย็นชา เขาตัดสินใจดีแล้ว... เขาจะต้องปกป้องน้องของเขาเองให้ได้ การนำตัวเองและน้องเข้าไปเสี่ยงกับคนที่ไม่น่าไว้ใจแบบนี้คงไม่เป็นการดี
“ทำไมละภู เธอกำลังจะเป็นนักศึกษาแพทย์แล้วไม่ใช่เหรอ ต้องเรียนหนักแบบนี้แล้วจะมีเวลาดูแลน้องหรือไง” คำกล่าวของชายร่างท้วมทำให้เขาเผลอคิดคล้อยตามเพียงชั่วครู่ ก่อนจะสะดุดนึกขึ้นได้ว่า... ทำไมอานนท์ถึงรู้ว่าเขากำลังจะเป็นนักศึกษาแพทย์
นอกจากทำการสืบประวัติของเขามาเรียบร้อยแล้ว...
อันตราย
ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาหลังเรียบเรียงเรื่องได้ อีกทั้งเขาเองยังรับรู้ถึงกลิ่นอายความไม่ประสงค์ดีจากคนตรงหน้าอย่างชัดเจน
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมจะดูแลน้องได้ครับ” ภูเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ราวกับโล่งอกจากเดชา ส่วนชายร่างท้วมผู้เป็นลุงของเขามีสีหน้าโกรธทึ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้ม
“ได้... ลุงจะดูการตัดสินใจของหลานอีกครั้งนึง กลับ!” อานนท์เอ่ยตะคอกสั่งลูกน้องที่สวมสูทสีดำสองสามคนที่มากับเขา แล้วเดินหันหลังออกจากบ้านไป
“อาเดชา! เป็นอะไรไหมครับ” ภูถลาเข้าไปหาเดชาที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ชายวัยกลางคนผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ใบหน้าคร้ามมีริ้วรอยของความเคร่งเครียด
“ภู... เรื่องที่เธอเล่ามา ว่ามีคนน่าสงสัยที่คาดว่าอาจจะเป็นคนร้าย... แล้วลุงของเธอเข้ามาช่วย”
“มีอะไรคืบหน้าเหรอครับ?” ภูนั่งลงบนโซฟาอีกตัวพลางซักถามต่ออย่างใคร่รู้
“ตอนนี้ฉันกำลังสงสัยลุงของเธอ”
“หมายความว่ายังไง?” นายตำรวจหยิบเอกสารบนโต๊ะหน้าโซฟาขึ้นมายื่นให้เขา ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ
“หลักฐานชิ้นเดียวที่พบในรถของพ่อเธอ คือมีรอยนิ้วมีของคน ๆ หนึ่งอยู่ที่บนข้างประตูรถ... ที่ไม่ใช่ลายนิ้วมือของพ่อเธอ” เดชากล่าวเสียงเรียบ ภูกวาดตาดูรูปลายนิ้วมือที่สแกนมาจากประตูรถพลางพินิจตามที่นายตำรวจกล่าวมา... ถ้าไม่ใช่ของพ่อเขา แล้วของใครล่ะ
“จากที่เราตรวจสอบ พบว่าลายนิ้วมือนั้น... คือลายนิ้วมือของอดิเทพ มือขวาของอานนท์... ลุงของเธอ”
“แสดงว่า...”
“ใช่ คนที่เรากำลังสงสัยอยู่คือ อานนท์” เมื่อเดชาพูดจบ ความหนักอึ้งทั้งมวลพลันถาโถมเข้ามาใส่ภูทันที ในเมื่อคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นคนฆ่าพ่อและแม่...
ดันเป็นลุงของเขาเอง
••••••••
เสียงนาฬิกาดังขึ้นบอกเวลาว่าภูต้องออกไปรับน้องชายตัวดีจากโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว ร่างสูงที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเดินไปกดนาฬิกาให้หยุดร้อง ก่อนที่เขาจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดหัวให้แห้ง หยดน้ำที่เกาะพราวทั่วร่างร่วงลงเป็นทาง
เพล้ง!
ภูหันขวับไปตามเสียง ชายหนุ่มหยิบแว่นขึ้นมาสวมก่อนเดินไปยังห้องของเขาซึ่งเป็นที่มาของเสียง... เขาเปิดประตูเข้าไปพบกับกรอบรูปสีฟ้าที่ตกลงมาแตกละเอียด
ซึ่งภายในมีรูปของน้องชายที่กำลังยิ้มให้กล้องอย่างร่าเริง ร่างสูงมองด้วยความตกใจก่อนค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา แต่เศษกระจกกลับบาดนิ้วของเขาเสียก่อน
ชายหนุ่มชะงัก รีบชักมือกลับมาแล้วดูดเลือดจากบาดแผล ทันใดนั้นความคิดหนึ่งที่เคยได้ยินพลันแล่นเข้ามาในสมองเขาอย่างรวดเร็ว
หากว่ากรอบรูปหล่นลงมาแตก... เป็นลางว่าคนที่อยู่ในรูปจะมีเคราะห์ร้าย
นัยน์ตาของร่างสูงเบิกโพลง ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปแต่งตัวอย่างลวก ๆ แล้วรีบออกจากบ้านทันที
...ขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับภัทรเลย
“อ้าว น้องภัทร ใครมารับเอ่ย” คุณครูสาวที่ยืนส่งเด็กกับผู้ปกครองอยู่หน้าประตูโรงเรียนเอ่ยถามเด็กน้อยร่างเล็กที่กำลังเดินออกไป
“พ...”
“ลุงมารับครับ” ชายร่างท้วมกลับเข้ามาพูดคุยกับคุณครูแทนโดยที่เด็กชายไม่ทันตอบ ภัทรหันไปมองอย่างงง ๆ ก่อนจะคุ้นหน้าขึ้นมานิดหน่อย เพราะแอบเห็นหน้าอยู่เมื่อวาน
“ลุงที่เคยมาบ้านอาเดชาใช่มั้ยฮะ?” ภัทรเงยหน้าขึ้นถามอย่างไร้เดียงสา
“ถูกต้อง เก่งมาก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อของหนูไงครับ” ชายคนนั้นยิ้มให้เด็กน้อยอย่างเป็นมิตร เขาผายมือไปทางรถยนต์สีดำคันหรูที่กำลังจอดรออยู่
“พี่ภูของหนูรออยู่แล้ว ตามมาเลย” เมื่อได้ยินชื่อพี่ชายของตนจึงรีบยกมือไหว้สวัสดีครูสาวแล้ววิ่งขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนอานนท์จะเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วยื่นซองจดหมายให้
“ถ้ามีหนุ่มใส่แว่นอายุประมาณสิบแปดปีมาถามหาภัทร เอาซองนี้ให้เขานะครับ...”
“ลุงจะพาภัทรไปไหน?” เด็กน้อยเอ่ยถามในขณะที่รถกำลังวิ่งไปตามทางอย่างเร็ว แน่นอนว่าเร็วเกินขีดจำกัดความเร็วของการจราจรแล้ว
“เงียบ ๆ เถอะน่า!” ชายร่างท้วมหันมาตะคอกด้วยความรำคาญจนร่างเล็กถึงกับสะดุ้งเฮือก
“พ... พี่ภูอยู่ไหน ปล่อยภัทรนะ ภัทรจะไปหาพี่ภู” ร่างเล็กเริ่มดิ้นพร้อมส่งเสียงโวยวายหาผู้เป็นพี่ พลันผ้าสีขาวถูกอัดเข้ามาปิดจมูกและปากของเขาเอาไว้ เด็กชายพยายามป่ายปัดออกหากร่างกายไม่ทำตามคำสั่งเท่าใดนัก จนกระทั่งภาพที่เห็นค่อย ๆ กลายเป็นสีดำสนิทไปในที่สุด
“เงียบซะที ไอ้เด็กเวรนี่ โวยวายอยู่ได้” อานนท์สบถพลางแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนรถสีดำจะเลี้ยวเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่หลังจากขับมาได้ไม่นาน
ชายร่างท้วมก้าวออกมาจากรถ ส่วนคนชุดดำอีกคนอุ้มเอาเด็กชายร่างเล็กพาดบ่าแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์
“เอามันไปมัดไว้กับเสา” อานนท์เอ่ยสั่งขึ้นทันทีเมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่โตที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนหรู ๆ อดิเทพขานรับในคอก่อนวางเด็กชายลงที่มุมห้อง และเอาเชือกเส้นใหญ่มัดร่างนั้นตรึงไว้กับเสาต้นใหญ่
“ดีมาก” ชายสูงวัยหยิบแก้วไวน์สีแดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบอย่างสำราญ เดินเข้าไปหาเด็กน้อยที่กำลังหลับด้วยฤทธิ์ยาสลบก่อนจับดวงหน้าเล็กให้หันมา แล้วกวาดตามองสำรวจ
“น่ากินตั้งแต่เด็ก มิน่าพี่ชายมันถึงหวงนักหวงหนา” เขาหัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ ปล่อยมือออกจากแก้มนิ่มของเด็กชายพลางจิบไวน์องุ่นในมือ
“ที่เหลือ...รอแค่เหยื่อมาติดกับ”
‘ภัทรอยู่กับฉัน มาเอาตัวมันคืนได้ที่คฤหาสน์ตามแผนที่ ถ้าพาตำรวจมาด้วยฉันไม่รับรองความปลอดภัยของน้องนาย’
หัวใจของภูพลันสูบฉีดเลือดแรงขึ้นกว่าเดิมทันทีที่ได้อ่านข้อความในจดหมาย เขากัดฟันสบถก่อนจะรีบขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ มุ่งหน้ากลับไปที่บ้านก่อนเพื่อขอความช่วยเหลือจากเดชา
ทว่าเมื่อถึงบ้านนายตำรวจใหญ่กลับออกไปทำงานเสียแล้ว ชั่วแวบหนึ่งที่ภูคิดจะเข้าไปช่วยด้วยตัวเอง... แต่ด้วยความที่เป็นคนใจเย็น เขาจึงตัดสินใจวางแผนให้รอบคอบเสียก่อนแม้ว่าไม่อาจข่มใจให้สงบได้
ในเมื่อเดชาเป็นตำรวจ เป็นไปได้ว่าต้องมีปืนเก็บเอาไว้ในบ้านอยู่อีกแน่ ๆ แล้วต้องอยู่ในที่ที่เวลาฉุกเฉินสามารถหยิบมาใช้ได้ง่าย
ห้องนอน...
ชายหนุ่มวิ่งตึงตังเข้าไปในห้องนอนของเดชาอย่างถือวิสาสะ ยกหมอนขึ้นดูก่อนไล่เปิดลิ้นชักข้างเตียงอย่างรีบร้อน และพบกับสิ่งที่เขาต้องการในเวลาไม่นาน ภูหยิบปืนขึ้นมาสำรวจกระสุนแล้วเหน็บซ่อนเอาไว้ข้างกางเกง โชคดีที่เขาเคยไปซ้อมยิงปืนกับพ่ออยู่ช่วงหนึ่งจึงพอใช้เป็นอยู่บ้าง
ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะกลับไปตามแผนที่ที่ให้มาทันที ไม่นานนักรถก็จอดลงหน้าคฤหาสน์ซึ่งเขียนไว้ในแผนที่ สายตาคมปะเข้ากับเสากระเบื้องข้างประตูใหญ่ที่มีป้ายสีดำติดไว้ว่า...
‘ดร.อานนท์ สิริเทวกุล’
บ้านลุงอานนท์... แสดงว่า ลุงอานนท์เป็นคนร้ายตามที่สงสัยไว้จริง ๆ เหรอเนี่ย?...
...บ้าจริง!...
“คุณ... มาหาใครเหรอคะ?” หญิงในชุดสาวใช้เดินออกจากบ้านมาเอ่ยถามร่างสูง
“อ...เอ่อ ผมภู หลานของลุงอานนท์ ผมมาหาลุงตามที่นัดไว้น่ะครับ”
“เชิญทางนี้เลยค่ะ” ภูเดินตามหญิงคนนั้นเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ทันที ถึงในบ้านจะเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายแต่บรรยากาศกลับค่อนข้างเงียบเหงา จนกระทั่งหล่อนหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่
สาวใช้ผลักประตูให้เปิดออกก่อนก้มหัวแล้วเดินออกไปอย่างสุภาพ ร่างสูงเดินสวนเข้าไปในห้องที่มีชายร่างท้วมกับบอดี้การ์ดประมาณสองคนที่ยืนอยู่
“น้องฉันอยู่ไหน?” เขาเอ่ยเสียงเย็นซึ่งตรงข้ามกับใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ว่าไง? หลานที่น่ารักของฉัน..” อานนท์ยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ เหลือบหางตาไปยังเสาซึ่งเมื่อภูมองตามไป ความโกรธก็พลันพุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“ปล่อยน้องผมเดี๋ยวนี้!!” ชายหนุ่มคำรามลั่นเมื่อเห็นน้องของเขาที่ถูกมัดอยู่ตรงเสาต้นใหญ่ ชายที่เป็นหัวหน้าสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงตะโกนของหลานตน เมื่อเห็นภูทำท่าจะเดินไปหาจึงสั่งให้บอดี้การ์ดเข้าไปกักกั้นเอาไว้
“นั่งก่อนสิ” ร่างใหญ่ผายมือลงบนโซฟาหรู หากแต่ว่าสายตาของคนที่จ้องมองอยู่ตอนนี้ไม่เล่นด้วย
“ปล่อยน้องของผมเดี๋ยวนี้”
“งั้นเซ็นนี่ซะ” อานนท์กระดิกนิ้วเป็นเชิงเข้าใจกับลูกน้องของเขา ก่อนที่ชายสวมสูทอีกคนจะเดินเข้ามาหาภูแล้วยื่นเอกสารสีขาวให้ เขาหยิบมันมาอ่านอย่างละเอียดจนมาสะดุดอยู่กับประโยคหนึ่ง
‘ข้าพเจ้า นายภู สิริเทวกุล ขอโอนกรรมสิทธิ์มรดกของนายอานัท สิริเทวกุลให้แก่ นายอานนท์ สิริเทวกุล’
“นี่มันใบโอนมรดก?” คิ้วเรียวขมวดเข้าเป็นปม อานัทคือชื่อพ่อของเขาเอง
“ใช่ แลกกับตัวน้องนายยังไงล่ะ...หึ ๆ” อานนท์แค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองไปหาภัทรอย่างอาลัย... เพื่อปกป้องน้อง เพียงแค่นี้เขาต้องยินยอมแน่นอนอยู่แล้ว
“เซ็นสิ...อยากให้น้องนายปลอดภัยไม่ใช่เหรอ?” อานนท์พูดด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ก่อนที่เขาจะหันไปยังลูกน้องของตน อดิเทพหยิบปืนออกมาจากด้านหลังแล้วเล็งกระบอกปืนไปยังร่างของเด็กน้อยที่นอนไม่ได้สติ ภูกำหมัดแน่น ดวงตาหลังกรอบแว่นที่เคยสงบนิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ตอนนี้เขาโกรธจนอยากจะฉีกเนื้อของคนที่อยู่ตรงหน้านี้ออกเป็นชิ้น ๆ
คนตรงนี้ไม่เพียงแต่ฆ่าพ่อแม่ของเขา... ยังต้องการจะแย่งชิงมรดกของพ่อไปอีก นับประสาอะไรกับน้องชายของเขาที่ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตราบที่ยังมีคนชั่ว ๆ ตรงหน้านี้อยู่บนโลก
“คุณทำแบบนี้กับพ่อได้ยังไง พ่อผมเป็นพี่คุณนะ!”
“แกรู้ไหม ว่าตลอดเวลากว่าสิบปีที่ฉันตั้งใจทำงานแทบตาย คนที่ควรได้มรดกมันควรจะเป็นฉัน... แต่พ่อของแก แย่งทุกอย่างจากฉันไป!” ชายสูงวัยหันกลับมาตะคอกลูกชายของอริที่อยู่ตรงหน้าโดยทันที ระเบิดอารมณ์ที่คับแค้นในใจออกมา... ความแค้นของเขาที่มีแต่อานนท์... พ่อแท้ ๆ ของภูและภัทร
“... พอถึงเวลาที่ฉันรอคอย ฉันสั่งให้ลูกน้องของฉันไปตัดสายเบรกของมันซะ มรดกทั้งหมดมันจะได้ตกอยู่ที่ฉัน!” อานนท์ข่มเสียงลงเอ่ยต่อ ยิ่งจุดไฟประทุให้อารมณ์ของภูรุนแรงขึ้นอีก ภูกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้น
“ทั้งที่มันน่าจะวอดวายกันทั้งครอบครัว แต่มันกลับเหลือแกสองคนที่เป็นก้างขวางทางฉัน!!” ชายร่างท้วมยกนิ้วขึ้นชี้หน้าของเขา ก่อนหันหลังกลับไปถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แกสองคนมันน่าจะตาย ๆ กันไปซะ... ไม่น่าอยู่จริง ๆ”
“ใครบอกละ... คนที่มันไม่สมควรอยู่น่ะ คือคุณต่างหาก!” พลันหมัดหนาของร่างสูงพุ่งเข้าปะทะหน้าผู้เป็นลุงอย่างจัง ลูกน้องของชายสูงวัยลดปืนที่เล็งไปทางเด็กชายเปลี่ยนเล็งมาทางภูแทน แต่หากชายหนุ่มไม่เหลือความเกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น เขาพร้อมแล้วที่จะเสียสละเพื่อให้คนที่เขารักปลอดภัย... ด้วยความโกรธทั้งหมดที่กำลังระเบิดออกมายิ่งกว่าปิศาจ
ภูชักปืนที่เหน็บไว้ยิงสวนไปยังชายชุดสูททั้งสอง ด้วยความที่คาดไม่ถึงและไม่ตั้งตัวไม่ทันจึงถูกยิงเข้าที่กลางหน้าอก โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นพร้อมกับร่างหนาที่ล้มลงไปกองบนพื้น บอดี้การ์ดอีกคนรีบไหวตัวลั่นปืนยิงตามชายหนุ่มทันที หากภูกลับวิ่งเข้าไปหลบหลังโต๊ะทำงานทัน
ส่วนอานนท์พยายามลุกขึ้นตั้งตัวในขณะที่ภูกำลังรับมืออยู่กับบอดี้การ์ด ซึ่งเขาคิดไม่ถึงว่าหลานที่ดูท่าทางอ่อนแอจะกลับกลายเป็นเหมือนหมาป่าที่รอคอยขย้ำเหยื่อแบบนี้ไปได้
พลันสายตาของอานนท์เหลือบไปเห็นปืนที่ร่วงอยู่ข้าง ๆ ร่างอันไร้ชีวิตของลูกน้องตน
กระสุนตะกั่วฝังเข้าไปที่ร่างของอดิเทพ ตามด้วยอีกสองนัดเข้าที่บริเวณอกข้างขวาและท้อง บุรุษที่ถูกยิงกระอักเลือดออกมาทางปากก่อนจะล้มพับลงกับพื้น ภูหอบหายใจถี่ระรัวด้วยความตื่นเต้น เมื่อโชคเข้าข้างเขาถึงขั้นที่สามารถปลิดชีวิตบอดี้การ์ดได้สองคนโดยที่ตัวเองไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ เลย
ชายหนุ่มตั้งสติอีกครั้ง รีบผุดลุกขึ้นจากหลังโต๊ะเพื่อไปหาน้องชายที่ถูกจับไว้ แต่ทว่า...
ปัง!
ความแสบร้อนพลันแล่นพล่านขึ้นมาที่แขนซ้าย ภูหลุดอุทานออกมาก่อนจะหมอบลงกับพื้น เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาย้อมเสื้อสีขาวให้กลายเป็นสีแดงฉาน
“อึก!” ภูกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด กุมบาดแผลบนต้นแขนไว้แน่น มองหน้าเจ้าของลูกกระสุนนั้นอย่างเคียดแค้น
“เห็นไหม ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์” อานนท์จ่อปลายปืนมาที่เขา ก่อนใช้เท้าฟาดหน้าภูจนสะบัด “เซ็นนี่แต่แรกก็จบเรื่อง ไม่ต้องเจ็บตัว”
“ม...ไม่...ไม่มีทาง” ถึงจะรับรู้ได้ว่ามีเพชรฆาตกำลังเล็งเป้ามาที่ตนตลอดเวลา แต่ภูกลับชันตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มปริศนาที่อานนท์ไม่เข้าใจ
“ในเมื่อฉันยังเหลือแขนขวาอยู่!”
ปัง!
นัยน์ตาของชายร่างท้วมเบิกโพลง มืออวบค่อย ๆ เลื่อนไปกุมที่หน้าอกของตนแล้วชักออกมาดู... มันย้อมไปด้วยเลือดสีสด
“ก...แกกล้า...” ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ภูก็ลั่นปืนยิงซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ร่างของมันพลันกระตุกชักแล้วล้มหงายลงกับพื้น เลือดทะลักออกมาจากบาดแผลบนหน้าอกอย่างน่าสยดสยอง ไหลลงมาย้อมพรมให้กลายเป็นสีแดงฉาน
เขาเป็นผู้มอบความตายให้กับลุงของตัวเอง
ภูมองร่างที่ไร้ชีวิตของอานนท์อย่างหวาดผวา ก่อนชายหนุ่มจะหลับตาลงเรียกสติอีกครั้ง ฝืนความเจ็บลุกขึ้นเพื่อที่จะไปช่วยน้องชาย หากแต่...
“ภัทร!!” ร่างสูงตะโกนลั่นด้วยความความตกใจ เพราะร่างของเด็กชายที่ตนคิดว่าปลอดภัยกลับเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน เขาเห็นเศษกระจกแตกหล่นกระจายอยู่รอบบริเวณนั้น นั่นคงเป็นสาเหตุ!
ภูรีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้ร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติ ใบหน้าขาวบัดนี้ชโลมไปด้วยเลือดที่เห็นแล้วแทบจะลืมหายใจ
ชายหนุ่มช้อนร่างของเด็กชายขึ้นมาอุ้มไว้แน่น สองขาอ่อนล้าเริ่มออกวิ่งพร้อมสวดภาวนาด้วยหัวใจที่กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง
“ขอร้องล่ะพระเจ้า... ต่อให้ผมต้องตาย ภัทรจะต้องปลอดภัย...”
ความคิดเห็น