ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (กีฬาสี) สีม่วงฮาเฮ

    ลำดับตอนที่ #7 : Indoor game 3: พล๊อตนี้จะกว้างเท่าทะเลหรือไม่

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 53


    ชื่อ กระทู้  Indoor game 3: พล๊อตนี้ จะกว้างเท่าทะเลหรือไม่ (ระยะเวลา 16-18 มี.ค.)

    จุดประสงค์
    เพื่อฝึก การควบคุมพล็อตให้นิ่ง ไม่ออกทะเล

    กติกา

    1 จงแต่งเนื้อเรื่องต่อจากร้อยกรอง โดยไม่กำหนดความยาวของเรื่อง (แต่โปรดดูความเหมาะสม ด้วย)
    ต้องมีตัว ละครอย่างน้อยหนึ่งตัว
    3
    ต้องมีบทพูด ประกอบอยู่ด้วย
    จะ แต่งแบบมุมมองของตัวละคร หรือบุคคลที่3 ก็ได้

    โจทย์ พิเศษ (สีที่มากที่สุดได้ 3 คะแนน รองลงมา 2 คะแนน และสุดท้าย 1 คะแนน)

    จงแต่งให้มีคำที่ ขึ้นด้วย ระ ให้มากที่สุด (จะไม่นับคำซ้ำ)

    .........................................................



             ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงเสียงฝีเท้าภายใต้ยามวิกาล

    ร่างนั้นวิ่งลัดเลาะไปตามมุมตึก เสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงย่ำเท้าอันแผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงสายเลือดที่หยดไหลไปเป็นทาง

    ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม มีร่างอีกร่างหนึ่งซึ่งยังคงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบสีแดงสด

    “พ... พี่ฮะ?” ร่างภายในอ้อมแขนเปล่งเสียงเรียกสั่นเครือ เมื่อเลือดที่หยดลงบนตัวเขาล้วนมาจากร่างสูงทั้งสิ้น เสื้อเชิ้ตซึ่งเคยเป็นสีขาวบริสุทธิ์ของชายหนุ่มย้อมไปด้วยสีแดงฉาน บ่งบอกว่าร่างตรงหน้าเขาได้รับบาดแผลมากมายเพียงใด

    “ทนอีกนิดนะภัทร เราจะหนีพ้นแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับเขา ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ และชะลอฝีเท้าลง ร่างสูงหยุดยืนพักหายใจหากยังกระชับกอดตัวของเขาไว้แน่น

    พลันเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกซอยทำให้ร่างเล็กต้องสะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มโอบหัวเขาเข้ามาก่อนจะย่อตัวลงนั่งหลบหลังถังขยะใหญ่ ไม่นานนักเสียงโหวกเหวกก็สงบลง หากร่างของเด็กชายยังคงสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว

    “ไม่ต้องกลัว เราปลอดภัยแล้วนะภัทร” มือใหญ่ลูบหัวปลอบประโลม ดวงตาหลังกรอบแว่นซึ่งฉายแววอ่อนโยนนั้นทำให้เขาอุ่นใจ

    แม้สายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมากระทบร่างจะทำให้หนาวสั่น... เหมือนเมื่อวันนั้นก็ตาม

     

    ย้อนกลับไปในวันซึ่งฝนตกหนักเช่นกัน

    ภายในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ คุณพ่อคุณแม่คุยกันอย่างสนุกสนานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนด้านเบาะหลังปรากฏร่างของชายหนุ่มกำลังกอดน้องชายตัวเล็กที่เล่นจนผล็อยหลับไปด้วยกันอย่างเป็นสุข เป็นภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่น... จนไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สองชีวิตต้องตกอยู่ในฝันร้าย

    “ภู!! ตื่นลูก! เร็วเข้า! ” เสียงผู้เป็นแม่พลันตะโกนขึ้น พร้อมกับเอื้อมแขนไปเขย่าตัวลูกชายคนโตอย่างแรง

    “หืม... ถึงแล้วเหรอ” คนถูกปลุกขยี้ตาให้หายงัวเงีย กะพริบตามองพ่อกับแม่ที่มีท่าทีร้อนรนผิดปรกติอย่างชัดเจน

    “ตื่นแล้วพาน้องลงจากรถเร็ว!” เสียงที่ตื่นตระหนกดังขึ้นอีกครั้งจากผู้เป็นแม่ พร้อมกับตบหน้าชายหนุ่มเบาๆ เพื่อให้ตื่นเต็มตา

    “เอ๋!?”

    “รีบพาน้องออกไปเร็ว!! ป๊าเบรกรถไม่ได้ เรากำลังจะชนทางข้างหน้า!” เสียงอันหนักแน่นเด็ดขาดของผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งที่อากาศภายในรถเย็นเฉียบแท้ ๆ แต่ใบหน้าของคนเป็นพ่อกลับพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองข้างพยายามหักเลี้ยวเพื่อให้พ้นทางโค้งนั้น แต่เพราะความเร็วของรถ... จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะควบคุมรถให้พ้นโค้งมรณะนี้ไปได้

    “ตะ..แต่!!.. ทำไม...เป็นไปได้ยังไง” ชายหนุ่มมองพ่อและแม่สลับกันอย่างสับสนระคนตกใจ พลางกำชับกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้น

    “แล้วผมจะออกไปได้ยังไง รถมันวิ่งเร็วมาก!

    กริ๊ก!

    เสียงปลดล็อกประตูรถจากผู้เป็นพ่อทำให้ภูรู้ว่าไม่มีทางเลือก นอกจากจะกระโดดออกไปจากรถที่มีความเร็วสูง เขาเป็นห่วงน้องชายที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดและพ่อแม่ของเขา แต่ต้องตัดสินใจเปิดประตูรถออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ...

    เหลือระยะทางอีกไม่มากที่รถคันนี้จะชนเข้ากับทางโค้ง เขาแทบจะเห็นภาพความตายของตัวเองได้อย่างชัดเจน ภูกระชับร่างเล็กในอ้อมแขน แรงลมจากภายนอกรถทำให้ผมสีดำของเขาปลิวสะบัด ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความกลัวก่อนหันไปมองใบหน้าของพ่อแม่อีกครั้ง

    พ่อพยายามชะลอรถและหักเลี้ยวไปทางอื่นให้มากที่สุด ส่วนแม่ทำเพียงแค่มองมาทางภูและลูกชายคนเล็กก่อนพยักหน้าให้ น้ำตาไหลอาบพวงแก้มความเจ็บปวดระทมทุกข์

     ระวังด้วยนะภู เดี๋ยวม๊าจะตามไป” แม่ตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ก่อนที่ภูจะเตือนสติตัวเองให้เริ่มขยับตัว ใช้แรงส่งตัวเองออกมาจากรถที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง

    เขาได้ยินเพียงเสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อและแม่ ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง รู้สึกได้เพียงแค่ร่างของตนกำลังกระแทกและกลิ้งเกลือกไปบนพื้น ความปวดแสบปวดร้อนแล่นพล่านไปทั้งตัวแต่แขนยังคงกระชับร่างของน้องชายให้ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด จนกระทั่งทุกอย่างเหมือนจะจบลง หากความเจ็บปวดยังคงถาโถมใส่ไม่หยุดยั้ง

    “พี่ภู... ภัทรเจ็บ” เด็กชายในอ้อมแขนสะอื้น ก่อนจะพบว่าตนเองและชายหนุ่มกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าข้างถนน พี่ชายของเขาโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดพลางคลายอ้อมแขนออก

    “พี่ภู!?” ร่างเล็กชันตัวขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อคนตรงหน้านั้นระบมไปด้วยบาดแผล แว่นกรอบใสบนใบหน้าแตกเป็นรอยร้าว “พี่ภู! พี่ภูเป็นอะไรหรือเปล่า”

    ชายหนุ่มพยายามชันตัวขึ้นมาหากทำได้แค่นั่งอยู่บนพื้น ในใจหวังว่าพ่อกับแม่ของตนจะปลอดภัย หากเมื่อเหลียวตามองไปรอบ ๆ กลับไม่มีวี่แววของใครเลยทั้งสิ้น

    ท่ามกลางสายฝน... มีเพียงเขากับน้องชายที่ยังคงร้องไห้ออกมาด้วยความเป็นห่วง และทางทางโค้งที่มีร่องรอยของการชน รถที่เมื่อกี้นี้พวกเขายังนั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน... บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากเศษรถเก่า สภาพรถบู้บี้พลิกคว่ำไม่เป็นชิ้นดี รอยถลอกและรอยขีดข่วนจากการชนมากมาย บ่งบอกความพยายามของคนขับที่จะพาชีวิตที่เหลือไปสู่หนทางที่ปลอดภัย ประตูหลังของรถยังเปิดค้างไว้หลังจากที่มีสองชีวิตได้ดิ้นรนให้ตนเองรอด

    หากอีกสองชีวิตที่เหลือ... อาจไม่

    ชายหนุ่มกัดฟันพยายามฝืนความเจ็บลุกขึ้น โชคดีที่เขากลิ้งลงมาบนพื้นหญ้าไม่ใช่ถนน อวัยวะในร่างกายของเขาจึงไม่ได้หักซ้นตรงไหน มีเพียงรอยแผลถลอกลึกและชกช้ำตามเนื้อตัวเท่านั้น

    “พี่ภู เกิดอะไรขึ้น” เด็กน้อยตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น ภูอุ้มร่างเล็กขึ้นมากอดเอาไว้ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกไปยังรถด้วยความหวังที่ริบหรี่

    “ภัทร...” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อน้องชายของตนอย่างอ่อนระโหย คนถูกเรียกทำเพียงกอดคอเขาไว้แน่น มองไปยังรถของตนอย่างตื่นตระหนก

    “พี่ภู นี่รถเราใช่ไหม... มันเกิดอะไรขึ้น” ภูไม่ได้ตอบคำถามอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปภายในรถที่บุบบี้อย่างน่าสยดสยอง สายฝนเย็นฉ่ำที่โหมกระหน่ำบ่งบอกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความจริงที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     “แล้วป๊ากับม๊าล่ะ! ป๊ากับม๊าอยู่ไหน” ภัทรสะอื้นออกมาอย่างตื่นกลัว ภูวางร่างเล็กลงกับพื้น มองหน้าน้องชายด้วยความรู้สึกที่เด็กตัวเล็กๆ จะเข้าใจ พยายามตั้งสติของตนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรขอความช่วยเหลือ

    เมื่อเสร็จแล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปที่ตัวรถ ตะโกนเรียกชื่อพ่อและแม่แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ ตอบรับ เขาตะโกนเรียกซ้ำ ๆ เหมือนคนบ้า ก่อนกวาดตามองไปยังถนนรอบ ๆ อย่างคาดหวังว่าจะเจอร่างของพ่อและแม่

    แต่กลับมีเพียงความมืดมิด...และเหน็บหนาว

    ภัทรดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทีละนิด เด็กน้อยค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปยังรถที่พลิกคว่ำอย่างทุลักทุเล  ตากลมจ้องไปยังภายในรถก่อนถามออกมาเสียงสั่น

    “พี่ภู... ปะป๊ามะม๊าอยู่ไหน อยู่ในนี้หรือเปล่า” ภัทรเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้ง มองไปยังประตูรถที่เปิดอ้า แต่เพราะรอยบุบชนของรถทำให้เด็กน้อยมองเห็นเพียงเบาะหลังเท่านั้น

    เขาดึงแขนน้องชายเอาไว้ กะจะไปค้นหาร่างของพ่อและแม่ในซากรถแต่ทว่ากลิ่นน้ำมันพลันลอยฉุนขึ้นจมูกมา

    น้ำมันรั่ว...

    “ภัทร มันอันตราย... ออกมาก่อนเร็ว” ภูอุ้มน้องชายขึ้นมาอีกครั้งและรีบเดินออกห่างด้วยความยากลำบาก ความเจ็บปวดที่ผิวหนังคอยเตือนสติภูตลอดเวลา หากเด็กน้อยยังคงมองไปยังรถคันนั้นที่ค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ

    “พี่ภู ป๊ากับม๊าอยู่ไหนฮะ พี่ภู” ร่างเล็กกอดคอเขาไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว แต่พี่ชายของตนกลับทำเพียงกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกห่างจากรถ

    “พี่ภู!! ภัทรจะรอปะป๊ามะม๊าอยู่ตรงนี้! “ เด็กน้อยร้องตะโกนเสียงดังเพื่อให้พี่ชายรู้ว่าเขาต้องการพบพ่อกับแม่มากแค่ไหน แต่ภูกลับรีบฝืนวิ่งออกห่างจากคันรถมากขึ้น

    พลันเสียงเปรี๊ยะ ๆ ดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดดังลั่นสนั่นหวั่นไหว แรงอัดผลักร่างของเขาทั้งสองให้ล้มลงกับพื้น ชายหนุ่มกอดร่างของน้องชายเอาไว้แน่น ใช้หลังของตนเป็นโล่รับแรงความร้อนและสะเก็ดไฟ ความเจ็บปวดที่แสบสันจนอยากจะกรีดร้องแต่ทำได้เพียงแค่กัดฟันกล้ำกลืน หูที่อื้ออึงจากเสียงระเบิดได้ยินเพียงแค่ชื่อของตนเท่านั้น

    “พี่ฮะ!” ภัทรร้องไห้ลั่น ตัวสั่นเทิ้มอย่างตื่นกลัวสุดขีด รับรู้ได้เพียงความร้อนระอุที่พุ่งพล่านแม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝนซึ่งเย็นฉ่ำก็ตาม

    จนกระทั่งภูค่อย ๆ ชันตัวขึ้นนั่ง เหลียวมองไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโชนกลางสายฝน กอดร่างของน้องชายไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ภัทรมองไปยังรถที่เคยนั่งมาในกองไฟ แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวน้อยๆ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งตรงหน้านี้ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีกแล้ว

    ซากเหล็กจากคันรถกระจัดกระจายกองระเกะระกะกันอยู่บนพื้น มีเพียงแค่โครงรถกับเถ้าถ่านตอตะโกซึ่งยังคงอยู่ที่เดิม ควันและกลิ่นไหม้เตือนสติให้ภูกลับสู่โลกความเป็นจริง พร้อมกับน้ำตาหยดใสที่ไหลออกมากับเม็ดฝน

    “พี่ภู... พ... พี่ภู ฮึก... ปะป๊ามะม๊าอยู่ไหน” สัมผัสจากมือน้อยๆ ที่แก้มเย็นเฉียบของภูทำให้เขาลืมตาขึ้นมา กอดภัทรซึ่งกำลังร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

    “ภัทรจะไปหาป๊ากับม๊า ปะป๊ามะม๊าอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย!” ร่างเล็กพยายามดิ้นให้หลุดจากพี่ชายเพื่อจะวิ่งเข้าไปหากองเพลิงที่ลุกท่วม

    “ป๊ากับม๊าไม่อยู่แล้วภัทร“ ภูพลั้งปากเอ่ยเสียงสั่น สายฝนช่วยอำพรางรอยน้ำตาไม่ให้น้องชายเห็นความอ่อนแอของเขา

    “ท... ทำไมล่ะพี่ภู ป๊าม๊าไปไหน“

    “พี่ขอโทษ...” ภูไม่พูดคำใดๆ อีกต่อไป เขาสวมกอดน้องชายด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ในหัวอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก เห็นเพียงแค่เปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาร่างกายของบุคคลผู้เป็นที่รัก...

    “ฮึก ฮึก ภัทรอยากไปหาป๊ากับม๊า ภัทรคิดถึงป๊ากับม๊า”

    “ไม่เป็นไรนะภัทร พี่จะอยู่กับภัทรตลอดไป...” ภูใช้มือเช็ดคราบหยาดน้ำตาจากใบหน้าน้อย ๆ ถึงแม้จะโดนสายฝนกลืนหายไปก็ตาม เขาช้อนร่างเล็กที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามากอดไว้

    “พี่จะปกป้องภัทรเอง” กระชับอ้อมแขนและหลับตาให้กับสิ่งที่ได้เผชิญมา หยดน้ำฝนกระทบลงบนร่างที่กำลังชอกช้ำ... เป็นค่ำคืนที่ทั้งหนาวเหน็บและแผดเผาหัวใจสองดวงไปพร้อม ๆ กัน

     

    ••••••••

     

    “...เสียชีวิตลงแล้วครับ” เสียงของนายจ่าคนหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทอย่างไม่ครบถ้วนนัก ดวงตากลมโตของเด็กชายกะพริบถี่ๆเพราะไม่คุ้นเคยกับแสงสว่าง ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา พอเงยหน้าขึ้นหันไปก็เจอกับร่างอันคุ้นเคย

    “พี่ฮะ..” ภัทรออกปากเรียกให้ชายหนุ่มหันหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลหันมาหา เขายิ้มบาง ๆ ออกมาอย่างอ่อนแรง

    “ไปคุยข้างนอกเถอะครับ”ภูเอ่ยกับตำรวจพร้อมยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินมาลูบผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอของน้องชายเบาๆ

    “พี่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนึงนะ ภัทรนอนไปก่อนแล้วกัน”

    “ฮะ...” มือเล็กๆเอื้อมไปจับแขนเสื้อของภูก่อนหลับตาลง ตำรวจมองภาพทั้งสองคนอย่างใจหาย ทั้งสองคนยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่กลับต้องเสียที่พึ่งไปหมด... ทำไมพระเจ้าถึงได้เล่นตลกกันอย่างนี้

     

    “อะไรนะ โดนตัดสายเบรก..” มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดโปน ดวงตาพราวระยับไปด้วยความโกรธแค้น

    “ครับ ผลการตรวจรถเพิ่งส่งมาเมื่อกี้ ถึงจะระเบิดเละแต่ว่าสามารถสืบได้ว่าโดนตัดสายเบรกแน่นอน”

    “รู้มั้ยว่าใครทำ..” ภูกดเสียงต่ำคล้ายคำราม ตำรวจผู้อยู่ในหน้าที่เงยหน้ามองเล็กน้อยก่อนก้มลงดูใบรายงานต่อ

    “ไม่ครับ เราไม่ตรวจเจอรอยนิ้วมือหรืออะไรเลย ต้องถามคุณแล้วล่ะครับ ว่าพ่อแม่ของคุณเคยมีเรื่องเบาะแว้งอะไรกับใครหรือเปล่า”

    “ไม่มีแน่นอนครับ...” ชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ แค่นเสียงตอบอย่างใจเย็น

    “ถ้าอย่างนั้นต้องรอผลสืบสวนก่อนนะครับ”

    “ใช้เวลานานเท่าไหร่ครับ” ภูถามต่อ คู่สนทนาของเขาหันไปมองหน้ากับเพื่อนร่วมงานอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ

    “เราจะดำเนินการให้เร็วเท่าที่ทำได้ครับ”

    “เร็วเท่าที่ทำได้? ต้องให้เร็วที่สุดครับ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงแผ่วก่อนชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้  “ถ้าหากไม่มีอะไรคืบหน้า ผมก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ขอบคุณครับ”

    ก่อนร่างสูงจะผละตัวเดินเข้าห้องพยาบาลไป ตำรวจทั้งสองนายมองตามประตูที่เขาคนนั้นเพิ่งจะปิดไปด้วยความสงสาร ตัวเองกำลังจะได้ใส่ชุดมหาลัยแล้วยังมีน้องชายที่ยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่พ่อแม่กลับต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน... แถมยังเกิดขึ้นในวันสำคัญวันหนึ่งของครวบครัว วันเกิดของผู้เป็นความหวังของทุกคน... ภัทร

    “พี่จะทำยังไงดีนะ...ภัทร” ชายหนุ่มพูดเสียงเบาก่อนจะจับมือเล็กมาทาบข้างแก้ม ”พี่จะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ภัทรเจ็บปวดอีกเด็ดขาด พี่สัญญา..”

    แอ๊ด...

    เสียงประตูดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหันขวับไปมอง ปรากฏร่างสูงใหญ่ของตำรวจนายหนึ่ง ใบหน้าคมคร้ามแลดูน่าเกรงขาม บนหน้าอกมีเข็มยศเต็มไปหมดทำให้รู้ว่าเป็นตำรวจยศสูงแน่นอน

    “ขอโทษที่รบกวนนะหนุ่มน้อย”

    “ครับ?” ภูขานรับด้วยความสงสัย นายตำรวจยศใหญ่ยิ้มให้อย่างใจดี เดินเข้ามาวางมือไว้บนหัวของภูเบา ๆ

    “ฉันเห็นแล้ว ทั้งหน้าตาและนิสัยเธอเหมือนลูกชายฉันจริง ๆ... ระหว่างที่พวกเรากำลังเดินเรื่อง พวกเธอสองคนไปพักบ้านฉันก่อนแล้วกันนะ”

    “แต่...”

    “ไม่มีแต่ครับ พวกเธอสองคนต้องไปอยู่กับฉัน ฟังจากผลสภาพรถคาดว่าเกิดจากการตัดแน่นอน นั่นหมายความว่าคนร้ายพยายามจะฆ่าพวกเธอสองคนด้วย สรุปคือพวกเธอไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มวัยกลางคนเอ่ยรวดเดียวไม่มีช่องว่างให้ภูแย้ง ก่อนขยี้หัวเขาแรง ๆ ด้วยความสะใจ ทำให้ชายหนุ่มทำหน้ายู่ยี่ ปัดมือนั้นออกจากหัวแล้วจัดผมให้เรียบร้อย

    “อย่าสิครับ”

    “ฮ่า ๆ ๆ พรุ่งนี้พวกเธอสองคนก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเตรียมตัวได้เลยนะ ไปพักผ่อนเถอะ”นายตำรวจใหญ่ยศสูงยิ้มกว้างให้และขยี้หัวเขาอีกครั้ง ก่อนจะกลับหลังหันเดินไปเปิดประตู

    “เข้มแข็งไว้ไอ้หนุ่ม เธอยังมีน้องชายอยู่นะ” ตำรวจผู้นั้นบอกกับภูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกจากห้องไป ชายหนุ่มทรุดลงนั่งกับเก้าอี้แล้วหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับตัวเอง ดวงตาอันพร่าเลือนเห็นเพียงร่างของเด็กน้อย... สิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่

    โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้ำตากำลังไหลออกมามากมาย...

     

    ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ แถวชานเมืองซึ่งแลดูเงียบเหงา...

    ชายหนุ่มจูงมือน้องชายตามเจ้าของบ้านเข้ามาอย่างติดเกรงใจเล็กน้อย เหลือบไปเห็นภาพที่แขวนไว้บนผนังบ้านเหนือโทรทัศน์เครื่องเล็ก มันเป็นรูปครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีพ่อแม่และลูกในชุดปริญญาดูสดใสตัดกับโทนอึมครึมของบ้านยิ่งนัก ภูมองดูรอบ ๆ บ้านเงียบๆ ในขณะที่ภัทรล้มตัวนอนที่โซฟาเสียแล้ว

     “ก็อย่างที่เห็น ฉันอยู่คนเดียวนี่แหละ ทำตัวตามสบายนะ” ก่อนนายตำรวจยศใหญ่จะเดินเข้ามาตบที่บ่าภูเบาๆ  แย้มรอยยิ้มให้ชายหนุ่มเล็กน้อยแล้วเดินไปเก็บข้าวของบนชั้น

    “จริงสิ เรียกฉันว่าอาเดชาละกัน”

    “ครับ” ภูตอบรับเสียงเบาก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เด็กชายจึงโงหัวขึ้นมานอนเล่นบนตักของเขา

    “นี่อะไรเหรอฮะพี่ภู” ภัทรชี้มือไปยังจานผลไม้ที่วางบนโต๊ะ ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปหยิบมาผลหนึ่งแล้วตอบ

    ระกำไง เพิ่งเคยเห็นล่ะสิ ลองกินไหม?”

    “ไม่เอา ไม่เห็นน่ากินเลย”

    “นั้นน่ะของโปรดฉันเลยนะ” เดชาหัวเราะร่า เขาเดินมาลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เหลือบมองชายหนุ่มที่เขาอุปถัมภ์มาเลี้ยงชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่เด็กคนนี้ช่างดูเหมือนสิ่งที่เขาเคยสูญเสียไปเหลือเกิน... สิ่งที่เดชาภาวนาให้ได้กลับคืนตลอดมา

    “จะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้นะ”

    “ขอบคุณครับ...” ภูเอ่ยเสียงเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน แต่เดชาก็คลี่ยิ้มให้เขา

    “ไม่เป็นไร คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านเธอแล้วกัน”

    “เอ่อ...ผมอยากพูดเรื่องรถของพ่อกับแม่”

    “พักก่อนเถอะหนุ่มน้อย วันนี้เธอเหนื่อยมามากแล้ว พาน้องชายไปนอนเถอะ” เดชายิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ดูทรงพลังในเวลาเดียวกัน ภูเห็นว่าไม่สมควรไปขัดเขาจึงผงกหัวรับและอุ้มภัทรขึ้นมา

    “เธอไปนอนห้องลูกชายฉันก็ได้ มันว่างมาเป็นปี ๆ แล้ว” นายตำรวจพูดจบก็เดินนำหน้าเด็กหนุ่มขึ้นบันไดไปยังห้องนอนเก่า ๆ เขาเปิดประตูให้ภูเดินเข้าไป

    “แต่ฉันเพิ่งทำความสะอาดไปไม่นานนี้ ไม่ต้องห่วง” ภายในห้องไม่มีอะไรแตกต่างจากห้องเด็กหนุ่มทั่วไป มีรูปมากมายตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นภาพของชายคนเดิมซึ่งเมื่อดูจากเค้าโครงหน้าและคำพูดของนายตำรวจใหญ่แล้ว เขาคือลูกชายของเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ผิดแน่ บรรยากาศของห้องเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ผ้าปูเตียงที่เรียบสนิทบอกให้รู้ว่ามันไม่ได้ใช้งานเลยสักครั้งหลังจากที่ผ่านการทำความสะอาด

    “เอ่อ...” ภูเริ่มสงสัยว่าเจ้าของห้องหายไปไหน แต่เมื่อเขาเห็นแววตาที่ดูเศร้าหมองของเดชา ภูจึงตัดสินใจไม่ถามมันออกไป

    “มีอะไรรึเปล่า”

    “เปล่า...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

    “งั้นก็พักเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” เดชายกมือขึ้นโบกเชิงบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งแผ่นหลังพิงกับบานประตูพลางถอนหายใจออกมายาว

    “เขาเหมือนลูกจริง ๆ...”

    พอหัวถึงหมอนภัทรก็แทบจะหลับในทันทีด้วยความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของน้องชายพลางผ่อนลมหายใจออกมา

    พระเจ้าต้องเล่นตลกแน่ ๆ ... ทั้ง ๆ ที่เขาใกล้จะเรียนจบม.ปลาย อีกไม่นานก็จะได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ ตามที่พ่อแม่หวังแล้วแท้ ๆ ... แถมวันนั้นก็เป็นวันเกิดของภัทร แต่กลับต้องสูญเสียพ่อแม่ไป

    มันช่างเป็นการลาจากที่โหดร้ายและเร็วเกินไป... จนเผลอคิดไปว่าชีวิตนี้คงไม่มีความสุขอย่างที่เคยอีกแล้ว

    “มะ..ม๊า..” ภัทรละเมอพึมพำพลางพลิกตัวมากอดแขนของเขา ชายหนุ่มมองหน้าสิ่งสุดท้ายที่ตนเหลืออยู่ด้วยความเศร้า ก้มลงประทับริมฝีปากเบา ๆ ที่หน้าผากเล็กก่อนจะโน้มตัวลงนอนข้าง ๆ และหลับใหลไปด้วยความอ่อนแรง

     

    หลังจากเกิดเรื่องมาร่วมอาทิตย์ ภูจึงตัดสินใจออกจากหาหลักฐานและพยานด้วยตัวเอง เนื่องจากการทำงานของตำรวจแทบไม่ได้เรื่องได้ราวไปมากกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเลย เขาอยากให้ตำรวจระดมพลสืบเรื่องราวนี้ให้เร็วที่สุดแต่เขาเองก็เป็นแค่เพียงนักเรียน ม.ปลาย ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ญาติจะมารับเลี้ยงต่อ

    ....แต่ถึงลำบากยังไงเขาก็ต้องดูแลภัทรให้ได้

    “พี่ภู จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรอฮะ” เสียงงัวเงีย ๆ ของภัทรเรียกให้สติของภูให้ตื่นจากภวังค์ และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ภูพยายามออกไปตามหาพยานที่เห็นเหตุการ์ณแต่เช้าตรู่

    “ครับ จะออกไปข้างนอกหน่อย”

    “รีบกลับมานะฮะ ผมไม่อยากให้...พี่ภูหายไปเหมือนป๊ากับม๊าอีกแล้ว ฮึก...” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ แม้จะเป็นคำพูดที่เด็กน้อยกล่าวออกมาเอง และพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ แต่สุดท้ายใจของเขาก็ไม่อาจต้านทานได้ น้ำใสๆจึงไหลออกมาจากดวงตากลมโต

    “ไม่ต้องกลั้นก็ได้...ระบายมันออกมาเถอะ” ภูก้มลงสวมกอดน้อง มือหนาลูบหัวเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา

    “ฮึก...” ภัทรเช็ดน้ำตาแล้วดันอกของพี่ชายออก “พี่ภูจะไปข้างนอกไม่ใช่หรอ งั้น...เดี๋ยวภัทรไปรอในห้องนะฮะ”

    เด็กชายตัดบทแล้ววิ่งออกจากอ้อมกอดของภู เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ยังคงติดหูภูอยู่เป็นนิจ เขามองแผ่หลังเล็กที่วิ่งเข้าห้องไปก่อนจะลุกขึ้นยืน ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาภัทรร้องไห้เกือบจะทุกวัน... จนตอนนี้เด็กชายเริ่มจะชินกับการอยู่เพียงสองคนขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ทำให้เขารู้ว่าภัทรเองก็กำลังพยายามต่อสู้กับความอ่อนแอของตนเองอยู่เหมือนกัน การดูแลเด็กคนนี้ให้เข้มแข็งขึ้นจึงเป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างเขา

    จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับภัทรอีกเด็ดขาด...

     

    “ฮัลโหล ๆ เออ นี่ข้าเอง” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นขณะที่ภูกำลังผ่านสวนหน้าบ้านของเดชา ตอนแรกชายหนุ่มกะจะทำเป็นไม่สนใจ ทว่าประโยคถัดมาทำให้เขาต้องหยุดชะงักฟัง

    “เออว่ะ มีตำรวจเก็บมันมาเลี้ยง กูก็คิดว่าแม่งฉิบหายยกครัวแล้วซะอีก” ถ้อยคำไม่สุภาพยังดังขึ้นระแคะระคายหูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภูเริ่มจะสะอึกกระประโยคท้าย ๆ

    ...นี่หมายถึงตัวเขารึเปล่า

    “เออ ลูกมันสองคนรอด แต่พ่อแม่มันไม่เหลือ!

    ฟึ่บ!

    “เฮ้ย! นั่นใครวะ!!?” ชายคนนั้นหยุดการสนทนาและลั่นวาจาด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ชายคนนั้นไว้เคราหนา หน้าตาดั่งโจร หันหน้ามาปะทะกับภู ซึ่งรู้ว่าตนเองกำลังทำพลาดแต่ก็ไม่สามารถจะยับยั้งอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป

    “แก... นี่แกทำอะไรพ่อกับแม่!” ภูตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล กำมือแน่นแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ

    “แกเองเหรอลูกของไอ้พวกที่ตายไป” หากมันยังคงแค่นเสียงหัวเราะน่ารังเกียจ เขาได้ยินเสียงเส้นอารมณ์ขาดผึงในสมอง พุ่งเข้าไปอัดกำปั้นใส่ใบหน้าของมันทันที

    “ไอ้ระยำเอ้ย แกทำอะไรลงไป หา!!” ภูกระชากเสื้อชายคนนั้นและปล่อยหมัดรัวใส่ไปอีกระลอกจนเลือดกบปาก ใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นสีอย่างโกรธจัด กรอบแว่นกระเด็นหลุดออกไปไกล

    “ไอ้เด็กบ้า!” แต่ถึงภูจะใส่หมัดเข้าไปแค่ไหนก็ยังไม่สามารถสู้แรงของคนตรงหน้าได้ มันผลักภูกระเด็นออกไปและเริ่มสวนกลับ

    “ทีกูมั่งล่ะ ไอ้เด็กเวร!” ขณะที่มันกำลังเงื้อหมัดจะชกภูนั้น จู่ ๆ ก็มีชายร่างท้วมวิ่งเข้ามารับหมัดแทนจนหน้าสะบัด

    “ใครวะ!!

    “คะ...คุณเป็นใครน่ะ” ภูอุทานอย่างตกใจ วิ่งเข้าไปพยายามพยุงชายคนนั้น

    “หยุดทำร้ายเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ!!” เขาตะโกนใส่หน้าของร่างยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว “ไม่เห็นเหรอว่าบ้านนี้มีตำรวจ อยากดำเนินคดีเลยใช่มั้ย!

    “ฮึ่ย...” ไอ้บึกแค่นเสียงออกมาด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบริเวณนั้นไป

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ยภู” เขาหยิบแว่นตากรอบสีดำที่ตกอยู่บนพื้นยื่นให้ภู ชายหนุ่มรับมันมาอย่างงงๆ

    “ลุงรู้ชื่อผมได้ยังไง?”

    “มาอยู่ที่นี่เอง ดีจังที่ปลอดภัย...” ลุงคนนั้นเดินเข้ามาสวมกอดภูที่กำลังงุนงง ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามเขาออกมา

    “ฉัน อานนท์ พี่ชายของพ่อเธอไงล่ะภู”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×