คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Indoor game 3: พล๊อตนี้จะกว้างเท่าทะเลหรือไม่
ชื่อ กระทู้ Indoor game 3: พล๊อตนี้ จะกว้างเท่าทะเลหรือไม่ (ระยะเวลา 16-18 มี.ค.)
จุดประสงค์
เพื่อฝึก การควบคุมพล็อตให้นิ่ง ไม่ออกทะเล
กติกา
1 จงแต่งเนื้อเรื่องต่อจากร้อยกรอง โดยไม่กำหนดความยาวของเรื่อง (แต่โปรดดูความเหมาะสม ด้วย)
2 ต้องมีตัว ละครอย่างน้อยหนึ่งตัว
3 ต้องมีบทพูด ประกอบอยู่ด้วย
4 จะ แต่งแบบมุมมองของตัวละคร หรือบุคคลที่3 ก็ได้
จงแต่งให้มีคำที่ ขึ้นด้วย “ระ” ให้มากที่สุด (จะไม่นับคำซ้ำ)
.........................................................
ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงเสียงฝีเท้าภายใต้ยามวิกาล
ร่างนั้นวิ่งลัดเลาะไปตามมุมตึก เสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงย่ำเท้าอันแผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงสายเลือดที่หยดไหลไปเป็นทาง
ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม มีร่างอีกร่างหนึ่งซึ่งยังคงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบสีแดงสด
“พ... พี่ฮะ?” ร่างภายในอ้อมแขนเปล่งเสียงเรียกสั่นเครือ เมื่อเลือดที่หยดลงบนตัวเขาล้วนมาจากร่างสูงทั้งสิ้น เสื้อเชิ้ตซึ่งเคยเป็นสีขาวบริสุทธิ์ของชายหนุ่มย้อมไปด้วยสีแดงฉาน บ่งบอกว่าร่างตรงหน้าเขาได้รับบาดแผลมากมายเพียงใด
“ทนอีกนิดนะภัทร เราจะหนีพ้นแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับเขา ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ และชะลอฝีเท้าลง ร่างสูงหยุดยืนพักหายใจหากยังกระชับกอดตัวของเขาไว้แน่น
พลันเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกซอยทำให้ร่างเล็กต้องสะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มโอบหัวเขาเข้ามาก่อนจะย่อตัวลงนั่งหลบหลังถังขยะใหญ่ ไม่นานนักเสียงโหวกเหวกก็สงบลง หากร่างของเด็กชายยังคงสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัว เราปลอดภัยแล้วนะภัทร” มือใหญ่ลูบหัวปลอบประโลม ดวงตาหลังกรอบแว่นซึ่งฉายแววอ่อนโยนนั้นทำให้เขาอุ่นใจ
แม้สายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมากระทบร่างจะทำให้หนาวสั่น... เหมือนเมื่อวันนั้นก็ตาม
ย้อนกลับไปในวันซึ่งฝนตกหนักเช่นกัน
ภายในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ คุณพ่อคุณแม่คุยกันอย่างสนุกสนานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนด้านเบาะหลังปรากฏร่างของชายหนุ่มกำลังกอดน้องชายตัวเล็กที่เล่นจนผล็อยหลับไปด้วยกันอย่างเป็นสุข เป็นภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่น... จนไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สองชีวิตต้องตกอยู่ในฝันร้าย
“ภู!! ตื่นลูก! เร็วเข้า! ” เสียงผู้เป็นแม่พลันตะโกนขึ้น พร้อมกับเอื้อมแขนไปเขย่าตัวลูกชายคนโตอย่างแรง
“หืม... ถึงแล้วเหรอ” คนถูกปลุกขยี้ตาให้หายงัวเงีย กะพริบตามองพ่อกับแม่ที่มีท่าทีร้อนรนผิดปรกติอย่างชัดเจน
“ตื่นแล้วพาน้องลงจากรถเร็ว!” เสียงที่ตื่นตระหนกดังขึ้นอีกครั้งจากผู้เป็นแม่ พร้อมกับตบหน้าชายหนุ่มเบาๆ เพื่อให้ตื่นเต็มตา
“เอ๋!?”
“รีบพาน้องออกไปเร็ว!! ป๊าเบรกรถไม่ได้ เรากำลังจะชนทางข้างหน้า!” เสียงอันหนักแน่นเด็ดขาดของผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งที่อากาศภายในรถเย็นเฉียบแท้ ๆ แต่ใบหน้าของคนเป็นพ่อกลับพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองข้างพยายามหักเลี้ยวเพื่อให้พ้นทางโค้งนั้น แต่เพราะความเร็วของรถ... จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะควบคุมรถให้พ้นโค้งมรณะนี้ไปได้
“ตะ..แต่!!.. ทำไม...เป็นไปได้ยังไง” ชายหนุ่มมองพ่อและแม่สลับกันอย่างสับสนระคนตกใจ พลางกำชับกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้น
“แล้วผมจะออกไปได้ยังไง รถมันวิ่งเร็วมาก! “
กริ๊ก!
เสียงปลดล็อกประตูรถจากผู้เป็นพ่อทำให้ภูรู้ว่าไม่มีทางเลือก นอกจากจะกระโดดออกไปจากรถที่มีความเร็วสูง เขาเป็นห่วงน้องชายที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดและพ่อแม่ของเขา แต่ต้องตัดสินใจเปิดประตูรถออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ...
เหลือระยะทางอีกไม่มากที่รถคันนี้จะชนเข้ากับทางโค้ง เขาแทบจะเห็นภาพความตายของตัวเองได้อย่างชัดเจน ภูกระชับร่างเล็กในอ้อมแขน แรงลมจากภายนอกรถทำให้ผมสีดำของเขาปลิวสะบัด ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความกลัวก่อนหันไปมองใบหน้าของพ่อแม่อีกครั้ง
พ่อพยายามชะลอรถและหักเลี้ยวไปทางอื่นให้มากที่สุด ส่วนแม่ทำเพียงแค่มองมาทางภูและลูกชายคนเล็กก่อนพยักหน้าให้ น้ำตาไหลอาบพวงแก้มความเจ็บปวดระทมทุกข์
“ระวังด้วยนะภู เดี๋ยวม๊าจะตามไป” แม่ตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ก่อนที่ภูจะเตือนสติตัวเองให้เริ่มขยับตัว ใช้แรงส่งตัวเองออกมาจากรถที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
เขาได้ยินเพียงเสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อและแม่ ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง รู้สึกได้เพียงแค่ร่างของตนกำลังกระแทกและกลิ้งเกลือกไปบนพื้น ความปวดแสบปวดร้อนแล่นพล่านไปทั้งตัวแต่แขนยังคงกระชับร่างของน้องชายให้ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด จนกระทั่งทุกอย่างเหมือนจะจบลง หากความเจ็บปวดยังคงถาโถมใส่ไม่หยุดยั้ง
“พี่ภู... ภัทรเจ็บ” เด็กชายในอ้อมแขนสะอื้น ก่อนจะพบว่าตนเองและชายหนุ่มกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าข้างถนน พี่ชายของเขาโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดพลางคลายอ้อมแขนออก
“พี่ภู!?” ร่างเล็กชันตัวขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อคนตรงหน้านั้นระบมไปด้วยบาดแผล แว่นกรอบใสบนใบหน้าแตกเป็นรอยร้าว “พี่ภู! พี่ภูเป็นอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยายามชันตัวขึ้นมาหากทำได้แค่นั่งอยู่บนพื้น ในใจหวังว่าพ่อกับแม่ของตนจะปลอดภัย หากเมื่อเหลียวตามองไปรอบ ๆ กลับไม่มีวี่แววของใครเลยทั้งสิ้น
ท่ามกลางสายฝน... มีเพียงเขากับน้องชายที่ยังคงร้องไห้ออกมาด้วยความเป็นห่วง และทางทางโค้งที่มีร่องรอยของการชน รถที่เมื่อกี้นี้พวกเขายังนั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน... บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากเศษรถเก่า สภาพรถบู้บี้พลิกคว่ำไม่เป็นชิ้นดี รอยถลอกและรอยขีดข่วนจากการชนมากมาย บ่งบอกความพยายามของคนขับที่จะพาชีวิตที่เหลือไปสู่หนทางที่ปลอดภัย ประตูหลังของรถยังเปิดค้างไว้หลังจากที่มีสองชีวิตได้ดิ้นรนให้ตนเองรอด
หากอีกสองชีวิตที่เหลือ... อาจไม่
ชายหนุ่มกัดฟันพยายามฝืนความเจ็บลุกขึ้น โชคดีที่เขากลิ้งลงมาบนพื้นหญ้าไม่ใช่ถนน อวัยวะในร่างกายของเขาจึงไม่ได้หักซ้นตรงไหน มีเพียงรอยแผลถลอกลึกและชกช้ำตามเนื้อตัวเท่านั้น
“พี่ภู เกิดอะไรขึ้น” เด็กน้อยตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น ภูอุ้มร่างเล็กขึ้นมากอดเอาไว้ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกไปยังรถด้วยความหวังที่ริบหรี่
“ภัทร...” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อน้องชายของตนอย่างอ่อนระโหย คนถูกเรียกทำเพียงกอดคอเขาไว้แน่น มองไปยังรถของตนอย่างตื่นตระหนก
“พี่ภู นี่รถเราใช่ไหม... มันเกิดอะไรขึ้น” ภูไม่ได้ตอบคำถามอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปภายในรถที่บุบบี้อย่างน่าสยดสยอง สายฝนเย็นฉ่ำที่โหมกระหน่ำบ่งบอกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความจริงที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แล้วป๊ากับม๊าล่ะ! ป๊ากับม๊าอยู่ไหน” ภัทรสะอื้นออกมาอย่างตื่นกลัว ภูวางร่างเล็กลงกับพื้น มองหน้าน้องชายด้วยความรู้สึกที่เด็กตัวเล็กๆ จะเข้าใจ พยายามตั้งสติของตนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรขอความช่วยเหลือ
เมื่อเสร็จแล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปที่ตัวรถ ตะโกนเรียกชื่อพ่อและแม่แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ ตอบรับ เขาตะโกนเรียกซ้ำ ๆ เหมือนคนบ้า ก่อนกวาดตามองไปยังถนนรอบ ๆ อย่างคาดหวังว่าจะเจอร่างของพ่อและแม่
แต่กลับมีเพียงความมืดมิด...และเหน็บหนาว
ภัทรดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทีละนิด เด็กน้อยค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปยังรถที่พลิกคว่ำอย่างทุลักทุเล ตากลมจ้องไปยังภายในรถก่อนถามออกมาเสียงสั่น
“พี่ภู... ปะป๊ามะม๊าอยู่ไหน อยู่ในนี้หรือเปล่า” ภัทรเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้ง มองไปยังประตูรถที่เปิดอ้า แต่เพราะรอยบุบชนของรถทำให้เด็กน้อยมองเห็นเพียงเบาะหลังเท่านั้น
เขาดึงแขนน้องชายเอาไว้ กะจะไปค้นหาร่างของพ่อและแม่ในซากรถแต่ทว่ากลิ่นน้ำมันพลันลอยฉุนขึ้นจมูกมา
น้ำมันรั่ว...
“ภัทร มันอันตราย... ออกมาก่อนเร็ว” ภูอุ้มน้องชายขึ้นมาอีกครั้งและรีบเดินออกห่างด้วยความยากลำบาก ความเจ็บปวดที่ผิวหนังคอยเตือนสติภูตลอดเวลา หากเด็กน้อยยังคงมองไปยังรถคันนั้นที่ค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ
“พี่ภู ป๊ากับม๊าอยู่ไหนฮะ พี่ภู” ร่างเล็กกอดคอเขาไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว แต่พี่ชายของตนกลับทำเพียงกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกห่างจากรถ
“พี่ภู!! ภัทรจะรอปะป๊ามะม๊าอยู่ตรงนี้! “ เด็กน้อยร้องตะโกนเสียงดังเพื่อให้พี่ชายรู้ว่าเขาต้องการพบพ่อกับแม่มากแค่ไหน แต่ภูกลับรีบฝืนวิ่งออกห่างจากคันรถมากขึ้น
พลันเสียงเปรี๊ยะ ๆ ดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดดังลั่นสนั่นหวั่นไหว แรงอัดผลักร่างของเขาทั้งสองให้ล้มลงกับพื้น ชายหนุ่มกอดร่างของน้องชายเอาไว้แน่น ใช้หลังของตนเป็นโล่รับแรงความร้อนและสะเก็ดไฟ ความเจ็บปวดที่แสบสันจนอยากจะกรีดร้องแต่ทำได้เพียงแค่กัดฟันกล้ำกลืน หูที่อื้ออึงจากเสียงระเบิดได้ยินเพียงแค่ชื่อของตนเท่านั้น
“พี่ฮะ!” ภัทรร้องไห้ลั่น ตัวสั่นเทิ้มอย่างตื่นกลัวสุดขีด รับรู้ได้เพียงความร้อนระอุที่พุ่งพล่านแม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝนซึ่งเย็นฉ่ำก็ตาม
จนกระทั่งภูค่อย ๆ ชันตัวขึ้นนั่ง เหลียวมองไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโชนกลางสายฝน กอดร่างของน้องชายไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ภัทรมองไปยังรถที่เคยนั่งมาในกองไฟ แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวน้อยๆ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งตรงหน้านี้ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีกแล้ว
ซากเหล็กจากคันรถกระจัดกระจายกองระเกะระกะกันอยู่บนพื้น มีเพียงแค่โครงรถกับเถ้าถ่านตอตะโกซึ่งยังคงอยู่ที่เดิม ควันและกลิ่นไหม้เตือนสติให้ภูกลับสู่โลกความเป็นจริง พร้อมกับน้ำตาหยดใสที่ไหลออกมากับเม็ดฝน
“พี่ภู... พ... พี่ภู ฮึก... ปะป๊ามะม๊าอยู่ไหน” สัมผัสจากมือน้อยๆ ที่แก้มเย็นเฉียบของภูทำให้เขาลืมตาขึ้นมา กอดภัทรซึ่งกำลังร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ภัทรจะไปหาป๊ากับม๊า ปะป๊ามะม๊าอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย!” ร่างเล็กพยายามดิ้นให้หลุดจากพี่ชายเพื่อจะวิ่งเข้าไปหากองเพลิงที่ลุกท่วม
“ป๊ากับม๊าไม่อยู่แล้วภัทร“ ภูพลั้งปากเอ่ยเสียงสั่น สายฝนช่วยอำพรางรอยน้ำตาไม่ให้น้องชายเห็นความอ่อนแอของเขา
“ท... ทำไมล่ะพี่ภู ป๊าม๊าไปไหน“
“พี่ขอโทษ...” ภูไม่พูดคำใดๆ อีกต่อไป เขาสวมกอดน้องชายด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ในหัวอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก เห็นเพียงแค่เปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาร่างกายของบุคคลผู้เป็นที่รัก...
“ฮึก ฮึก ภัทรอยากไปหาป๊ากับม๊า ภัทรคิดถึงป๊ากับม๊า”
“ไม่เป็นไรนะภัทร พี่จะอยู่กับภัทรตลอดไป...” ภูใช้มือเช็ดคราบหยาดน้ำตาจากใบหน้าน้อย ๆ ถึงแม้จะโดนสายฝนกลืนหายไปก็ตาม เขาช้อนร่างเล็กที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามากอดไว้
“พี่จะปกป้องภัทรเอง” กระชับอ้อมแขนและหลับตาให้กับสิ่งที่ได้เผชิญมา หยดน้ำฝนกระทบลงบนร่างที่กำลังชอกช้ำ... เป็นค่ำคืนที่ทั้งหนาวเหน็บและแผดเผาหัวใจสองดวงไปพร้อม ๆ กัน
••••••••
“...เสียชีวิตลงแล้วครับ” เสียงของนายจ่าคนหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทอย่างไม่ครบถ้วนนัก ดวงตากลมโตของเด็กชายกะพริบถี่ๆเพราะไม่คุ้นเคยกับแสงสว่าง ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา พอเงยหน้าขึ้นหันไปก็เจอกับร่างอันคุ้นเคย
“พี่ฮะ..” ภัทรออกปากเรียกให้ชายหนุ่มหันหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลหันมาหา เขายิ้มบาง ๆ ออกมาอย่างอ่อนแรง
“ไปคุยข้างนอกเถอะครับ”ภูเอ่ยกับตำรวจพร้อมยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินมาลูบผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอของน้องชายเบาๆ
“พี่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนึงนะ ภัทรนอนไปก่อนแล้วกัน”
“ฮะ...” มือเล็กๆเอื้อมไปจับแขนเสื้อของภูก่อนหลับตาลง ตำรวจมองภาพทั้งสองคนอย่างใจหาย ทั้งสองคนยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่กลับต้องเสียที่พึ่งไปหมด... ทำไมพระเจ้าถึงได้เล่นตลกกันอย่างนี้
“อะไรนะ โดนตัดสายเบรก..” มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดโปน ดวงตาพราวระยับไปด้วยความโกรธแค้น
“ครับ ผลการตรวจรถเพิ่งส่งมาเมื่อกี้ ถึงจะระเบิดเละแต่ว่าสามารถสืบได้ว่าโดนตัดสายเบรกแน่นอน”
“รู้มั้ยว่าใครทำ..” ภูกดเสียงต่ำคล้ายคำราม ตำรวจผู้อยู่ในหน้าที่เงยหน้ามองเล็กน้อยก่อนก้มลงดูใบรายงานต่อ
“ไม่ครับ เราไม่ตรวจเจอรอยนิ้วมือหรืออะไรเลย ต้องถามคุณแล้วล่ะครับ ว่าพ่อแม่ของคุณเคยมีเรื่องเบาะแว้งอะไรกับใครหรือเปล่า”
“ไม่มีแน่นอนครับ...” ชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ แค่นเสียงตอบอย่างใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นต้องรอผลสืบสวนก่อนนะครับ”
“ใช้เวลานานเท่าไหร่ครับ” ภูถามต่อ คู่สนทนาของเขาหันไปมองหน้ากับเพื่อนร่วมงานอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ
“เราจะดำเนินการให้เร็วเท่าที่ทำได้ครับ”
“เร็วเท่าที่ทำได้? ต้องให้เร็วที่สุดครับ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงแผ่วก่อนชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถ้าหากไม่มีอะไรคืบหน้า ผมก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ขอบคุณครับ”
ก่อนร่างสูงจะผละตัวเดินเข้าห้องพยาบาลไป ตำรวจทั้งสองนายมองตามประตูที่เขาคนนั้นเพิ่งจะปิดไปด้วยความสงสาร ตัวเองกำลังจะได้ใส่ชุดมหาลัยแล้วยังมีน้องชายที่ยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่พ่อแม่กลับต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน... แถมยังเกิดขึ้นในวันสำคัญวันหนึ่งของครวบครัว วันเกิดของผู้เป็นความหวังของทุกคน... ภัทร
“พี่จะทำยังไงดีนะ...ภัทร” ชายหนุ่มพูดเสียงเบาก่อนจะจับมือเล็กมาทาบข้างแก้ม ”พี่จะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ภัทรเจ็บปวดอีกเด็ดขาด พี่สัญญา..”
แอ๊ด...
เสียงประตูดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหันขวับไปมอง ปรากฏร่างสูงใหญ่ของตำรวจนายหนึ่ง ใบหน้าคมคร้ามแลดูน่าเกรงขาม บนหน้าอกมีเข็มยศเต็มไปหมดทำให้รู้ว่าเป็นตำรวจยศสูงแน่นอน
“ขอโทษที่รบกวนนะหนุ่มน้อย”
“ครับ?” ภูขานรับด้วยความสงสัย นายตำรวจยศใหญ่ยิ้มให้อย่างใจดี เดินเข้ามาวางมือไว้บนหัวของภูเบา ๆ
“ฉันเห็นแล้ว ทั้งหน้าตาและนิสัยเธอเหมือนลูกชายฉันจริง ๆ... ระหว่างที่พวกเรากำลังเดินเรื่อง พวกเธอสองคนไปพักบ้านฉันก่อนแล้วกันนะ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ครับ พวกเธอสองคนต้องไปอยู่กับฉัน ฟังจากผลสภาพรถคาดว่าเกิดจากการตัดแน่นอน นั่นหมายความว่าคนร้ายพยายามจะฆ่าพวกเธอสองคนด้วย สรุปคือพวกเธอไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มวัยกลางคนเอ่ยรวดเดียวไม่มีช่องว่างให้ภูแย้ง ก่อนขยี้หัวเขาแรง ๆ ด้วยความสะใจ ทำให้ชายหนุ่มทำหน้ายู่ยี่ ปัดมือนั้นออกจากหัวแล้วจัดผมให้เรียบร้อย
“อย่าสิครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ พรุ่งนี้พวกเธอสองคนก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเตรียมตัวได้เลยนะ ไปพักผ่อนเถอะ”นายตำรวจใหญ่ยศสูงยิ้มกว้างให้และขยี้หัวเขาอีกครั้ง ก่อนจะกลับหลังหันเดินไปเปิดประตู
“เข้มแข็งไว้ไอ้หนุ่ม เธอยังมีน้องชายอยู่นะ” ตำรวจผู้นั้นบอกกับภูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกจากห้องไป ชายหนุ่มทรุดลงนั่งกับเก้าอี้แล้วหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับตัวเอง ดวงตาอันพร่าเลือนเห็นเพียงร่างของเด็กน้อย... สิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่
โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้ำตากำลังไหลออกมามากมาย...
ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ แถวชานเมืองซึ่งแลดูเงียบเหงา...
ชายหนุ่มจูงมือน้องชายตามเจ้าของบ้านเข้ามาอย่างติดเกรงใจเล็กน้อย เหลือบไปเห็นภาพที่แขวนไว้บนผนังบ้านเหนือโทรทัศน์เครื่องเล็ก มันเป็นรูปครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีพ่อแม่และลูกในชุดปริญญาดูสดใสตัดกับโทนอึมครึมของบ้านยิ่งนัก ภูมองดูรอบ ๆ บ้านเงียบๆ ในขณะที่ภัทรล้มตัวนอนที่โซฟาเสียแล้ว
“ก็อย่างที่เห็น ฉันอยู่คนเดียวนี่แหละ ทำตัวตามสบายนะ” ก่อนนายตำรวจยศใหญ่จะเดินเข้ามาตบที่บ่าภูเบาๆ แย้มรอยยิ้มให้ชายหนุ่มเล็กน้อยแล้วเดินไปเก็บข้าวของบนชั้น
“จริงสิ เรียกฉันว่าอาเดชาละกัน”
“ครับ” ภูตอบรับเสียงเบาก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เด็กชายจึงโงหัวขึ้นมานอนเล่นบนตักของเขา
“นี่อะไรเหรอฮะพี่ภู” ภัทรชี้มือไปยังจานผลไม้ที่วางบนโต๊ะ ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปหยิบมาผลหนึ่งแล้วตอบ
“ระกำไง เพิ่งเคยเห็นล่ะสิ ลองกินไหม?”
“ไม่เอา ไม่เห็นน่ากินเลย”
“นั้นน่ะของโปรดฉันเลยนะ” เดชาหัวเราะร่า เขาเดินมาลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เหลือบมองชายหนุ่มที่เขาอุปถัมภ์มาเลี้ยงชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่เด็กคนนี้ช่างดูเหมือนสิ่งที่เขาเคยสูญเสียไปเหลือเกิน... สิ่งที่เดชาภาวนาให้ได้กลับคืนตลอดมา…
“จะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ...” ภูเอ่ยเสียงเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน แต่เดชาก็คลี่ยิ้มให้เขา
“ไม่เป็นไร คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านเธอแล้วกัน”
“เอ่อ...ผมอยากพูดเรื่องรถของพ่อกับแม่”
“พักก่อนเถอะหนุ่มน้อย วันนี้เธอเหนื่อยมามากแล้ว พาน้องชายไปนอนเถอะ” เดชายิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ดูทรงพลังในเวลาเดียวกัน ภูเห็นว่าไม่สมควรไปขัดเขาจึงผงกหัวรับและอุ้มภัทรขึ้นมา
“เธอไปนอนห้องลูกชายฉันก็ได้ มันว่างมาเป็นปี ๆ แล้ว” นายตำรวจพูดจบก็เดินนำหน้าเด็กหนุ่มขึ้นบันไดไปยังห้องนอนเก่า ๆ เขาเปิดประตูให้ภูเดินเข้าไป
“แต่ฉันเพิ่งทำความสะอาดไปไม่นานนี้ ไม่ต้องห่วง” ภายในห้องไม่มีอะไรแตกต่างจากห้องเด็กหนุ่มทั่วไป มีรูปมากมายตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นภาพของชายคนเดิมซึ่งเมื่อดูจากเค้าโครงหน้าและคำพูดของนายตำรวจใหญ่แล้ว เขาคือลูกชายของเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ผิดแน่ บรรยากาศของห้องเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ผ้าปูเตียงที่เรียบสนิทบอกให้รู้ว่ามันไม่ได้ใช้งานเลยสักครั้งหลังจากที่ผ่านการทำความสะอาด
“เอ่อ...” ภูเริ่มสงสัยว่าเจ้าของห้องหายไปไหน แต่เมื่อเขาเห็นแววตาที่ดูเศร้าหมองของเดชา ภูจึงตัดสินใจไม่ถามมันออกไป
“มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่า...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“งั้นก็พักเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” เดชายกมือขึ้นโบกเชิงบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งแผ่นหลังพิงกับบานประตูพลางถอนหายใจออกมายาว
“เขาเหมือนลูกจริง ๆ...”
พอหัวถึงหมอนภัทรก็แทบจะหลับในทันทีด้วยความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของน้องชายพลางผ่อนลมหายใจออกมา
พระเจ้าต้องเล่นตลกแน่ ๆ ... ทั้ง ๆ ที่เขาใกล้จะเรียนจบม.ปลาย อีกไม่นานก็จะได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ ตามที่พ่อแม่หวังแล้วแท้ ๆ ... แถมวันนั้นก็เป็นวันเกิดของภัทร แต่กลับต้องสูญเสียพ่อแม่ไป
มันช่างเป็นการลาจากที่โหดร้ายและเร็วเกินไป... จนเผลอคิดไปว่าชีวิตนี้คงไม่มีความสุขอย่างที่เคยอีกแล้ว
“มะ..ม๊า..” ภัทรละเมอพึมพำพลางพลิกตัวมากอดแขนของเขา ชายหนุ่มมองหน้าสิ่งสุดท้ายที่ตนเหลืออยู่ด้วยความเศร้า ก้มลงประทับริมฝีปากเบา ๆ ที่หน้าผากเล็กก่อนจะโน้มตัวลงนอนข้าง ๆ และหลับใหลไปด้วยความอ่อนแรง
หลังจากเกิดเรื่องมาร่วมอาทิตย์ ภูจึงตัดสินใจออกจากหาหลักฐานและพยานด้วยตัวเอง เนื่องจากการทำงานของตำรวจแทบไม่ได้เรื่องได้ราวไปมากกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเลย เขาอยากให้ตำรวจระดมพลสืบเรื่องราวนี้ให้เร็วที่สุดแต่เขาเองก็เป็นแค่เพียงนักเรียน ม.ปลาย ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ญาติจะมารับเลี้ยงต่อ
....แต่ถึงลำบากยังไงเขาก็ต้องดูแลภัทรให้ได้
“พี่ภู จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรอฮะ” เสียงงัวเงีย ๆ ของภัทรเรียกให้สติของภูให้ตื่นจากภวังค์ และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ภูพยายามออกไปตามหาพยานที่เห็นเหตุการ์ณแต่เช้าตรู่
“ครับ จะออกไปข้างนอกหน่อย”
“รีบกลับมานะฮะ ผมไม่อยากให้...พี่ภูหายไปเหมือนป๊ากับม๊าอีกแล้ว ฮึก...” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ แม้จะเป็นคำพูดที่เด็กน้อยกล่าวออกมาเอง และพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ แต่สุดท้ายใจของเขาก็ไม่อาจต้านทานได้ น้ำใสๆจึงไหลออกมาจากดวงตากลมโต
“ไม่ต้องกลั้นก็ได้...ระบายมันออกมาเถอะ” ภูก้มลงสวมกอดน้อง มือหนาลูบหัวเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา
“ฮึก...” ภัทรเช็ดน้ำตาแล้วดันอกของพี่ชายออก “พี่ภูจะไปข้างนอกไม่ใช่หรอ งั้น...เดี๋ยวภัทรไปรอในห้องนะฮะ”
เด็กชายตัดบทแล้ววิ่งออกจากอ้อมกอดของภู เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ยังคงติดหูภูอยู่เป็นนิจ เขามองแผ่หลังเล็กที่วิ่งเข้าห้องไปก่อนจะลุกขึ้นยืน ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาภัทรร้องไห้เกือบจะทุกวัน... จนตอนนี้เด็กชายเริ่มจะชินกับการอยู่เพียงสองคนขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ทำให้เขารู้ว่าภัทรเองก็กำลังพยายามต่อสู้กับความอ่อนแอของตนเองอยู่เหมือนกัน การดูแลเด็กคนนี้ให้เข้มแข็งขึ้นจึงเป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างเขา
จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับภัทรอีกเด็ดขาด...
“ฮัลโหล ๆ เออ นี่ข้าเอง” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นขณะที่ภูกำลังผ่านสวนหน้าบ้านของเดชา ตอนแรกชายหนุ่มกะจะทำเป็นไม่สนใจ ทว่าประโยคถัดมาทำให้เขาต้องหยุดชะงักฟัง
“เออว่ะ มีตำรวจเก็บมันมาเลี้ยง กูก็คิดว่าแม่งฉิบหายยกครัวแล้วซะอีก” ถ้อยคำไม่สุภาพยังดังขึ้นระแคะระคายหูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภูเริ่มจะสะอึกกระประโยคท้าย ๆ
...นี่หมายถึงตัวเขารึเปล่า
“เออ ลูกมันสองคนรอด แต่พ่อแม่มันไม่เหลือ!”
ฟึ่บ!
“เฮ้ย! นั่นใครวะ!!?” ชายคนนั้นหยุดการสนทนาและลั่นวาจาด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ชายคนนั้นไว้เคราหนา หน้าตาดั่งโจร หันหน้ามาปะทะกับภู ซึ่งรู้ว่าตนเองกำลังทำพลาดแต่ก็ไม่สามารถจะยับยั้งอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป
“แก... นี่แกทำอะไรพ่อกับแม่!” ภูตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล กำมือแน่นแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
“แกเองเหรอลูกของไอ้พวกที่ตายไป” หากมันยังคงแค่นเสียงหัวเราะน่ารังเกียจ เขาได้ยินเสียงเส้นอารมณ์ขาดผึงในสมอง พุ่งเข้าไปอัดกำปั้นใส่ใบหน้าของมันทันที
“ไอ้ระยำเอ้ย แกทำอะไรลงไป หา!!” ภูกระชากเสื้อชายคนนั้นและปล่อยหมัดรัวใส่ไปอีกระลอกจนเลือดกบปาก ใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นสีอย่างโกรธจัด กรอบแว่นกระเด็นหลุดออกไปไกล
“ไอ้เด็กบ้า!” แต่ถึงภูจะใส่หมัดเข้าไปแค่ไหนก็ยังไม่สามารถสู้แรงของคนตรงหน้าได้ มันผลักภูกระเด็นออกไปและเริ่มสวนกลับ
“ทีกูมั่งล่ะ ไอ้เด็กเวร!” ขณะที่มันกำลังเงื้อหมัดจะชกภูนั้น จู่ ๆ ก็มีชายร่างท้วมวิ่งเข้ามารับหมัดแทนจนหน้าสะบัด
“ใครวะ!!”
“คะ...คุณเป็นใครน่ะ” ภูอุทานอย่างตกใจ วิ่งเข้าไปพยายามพยุงชายคนนั้น
“หยุดทำร้ายเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ!!” เขาตะโกนใส่หน้าของร่างยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว “ไม่เห็นเหรอว่าบ้านนี้มีตำรวจ อยากดำเนินคดีเลยใช่มั้ย!”
“ฮึ่ย...” ไอ้บึกแค่นเสียงออกมาด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบริเวณนั้นไป
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยภู” เขาหยิบแว่นตากรอบสีดำที่ตกอยู่บนพื้นยื่นให้ภู ชายหนุ่มรับมันมาอย่างงงๆ
“ลุงรู้ชื่อผมได้ยังไง?”
“มาอยู่ที่นี่เอง ดีจังที่ปลอดภัย...” ลุงคนนั้นเดินเข้ามาสวมกอดภูที่กำลังงุนงง ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามเขาออกมา
“ฉัน อานนท์ พี่ชายของพ่อเธอไงล่ะภู”
ความคิดเห็น