ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (กีฬาสี) สีม่วงฮาเฮ

    ลำดับตอนที่ #11 : Indoor game 7: จบสิ้นเสียที...

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 53


    ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ รอบกายของเด็กชายมีเพียงสีดำสนิทเท่านั้น

    “พี่ภู!” ภัทรหันซ้ายหันขวาขณะเดินไปทางข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงมีแต่ความว่างเปล่า อีกทั้งความเย็นยะเยือกที่ไหลเข้ามากระทบผิวจนร่างกายสั่นเทิ้มแบบนี้

    เด็กชายพยายามวิ่งไปข้างหน้า ตะโกนเรียกชื่อพี่ชายแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบรับ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวด้วยความหวาดกลัวหากเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด

    “ลูกภัทร...” เด็กชายสะดุ้งเฮือก หันไปตามเสียงด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ

    “มะม๊า!” ภัทรจำเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำ เท้าเล็ก ๆ วิ่งไปตามทางที่คิดว่าเป็นที่มาของเสียง

    “ภัทร อย่ามาทางนี้” ก่อนเสียงทุ้มหนักของผู้เป็นพ่อจะดังขึ้นมาต่อ ร่างเล็กจึงชะลอฝีเท้าลงตามคำสั่งด้วยความไม่เข้าใจ

    “ทำไมล่ะฮะ! ภัทรคิดถึงป๊ากับม๊านะฮะ”

    “อย่ามานะลูก...” เสียงอันอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ละม้ายกำลังจะร้องไห้ ส่วนตัวเด็กชายไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป เท้าเล็ก ๆ พยายามก้าวเดินต่อถึงแม้จะขัดกับคำสั่งของผู้เป็นพ่อและแม่ก็ตาม

    “ภัทร!” พลันเสียงหนึ่งดังสะท้อนขึ้นมาจากด้านหลัง เด็กชายชะงักเท้าแล้วรีบหันตัวกลับไปอย่างดีใจ

    “พี่ภู! พี่ภูตามภัทรมาแล้วใช่ไหมเมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนก็อยู่ด้วยจึงคิดที่จะวิ่งไปหาพ่อและแม่ก่อน เพราะไม่นานภูคงจะตามเขามาด้วย แต่ว่า...

    ภัทร! อย่าจากพี่ไปนะ!” เสียงของชายหนุ่มตะโกนลั่นอยู่เบื้องหลังทำให้เด็กชายไม่กล้าที่จะเดินต่อ ภัทรเหลียวมองสลับกันไปมาอย่างสับสน

    “พี่ภู! ป๊ากับม๊ารออยู่ข้างหน้านี้แล้วนะ! มาหาด้วยกันสิ” เด็กชายเปล่งเสียงตอบไปยังความมืดนั้น ทว่าภูกลับทำเพียงแค่เรียกชื่อเขาซ้ำไปมา รับรู้ได้ถึงความชื้นจากหยดน้ำที่ตกกระทบลงบนร่างของเขา

    ไม่ใช่น้ำฝน... นี่มันน้ำตา

    “อย่าทิ้งพี่ไปนะภัทร...” ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในฝ่ามือแม้ว่าอากาศรอบข้างจะหนาวเย็น ทำให้ความรู้สึกท่วมท้นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำตายังคงหยดไหลออกมาด้วยความรู้สึกตื้นตันและสับสน เด็กชายพยายามค้นหาต้นตอเสียงของพี่ที่ดังก้องกระทบโสตประสาท แต่...อยู่ที่ไหนกัน

    “พี่ภู! เดี๋ยวภัทรจะไปหานะ!” ภัทรตัดสินใจทิ้งพ่อแม่เอาไว้เบื้องหลังก่อน เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้พี่ชายอยู่ตัวคนเดียวได้ ถึงแม้ว่าใจจะต้องการพบหน้าบุพการีมากมายเพียงใดก็ตาม

    เสียงของภูที่ตะโกนเรียกชื่อเขายังคงดังอยู่ตลอดเวลา เด็กชายพยายามหาต้นเสียงแล้วออกวิ่งอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทางข้างหน้า รู้เพียงแต่ว่าต้องไปหาชายหนุ่มให้ได้ พี่ชายเพียงคนเดียวในชีวิตที่ทำทุกอย่างเพื่อเขาและคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา

    พลันแสงสว่างเล็ก ๆ จุดประกายขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ภัทรเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปยังที่แห่งนั้นถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม

    พี่ภู! พี่ฮะ...พี่อยู่ไหนพื้นที่อันมืดมิดค่อย ๆ ถูกแสงสว่างกลืนกินเข้ามาทีละน้อย จนกระทั่งทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยสีขาวโพลน... ในใจนึกว่าจะได้เจอหน้าพี่ชายของตนอีกครั้งแล้ว

    แต่ว่า...

     

    ••••••••

     

    ในที่สุดร่างตรงหน้าก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนอนหลับนิ่งมาเป็นเวลาหลายวัน...

    “ภัทร! ภัทรฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มรวบตัวร่างเล็กที่ได้สติขึ้นมาสวมกอดเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาที่แห้งเหือดไปเริ่มรื้นขึ้นมาอีกครั้งที่ขอบตา “ภัทร... อยู่กับพี่นะ”

    “พี่ภู...” ร่างเล็กโอบกอดเขากลับก่อนจะส่งเสียงสะอื้นออกมา “พี่ภู... พี่ภูใช่ไหม”

    ภูคลายอ้อมกอดออกมาก่อนทอดสายตามองน้องชายด้วยแววตาสั่นระริก เขาหลุบสายตาลงพลางกลั้นเสียงสะอื้นในคอ ภาพที่น้องชายสุดที่รักของเขาพยายามยื่นมือเล็กคลำหาพี่ชายอย่างไร้หนทางนั้น เป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับเขาราวกับใบมีดที่กรีดลงกลางหัวใจ

    ภูบีบแขนตนเองแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ แต่แล้วเสียงของภัทรก็ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด

    "พี่ภู... ภัทรมองไม่เห็นอะไรเลย... ทำไมภัทรถึงมองไม่เห็นพี่ล่ะฮะ"

    "ภัทร... ภัทร..." ภูเรียกชื่อน้องชายด้วยเสียงสะอื้นสั่นเทา สองแขนของเขารั้งตัวของน้องชายเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง หยาดน้ำใส ๆ รินไหลจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่

    ทำไมกัน... ทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายเพียงนี้ ทั้ง ๆ ที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเขาแล้วแท้ ๆ

    ภาพความทรงจำที่สองพี่น้องวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางเสียงหวาน ๆ ของแม่หัวเราะคลอไป และพ่อที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างนั้น ค่อย ๆ พังทลายลง แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเหลือเพียงความว่างเปล่าอันมืดมิด หายไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขของภัทรที่จะไม่มีวันหวนกลับมาตลอดกาล

    แล้วทำไมยังมาพรากการมองเห็นของภัทรไปอีก!

    ภัทรซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของพี่ชาย ที่ ๆ เดียวที่เขารู้สึกปลอดภัย แต่แล้วเด็กน้อยก็รู้สึกถึงสัมผัสของหยดน้ำบนใบหน้า

    พี่ภูกำลังร้องไห้...

    "พี่ภู พี่ภูร้องไห้ทำไม" ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองส่งผลให้ภัทรเอ่ยปากถามทันที พร้อมทั้งยื่นมือของตนไปข้างหน้า คลำหาใบหน้าของพี่ชาย แล้วพยายามปาดน้ำตาออกอย่างสุดความสามารถราวกับจะของแบ่งความเจ็บปวดนั้นมาอยู่ที่ตนบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

    "อย่าร้องไห้นะพี่ภู" เสียงเล็ก ๆ ของภัทรเตือนสติภูให้รู้ว่าตรงนี้ยังมีคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาอยู่ ถ้ายังเสียเวลาคร่ำครวญถึงสิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้น ภูจึงเอ่ยปากเบา ๆ

    "ภัทร... ภัทรมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร... พี่จะเป็นตาให้ภัทรเอง"

     

    "น้องชายของคุณได้รับบาดเจ็บที่กระจกตา ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาโดยเร็ว น้องคุณอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรครับ" เสียงพูดคุยของคนสองคนดังขึ้นหน้าห้องพักรักษาตัวของโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทย ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความตึงเครียด

    "ไม่ว่าน้องผมเป็นอะไร แต่คุณต้องทำให้น้องผมหาย เรื่องค่าใช้จ่ายไม่เกี่ยง แต่ต้องเร็วที่สุด!" ภูพูดเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นตะโกน

    "แต่ตอนนี้ทางเราไม่มีกระจกตาจะเปลี่ยน..." ชายชุดกาวน์พูดอึกอัก เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาหงุดหงิดแทบจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว

    "ผมไม่สน เอากระจกตาผมไปเลยก็ได้!!" ภูลั่นวาจาพลางหอบน้อย ๆ จากการตะโกนเสียงดัง

    “แต่คุณจะต้องเป็นฝ๋ายมองไม่เห็นไปแทนนะครับ” ชายชุดกาวน์รีบเอ่ยบอก หากชั่ววินาทีที่ภูคิดจะตอบตกลง ภาพของภัทรก็พลันแวบขึ้นมาในมโนสำนึก ถ้าหากเขาเป็นฝ่ายมองไม่เห็น... แล้วเขาจะปกป้องภัทรได้อย่างไร

    จะทำอย่างไรดี...

    นายแพทย์พึงเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มจากสีหน้าวิตกกังวลนั้น เขาปล่อยให้ร่างสูงใช้เวลาคิดทบทวนสักพักโดยไม่เร่งรัดใด ๆ จนกระทั่งคนตรงหน้าตัดสินใจเอ่ยถามออกมา

    “ผ่าตัดเพียงข้างเดียวได้หรือเปล่าครับ?”

    “ได้ครับ” หลังจากได้ฟังคำตอบของนายแพทย์ ภูก็ตอบตกลงทันทีด้วยความหนักแน่น เมื่อชายชุดกาวน์เดินกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มจึงเอนตัวพิงบนประตูด้วยความเหนื่อยอ่อน

    เขาไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว ได้แต่เฝ้าดูแลภัทรอยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มหลับตาลง กำมือของตนแน่น เตรียมใจที่จะสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งเพื่อให้ภัทรสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

    หวังเพียงว่า กระจกตาที่ยกให้น้องนั้น จะสะท้อนแต่ภาพความสุขให้เด็กน้อยไปตลอดกาล

     

    ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

    เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือของภูที่เดินเป็นจังหวะดังก้องในหูของชายหนุ่มท่ามกลางความเงียบงัน ทำให้คนเฝ้าคอยเวลาแทบคลั่ง ภูเดินวนไปวนมาหน้าห้องผ่าตัดด้วยความร้อนใจ น้องชายของเขาเข้าไปผ่าตัดนานแล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้แต่เฝ้ารอ และภาวนาให้าการผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

    ชายหนุ่มยกมือขึ้นแนบดวงตาข้างขวาที่ยังปวดตุบ ๆ ภายใต้ผ้าก๊อตสีขาวสะอาดซึ่งปิดบังทัศนวิสัยทั้งหมดไว้ เขาไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อยที่ต้องสูญเสียการมองเห็นไปครึ่งหนึ่ง

    เพราะอย่างน้อย กระจกตาของเขาก็จะนำแสงสว่างกลับคืนมาให้ภัทรได้อีกครั้ง...

    ประตูข้างกายชายหนุ่มถูกเปิดออกอย่างเบามือ ทำให้ภูรีบผุดลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดทันที

    "น้องชายผมเป็นยังไงบ้างครับ" น้ำเสียงของเขาแสดงความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด

    "การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีครับ หลังจากพักฟื้นอีกสามถึงสี่วันก็จะกลับมามองเห็นได้เป็นปกติครับ" คำบอกเล่าของแพทย์ผู้ผ่าตัดทำให้ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยความโล่งใจ

    เหลือแค่รอภัทรฟื้นเท่านั้น

    หลังจากเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ชายหนุ่มจึงดิ่งเข้าไปที่ข้างเตียงนอนซึ่งน้องชายยังคงหลับใหลไม่ได้สติ บริเวณดวงตาทั้งสองข้างถูกพันไว้ด้วยผ้ารอบ ๆ นั้นทำให้ภูอดจะเป็นห่วงไม่ได้...

    พระเจ้า... ขอให้ภัทรปลอดภัยด้วยเถอะ

    ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอน กุมมือเล็กเอาไว้พลางสวดอธิษฐาน ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ที่เขาเผลอฟุบหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน จนกระทั่ง...

    "อือ" เพียงแค่ภัทรขยับตัวพลางส่งเสียงครางเบา ๆ ภูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา รีบเงยหน้าที่ซบอยู่กับเตียงขึ้นทันที

    “ภัทร! เป็นยังไงบ้างภัทร” เขาจับบ่าของน้องชายที่พยายามชันตัวลุกขึ้น ค่อย ๆ แกะผ้าที่พันรอบดวงตาของเด็กชายออกตามคำบอกของหมอ ส่วนริมฝีปากก็พร่ำถามต่อไปเรื่อยด้วยความเป็นห่วง

    "ภัทร... เป็นไงบ้าง มองเห็นพี่ไหม"

    "ฮะ..." เด็กชายค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นช้า ๆ ภาพมัว ๆ ของบุคคลที่เขารักที่สุด ก็ค่อย ๆ กลับมาแจ่มชัดในคลองจักษุ

    "พี่ภู... " ภัทรเรียกพี่ชายด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เอื้อมแขนไปกอดคอร่างตรงหน้าอย่างลืมตัว

    "ภัทร ภัทรมองเห็นแล้ว รู้สึกเป็นไงบ้าง ไหวไหม หิวรึเปล่า" ภูพูดรัวเร็วไม่เว้นจังหวะหายใจแม้แต่น้อย กอดตัวของน้องชายแน่นจนเด็กชายประท้วงออกมาด้วยความเจ็บ

    "พี่ภู ใจเย็น ๆ สิ ภัทรโอเคแล้ว" ภัทรดันอกพี่ชายออกมาพร้อมแย้มรอยยิ้มน่ารักที่ทำให้คนเป็นพี่หัวใจพองโต

    "งั้นพี่ไปหาอะไรมาให้ทานนะครับ" ภูบอกน้องชาย มือใหญ่ยื่นไปลูบหัวภัทรอย่างอ่อนโยน เด็กชายคลี่ยิ้มหวานอีกครั้ง

    "ฮะ”

    เมื่อภูกำลังเดินออกมาจากโรงพยาบาล แม้จะยังโซเซเล็กน้อยเนื่องจากความไม่เคยชินกับการที่ต้องใช้ดวงตาเพียงข้างเดียว ระหว่างทางสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวประจำวัน

    "ผู้ใดพบเห็นนายภูผา สิริเทวกุล ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมภายในคฤหาสน์ใหญ่ ขอให้แจ้งเบาะแสมาที่..." พร้อมรูปถ่ายของเขาที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ หากชายหนุ่มไม่รอฟังข่าวจนจบ ขาทั้งสองข้างของเขาก็พาตนเองมุ่งตรงกลับไปยังห้องของตนทันที

    เขาและภัทรกำลังตกอยู่ในอันตราย...

    “ภัทร เราต้องรีบไปนะ” ภูเปิดประตูห้องคนไข้เข้ามาหาน้องชายด้วยความกระวนกระวายโดยระวังไม่ให้ใครสังเกตเห็นใบหน้าตนเอง ภัทรที่กำลังมองไปรอบๆ ห้องก็หันมาหาพี่ชายอย่างสงสัย

    “มีอะไรเหรอครับพี่ภู”

    “ภัทรครับเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ถ้ามีใครเห็นหน้าพี่หรือภัทรจะแย่นะครับ” ภูข่มความกังวลใจและยิ้มให้น้องชาย

    “ทำไมล่ะฮะ” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามอะไร รีบหยิบข้าวของที่จำเป็น และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องชายอย่างรีบร้อน เขากำลังกังวลว่าบางทีโรงพยาบาลอาจจะเห็นประกาศในโทรทัศน์แล้วจำหน้าเขาได้

    “พี่ภู...”

    “ภัทรรอก่อนนะ” ภูหยิบข้าวของบางชิ้นที่พอจะพกได้ใส่กระเป๋าสะพาย เขาส่งขวดน้ำให้น้องชายถือพลางช้อนตัวร่างเล็กขึ้นมาอย่างอ่อนโยน แม้เขาจะเหนื่อยมาก ทั้งการอดหลับอดนอนเฝ้าน้องชายกับบาดแผลที่แขนซ้ายยังไม่หายดี การหลบหนีในที่ไม่มีคนรู้จักอย่างทุลักทุเลด้วยดวงตาเพียงข้างเดียวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

    ภูเปิดประตูห้องคนไข้ด้วยอาการระแวดระวัง บางทีอาจมีใครกำลังขึ้นมาตามตัวเขาอยู่ก็ได้ แต่ชายหนุ่มจะไม่มีวันยอมให้ใครพรากเขาออกจากน้องชายได้ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งนึกภาพภัทรไปอยู่กับคนอื่นโดยไม่มีเขา... เด็กชายจะเป็นอย่างไร... ใครจะสามารถปกป้องภัทรได้นอกจากเขากัน

    “พี่ภู ทำไมไม่ลงลิฟต์ล่ะง่ายกว่านะ” ภัทรที่กำลังขดตัวอยู่ในอ้อมอกพี่ชายเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย ภูก้มหน้ายิ้มให้น้องชาย เขาจับราวบันไดอย่างมั่นคงก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า เหงื่อหลายเม็ดผุดที่หน้าผากเขา ภัทรมองหน้าพี่ชายอย่างเป็นห่วง

    “พี่ให้ใครเห็นไม่ได้น่ะภัทร”

    “งั้นพี่ภูก็พักก่อนสิครับ เดินแบบนี้เหนื่อยนะ”

    “ไม่ได้ครับ พี่พักไม่ได้” ภูกระชับร่างน้องชาย เขาไม่หยุดพักตามที่น้องชายแนะนำแต่เขากลับยิ่งเร่งฝีเท้าลงบันไดให้เร็วขึ้น ภัทรมองใบหน้าพี่ชายที่ทั้งอ่อนล้าแต่ก็เข้มแข็งในเวลาเดียวกัน  เด็กน้อยไม่เคยเห็นใบหน้าพี่ชายเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง

    ภูก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาลอย่างกระวนกระวาย เขาพยายามเดินหลบสายตาคนอื่นให้ได้มากที่สุด และหาทางเดินลัดเลาะออกมาบริเวณที่มืดและห่างจากแสงไฟ โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้ว บ้านช่องจึงค่อนข้างเงียบเหงา ภูพยายามเดินไปให้เร็วที่สุดและไม่เป็นที่สังเกตพลันสายตาก็เห็นรถตำรวจที่หักเลี้ยวเข้ามาบริเวณโรงพยาบาล แน่นอนว่าต้องมีคนรู้แล้วว่าเขากับน้องชายอยู่ที่นี่

    “ภัทรครับ ทนไม่สบายตัวไปก่อนนะ พี่ต้องรีบแล้ว” ภูก้าวขาเรียวยาวออกไปให้เร็วขึ้น สายตาเขาก็พยายามสังเกตรถทีเพิ่งเลี้ยวเข้ามาให้มากที่สุด ถ้าหากมีใครเห็นเขาขึ้นมานั่นหมายถึงมันจะยิ่งทำให้ชีวิตของเขามอดดับลงมากขึ้น

    ณ ตอนนี้ไม่มีการพูดจาใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงหอบของภูที่เล็ดลอดออกมา ภัทรมองใบหน้าของพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ เด็กน้อยเขยิบตัวให้มาหาพี่ชายมากขึ้น“ถ้าเหนื่อยก็พักสิครับ เหงื่อพี่ภูเต็มไปหมดเลย”

    “ไม่เป็นไรครับพี่ภูยังไหว ภัทรนอนไปก่อนก็ได้ครับ หมอบอกว่าให้นอนพักเยอะๆ ไม่กี่วันภัทรก็มองเห็นชัดแล้วนะครับ” ภูลูบหัวน้องชายเบาๆ เขามองไปยังหนทางข้างหน้าที่ทั้งมืดสนิท สายตาที่ยังไม่ชินดียิ่งทำให้การเดินทางดูลำบากไปขึ้นอีก แต่ภูก็ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขาวิ่งสลับเดินบ้างไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมที่จะกอดกระชับร่างบางไว้ด้วยความเป็นห่วง

    ในหัวพยายามคิดถึงสถานที่ที่ปลอดภัยซึ่งเขาจะสามารถไปหลบซ่อนได้ ในหัวนึกถึงอาเดชาขึ้นมาแต่ทว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยในเมื่ออาเดชายังเป็นตำรวจ

    แม้ยามนี้จะดึกดื่นเพียงใด แต่แสงไฟบนถนนยังส่องแสงสว่าง รถบางคันยังมุ่งหน้าไปตามถนน คนบางคนยังเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ภูพยายามเดินหลบไปตามมุมตึกและเดินเข้าออกซอยให้มากที่สุด แม้บริเวณนี้จะไม่ใช่ที่ที่เขารู้จักสักเพียงนิด แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน ขอเพียงแค่เขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ตอนนี้ก็พอ

    ต่อให้ทางที่เลี้ยวต่อไปเป็นทางตัน เขาก็ยอมปีนและทำลายมันให้พ้นไปเพื่อความปลอดภัยของร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอด

    ภูก้มลงมองภัทรที่นอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอด เด็กน้อยหลับอย่างเหนื่อยอ่อน การที่เด็กเล็กตัวน้อยๆ ต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้มันก็ยากที่จะรับได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็จะต้องปกป้องภัทรให้ได้

    ปัง!

    เสียงดังที่ไม่มีใครคาดคิดดังขึ้นที่ด้านหลังของภู เขาหันกลับไปมองไม่ห่างกันมากนักก็พบแสงไฟจากรถตำรวจสองสามคัน ที่ข้างรถมีคนจำนวนไม่น้อยยื่นมือถือปืนมาทางเขา ภูมองด้วยความตกใจ บางทีเขาอาจไม่ระวังตัวจนเผลอเดินออกมาที่ถนนใหญ่ ภัทรที่นอนอยู่ได้ยินเสียงดังและอาการที่เปลี่ยนไปของพี่ชายก็ตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง

     “พี่ภู...” ภูหันหลังกลับไปยังซอยที่ไร้แสงไฟ เขากวาดสายตามองอย่างรีบเร่ง เสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังวิ่งตามมา เขาไม่มีเวลารีบมากไม่นานนักภูก็ตัดสินใจวิ่งตรงไปยังซอยที่มืดมิด ภัทรชะเง้อมองไปด้านหลังหวังจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้น

    “ภัทร อย่ามองด้านหลังนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง! “ ภูวิ่งโดยไม่สนใจอะไรรอบข้าง เขากระชับร่างเล็กให้ปลอดภัยมากขึ้น แม้ภัทรจะเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยๆ แต่เขาก็เห็นอาการเปลี่ยนไปของพี่ชายอย่างชัดเจน

    “พี่ภูเป็นอะไรไปฮะ ทำไมพี่ดูแปลกๆ...” ภัทรถามอย่างหวั่นใจ เสียงภูดูราวกับเจ็บปวดอะไรบางอย่างพลันมือของเด็กน้อยที่สัมผัสร่างของพี่ชายก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

    “พี่ภู นี่มัน...” เด็กน้อยยื่นมือไปหาภู เขายิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนให้น้องชายอย่างช้าๆ

    “ขอโทษนะภัทรมันเลอะนิดหน่อย พี่ภูเผลอหกล้มครับ เช็ดกับเสื้อพี่ก็ได้” ภัทรมองของเหลวสีแดงฉานในมืออย่างตกใจ แม้เด็กน้อยอย่างเขาก็ยังรู้ว่ามันคือเลือด แต่ของเหลวชนิดนี้เยอะเกินไปกว่าที่จะหกล้มธรรมดา ภัทรเคยหกล้มตั้งหลายครั้ง แต่เลือดที่ออกมามันไม่มากมายเท่านี้ และทุกครั้งที่เขาร้องไห้โวยวายเพราะแผลที่หกล้มภูก็มักจะปลอบอย่างอ่อนโยนเสมอ

    “เจ็บรึเปล่าฮะ เลือดออกเยอะเลย”

    “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้...”

    “ถ้าเจ็บภัทรโอ๋ให้ได้นะ” เด็กน้อยพยายามลูบแก้มของชายหนุ่มปลอบ ภูมองรอยยิ้มของน้องชายอย่างเศร้าสร้อย เขาจับมือของน้องชายแน่นราวกับไม่อยากให้ถูกพรากออกไป สายตายังคงมองทอดออกไปในความมืด ขาเรียวยาวยังคงวิ่งและพยายามให้เสียงย่ำเท้าแผ่วเบามากที่สุด เลือดยังคงไหลไม่หยุด แต่ภูไม่สนใจความเจ็บปวดนั้น เขาเพียงกลัวว่าน้องชายจะได้รับอันตราย และเขาจะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องภัทรไม่ให้ต้องรู้สึกสูญเสียและเจ็บปวดอย่างที่เขาเป็น

    สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา อากาศหนาวเย็นและน้ำฝนที่สาดกระเซ็นไม่ได้ช่วยดับไฟในจิตใจที่ว้าวุ่นและหวาดกลัวให้กับสองพี่น้อง ในยามนี้ภัทรก็รับรู้ได้ถึงอันตรายจากพี่ชายที่วิ่งมุ่งหน้าโดยไร้จุดหมายโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง ภัทรได้แต่กอดพี่ชายอย่างเงียบงันเพื่อเป็นการปลอบโยนจิตใจที่อ่อนระโหยโรยแรงทั้งของตนเองและของชายหนุ่ม

    “พี่ภูฮะ อีกนานแค่ไหนถึงจะได้พักล่ะฮะ”

    “ภัทรเหนื่อยเหรอครับ พี่บอกแล้วไงว่านอนไปก่อนก็ได้” ภูยิ้มให้น้องชายอีกครั้ง แม้ภัทรจะชอบรอยยิ้มของพี่ชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้มันกลับดูเป็นรอยยิ้มที่อ่อนแรงราวกับจะหายไปได้ตลอดเวลา

    “ไม่เอา ถ้าพี่ภูไม่นอนภัทรก็ไม่นอน” เด็กน้อยพูดอย่างเข้มแข็งแม้จะรู้สึกเหนื่อยเพียงใด อากาศหนาวเย็นในคืนฝนตกทำให้ภัทรรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่อบอุ่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนในตอนนี้เด็กน้อยคงจะได้ซุกตัวอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับรอยยิ้มและอ้อมกอดของคนในบ้าน แต่ในตอนนี้กลับดูเป็นเพียงความฝันที่ห่างไกล เมื่อไหร่คุณพ่อคุณแม่จะตื่นจากการหลับใหลสักที มันจะนานเท่าไหร่กันนะ...

    เสียงหอบหายใจและเสียงย่ำเท้าของภูทำให้ภัทรรู้ว่าพี่ชายตนเองเหนื่อยแค่ไหน ภัทรเห็นพี่ชายวิ่งไม่หยุดและไม่ว่ากี่ครั้งที่ภัทรมองไปทางร่างสูง ภูมักจะหันมายิ้มให้แต่ไม่นานนักสายตาก็จะกลับไปจดจ่อกับหนทางเบื้องหน้าที่มืดจนแทบไม่เห็นทางเดินต่อ สายตาของภัทรมองเห็นอะไรไม่ชัด เด็กน้อยจึงทำเพียงแค่มองใบหน้าของพี่ชายเท่านั้น

    “ภัทรครับ พี่บอกว่านอนก็ได้นี่นา มันดึกแล้วนะ”

    “แล้วทำไมเราไม่กลับบ้านแล้วก็ไปนอนที่เตียงของเรากันล่ะฮะ?” ป่านนี้ที่บ้านคงจะถูกเฝ้ามองและเป็นอันตรายที่สุด เพื่อนบ้านที่เห็นหน้าค่าตากันย่อมจำใบหน้าของเขาได้ ภูไม่มีความหวังที่จะกลับบ้านอีกต่อไป บ้านดูเป็นความหวังสุดท้ายที่ภูคิดจะกลับไปด้วยซ้ำ

    “ไม่ได้หรอกภัทร ถึงตอนนี้จะไม่มีเตียงนุ่มๆ แต่ภัทรก็นอนได้นะ”

    “ภัทรบอกแล้วว่าภัทรจะไม่นอนถ้าพี่ภูไม่นอน” เด็กน้อยพูดอย่างเอาแต่ใจ ด้วยความกลัวว่าว่าภูอาจหกล้มอีกครั้งแล้วมีแผลที่พร้อมจะย้อมเสื้อเชิ้ตของเขาให้กลายเป็นสีแดงฉานได้ทุกเมื่อ เด็กน้อยกอดพี่ชายเบาๆ

    “พี่ภูไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวภัทรจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ภูจะได้ไม่เหงา” ภูอดยิ้มกับความคิดเด็กไร้เดียงสาของน้องชายไม่ได้ สัมผัสจากน้องชายเป็นกอดที่อบอุ่นจนภูรู้สึกดีในคืนที่หนาวเหน็บ เขาไม่รู้ว่าจะวิ่งต่อไปนานเท่าใดแต่ตราบใดที่มีภัทรอยู่ด้วยเขาก็พร้อมที่จะวิ่งต่อไป

    “งั้นภัทรก็อยู่เป็นเพื่อนพี่แบบนี้นะ ถ้าง่วงเมื่อไหร่ก็นอนเลยนะครับ”

    “อื้ม” ภัทรยิ้มให้พี่ชายเป็นกำลังใจและมองไปยังพี่ชาย แม้สายตาของเด็กน้อยอาจจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าเพียงแค่ได้เฝ้ามองใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งนี้ เขาก็ไม่ต้องการเรียกร้องอะไรอีกแล้ว

    พลันอยู่ ๆ ร่างของภูก็ทรุดฮวบ เข่าทั้งสองข้างล้มลงพื้นดิน แต่ชายหนุ่มยังคงกระชับร่างเล็กที่กำลังตกใจเป็นการปลอบโยน

    “ขอโทษนะภัทร พี่แค่เหนื่อยนิดหน่อย ไปกันต่อเถอะ” ชายหนุ่มยันตัวเองให้ลุกขึ้นและทอดสายตาออกไปในความมืดอีกครั้ง เสียงหอบหายใจและเสียงย่ำเท้ายังคงดังก้องอยู่ในซอยที่แคบและมืด ไฟในบ้านเรือนถูกปิดสนิท ภูรีบก้าวเท้าออกจากซอยนี้เพื่อหาทางลัดเลาะไปยังซอกตึกใหญ่เบื้องหน้า

    ปัง! ปัง! ปัง!

    ฉับพลันที่เท้าแนบชิดลงกับพื้นดิน เสียงปืนของตำรวจที่เฝ้าอยู่ก็ดังขึ้นหลายนัด ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาของร่างเล็กมองไปยังแสงไฟมี่ส่องมากับคนมากมายซึ่งยืนอยู่เบื้องหลัง ภูกำลังทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง แต่เขาเพียงแค่ยิ้มให้น้องชายอย่างเหนื่อยอ่อนและพูดด้วยน้ำเสียงแห้งผาก

    “ไม่ต้องตกใจนะครับ พี่แค่...ลื่นล้ม”

    “พี่ภู คนข้างหลังเขามาทำอะไรกันเยอะแยะไปหมดเลย” ภัทรชี้ไปยังผู้ใหญ่ที่กำลังยืนและตะโกนโหวกเหวกโวยวายมาทางนี้ เมื่อตำรวจเห็นว่าภูอุ้มเด็กตัวเล็กอย่างภัทรมาด้วย พวกเขาจึงต้องระมัดระวังกันมากขึ้นเพื่อไม่ให้ภัทรได้รับอันตรายลูกหลงไปด้วย

    “ไม่ต้องกลัวนะครับ เขาทำอะไรภัทรไม่ได้หรอก” ภูใช้เท้ายันตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง เลือดไหลเป็นสายจากบาดแผลใหม่ เสื้อเชิ้ตที่ขาวบริสุทธิ์เริ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แม้แต่ภัทรที่อยู่ในอ้อมกอดก็ยังถูกหยดเลือดจากตัวภูจนเป็นรอยสีแดงสด

    “ภัทรอดทนอีกนิดนะครับ พี่จะวิ่งแล้วนะ” สิ้นเสียงของภูเขาก็วิ่งไปยังซอกซอยและตรอกเก่าๆ เขาลัดเลาะอย่างไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่หวั่นแม้แต่เสียงปืนและเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมา

    ความมืดมิดดูดกลืนทุกสิ่ง ณ ตอนนี้ตามมุมตึกไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากสองพี่น้องในยามวิกาล เสียงหอบหายใจและเสียงย่ำเท้าคอยย้ำเตือนให้ภูก้าวไปต่อ สายเลือดที่กำลังไหลไม่แม้แต่ทำให้ภูคิดจะหยุด ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ภัทรยังคงสั่นระริกด้วยความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ภาพของผู้ใหญ่ที่กำลังเล็งปืนเหมือนในโทรทัศน์ ภาพของคนที่ยืนคุยกันและชี้มาทางเด็กน้อยและพี่ชาย ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างด้วยอาการตกใจและความกลัวเช่นเดียวกับพี่ชาย

    “พ...พี่ฮะ”  เสียงสั่นเครือออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก เลือดตามตัวของเด็กน้อยล้วนมาจากของพี่ชายทั้งสิ้น  เสียงหอบหายใจที่ถี่รัวทำให้รู้ว่าภูเหนื่อยและเจ็บปวดจากบาดแผลแค่ไหน

    “ทนอีกนิดนะภัทร เราจะหนีพ้นแล้ว” ภูเอ่ยเบาๆ กับน้องชาย ขาเรียวยาวก้าวเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ และชะลอฝีเท้าหยุดยืนพักหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ไม่ลืมที่จะกระชับกอดร่างเล็กไว้แน่น

    เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกซอยทำให้ร่างเล็กต้องสะดุ้งอย่างหวั่นใจกับเหตุการณ์ที่อาจเป็นอย่างเมื่อครู่  ภูโอบหัวตนเองเข้ามาก่อนย่อตัวลงนั่งหลบหลังถังขยะใบใหญ่ สักพักเสียงโหวกเหวกทีได้ยินก็สงบลง ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและเสียงหอบหายใจของชายหนุ่มที่วิ่งมาตลอดทาง ทิ้งความหวาดกลัวไว้ให้เด็กชายตัวน้อยที่กำลังสั่นเทิ้ม

    “ไม่ต้องกลัว เราปลอดภัยแล้วนะภัทร” มือใหญ่ของภูลูบหัวปลอบประโลมน้องชายอย่างอ่อนโยน ดวงตาหลังกรอบแว่นซึ่งฉายแววอ่อนโยนและอ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้ภัทรอุ่นใจแม้จะอยู่ท่ามกลางฝนที่ตกโปรยปราย...

     

    เสียงนกร้องขับขานดังระแคะระคายหูจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา แสงสว่างจากหน้าต่างทำให้รู้ว่าเวลาช่วงเวลาอันมืดมิดนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช้าวันใหม่ได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

    ชายหนุ่มชันตัวลุกขึ้นนั่ง ข้างกายของเขายังมีน้องชายนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มและหลับสนิทด้วยความเพลีย ภูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ โน้มตัวลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของภัทรก่อนจะก้าวลงจากเตียง

    เขาได้เข้ามาพักในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก่อน ซึ่งคุณป้าเจ้าของตึกได้บังเอิญมาพบเขาท่ามกลางสายฝน ดูเหมือนว่าหล่อนจะยังไม่รู้ว่าเขากำลังถูกตามล่าอยู่จึงได้ให้ความช่วยเหลือทั้งที่พักและยารักษา แต่ภูตกลงว่าจะจ่ายค่าที่พักให้ตามราคาห้องที่กำหนดไว้เหมือนเดิม

    ชายหนุ่มหยิบแว่นที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาใส่ ก่อนจะฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากถอดแว่นแล้วผู้คนอาจจะจำใบหน้าของเขาได้ยากขึ้น แต่สายตาที่สั้นกว่าห้าร้อยทำให้ภาพค่อนข้างจะเบลอ ๆ สักหน่อย... ไม่สะดวกเท่าไหร่

    ภูใช้เวลาที่มีอยู่พยายามคิดหาทางหนีเอาตัวรอด แม้ในใจอยากจะเข้าไปมอบตัวแต่เขาก็ไม่อยากทิ้งน้องชายเอาไว้เหมือนกัน ภัทรยังเด็กนัก... เขาไม่อาจไว้ใจใครให้ดูแลภัทรได้นอกจากตนเอง

    หลังจากภัทรตื่นและได้อาบน้ำกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว เขาตัดสินใจออกไปจากที่นี่เพราะเกรงว่าคุณป้าจะได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย

    ภูออกไปตัดเลนส์สายตามาใส่อำพรางใบหน้าไปก่อน ต่อจากนี้เขาไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปุถุชนทั่วไป ในเมื่อชื่อของเขาได้ถูกจารึกว่าเป็นฆาตกรไปแล้ว

    การเร่ร่อนอยู่ในกรุงเทพแบบนี้มีสิทธิ์ที่จะถูกพบตัวได้ง่าย เขาจะต้องเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่ปักแหล่งอยู่ที่ถิ่นฐานใด... การกลับเข้าไปเรียนมหาลัยยิ่งเป็นเพียงแค่ความฝันหนักเข้าไปใหญ่

    ภาระอันหนักอึ้งที่ได้จากการพรากชีวิตคนอื่นไปเป็นอย่างนี้เองสินะ...

    “คนนั้นหน้าเหมือนคนที่เคยถูกประกาศจับเลยนี่”

    “ใช่แน่ ๆ เลย ลองแจ้งตำรวจดูก่อนสิ” เสียงซุบซิบจากแม่ค้าที่เขากำลังซื้อหมวกแก๊ปอยู่ทำให้ชายหนุ่มเผลอสะดุ้งเล็กน้อย รีบจ่ายเงินและดึงมือน้องชายให้เร่งฝีเท้าเดินออกห่างจากบริเวณนั้น

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงเรียกจากด้านหลังสะกิดให้เขาเหลียวหน้าไปมอง พบว่ายามคนหนึ่งกำลังวิ่งตามมาจากร้านขายหมวกนั้น ชายหนุ่มช้อนตัวภัทรที่กำลังงุนงงขึ้นมาอุ้มและเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่ภู”

    “มันก็เหมือนเมื่อวานล่ะภัทร ไม่ต้องห่วง” ภูตอบพลางยิ้มน้อย ๆ และก้าวเท้าวิ่งเข้าไปในฝูงคน น่าแปลกที่แม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย แต่ในใจของชายหนุ่มกลับสงบนิ่งยิ่งนัก เพียงถ้าอ้อมแขนต้องโอบกอดร่างของน้องชายเอาไว้อยู่ เขาก็จะไม่มีวันเกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป

    “ไม่ต้องห่วง...”

    ทุกความเจ็บปวด... จะไม่มีวันได้แตะต้องภัทรอีกเด็ดขาด...

     

    ••••••••

     

    แสงตะวันยามเย็นส่องอาบพื้นทรายให้สะท้อนเป็นสีทองส้ม แต้มผืนน้ำทะเลให้ทอประกายระยิบระยับ

    สายลมอ่อน ๆ พัดโชยเส้นผมปลิวเกลี่ยใบหน้าขาว ดวงตากลมโตทอดมองดวงอาทิตย์ยามอัสดงอย่างหลงใหล ถึงแม้ว่าทัศนียภาพจะถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดไปกว่าครึ่งก็ตาม

    “ภัทร” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม เด็กชายเบือนหน้าไปหาผู้เรียกก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมา ทว่าชายหนุ่มกลับรวบตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่น กระซิบเบา ๆ ข้างหูด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือ

    “พี่ขอโทษ”

    “ขอโทษภัทรทำไม ภัทรต้องขอบคุณพี่ภูต่างหาก” เด็กชายลูบเบา ๆ ที่เรือนผมสีดำสนิทของภูราวกับปลอบประโลมอย่างที่พี่ชายมักทำกับตนเวลาเสียใจ พยายามยิ้มให้ชายหนุ่มสบายใจและรับรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไร

    “ถ้าพี่ไม่ทำแบบนั้น ภัทรก็คงไม่ต้องเจ็บ คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้” ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนบ่าแคบ ๆ ของเขา “พี่ขอโทษที่ปกป้องภัทรไม่ได้”

    “พูดอะไรน่ะพี่ภู ภัทรก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ” ร่างเล็กดันตัวของภูออกมา แววตาที่เคยมุ่งมั่นของชายหนุ่ม บัดนี้กลับมีเพียงแต่ความเศร้าหมองจนเด็กชายอยากจะร้องไห้

    “ภัทร พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มยื่นมือมาแตะบนผ้ากอชที่ปิดตาข้างขวาของเขาเบา ๆ ... ภัทรจับมือหนามาแนบแก้มของตนก่อนจะทำหน้ามุ่ย

    “พี่ภูก็ต้องเสียตาไปข้างหนึ่งให้ภัทรใช่มั้ยล่ะ! แค่นี้ก็เสมอกันแล้ว ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” ไม่ทันที่ร่างสูงจะได้เอ่ยอะไรต่อ เด็กชายก็จับเอามือหนาไปปิดปากของภูเสียเอง “ถ้าพี่ภูยังทำหน้าเศร้า ภัทรจะร้องไห้จริง ๆ ด้วย”

    ชายหนุ่มเบิกตากว้างเล็กน้อย สบตากับร่างเล็กก่อนจะฝืนยิ้มออกมาบาง ๆ ... ไม่ว่าจะเมื่อไหร่... แม้ว่าจะมืดมิดเพียงใด ภัทรก็ยังเป็นเหมือนแสงสว่างให้เขาอยู่เสมอ

    แต่เขากลับทำให้ภัทรต้องเจ็บปวด... 

    เขามันแย่ที่สุด

    เมื่อเห็นใบหน้าที่เริ่มเศร้าสร้อยลงอีกครั้งของพี่ชาย ภัทรจึงยื่นมือไปบีบแก้มภูให้รอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

    “ภัทรอยากขี่คอ!” เอ่ยสั่งอย่างเอาแต่ใจหากร่างสูงก็ไม่ขัดข้องอะไร หันหลังให้เด็กชายกระโดดขึ้นมานั่งบนบ่า เขาจับขาเล็กเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้น

    “ไปไหนครับเจ้าชาย”

    “ทะเล!”

    “เราก็อยู่ทะเลแล้วนี่” ชายหนุ่มหัวเราะพลางก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ภัทรส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนขยี้ผมของเขาเบา ๆ อย่างไม่พอใจ

    “กล้าขัดคำสั่งเจ้าชายเหรอ”

    “ครับ ๆ ไปทะเลนะครับ” ภูเดินย่ำทรายไปตายชายทะเล สายลมพัดโชยเบา ๆ ราวกับต้องการจะช่วยปัดเป่าความเศร้าหมองออกไปจากหัวใจของเขา

    ตอนนี้ชายหนุ่มและเด็กชายหลบหนีมาอยู่ที่ภูเก็ต ดูเหมือนคนที่นี่จะไม่มีใครจำหน้าเขาได้เลย ทุกคนทำเหมือนเขาเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาเท่านั้น ภูจึงตัดสินใจพักอยู่ที่นี่สักช่วงหนึ่งก่อน... ถ้าหากเริ่มมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก เขาก็เตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อไป

    “พี่ภู ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นยังไงแล้วนะ” เด็กน้อยวางคางลงบนหัวของเขา รำพึงรำพันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ภูได้ยินแล้วเจ็บปวดขึ้นมาลึก ๆ และไม่รู้จะตอบเด็กชายว่าอย่างไร แต่ไม่นานนักเสียงเล็กก็เอ่ยขึ้นมาต่อ

    “แต่ภัทรมีพี่ภูอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ก็ดีใจแล้ว พี่ภูห้ามหนีภัทรไปอีกคนนะ”

    “พี่จะไม่ไปไหนแน่นอน” ภูกล่าวตอบทันที เท้าทั้งสองย่ำไปตามทางอย่างมั่นคง ก่อนคนที่อยู่บนบ่าจะยื่นนิ้วก้อยมาหน้าเขา

    “สัญญานะ?” เขาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนยกมือขึ้นเกี่ยวกับนิ้วก้อยเล็ก ๆ นั้น

    “สัญญาครับ”

    “ภัทรรักพี่ภูนะ” เด็กชายกอดหัวของเขาเอาไว้ คำบอกรักเพียงแผ่วเบาทำให้หัวใจอันอ่อนแรงของชายหนุ่มกลับมาพองโตอีกครั้ง ภูคลี่ยิ้มกว้างออกมาอย่างสุขใจ เขาไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้อีกแล้ว

    “พี่ก็รักภัทร” เหนือสิ่งอื่นใดบนโลกใบนี้... ยิ่งกว่าชีวิตทั้งชีวิตของตนเอง...

     

    “...รักมากที่สุดเลย”

     

    ขอเพียงแค่ได้กอดร่างเล็ก ๆ นี้ไว้...

    แม้ว่ามือจะต้องแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเพียงใด เขาก็ไม่สนใจ...

     

    ••••••••

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×