ณ โรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยนักเรียนมัธยมมากมาย แต่ในวันที่ปนุชญามาโรงเรียนนั้นเป็นเวลาที่โรงเรียนปิดภาคเรียนอยู่ซึ่งจะเปิดเทอมอีกครั้งก็เดือนพฤษภาคมที่จะถึง บรรยกาศของที่นี่จึงดูเงียบสงบมีผู้คนไม่เยอะ จะมีก็แต่นักเรียนส่วนน้อย เช่น สมาชิกวงโยธวาทิตที่ต้องฝึกซ้อมดนตรีเป็นประจำ นักกีฬาของโรงเรียนที่ต้องฝึกซ้อมฟุตบอลอยู่ตลอดเพื่อไปแข่งขันกับโรงเรียนอื่น นอกจากนี้ยังมีพวกนักเรียนหญิงที่มาโรงเรียนเพื่อสอบแก้ 0 ,ร,มส,มผ บ้างบางคนที่ทำเสร็จมาเรียบร้อยจากบ้านพวกเธอก็นำงานไปส่งครูประจำวิชานั้นๆที่ห้องหมวดวิชาแต่ละวิชา ส่วนบางคนที่ยังทำไม่ก็พากันนั่งเป็นกลุ่มทำงานแก้กันที่ม้าหินอ่อนข้างสระน้ำ ซึ่งหน้าสระน้ำมีพระพุทธรูปปางลีลา ที่สวยงามไว้เป็นที่เคารพบูชาของคนในโรงเรียนปนุชญาเดินเข้ามาในโรงเรียนอย่างตื่นเต้นเพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ต้องแก้ ผม เหมือนกับนักเรียนที่ติด 0,ร,มส,มผ เธอติด มผ ได้ยังไงน่ะเหรอ ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้เป็นพวกไม่สนใจในการเรียนการสอนสักหน่อย สอบผ่านทุกวิชาเหมือนเพื่อนร่วมชั้นที่เรียนเก่งเหมือนกันกับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะเธอรู้เหตุผลของครูที่ตัดคะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเธอดี เพราะว่าเธอมาโรงเรียนสายเป็นประจำเป็นเหตุให้ต้องติด มผ แล้วงานแก้ครั้งนี้อันดับแรกเธอต้องนำงานไปให้ครูประจำชั้นเซ็นต์รับทราบเพื่อเธอจะได้นำงานแก้ไปส่งให้ครูห้องปกครอง การแก้ มผ ครั้งนี้จึงจะถือว่าเสร็จเรียบร้อย
เธอค่อยๆเลื่อนประตูเข้ามาที่หมวดภาษาไทยมีครูหลายท่านทำงานอยู่ เธอเดินมาที่หน้าโต๊ะของครูประจำชั้น ม.5 ห้อง 5 ของเธอ
ปนุชญา"สวัสดีค่ะ อาจารย์ หนูมาให้ครูเซ็นต์แก้ มผ มาสายค่ะ"
พูดอย่างเรียบร้อย สมกับอัตลักษณ์ของโรงเรียนที่ว่า'จรรยางาม' พร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารงานแก้ให้ครูประจำชั้น
สิทธิชัยรับแฟ้มเอกสารจากลูกศิษย์แล้วเปิดดูทีละหน้า ในแฟ้มงานแก้ปรากฏเป็นใบงานบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ที่ต้องไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์จริง แล้วค่อยเขียนบรรยายพร้อมติดรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นต์ของผู้มอบหมายทุกครั้ง ถึงแม้ว่างานแก้ของลูกศิษย์จะทำแบบผักซีโรยหน้าก็ตาม แต่เขาคิดที่จะตัดปัญหานี้ไป
ครูประจำชั้น:"เอาเอกสารไปเขียนชื่อของครูลงในช่องที่เขาให้ลงชื่อครูประจำชั้นแล้วค่อยเอามาให้ครูเซ็นต์นะ"เขายื่นแฟ้มงานแก้ให้แก่ลูกศิษย์
ปนุชญา:"ค่ะ" เธอรับ แล้วนำงานออกมาทำอย่างที่ครูประจำชั้นบอกที่หน้าหมวดวิชาจากนั้นค่อยนำกลับไปใหม่
สิทธิชัยก็ลงมือเซ็นต์ทุกหน้าเมื่อเสร็จหมดแล้วก็ยื่นให้ลูกศิษย์
สิทธิชัย:"รีบเอาไปส่งด้วยนะ" ครูกำชับ
ปนุชญา:"ค่ะ" เธอรับมาอย่างไม่แน่ใจว่าจะส่งทันเวลาไหม
และในที่สุดเธอก็ได้พบว่าห้องปกครองปิดแล้ว นั้นคือเธอส่งไม่ทันต้องมาส่งอีกครั้งในวันถัดไปก่อนที่จะหมดเขตส่งในอีกห้าวันข้างหน้ายังไงก็ทันต้องมาส่งอีกครั้งในวันถัดไปแล้วหันหลังเดินกลับบ้าน ระหว่างทางเธอก็เดินกลับบ้านอย่างสบายใจภายใต้สภาพแวดล้อมที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายและตึกรางบ้านช่องที่สูงใหญ่อีกจำนวนมากเพราะในที่แห่งนี้คือเมืองกรุงเทพมหานครมีความสะดวกสบายหลายอย่างทั้งยังมีแหล่งซ๊อปปิ้งห้างสรรพสินค้าอยูหลายแห่งให้ผู้คนใด้เดินเที่วชม มีสวนสาธารณะที่สวยงามเป็นที่หน้าออกกำลังกายในยามเช้าและเย็น โอ้!ที่นี่คือที่ของคนมีตังค์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ได้ จริงหรือเปล่า?
และในที่สุดเธอก็ได้พบว่าห้องปกครองปิดแล้ว นั้นคือเธอส่งไม่ทันต้องมาส่งอีกครั้งในวันถัดไปก่อนที่จะหมดเขตส่งในอีกห้าวันข้างหน้ายังไงก็ทันต้องมาส่งอีกครั้งในวันถัดไปแล้วหันหลังเดินกลับบ้าน ระหว่างทางเธอก็เดินกลับบ้านอย่างสบายใจภายใต้สภาพแวดล้อมที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายและตึกรางบ้านช่องที่สูงใหญ่อีกจำนวนมากเพราะในที่แห่งนี้คือเมืองกรุงเทพมหานครมีความสะดวกสบายหลายอย่างทั้งยังมีแหล่งซ๊อปปิ้งห้างสรรพสินค้าอยูหลายแห่งให้ผู้คนใด้เดินเที่วชม มีสวนสาธารณะที่สวยงามเป็นที่หน้าออกกำลังกายในยามเช้าและเย็น โอ้!ที่นี่คือที่ของคนมีตังค์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ได้ จริงหรือเปล่า?
ระหว่างทางที่ปนุชญากำลังเดินทางกลับบ้านนั้น พลันสายตาก็เหลียวไปเจอกับครูประจำชั้นกับครูสอนวิทยาศาสตร์มาแต่ไกล เธอก็...หลบก่อนซิคะเดี๋ยวครูเห็นว่าเป็นเด็กนักเรียนมาเดินห้างสรรพสินค้าคนเดียวมืดค่ำยังไม่ยอมกลับบ้าน ใครก็รู้ว่าครูทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันและยังรู้ลึกเข้าไปอีว่าครูทั้งสองคนเขาไม่ไช่ผู้ชายเต็มตัว หรือเรียกง่ายๆก็คือเป็นเกย์นั่นแหละ ปกติแล้ว บ่อยครั้งที่เธอเห็นครูประจำชั้นและครูวิทยาศสตร์เดินมาโรงเรียนพร้อมกันเสมอในเมื่อครั้งยังเปิดภาคเรียนอยู่ และบางครั้งยังกลับบ้านพร้อมกันอีกด้วย เรียกได้ว่าเพื่อนๆเห็นจนชินตา ถึขขนาดว่าเวลครูยิ้มให้กันช่างดูหวานละมุนมากเลยทีเดียว เช่นกันกับตอนนี้มันช่างละมุนมากในสายตาของเธอเอง
เช้าวันใหม่รุ่งขึ้นปนุชญาก็มาส่งงานแก้ ผม เช่นเคย
หน้าห้องปกครองทันทีที่ครูผู้รับผิดชอบเรื่องแก้ ผม ของเธอเดินผ่านมา เธอก็เดินปรี่เข้าไปหา
ปนุชญา:"ครูคะ?"
ครูปกครอง:"มีอะไรคะลูก"
ครูคนนั้นคือผู้หญิงหน้าตาสะสวยอายุราวสี่สิบปลายๆสวมชุดเรียบร้อยสีม่วงอ่อน ส่วนคนที่จะแก้ มผ
นั้นสวมชุดนักเรียนตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งยังสะอาดตา
ปนุชญา:"หนูมาส่งงานแก้ ผม ค่ะ"
ครูปกครอง:"มผ เรื่องการมาสายเหรอ ไหนเอางานมาให้ครูดูหน่อยซิ"
ปนุชญาลนลานรีบเปิดกระเป๋านำแฟ้มงานยื่นให้คุณครูทันที
ครูฝ่ายปกครองตรวจดูความเรียบร้อยแล้วพบว่ามีบางอย่างผิดพลาด(ฉันต้องผ่านสิงานนี้ฉันต้องผ่าน
ฉันจะได้ไม่ต้องเสียการเรียนไปมากกว่านี้ฉันจะได้ยกภูเขาลูกนี้ออกจากอกไปเสียที)เธอกำลังลุ้นอยู่ใ
นใจภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอาการแต่อย่างใด
ครูปกครอง:"นี่ลายเซ็นใครคะ?หนูจะเขียนชื่อผู้รับมอบหมายเป็นชื่อตัวเองไม่ได้นะคะ
เขียนคำว่า'ตัวเอง' แบบนี้ไม่ผ่านนะคะ"
ปนุชญาหรือแนนหัวใจสูบมาอยู่ที่ตาตุ่ม(อะไรนะไม่ผ่านงั้นเหรอ)เธอจ้องอยู่ที่ช่องตารางบันทึกกิจกรรม
อย่างไม่วางตาหน้าตารางบันทึกกิจกรรมประกอบด้วย ลำดับที่ ต้องใส่ตัวเลข
ชื่อกิจกรรมที่บำเพ็ญประโยชน์ก็ใส่ไปแล้ว มาที่ผู้รับมอบหมาย
เธอได้ใส่คำว่า'ตัวเอง'ลงไปทั้งหมดซึ่งมันไม่ถูกต้อง การมาส่งงานแก้ครั้งนี้จึงได้เจอกับคำว่าไม่สำเร็จ
เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยอาการอัดอั้นความเสียใจไว้ในจิตจนถึงจุดที่อดทนต่อไปไม่ไหวแล้จึงร้องให้อ
อกมาร่างายแขาขาที่อ่อนเรี่ยวแรงจนไม่มีแรงที่จะเดินต่อแต่เธอก็ยังคงฝืนเดินต่อไป
หลายวันต่อมา...
เธอได้เดินทางมาโรงเรียนอีกครั้งถึงแม้ว่าจะรีบมาแต่ก็ยังไม่ทันเพื่อนๆรุ่นเดียวกันที่มาถึงโรงเรียนแต่เ
ช้าและออกจากโรงเรียนมาก่อนเธอ สวนทางกันกับเธอที่มาช้ากว่าพึ่งจะเดินเข้ามประตูโรงเรียน
เพื่อนๆก็ทยอยกันออกมาพร้อมกับใบเกรด แต่ก็ทักทายกันตามประสาเพื่อนร่วมชั้นเรียน
เพื่อนๆ:"แนน!มารับใบเกรดเหรอ?ทำไมมาสายจัง"
ปนุชญา:"มารับใบเกรดจ้า รถติดเรามารถเมล์"
เพื่อนๆ: "ถ้างั้นก็ขอให้ได้เกรด 4 นะ เรากลับแล้วนะ บ๊าย บาย" ทั้งสองโบกมือลา
ปนุชญาก็ยิ้มและโบกมือลาเพื่อนๆเช่นเดียวกัน ปนุชญาก็ตื่นเต้นและลุ้นอีกเช่นเคยสินะตั้งใจเรียนมาแทบตาย เข้าเรียนทุบคาบเรียนไม่มีวันหยุดยกเว้น เสาร์-อาทิตย์ แต่งตัวก็เรียบร้อยตั้งแตหัวจรดเท้าแต่เธอมีเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกชื่อกลุ่มว่าแก๊สาวสวยประจำห้อง ประเภทที่สวยแต่งตัวมาโรงเรียนก็กระโปรงสั้น ถุงเท้าผิดระเบียบ ทรงผมผิดระเบียบ เขียนคิ้ว โป๊ะแป้ง แต่งหน้าบางๆมาโรงเรียนยิ่งเพื่อนทำตัวหน้าพาเข้าห้องปกครองมากเท่าไหร่ ปนุชญาก็ยิ่งชอบอยู่กับเพื่อนหญิงกลุ่มนั้นมากขึ้นทุกที สีปากนั้นขนาดที่ว่าปากไม่แดงไม่มีแรงเรียนก็เพราะว่าพวกเธอมีบุคลิกแบบลูกคุณหนูจนคุณครูต้องขอร้องให้ไปลบสีปากซะ แล้วกลุ่มที่ปนุชญาเป็นเพื่อนสนิทด้วยนั้นยังชอบเล่นโทรศัพท์ในเวลาเรียนอยู่บ่อยๆ ชอบนั่งอยู่ที่ไกลจากหน้ากระดานมากที่สุดนั่นก็คือหลังห้องแถมยังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง อีกอย่างปนุชญาก็นั่งเรียนอยู่บริเวณเดียกันกับเพื่อนสนิทอยู่โดดๆให้เพื่อนๆในห้อง เข้าใจว่าเธอคือหัวหน้าแก็ง ถึงกระนั้นเธอกลับแต่งตัวตรงกันข้ามกับเพื่อนของเธอในกลุ่มเธอเธอแต่งตัวถูกระเบียบที่สุดแล้ว แล้วเมื่อไหร่ที่คนถูกเพื่อนมองว่าเป็นหัวหน้าแก๊งตั้งใจเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ ไทย วิทยาศาสตร์ การงาน นี้ล่ะก็ เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอก็มักจะมาถามเธอตลอด ว่าข้อนี้ทำยังไง ตั้งแต่ถามเพื่อรู้เรื่อง ลอกการบ้าน ไปจนถึงจ้างให้ทำงาน ตลอดจนส่งงานให้ ส่วนใหญ่เธอก็ไม่ชอบทำให้เพื่อนทุกอย่างหรอก เธอปฎิเสธอยู่บ่อยครั้งแต่สุดท้ายเธอก็ต้องคอยทำให้เพื่อนอยู่ดี เพราะพวกเพื่อนๆของเธอมักขี้เกียจเรียนในวิชาที่ไม่ชอบเรียนแต่ผลคะแนนสอบออกทีไร คะแนนสอบของวิชาภาษาอังกฤษไทย ของเพื่อนมากกว่าเธอทุกที ทั้งยังได้เกรดเฉลี่ยเยอะกว่าเธออีกด้วย ชนิดที่ว่าได้มากกว่าอย่างงงๆปนุชญาก็ยอมรับว่าการคบเพื่อนที่รํ่ารวยมีทุกอย่างที่ดีกว่าเธอ มันต้องเก่งเพียงใดที่จะเป็นเบี้ยล่างให้เธอต้องรองมือรองเท้าเช่นนี้ เธอยอมรับว่าวิชาที่เธอตั้งใจเรียนมากแต่หัวไม่เคยไปกับมันเลย คณิตศาสตร์ก็ยังอยู่ในระดับพอเอาตัวรอดได้บ้าง กับวิชาภาษาอังกฤษนี่สิเรียนน่ะเข้าใจแต่พอทำข้อสอบทีไรมักตอบผิดทุกที่ คล้ายคลึงกับคนสมองเบลอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีเพื่อนที่รํ่ารวยแถมหัวสูงเธอกลับภูมิใจที่มีเพื่อนรวยและมีความสุขเพราะเพื่อนในกลุ่มก็เป็นกันเองกับเธอมากๆเธอจึงรักเพื่อนมากเลยหล่ะ
ที่จริงแล้วการเครียดกับเกรดก็ไม่ได้มีแต่เธอคนเดียวที่เป็นหรอกทุกคนก็มีความเครียดกันทั้งนั้น เธอคือคนหนึ่งที่เครียดกับเกรดมาก ก็อย่างที่ว่าหล่ะนะใครก็อยากเป็นที่หนึ่งกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนยิ่งโรงเรียนที่ทีการแข่งขันสูงริ่วแล้วทุกคนที่เป็นเด็กเรียนต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือคว้าเอาที่หนึ่งในชั้นเรียนมาให้ได้ ถึงไม่ได้เก่งที่สุดในระดับก็ต้องเก่งที่สุดในสายการเรียนหรือไม่ก็ในชั้นเรียนไม่เช่นนั้นเก่งที่สุดในกลุ่มตัวเองเธอก็ยอม แต่มันเป็นไปไม่ได้เธอไม่ได้ขยันขนาดนั้น ไม่ได้ขยันถึงขนาดต้องไปเรียนพิเศษเพิ่มกวดวิชาเข้าหัวในตอนเย็นจนดึกค่อยได้กลับบ้าน ที่บ้านเธอไม่มีเงินมากพอให้สนับสนุนลูกเรียนเก่งเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ หรือคณะที่ผู้ปกครองอยากให้เข้าที่บ้านเธอไม่มีทุนทรัพย์ พ่อแม่ของเธอไม่เคยซีเรียสเรื่องเกรดของเธอเลย ขอเพียงแค่เธอเอาตัวรอดพึ่งพาตนเองได้ก็พอแล้ว คงจะมีแค่เธอคนเดียวที่ยังคงยึดมั่นถือมั่นในความฝันลมๆแล้งๆที่ว่าสักวันฉันจะได้เกรด4เหมือนอัจริยะ คงหวังมากเกินไป...
พอเดินขึ้นมาถึงหน้าหมวดภาษาไทย เธอก็เดินเข้าไปรับใบเกรดพร้อมกันกับเพื่อนๆที่มาสาย พอเข้าไปถึงความสงสัยในสมองก็เริ่มทำงานอย่างเต็มที่ระหว่างที่ครูประจำชั้นกำหลังหาใบเกรดให้เธออยู่
ปรัชญา:"อาจารย์คะ"
ครูประจำชั้น:"มีอะไร" ใบหน้ายังคงจับจ้องกับเอกสารเพื่อไปวางไว้บนโต๊ะ
ปนุชญา:"คือ...หนูจะได้ซํ้าชั้นอยู่อีกปีไหมคะ?"
ครูประจำชั้น:"ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น"
ปนุชญา:"คือ...หนูยังแก้ ผม.ไม่ผ่านค่ะ"สิทธิชัยถึงกับเงียบไปสักครู่กับคำพูดของลูกศิษย์ ไม่มีกฎว่าจะให้นักเรียนซํ้าชั้นถ้าคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไม่ผ่าน
ครูประจำชั้น:"เรื่องนี้หนูคงต้องไปถามคุณครูห้องปกครองนะครับ"พูดจบก็หยิบแก้วนํ้าขึ้นมาดื่ม
ปนุชญายิ้มแย้มออกจากห้องเกรดเฉลี่ยปีนี้หน้าพอใจนักตั้ง 3.39ได้ที่23ของห้องก็ดีใจไปสิ
ถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไปเลย จากนั้นก็ไปเดินตากแอร์เย็นฉํ่าในห้างสรรพสินค้าอย่างภูมิใจกับที่น่าแปลกใจ มันเพิ่มขึ้นอย่างงงๆ แอ๊ะ!หรือว่า...เธอเปิดกระเป๋าเมื่อเจอเพื่อนทักความคิดเห็นในสเตตัสของเธอว่า'แนน เราเลขที่18นะนีมันใบเกรดเราเธอเลขที่17ไม่ใช่เหรอ'ถึงกับซ๊อกรีบกลับไปที่โรงเรียนอย่างเร็วรี่
เดินเข้าไปหาโต๊ะครูประจำชั้นอีกครั้ง เห็นครูฟุกหลับกับโต๊ะ จะเรียกไม่กล้า เหลือแต่กองเอกสารใบเกรดเธอรีบคุ้ยหาชื่อของเธอในใบเกรดจำนวนมาก
มือค่อยๆหยิบใบเกรดตัวจริงขึ้นมา ดวงตาประกายมองไปที่ช่องบอกเกรดนั่น เธอค่อยๆหยิบเก็บเข้าแฟ้มงานแบบไม่อยากจะมองมันอีก เกรดฉัน! นํ้าตาไหลพรากๆเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ครั้งที่แล้วก็แก้ มผ ไม่ผ่านก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินแล้ว ครั้งนี้คงไม่ต้องพูดถึงเธอแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างบางเบาทรุดตัวลงไปนั่งที่ม้าหินอ่อนหน้ามวดก่อนจะฟุกหน้าร้องให้ลงไปกับโต๊ะหินอ่อนนั่นเกรด2.79มันน้อยมกไปสำหรับคนแบบเธอ
หนึ่งปีต่อมา...
ถึงเวลาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ลายก่อนชีวิตมัธยมอันแสนสนุกสนาน ช่วงชีวิตแห่งการเป็นนักเรียนจบลงแล้ว รับใบวุฒิเสร็จเรียบร้อย
เพื่อนๆก็ต่างทยอยกันไปเส้นทางสายใหม่ ที่ทุกคนได้เลือกเอาไว้ บางคนฝันอยากเป็นครูพละ บางคนอยากเข้าสังคมสงเคราะห์ บางคนอยากมีร้านฟิตเน็ตเป็นของตัวเอง ก็พากันติดคณะที่ใช่มหาวิทยาลัยที่ชอบกันตั้งแต่รอบ1 โดยที่พวกเธอไม่ได้สอบGAT/PATอะไรเลย ยื่นแค่ฟอร์ตฟอริโอ 10หน้ากระดาษ ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมและประกาศนียบัตรสุดเพอร์เฟ็กต์ในด้านที่จะเข้าก็ติดมหาวิทยาลัยได้อย่างง่ายดาย ต่างจากปนุชญาและเพื่อนที่ยังไม่ติดรอบ1ที่ต้องสมัครสอบในรอบ3(รับตรงร่วมกัน)มาเป็นตัวตัดสินถ้ายังไม่ได้ ก็คงต้องรอสมัครในรอบ4 รอบ5 เธอเองก็ไม่มั่นใจว่าจะติดไหม ก็ในเมื่อคณะที่อยากเข้าที่อ่านหนังสือสอบมาอย่างดิบดีมันกลับได้คะแนนมาอย่างน้อยนิด ทั้ง O-NET GAT/PAT ไม่มีคะแนนไหนจะทำให้เธอพึงพอใจแม้แต่วิชาเดียว เธอคงปลงแล้วหล่ะ ปล่อยมันไปตามที่ฟ้าจะลิขิตก็แล้วก็ รอบ3 มหาลัย,คณะ,สาขา เลือกได้อันดับ แต่เธอคิจจะเลือกเพียง4อันดับ เพราะเธอคงรู้อนาคตไว้แล้วว่าจะติดที่ไหนมาหลายวัน เพื่อนๆที่เป็นเด็กเรียนก็ได้ส่งข้อความมาถามเธอซะแล้ว
มยุรา:"แนน เธอได้คะแนนเท่าไหร่? เธอจะเข้ามา.อะไร"เป็นเพื่อนก็ต้องถามกันอย่างนี้แหละ อาจจะถามไปเพื่อเอาคะแนนไปเปรียบเทียบว่าใครดูสง่ากว่ากัน บางคนก็ได้คะแนนมากทั้งที่ตอนเรียนชอบเสแสร้งว่าเรียนไม่รู้เรื่องแต่ผลคะแนออกมา ปัง!ทุกวิชา ก็ทั้งย่าตลึงและน่าอิจฉาอยู่เหมือนกันแต่ถึงรู้ว่าจะติดที่ไหนก็ยังกลัวเพื่อนจะสง่ากว่าอยู่ดี หงส์ไม่ยอมตัดปีกแต่กาก็ไม่ยอมตัดปีกและหยุดบินเช่นกัน เธอได้แต่ตอบเพื่อนไปว่า
ปนุชญา:"คะแนนก็พอดูได้อ่ะไหม นี่ยังเลือกไม่ได้เลย"
มยุรา:"ของเราก็งั้นๆอ๊ะ สงสัยคงไม่ติด มหา'ลัยCแหละ อยู่ใกล้บ้านดี"
ปนุชญา:"เราว่าจะลองยื่นราชภัฏอ่ะ" ทั้งตอบข้อความทั้งคิดในใจ ปนุชญากับมยุราเป็นพวกชอบวาดรูปและก็วาดเก่ง เพียงแต่มยุราเป็นคนเก่งชอบการคำนวณ เธอจึงชอบวาดรูปสถาปัตย์ และเธอยังอยากเรียนด้านสถาปัตย์เสียด้วยเธอได้ไปเรียนพิเศษด้านสถาปัตย์ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาลัยAเธอจึงหวังกับที่นี่มาก พ่อแม่เคร่งครัดกับการเรียนของเธอพาลูกไปลงคอร์สเรียนพิเศษแถวสยาม จนมยุราได้อันดับ1และเกรดเฉลี่ยมากที่สุดในห้อง3ปีซ้อน แต่กับปนุชญาเธอชอบวาดรูปคนเป็นหลักชอบเสื้อผ้า เธอจึงถนัดไปที่สายแฟชั่นมากกว่า เธอได้รับการชื่นชมจากเพื่อนๆอยู่เสมอ และเพื่อนก็ชอบคิดว่าอาชีพในฝันของเธอคือ"ดีไซเนอร์"แน่ๆทั้งที่จริงๆแล้วเธอชอบเรียนภาษาจีนมากกว่าถึงแม้สมองส่วนประสาทจะไม่ค่อยไปทางนั้นก็ตาม
พอถึงวันประกาศผลว่าติดหรือไม่ติดผลปรากฎว่าปนุชญาติดอันดับแรกที่เธอยื่น ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่เป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดเพราะให้นักเรียนเลือกได้อย่างมากสุด6อันดับแต่ประกาศผลมหาลัยที่ติดเพียงอันดับเดียวเท่านั้นเพื่ให้ไม่ยุ่งยากกับตำแหน่งที่นั่งในมหาวิทยาลัยทำให้ยืนยันสิทธ์ได้ง่ายมากขึ้น เธอรู้สึกพึงพอใจเมื่อผลออกมาเป็นไปตามคาด เธอติด..ติดมหาวิทยาลัยที่ไม่เคยคิดว่าจะยื่นและในสมองของเธอก็ไม่ได้มีมหาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหา'ลัยที่อยากจะเข้าเลย แต่คงไม่เป็นไรมั๊ง เธอคงปลงแล้วหล่ะถึงอย่างไรก็เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศแล้ว
วันสอบสัมภาษณ์เธอก็มาตามที่กำหนดพร้อมด้วยPortforiloหนึ่งเล่มกับดินสอ สี และอุปกรณ์วาดภาพนิดๆหน่อยที่ไม่มากเกินกระเป๋าเป้แบนๆจะใส่ได้ ก่อนจะรอคิวเข้าห้องสัมภาษณ์อาจารย์มหาวิทยาลัยก็จะให้นักเรียนที่มาสัมภาษณ์นั่งตามลำดับที่ติดอยู่หน้าห้องก่อน ระหว่างนั้นเธอก็ได้คุยกันกับเพื่อนที่มาสอบสัมภาษณ์บ้างว่าชื่ออะไร?เรียนจบที่ไหนมา?และเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับแฟชั่นของตัวเอง พอถึงเวลาเข้าห้องสัมภาษณ์เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดาก็ไม่เคยสัมภาษณ์พร้อมPortforiloมาก่อน มือค่อยๆจับลูกบิดหมุนเปิดเข้าในห้องที่เย็นจัดคล้ายอยู่ในเมืองหิมะใจสั่นจนเกือบไม่มีสติ แต่เธอก็รวบรวมสติปัญญาได้และทำตัวให้เป็นกันเองที่สุด ยกมือไหว้อย่างสวยงาม รอจนกว่าอาจารย์จะให้นั่งเก้าอี้
ปนุชญา:"สวัสดีค่ะ"
อาจารย์หญิงชาวไทย:"Do you have Portfolio?
ปนุชญา:"Yes,I do"
อ้าว!มาถึงก็อังกฤษเลยเหรอ ทุกมหาลัยให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษด้วยสิ หยิบPortfoiloให้ท่าน นี่แหละจุดอ่อนของเธอ เธอเตรียมคำสอบสัมภาษณ์ไทยแท้มาซะดีบดี ที่ไหนได้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ โอ้ละหนอ ก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษสิรออะไร ฉันต้องสอบติด ฉันต้องทำให้เห็นว่าอยากเรียนที่นี่จริงๆเธอให้กำลังใจตัวเอง...อาจารย์ไม่ให้สอบวาดภาพแฟชั่นแต่อาจารย์ให้เธออ่านบทความภาษาอังกฤษแล้วอธิบายเป็นภาษาไทยให้ท่านฟัง เธกก็มั่นใจถึงจะได้แบบงูๆปลาๆก็ตั่งใจอธิบายเติมที่
หลังจากวันประกาศว่าผ่านรอบสัมภาษณ์ไหมปนุชญายังคงงงงวยไม่หายไม่คิดว่าจะติดรอบสัมภาษณ์กับเขาทั้งที่เพื่อนบางคนที่ส่งข้อความมาถามเธอก็ยังไม่ติดบ้าง บางคนก็ติดแล้ว
วันรายงานตัวเธอต้องเตรียมเงินประมาณสามหมื่นบาทไปด้วย แต่เธอกลับไม่ได้ไปเพราะแม่กับพ่อต้องใช้หนี้และต้องหาเงินมาใช้หนี้และเลี้ยงครอบครัว เธอเสียใจแทบแย่ พ่อแม่ไม่ได้ห้ามเธอเรื่องเรียนต่อถ้าจะเรียนจริงๆก็ให้หาเงินมาเรียนเอง ด้วยเหตุที่ว่าเธอเป็นคนใจอ่อนไหวง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ ถูกพ่อแม่เอาใจใส่อย่างลูกคุณหนูเธอขอพ่อแม่เรียนต่อชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯเธอก็เคยแสดงให้พ่อกับแม่ของเธอเห็นว่าเธอมีความพยายามมากแค่ไหนเพื่อที่จะสอบติดโรงเรียนในฝันจนได้แถมยังได้อยู่ห้องคิงค์ เธอหารู้ไม่ว่าค่าเทอมทุกบาททุกสตางค์บางทีพ่อแม่ก็กู้ใครเขามาเพื่อที่จะให้ลูกได้เรียนหนังสือในที่ดีๆแต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง ก็ปรากฎว่าพ่อแม่ของเธอกำลังอยากลำบากกับหนี้ที่พวกท่านทั้งสองกู้มาเปิดร้านอาหารเมื่อสองปีก่อนที่เธอจะจบม.6แล้ว แล้วร้านก็เจ๊งไปตั้งแต่ปีแรกจนต้องได้กลายมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายอาหารตามตลาดนัดได้กำไรวันละพันสองพันเงินที่ได้ก็เอามาใช้หนี้ธนาคารกว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลาหลายปี ทั้งที่ชีวิตลูกสาวคนโตกำลังจะไปได้ดี ใครจะไม่เสียใจ เธอแค่เป็นคนขี้อิจฉทคนหนึ่งที่อยากเกิดเป็นหงส์ให้ได้มีงานมีการทำที่มั่นคงเงินเดือนดีและงานที่ใฝ่ฝันทำแล้วมีความสุขเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันที่คิดแบบเดียวกันกับเธอเพียงเขาเป็นหงส์นี่นา แต่ไม่เป็นไรถึงเธอจะไม่ได้เทียมหงส์เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ถึงแม้เธอจะเป็นคนเดียวในรุ่นที่ไม่ได้เรียนต่อ ถ้าการเรียนต่อของเธอเวลานี้จะทำให้คนข้างหลังต้องยากลำบาก
ปนุชญา:"หนูจะทำงานใช้หนี้ช่วยพ่อกับแม่ค่ะ"
เธอเลือกไม่ผิดใช่ไหมที่จะดรอป แม้ไร้ความหวังก็ยังไม่สิ้นหวังอยู่นี่ ที่จริงจะเลือกฝืนบินต่อหรืออยู่เป็นกาก็ไม่ผิดหรอกแค่เธอมีความสุขใจก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาใครเขาหรอก...