คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่7 รู้ซึ้งถึงส่วนลึกในใจ
บทที่7 รู้ซึ้งถึงส่วนลึกในใจ
มันคืออะไรที่ชวนให้มึนงงตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงเช้าวันต่อมาพายัพเมฆก็ยังไม่หายมึนงง นี่เขากำลังจะถูกคลุมถุงชนใช่มั้ย เขากำลังจะต้องแต่งงานกับพิมพ์ชนกที่เขาพยายามหนีมาตลอด เขาหนีเด็กคนนั้นไม่พ้นงั้นเหรอ
แล้วถ้าถามตัวเองว่าเขาอยากแต่งงานกับเธอมั้ย เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ ในใจไม่ได้ต่อต้านสักนิด แต่ก็บอกไม่ถูกว่าข้างในมันรู้สึกยังไง ใจมันตื่นเต้นแปลกๆ ยิ่งรู้ฤกษ์จากผู้เป็นพ่อใจมันยิ่งตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ เขากำลังตื่นเต้นที่จะได้แต่งงานกับพิมพ์ชนกใช่มั้ย? ไม่หรอกมั้ง ไม่หรอก
"พลาย พลาย เจ้าพลาย" เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างๆทำให้พายัพเมฆต้องหลุดจากภวังค์ความคิดหันมามอง นารารินผู้เป็นแม่นั่นเองที่ส่งเสียงเรียกเขา "มานั่งทึ่มอะไรอยู่ตรงนี้ฮึ ไม่ไปส่งหนูพริกไทยเหรอ"
"ไปส่งเหรอครับ" พายัพเมฆถามด้วยเสียงงุนงง อะไรกัน ไปส่งทำไม ส่งที่ไหนกัน
"ก็ใช่ไง วันนี้โรงเรียนเปิดเทอมนะ" นารารินเตือนความจำบุตรชายว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมซึ่งพายัพเมฆต้องรับหน้าที่ไปรับและไปส่งพิมพ์ชนก หนุ่มใหญ่ได้รับคำสั่งนี้มาจากคนเป็นพ่อเมื่อตอนที่พิมพ์ชนกเข้าม.5เทอมสองมาจนถึงปิดเทอมพอเปิดเทอมใหม่มาทำลืมซะงั้น
"อ้าวเหรอ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็นิ่งจากนั่นก็นั่งลงอีกครั้ง "เปิเทอมวันแรกอาธามคงไปส่งลูกส่งเมียเองมั้ง"
"อาธามเขาก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว"คนเป็นแม่บอกพลางสังเกตเจ้าลูกชายที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเอาซะเลย
"เป็นงั้นไป" ชายหนุ่มว่าแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ ตั้งแต่เทอมที่แล้วเพลิงตะวันใช้อำนาจที่เคยมีบุญคุณกับธนกฤตบังคับให้เขารับส่งพิมพ์ชนกแทนเพราะเห็นว่าปกติธนกฤตจะไปส่งลูกและภรรยาซึ่งก็ทำให้สายทุกวันเนื่องจากสาวน้อยตื่นสาย ถ้าจะให้สาวน้อยตื่นเช้ามากไปก็จะปวดหัว เพลิงตะวันจึงให้ธนกฤตไปส่งพิมพ์ลภัสก่อนส่วนพิมพ์ชนกนั้นเมื่อตื่นแล้วแต่งตัวเสร็จก็ให้มากินข้าวที่นี่แล้วให้เขาไปส่ง และตอนเย็นก็ให้รับกลับมาส่งบ้าน
"ก็เป็นงั้นแหละ ลุกขึ้นได้แล้วน้องกินข้าวเสร็จแล้ว" นารารินพูดไปยิ้มไป อีกหน่อยพิมพ์ชนกจะเข้ามาอยู่ที่นี่คงไม่ต้องลำบากเดินจากบ้านโน้นมากินข้าวที่บ้านนี้อีก
พายัพเมฆพยักหน้าแล้วก็นึกขึ้นได้ "แต่...พลายยังไม่ได้กินข้าวเลยแม่"
"ก็มานั่งทึ่มอยู่นี่จะได้กินมั้ยล่ะ" คนเป็นแม่ว่าให้ก่อนที่ร่างอรชนของเด็กสาววัยใสในชุดนักเรียนจะเดินออกมาจากข้างใน พายัพเมฆมองไปที่ร่างนั้นอยู่นาน จะว่าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เขากับเธอก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย
"ไปส่งน้องได้แล้วไป ข้าวเช้าของเราก็อยู่ในมือน้องนั่นไงแม่เตรียมไว้ให้แล้ว" เสียงของนารารินทำให้พายัพเมฆสังเกตุเห็นถุงใส่กล่องบรรจุอาหารในมือของเด็กสาว เด็กสาวยกมือไหว้แม่ของเขาก่อนที่จะเดินออกไป "งั้นพลายไปทำงานก่อนนะครับ"
พายัพเมฆมองร่างที่ยืนรออยู่ข้างๆรถมอเตอไซค์แล้วรู้สึกอึดอัด เขาควรพูดอะไรกับพิมพ์ชนกที่กลายเป็นว่าที่เจ้าสาวกันน่ะ อยากทำลายความเงียบแต่เขาไม่รู้ควรจะทำยังไง ปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าวันนั้นเขาดึงเด็กสาวเข้ามานอนกอด
ด้านเด็กสาวเองก็อึดอัดใจไม่น้อย ทั้งขัดเขินบอกไม่ถูกและยังคงสงสัยว่าวันนั้นเขากอดเธอหรือคิดว่ากอดเธอคนนั้นกันแน่ ต่างฝ่ายต่างพูดไม่ออกกันไปเฉยๆ
"ขึ้นมาซิ สายแล้วนะ" พายัพเมฆบอกทำลายความเงียบขึ้นในที่สุดก่อนที่จะขึ้นคร่อมและสตาร์ทรถ พิมพ์ชนกขึ้นไปนั่งซ่อนก่อนที่จะกอดร่างหนาไว้เหมือนทุกๆครั้งตามความเคยชินแต่วันนี้ช่างไม่ชินเอาซะเลย
ไม่นานมอเตอไซค์ของพายัพเมฆก็มาจอดที่หน้าโรงเรียน พิมพ์ชนกลงจากรถแล้วปลดหมวกกันน็อคแต่แกะเท่าไหรก็ไม่ออก
"น้าพลาย มันเกะไม่ออกอะ" ว่าอย่างลืมตัวจนพายัพเมฆต้องเอื้อมมือมาช่วยแกะ
"ขยับเข้ามาอีกนิดดิ" เสียงนิ่งๆบอกทำให้เด็กสาวต้องขยับเข้าไปใกล้เพื่อให้ชายหนุ่มได้มองเห็น พิมพ์ชนกเผลอมองใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่จะรู้สึกใจเต้นหนักๆ
แก๊ะ
"ออกแล้ว" เขาพูดก่อนที่จะละสายตาจากสายของหมวกกันน็อตแล้วหันมองใบหน้าของเด็กสาว นี่คงจะเรียกได้ว่าครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้านี้ใกล้ๆตั้งแต่เด็กสาวโดนเป็นสาว ตาโตๆปากนิดจมูกหน่อยช่างน่ารัก ดวงตาคู่นั่นที่ได้มาจากธนกฤตช่างมีเสน่ห์จนทำให้เขานิ่งไง ใจมันสั่นใบหน้ามันร้อนๆ ร่างกายหยุดนิ่งราวถูกสตาฟไว้ ไม่เคยรู้สึกเลยจริงๆนะว่าพิมพ์ชนกจะโตมาหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่ากอดแบบนี้
'คนอะไรน่ารักจริงๆ ' เดี๋ยว! นี่เขาคิดอะไรออกไป บ้า พายัพเมฆได้แต่ทะเลาะกับตัวเองก่อนที่จะขยับหน้าออกห่างๆ พิมพ์ชนกก็ถอยไปยืนห่างจากรถพอสมควรแล้วยื่นหมวกกันน็อคให้
"พริกไทย" เสียงเรียกห้าวๆที่ส่งมาจากด้านหลังทำให้พิมพ์ชนกหันไปมองและพายัพเมฆเองก็หันตามไปด้วย
"อ้าวนายเด็กใหม่ มาสายเหมือนกันเหรอ" พิมพ์ชนกถามคนมาใหม่ก่อนที่จะยิ้มให้ คนที่เรียกเธอคือภาดาหรือต้นนักเรียนห้องเดียวกันที่ย้ายมาเรียนในปีนี้ เธอรู้จักกับภาดาในวันที่เปิดรับนักเรียนใหม่ของโรงเรียนซึ่งผู้เป็นแม่ทำหน้าที่รับสมัคร
พายัพเมฆมองเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วรู้สึกถึงความไม่พอใจภายในใจของตัวเอง ไม่พอใจเหรอ ทำไมถึงได้ไม่พอใจ ก็แค่เด็กผู้ชายคนนั้นได้รับรอยยิ้มของพิมพ์ชนกที่เมื่อก่อนแจกจ่ายให้เขาอย่างเรี่ยราดก็เท่านั้น
"อือ เข้าไปในโรงเรียนกันเถอะเราได้ยินเสียงออดดังแล้ว" เด็กหนุ่มนามภาดาบอกก่อนที่พิมพ์ชนกจะพยักหน้าแล้วหันมายกมือไหว้พายัพเมฆก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปเคียงข้างกัน
"ไม่ชอบใจชะมัดเลยเว้ย" พายัพเมฆพูดกับตัวเองก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรสักอย่างมาวางลงที่ไหล่ ชายหนุ่มหันไปมองแล้วก็ได้เห็นมันคือนิ้วเรียวยาวทั้งห้าของใครสักคน ชายหนุ่มกวาดสายตาจากนิ้วนั้นขึ้นไปเรื่อยๆจนหยุดที่ใบหน้าของเจ้าของมือ
"เจ๊ นี่ยังไม่เข้าไปในโรงเรียนอีกเหรอ" เายัพเมฆถามเมื่อเห็นถนัดว่าเจ้าของมือนั้นคือพิมพ์ลภัส ครูคนงามยกมือออกแล้วทำท่าใช้มืออีกข้างปัดๆถูๆที่มือข้างที่วางลงบนไหล่ของชายหนุ่ม ราวกับว่าเพิ่งจับตัวเชื้อโรคมา
"ไม่ต้องขนาดก็ได้เจอ ทำอย่างกับผมเป็นตัวเชื้อโรคอย่างงั้นแหละ" พายัพเมฆบ่น ให้ตายเถอะแม่ของพิมพ์ชนกนี่ทำอย่างกับเขาเป็นเชื้อโรคร้ายแรงไปได้
"ยิ่งกว่าเชื้อโรคอีก นายนะมันพาหะนำความวุ่นวายมาให้ครอบครัวฉัน" พิมพ์ลภัสว่าก่อนที่จะเอื้อมมือไปดึงหูหนุ่มรุ่นน้องที่อายุไม่ได้น้อยกว่ามากมายอะไรอย่างหมั่นไส้
"โอ๊ยเจ๊ มาดึงหูผมทำไมเนี่ย ผมอยู่ของผมดีๆเนี่ย" ว่าพลางเจ็บจนน้ำตาเล็ด จุดอ่อนเขามันคือที่หู แล้วพิมพ์ลภัสก็ดันมารู้จุดอ่อนเข้าได้
"ก็หมั่นไส้ฉันเลยดึง คนอะไรน่าหมั่นไส้ที่สุด ถ้าฉันเป็นพ่อเป็นแม่นายนะพลายฉันนายต้องโดนดึงหูขาดแล้ว ทำตัวได้น่าหมั่นไส้จริง" พิมพ์ลภัสพูดก่อนที่จะเอามือออกจากหูของอีกฝ่ายก่อนที่จะถาม "กับหมอองหมอออยยนั่นนะ นายเคยรู้สึกว่าใจเต้นแรงกว่าปกติมั้ย"
"ถ้าเพื่อ?"
"เพื่ออะไรก็ตอบมาเถอะนา อย่าชักช้า"
หนุ่มใหญ่นิ่งคิดค้นหาความรู้สึก ไม่! ใจเขาไม่ได้เต้นแรงกว่าปกติเวลาอยู่กับอินทุอร มีเพียงแค่รู้สึกดีเวลาได้คุยด้วยเท่านั้น
"แล้วกับคนอื่นๆที่ผ่านมา พยาบาลลดา หมอวา พวกนั่นล่ะ ใจเต้นมั้ย" เมื่อพายัพเมฆไม่ตอบคุณครูวัยกลางคนจึงตั้งคำถามใหม่ และความรู้สึกมันก็เหมือนกับที่มีให้อินทุอร รู้สึกดีแต่ไม่ได้มีผลให้ใจเต้นแรงและหนักกว่าปกติ
"แล้วกับลูกสาวฉันล่ะ" คำถามใหม่จากพิมพ์ลภัสทำให้เขาเกิดอาการพูดอะไรไม่ออก รู้สึกซิ มันเต้นแรงกว่าปกติตลอดนั่นแหละ "นายรู้จักความรักมั้ยพลาย พริกไทยไม่รู้จักน่ะไม่แปลกลูกสาวฉันยังเด็ก แต่นายเนี่ยเกิดนานซะเปล่าไม่รู้จักความรักเลย"
"แล้วความรักมันคืออะไรล่ะเจ๊ มันเกี่ยวอะไรกับคำถามก่อนๆของเจ๊กัน คุยแล้วงง เสียเวลาทำงานทำการยังไงไม่รู้" เขาว่าแล้วหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาใส่ ตอนออกมาจากบ้านเขาไม่ได้ใส่เพราะเห็นว่าใกล้ๆไว้มาถึงนี่ค่อยใส่ก็ได้
"รักคืออารมณ์หนึ่งที่คนหนึ่งรู้สึกกับอีกคนหนึ่ง คนมีความรักมักจะใจเต้นแรงเมื่อได้อยู่ใกล้คนที่รัก ห่วงใยปรารถนาดีกับเขาเสมอ เวลาไม่เห็นหน้าก็ห่วงหา เวลาเขาอยู่ใกล้คนอื่นก็จะหงุดหงิดหึงหวงไม่ชอบใจ เวลาที่เขาเงียบใส่ก็กระวนกระวายใจ เขาหายไปก็จะเป็นจะตายนอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง" พิมพ์ลภัสเอ่ยบอกก่อนที่จะนิ่งไป "และที่สำคัญความรักเกิดได้กับทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ คนหนึ่งอาจจะรักอีกฝ่ายตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย บ้างก็รักตั้งแต่แรกเห็น บางทีก็รู้จักไปนานๆก็รัก"
"ฉันพูดแค่นี้เข้าใจนะ โตแล้วคิดเองว่ามีมั้ยความรู้สึกแบบนั้นในใจของนาย" พิมพ์ลภัสพูดก่อนที่จะเดินเข้าโรงเรียนไปพายัพเมฆนิ่งก่อนที่จะพารถมอเตอไซค์ของตัวเองเคลื่อนออกจากหน้าโรงเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ตลอดทางชายหนุ่มขบคิดตามที่พิมพ์ลภัสบอก ใบหน้าของคนคนหนึ่งผุดขึ้นในหัวเมื่อเขานึกถึง ใครคนนั้นคือคนที่เขาแอบห่วงใย แอบปรารถนาดีอยากให้ได้เจอผู้คนที่ดีกว่า อยากปฏิเสธตัวเองว่าคนคนนั้นไม่ใช่พิมพ์ชนก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคนคนนั้นคือพิมพ์ชนก
รัก เขารักพิมพ์ชนกงั้นเหรอ คงไม่มั้ง พิมพ์ลภัสคงจะอธิบายสิ่งผิดๆใด้เขาฟังเสียมากกว่า อย่าสนใจเลยตั้งหน้าตั้งตาทำงานดีกว่า
ตลอดทั้งวันนั้นพายัพเมฆแทบจะไม่ได้สนใจภายนอก แม้กระทั่งธนกฤตมายืนตรงหน้ายังไม่รู้สึก
"พายัพเมฆ" เสียงติดจะหงุดหงิดของธนกฤตไม่ได้ดังเจ้าไปในโสตประสาทของพายัพเมฆสักนิดจนธนกฤตต้องหันไปสั่งพีมตะวัน "ทำให้มันรู้สึกตัวซิ"
"ครับนาย" พีมตะวันรับคำก่อนที่จะเดินไปตบไหล่น้องชาย แต่กระนั้นพายัพเมฆก็ยังคงอยู่ในภวังค์ความคิด หนุ่มใหญ่เกาหัวก่อนที่จะยื่นมือไปจัดการกับจุดอ่อนของน้องชาย
"โอ๊ย" คนใจลอยร้องพร้อมทั้งจับมือที่ดึงหูอยู่ออกแล้วจับมือนั้นพาดไหล่ทุ่มคนเล่นพิเรนทร์จนลงไปกองกับพื้นวินาทีที่พีมตะวันลงไปนอนกองกับพื้นนั้นเองที่พายัพเมฆรู้ว่าใครมาดึงหูตน "ไอ้พีพีม"
"เออ พี่แกนี่แหละ สั- รุนแรงชิบ" คนเป็นพี่ว่าให้ก่อนที่จะลุกขึ้นอย่างเจ็บปวดรวดร้าว สี่สิบกว่าแล้วโดนจับทุ่มแบบนี้เจ็บจะตาย
"โทษว่ะ ผมไม่ทันมอง" คนเป็นน้องพูดพลางเข้าไปช่วยพยุงพี่ชาย
"นี่ถ้านายมาเรียกแกเอง คงได้ลงไปกองเหมือนฉันสินะ" พีมตะวันยังบ่นกระปอดกระแปดก่อนที่จะพยักเพยิดให้น้องชายมองไปที่ธนกฤต
ธนกฤตอ้าปากจะพูดแต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนจึงต้องหยิบขึ้นมาหลับ "ครับหนู อะไรนะ ได้เดี๋ยวพี่รีบไปเดี๋ยวนี้"
"มีอะไรรึเปล่าครับนาย" สองศรีพี่น้องถามขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นสีหน้าเครียดและกังวลของคนเป็นนาย
"มีคนเมายาบ้าเข้าไปอาละวาดในโรงเรียน พริกไทยเข้าไปช่วยเพื่อนก็เลยถูกยิงตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หมอกำลังรักษาอยู่" พูดพลางเดินออกไปอย่างรีบร้อน
พายัพเมฆรีบเดินตามไปทันทีภายในหัวเขาตอนนี้ทั้งตกใจและหวาดกลัว ห่วงใยเมื่อตามธนกฤตมาถึงโรงพยาบาลก็เห็นพิมพ์ลภัสยืนร้องไห้อยู่ หญิงวัยกลางคนวิ่งเข้ากอดร่างของสามีแล้วร้องไห้
เมื่อมีพยาบาลเดินออกจากห้องสองสามีภรรยาจึงถล่าไปถามทันทีและคำตอบทำให้คนที่ได้ยินชาวาบไปทั้งตัว
"น้องยังไม่พ้นขีดอันตรายค่ะ ต้องเฝ้าระวัง24ชั่วโมง น้องจะช็อคตอนไหนก็ได้ ไว้รอฟังจากคุณหมออีกทีนะคะ" นางพยาบาลสายบอกก่อนที่จะเร่งรีบไป
ในวินาทีนี้หลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นกับพายัพเมฆจนไม่รู้สึกเลยว่ามีหยดใสๆไหลออกมาจากดวงตา มารู้อีกทีก็ตอนที่มันไหลลงมาถึงแก้ม เขาร้องไห้งั้นเหรอ เขาเป็นห่วงพิมพ์ชนกจนร้องไห้เลยเหรอ ไม่! เขากลัวที่จะสูญเสียเธอไปต่างหาก
พิมพ์ชนกยังไม่พ้นขีดอันตรายโอกาสรอดและจากมีคือ50 50 ในนาทีนี้เขารู้แล้วเขาไม่อยากสูญเสียเธอไป เขารู้ซึ้งถึงส่วนลึกของหัวใจแล้วว่าเขาไม่อยากเสียเธอไป
หลังจากนั่งคิดอย่างกระวนกระวายใจอยู่นาน เขาก็สังเกตุเห็นหมอและพยาบาลเดินเข้าเดินออกห้องไอซียูที่เด็กสาวอยู่จนใจกลัวไปต่างๆนาๆ
'ไม่นะ พริกไทยอยู่เป็นเจ้าสาวของพี่ก่อน อยู่กับพี่ก่อนนะพริกไทย อย่าจากพี่ไป' เขาได้แต่คิดก่อนที่จะลุกมายืนหน้าห้องโดยไม่ปกปิดพฤติกรรมต่อธนกฤตและพิมพ์ลภัสเลย
ไม่นานต่อมานายแพทย์คนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องพร้อมพยาบาลอีกสองคน
"ญาติของคนไข้ที่ถูกยิงใช่มั้ยครับ" คุณหมอถามก่อนที่ธนกฤตจะพยักหน้าแล้วหมอคนนั้นก็เอ่ยต่อ "ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ หมอพยายามสุดความสามารถแล้ว"
"ไม่จริง พริกไทยลูกแม่" พิมพ์ลภัสร้องเหมือนคนบ้า ไม่เธอไม่เชื่อ ธนกฤตเองก็ไม่เชื่อ
พายัพเมฆทรุดลงกับเก้าอี้ พิมพ์ชนกจากไปแล้วเหรอ ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย นี่เขารู้ว่ารักเธอเมื่อสายไปแล้วงั้นเหรอ ฟ้าจะไม่ยอมให้เขาได้แก้ตัวเลยเหรอ
ในขณะที่พายัพเมฆ พิมพ์ลภัส และธนกฤตอยู่ในอาการไม่เชื่อร่างของนายแพทย์นักปราชญ์ก็เดินออกมาจากห้องนั้น
"เอ่อ อาจารย์หมอแจ้งผิดคนแล้วล่ะครับ ญาติคนไข้ที่เสียชีวิตน่ะอยู่ทางโน้น ส่วนนี่ญาติน้องผู้หญิงที่ยังไม่พ้นขีดอันตรายน่ะครับ" นักปราชญ์บอกอาจารย์หมอก่อนที่จะพายัพเมฆจะถลามาหาเพื่อนหนุ่ม
"ไอ้ปรัช คนที่ตายไม่ใช่พริกไทยใช่มั้ย" น้ำเสียงนั้นสั่นเครือระคนมีความหวัง
"ใช่ ตอนนี้น้องพริกไทยพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะน้องถูกยิงใกล้จุดสำคัญ แผลอาจติดเชื้อ" นักปราชญ์บอก เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเขาเป็นแบบนี้เลย
เกือบสามทุ่มคืนนั้นพายัพเมฆยังคงนั่งอยู่หน้าห้องนั้นเช่นเดียวกับพิมพ์ลภัสและธนกฤตก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินออกไป สองสามีภรรยามองตามแล้วไม่สนใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับบ้านไปแล้ว
หลายนาทีต่อมา
"ทานอะไรหน่อยอาธาม เจ๊" พายัพเมฆกลับมาพร้อมกับขนมแซนวิชและขวดชาเขียว
"กินเถอะ ฉันกินไม่ลงหรอก" พิมพ์ลภัสบอกความกลัวยังคงเข้าครอบหงำจิตใจของเธอ กลัวลูกสาวจะเป็นอะไรไป กลัวลูกจะเกิดอาการแทรกซ้อน กลัวไปสารพัด
"อากินไม่ลงหรอก" ธนกฤตบอก เขาหนักแน่นและเข้มแข็งกว่าภรรยาแต่ในใจก็กลัวไปสารพัดอย่างไม่อาจห้ามได้
"กินหน่อยเถอะ กินไม่ลงก็ต้องกิน จะได้มีแรงรอพริกไทยไง" พายัพเมฆบอกก่อนที่จะยื่นมือไปจับมือสองสามีภรรยาไว้ "พริกไทยต้องไม่เป็นอะไร อย่าคิดอะไรที่มันไม่ดีซิ ไอ้หมอปรัชกับพยาบาลไม่ปล่อยให้พริกไทยเป็นอะไรไปหรอก"
"ขอบใจนะพลาย" พิมพ์ลภัสพูดก่อนที่จะฝืนใจกินขนมทั้งที่กินไม่ลง ธนกฤตเองก็เช่นกัน พายัพเมฆมองทั้งคู่แล้วก็ถอยออกไปนั่งเก้าอีตัวเดิมซึ่งอยู่อีกฝั่งของสองสามีภรรยา
'อย่าเป็นไรไปนะพริกไทย อยู่ฟังความจริงจากปากพี่ก่อน'
เป็นงี้ไป55 มิขอว่าอะไรมากพรุ่งนี้ค่อยมาติดตามกันต่อว่าหนูพริกไทยจะรอดมั้ย(ต้องรอดสิ นางเป็นนางเอกนะ หรืออาจจะไม่รอด ให้พลายเสียใจจนออกบวชตลอดชีวิตโทษฐานไม่รู้ใจตัวเองจนว่าที่ภริต้อฃตาย)
ความคิดเห็น