คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : มุ่งหน้าสู่เมืองมนุษย์
บทที่2 มุ่งหน้าสู่เมืองมนุษย์
“พวกเจ้า 3 คนจะไม่ได้ไปในวันพรุ่งนี้” ราชาอสูรเอ่ยปากขึ้น ทำไมล่ะ การทดสอบนี้คัดพวกเราออกมา แล้วไม่ให้พวกเราไปในวันพรุ่งนี้ หมายความว่ายังไง
“ทำไมกันล่ะครับท่านราชาอสูร” ลามูสตะโกนออกมาเหมือนกับพูดแทนผมไปในตัวด้วยแล้ว ผมจึงไม่ได้พูดออกไป ส่วนโฟลเก้ยังทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมแต่แค่ ใบหน้าเผยความตกใจเพียงแค่นิดๆเท่านั้น
“ฟังข้าอธิบายก่อนพวกเจ้าน่ะจะต้องออกเดินทางในตอนกลางคืนของเย็นนี้”
“หมายความว่ายังไงครับ” ผมพูดขึ้นมา
“หมายความว่า ข้าจะส่งพวกเจ้าไปเมืองมนุษย์เพื่อทำการสอดแนมและแฝงตัวอยู่ในกองทัพ เมื่อถึงเวลาต่อสู้พวกเจ้าจะต้องฝ่า วงล้อมทำลายทัพศัตรูจากด้านในออกมา”……..จะให้พวกเราเข้าไปในฐานศัตรูแล้วฝ่าออกมาเอง โดยไม่มีตัวช่วยใดๆเลย ท่านราชาอสูรยังสติดีอยู่รึเปล่าเนี่ย
“ท่านราชาอสูร คิดจะส่งพวกเราไปตายอย่างงั้นเหรอครับ” คราวนี้โฟลเก้พูดขึ้นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินเสียงของโฟลเก้ แต่ว่าการได้ยินเสียงครั้งแรกนี้ยังรู้สึกได้เลยว่า เสียงของโฟลเก้สั่นเล็กน้อย มันก็จริงล่ะนะ ถึงผมจะไม่แสดงออกแต่ตอนนี้ในใจของผมมันอยากร้องออกมาเต็มทีแล้ว
“ไม่ใช่หรอก ข้าไม่คิดจะส่งพวกเจ้าโดยไม่ได้เตรียมแผนไว้หรอกนะ ข้าจะให้พวกเจ้าเข้าไปทำลายคลังเก็บอาวุธก่อน พวกมนุษย์น่ะมีดีแค่เรื่องอาวุธนี่ล่ะ ต่อให้พวกระดับฝีมือดีของพวกอัศวินมาประจันกับพวกเจ้าโดยที่ไม่มีอาวุธ ยังไงข้าก็เชื่อว่าพวกเจ้าสามารถเอาชนะได้โดยง่ายเป็นแน่แท้”......เข้าทำลายคลังอาวุธ ที่นั่นมันก็มีพวกอัศวินติดอาวุธหนักครบครัน คุ้มกันอยู่ไม่ใช่เหรอ
“แล้วท่านจะให้พวกเราเข้าไปยังไงโดยที่ไม่สงสัยล่ะครับ” โฟลเก้พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนกลางคืนเมืองของมนุษย์จะคุ้มกันเบาบาง จะคุ้มกันส่วนจุดที่สำคัญๆไว้เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นน่ะเบาบางมาก บางจุดถึงกับไม่มีทหารเวรเฝ้าเอาไว้เลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมไม่ให้พวกเราเข้าไปฆ่าพาลาดินเลยล่ะครับ” ลามูสพูดขึ้น จริงด้วยถ้าบุกเข้าไปแฝงตัวง่ายขนาดนั้นแล้วทำไม ไม่ฆ่าพาลาดินทิ้งเลยล่ะ
“เราเคยส่งคนไปฆ่าแล้วแต่ว่า ไม่รูเพราะอะไรคน คนนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย” ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ แต่ถ้าเราเข้าไปในเมืองของพวกมนุษย์ ก็อดเจอพ่อกับแม่ ที่ยังอยู่ในสนามรบน่ะสิ ช่างเถอะ ยังไงพวกท่านก็ไม่ตายง่ายๆอยู่แล้วเพราะเป็นถึงนักล่าที่เก่งกาจมากนี่น่า
“พาลาดินเก่งกาจขนาดนั้นเชียว” ผมพูดขึ้นมาคำพูดนี้เล่นทำเอาราชาอสูรอึ้งไปเลย
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ได้ข่าวว่ามีพลังประหลาดที่สามารถทำลายเมืองๆหนึ่งได้ภายในเสี้ยววินาที แต่ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเรื่องจริงแค่ไหน เพราะข้าเองก็ไม่เคยเจอเช่นกัน” เก่งขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ แล้วจะให้เข้าไปยังไงกันล่ะเนี่ย
“แล้วจะให้พวกเราเข้าไปยังไงกันล่ะครับ” ลามูสพูดขึ้นมา
“ตอนเที่ยงคืนมาเจอกันที่นี่ อ้อจัดกระเป๋ามาด้วยนะเพราะพวกเจ้าต้องอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง แล้วเดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าเมืองมนุษย์อย่างปลอดภัย งานนี้ขอมอบให้โฟลเก้เป็นหัวหน้านะ” ราชาอสูรพูดซะเหมือนเป็นเรื่องปกติ จะให้พวกเราเข้าไปในถิ่นของศัตรูเนี่ยนะ หลังจากราชาอสูรพูดเสร็จก็ไม่มีใครคัดค้านจึงแยกย้ายกันไปที่บ้านของตัวเอง ผมเดินเข้าไปในบ้าน พ่อ แม่ผมก็ไม่อยู่ ดังนั้นผมจึงต้องอยู่ตัวคนเดียว เรื่องการไปเข้าเมืองมนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องถามความเห็นใคร เอ แต่ว่าถ้าพ่อแม่ผมยังอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านจะให้ผม ไปยังเมืองมนุษย์รึเปล่านะ ผมเดินเข้าไปในครัวแล้วนำอาหารที่ผมทำเสร็จไว้ตั้งแต่เช้ามานั่งกิน เป็นเพียงข้าวกับไข่เจียว ธรรมดาๆ ก็ผมทำอาหารเป็นอย่างเดียวนี่น่า เมื่อกินเสร็จผมจึงขึ้นไปจัดของข้างบน ผมดึงลิ้นชักของตู้เสื้อผ้า ส่งเสียงเอี้ยดอ้าด เพียงแค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่ามันเก่าขนาดไหน ผมเริ่มการจัดกระเป๋าไปเรื่อยๆ พลางคิดไปว่า หากเราเข้าไปเมืองมนุษย์เราต้องทำยังไงกันนะ ถ้าเข้าไปแล้วแล้วเจออลิซ จะบอกเธอว่ายังไงดีนะ ถ้าบอกไปตามตรงเธอจะเกลียดเรารึเปล่าน้า......เอ๊ะ ทำไมเราคิดว่าเธอเกลียดเราเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบด้วยเนี่ย เราเป็นศัตรูกันอยู่แล้วการเกลียดกันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วทำไมเราไม่อยากให้เธอเกลียดเราล่ะเนี่ย......อ้าก ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ผมขยี้ผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะจัดเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนอย่างไม่รู้ตัว สรุปผมได้จัดกระเป๋ารึเปล่าเนี่ยมีแค่ชุดเปลี่ยนเพียงแค่2ชุดเท่านั้น แถมยังไสตล์เดียวกับที่ผมใส่ตอนนี้อีกด้วย ผมรีบเดินออกจากบ้านเพื่อไปตามนัด บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองอสูร แตกต่างกับยามกลางวันอย่างเห็นได้ชัด กลางวันคนจะสันจรกันไปมาอย่างคึกคัก แต่ตอนกลางคืนนั้นช่างเงียบสงบราวกับว่าตอนกลางวันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นแหละ เมื่อผมไปถึงลานกว้างที่เป็นจุดนัดพบ ราชาอสูร ลามูส และ โฟลเก้ก็รออยู่ก่อนแล้ว ลามูส กับโฟลเก้ต่างถือกระเป๋าเดินทางถึง 2 ใบไม่รู้ว่าใส่อะไรมาเยอะขนาดที่ต้องใช้2ใบ ต่างจากผมที่ มีเพียงถุงผ้า1ถุงเท่านั้น
“มาช้าจริงเอ็น!” ลามูสเมื่อสังเกตุเห็นผมจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ขอโทษทีมัวคิดอะไรเพลินๆ อยู่น่ะ” ผมตอบกลับไปหลังจากคิดอยู่แปปนึง
“ช่างเถอะน่าเอาล่ะไม่มีใครลืมอะไรกันแล้วใช่ไหม” ราชาอสูรพูดออกมาพร้อมกับที่แสงจันทร์โผล่ออกมาจากก้อนเมฆที่บดบันอยู่บนฟ้า อย่างพอดิบพอดีเลย
“ไม่ลืมอะไรแล้วครับ” ผม ลามูส โฟลเก้ ตอบพร้อมกันจนประสานเสียงกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“ตามฉันมา” เมื่อราชาอสูรพูดจบก็ออกวิ่งไป พวกเราจึงวิ่งตามไป เมื่อพ้นจากเขตเมือง ราชาอสูรก็วิ่งเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.....เร็ว เร็วมากเลย ขนาดโฟลเก้ยังไล่ตามแทบไม่ทัน แล้วผมกับลามูสที่ไม่มีความเร็วเป็นพิเศษจึงได้แต่ตามเงาของ 2 คนนั้นและพยายามไม่ให้ละสายตาไป ในป่าไม่ค่อยมีพื้นที่สำหรับวิ่งสักเท่าไร เผ่าอสูรเราเวลาต้องการความเร็วมากจึง ต้องใช้วิธีกระโดดข้ามต้นไม้เอา ปกติแล้วความเร็วในการอยู่บนต้นไม้ในช่วงการกระโดดจะอยู่ที่0.5วินาที แต่ราชาอสูรกลับใช้เวลาเพียงแปปเดียวในการยืนอยู่บนต้นไม้ จึงเหมือนกับว่าท่านราชาอสูรกำลังบินอยู่ บนฟ้าก็ไม่ปาน ต้องตาม2คนนั้นทันให้ได้เลย ผมจึงเริ่มเพิ่มความเร็วด้วยการใส่แรงในการถีบตัวมากขึ้น แรงอีก แรงอีก ผมถีบแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นก็จริงอยู่ แต่ว่าตอนที่ผมถีบครั้งสุดท้ายนั้น กิ่งไม้ก็ส่งเสียงดังลั่นออกมา ผมจึงรู้ว่าการที่จะตาม2คนนั้นให้ทันนั้น ไม่ใช่เพียงแค่แรงเท่านั้นก็ทำได้ ผมจึงลดแรงถีบลงมาถึงความเร็วปกติของผม เมื่อกระโดดมาได้ซักพักก็เห็นทางเดินของพวกมนุษย์ ราชาอสูรจึงหยุดลง ผมจึงหยุดลงตรงข้างล่างป่า
“นับจากนี้พวกเจ้าต้องไปต่อเอง หากเจ้าเดินตามทางของพวกมนุษย์เจ้าจะถึงเมืองของพวกมนุษย์ หากพวกทหารยามถามว่าพวกเจ้ามาจากที่ไหน ก็จงตอบว่า มาจากเมืองโลคิวคอสนะ” ราชาอสูรหันมาบอกกับพวกเรา3คน เมืองโลคิวคอสเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่ถึงขนาดต้องใช้เวลาเดินเท้า 3 วัน และเป็นเมืองที่ถูกเผ่าอสูรของเราถล่มไปแล้ว แต่ว่าที่ให้พวกเราเข้าไปเองคือแบบนี้สินะ
“แล้วก็พวกเจ้าจะต้องใช้ชื่อปลอม โฟลเก้ ข้าขอตั้งชื่อให้เจ้าใหม่ว่า เกล็น ลินเน็จ” เอ๊ะต้องเปลี่ยนชื่อด้วยเหรอ ไม่สิยังไงก็ต้องเปลี่ยนชื่อเพราะว่าชื่อของเหล่าอสูร จะเป็นชื่อที่ดูแปปเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกอสูร
“ครับ” โฟลเก้ตอบรับ
“ลามูส ข้าขอตั้งชื่อเจ้าว่า เฟลมเมอร์ ไลดินอฟ”
“ครับผม”
“เอ็น ก่อนอื่นข้าขอเตือนไว้เลยว่าอย่าไว้ใจมนุษย์เด็ดขาด เจ้าอายุยังน้อยอาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่ข้าขอเตือนย้ำอีกทีว่า อย่าไว้ใจมนุษย์” อย่าไว้ใจมนุษย์งั้นเหรอ รวมถึง อลิซด้วยรึเปล่า
“ครับ จะไม่ไว้ใจมนุษย์” รับปากไปก่อนละกัน
“ดี เอ็น ข้าข้อตั้งชื่อเจ้าว่า โซล โลพิด”
“ครับ” โซล โลพิดงั้นเหรอ เท่ไม่เบานี่น่า
“พวกเจ้า หากพวกมนุษย์เริ่มสงสัยในตัวพวกเจ้าจงรีบออกมาซะ และ พวกเจ้าจะต้องส่งข่าวมาวันละครั้ง โดยจะมีอีกาซึ่งเป็นผู้นำสาสน์อยู่ตามจุดต่างๆของเมืองมนุษย์” ราชาอสูรอธิบาย แต่ว่ามีอีกาอยู่เต็มเมืองและเข้าออกทุกๆวัน มนุษย์จะไม่สงสัยอย่างงั้นเหรอ แต่ช่างมันเถอะ
“อ้อ ข้าจะยกเลิกคำสั่งที่ให้พวกเจ้าเข้าไปในทัพศัตรูแล้วฝ่าวงล้อมออกมา ละกันเพราะมันบ้าบิ่นเกินไป” เพิ่งจะมาคิดได้เหรอว่ามันบ้าบิ่นมากที่จะให้เด็กอายุ ไม่ถึง13ปีอย่างพวกเราฝ่าวงล้อมออกมาเนี่ย นั่งคิด นอนคิดยังไงโอกาสความสำเร็จก็ต่ำมาก
“พวกเราไปกันได้ยังครับ” ลามูสพูดออกมาด้วยเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไร ดูท่าจะเริ่มเบื่อแล้วสิ
“ก็ได้ งั้นข้าไปก่อนนะ พอเข้าเมืองได้พวกเจ้าจะต้องส่งข่าวมาในทันที” เมื่อราชาอสูรพูดจบ ก็กระโดกลับไป......เร็วกว่าเดิมอีกแสดงว่าเมื่อกี้นี้ ลดความเร็วไว้สินะตอนี้ผมต้องเดินทางไปกับพวกนี้สินะเนี่ย
“เอาละไปกันได้แล้ว” โฟลเก้จากที่เงียบมานาก็พูดออกมา แล้วเดินนำหน้าไป แต่ว่าลามูสพุ่งเข้าไปจับไหล่โฟลเก้ไว้
“เห้โฟลเก้ ใครใช้ให้นายนำหน้านายออกคำสั่งกับคนที่อายุสูงกว่าได้ไง” พริบตานั้นโฟลเก้สะบัดมือของลามูสออก จากนั้นก็จับคอของลามูสแล้วกดลงพื้นอย่างรวดเร็ว โห ลามูสขัดขืนไม่ได้เลย สงสัยแรงเยอะจัด ผมคงไม่กล้าไปมีเรื่องกับเขาแหงๆ
“อย่าเข้าใจผิดสิว่าฉันอย่างอยู่ร่วมกับนาย แต่นี่เพื่อภารกิจ อ้ออีกอย่างที่นายบอกว่า ออกคำสั่งกับคนที่อายุสูงกว่าได้ไง ฉันขอตอบว่า ฉันเป็นหัวหน้าทีม และ ถ้าอยากให้ฉันนับถือ ก็ช่วยทำตัวให้มันน่านับถือหน่อยสิ” น่ากลัวจังแฮะสายตาสีฟ้าที่เหมือนจะพร้อมแช่แข็งทุอย่างนั่นกลับ แสดงออกถึงความน่ากลัวได้มากมายจริงๆ คำพูดนี้เล่นเอาลามูสทำหน้าหวาดผวา และพูดไม่ออกเลยแฮะ เมื่อโฟลเก้พูดจบยังไม่วายที่จะซัดเข้าที่ท้องต่ออีกหนึ่งหมัดแล้วค่อยปล่อยออก ท่าทางจะจุกนะนั่นเพราะลามูสกุมท้องอยู่เป็นเวลาถึง 5 วินาที เมื่อกุมท้องเสร็จ ลามูสก็ยืนขึ้นมา เมื่อโฟลเก้เห็นว่าลามูสไม่เป็นอะไรแล้วนั้นก็เดินนำหน้าต่อไป คราวนี้ลามูสไม่กล้าจะหาเรื่องโฟลเก้อีกแล้ว แต่ที่โฟลเก้พูดมันก็เรื่องจริงนี่นะ ลามูสไม่ค่อยทำตัวเหมือนคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า สักเท่าไรเลยมีส่วนที่ดูว่าเหมือนผู้ใหญ่แค่ส่วนเดียวเท่านั้นคือความสูง ผมค่อยๆเดินตามโฟลเก้ไประหว่างทาง ก็เจอกับพวกกองเศษเหล็กอยู่ประปราย ไม่รู้เหมือนกันว่ามีไว้ทำอะไร ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไรจึงเดินผ่านไป อย่างไม่สนใจ จู่ๆโฟลเก้ก็พูดขึ้นว่า
“เดี๋ยวกันฉันว่า เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหน่อย”
“ทำไมล่ะ โฟลเก้” ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ชุดที่พวกเราใส่เป็นชุดของเผ่าอสูร พวกมนุษย์จะสงสัยเอาได้ และอีกอย่างต่อไปนี้ไม่ว่าจะที่ไหนต้องเรียกชื่อกันด้วย ชื่อที่ราชาอสูรตั้งให้ ฉันชื่อ เกล็น”
“ขอโทษนะ โฟล.....เอ้ย เกล็น” เกือบไปแล้วเกือบพูดผิดไปแล้ว
“อย่ามัวแต่พูดกันเลยน่า เอาเสื้อผ้าออกมาเหอะน่า เกล็น” โหลามูสจู่ๆก็พูดชื่อแฝงได้คล่องปรื๋อเลยแฮะ แต่ว่ายังมีน้ำสียงแบบกลัวๆ อยู่นะ หรือว่าพูดได้สบายเพราะความกลัวกันนะ จู่ๆ โฟลเก้ก็ยื่นเสื้อผ้าชุดนึงมาให้ผมหยิบมาแล้วลองกางดู เป็นเสื้อยืดสีดำ ที่ไม่มีลวดลายอะไรเลย กับเสื้อคลุมตัวนอกที่เป็นสีขาว......ไอ้ดีไซน์แบบนี้รู้ถึงรสนิยมคนซื้อเลยแฮะ มีลวดลายแปลกๆกับลายที่มันคล้ายดอกไม้ บอกได้คำเดียว ทุเรศสิ้นดี ผมมองไปทางลามูสซึ่งได้ชุดคล้ายๆกันมาดูจากสีหน้านั้นก็คงไม่ชอบเหมือนกันล่ะนะ นี่เหรอรสนิยมมนุษย์ อุบาทว์ชะมัด แล้วพอกาง กางเกงออกมา.....สีขาว รสนิยมอุบาทว์เหมือนชิ้นแรกสิ้นดี เอ๊ะพอดูดีๆ ที่ชุดของโฟลเก้.....เอ ตอนนี้ต้องเรียกว่าเกล็นสินะ ที่ชุดของเกล็นมีลวดลายแบบเดียวกันเป๊ะๆ แต่เกล็นใส่ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน หรือว่านี่มันคือรสนิยมส่วนตัวของเกล็นกันหว่า ต้องใส่จริงๆเหรอเนี่ย ผมลองมองด้วยสายตาสะอิดสะเอียนไปทางเกล็น แต่ก็ถูกมองกลับมาราวกับจะบอกว่า ถึงตายก็ต้องใส่ งั้นแหละ ผมเลยจำใจถอดเสื้อกับกางเกงที่ใส่อยู่ออกแล้วใส่ชุดที่แสนอุบาทว์สุดๆ ของเกล็น เมื่อใส่เสร็จแล้ว......พอดีเลยแฮะรู้ไซส์ พวกเราด้วยเหรอสรุป เอาเวลาทั้งหมดไปเตรียมของพวกนี้เหรอเนี่ย ผมเอาเสื้อผ้าที่ถอดแล้วเก็บใส่ถุงผ้า เมื่อใส่ลงไปเสร็จแล้ว พอลองหันไปดูลามูส ไม่สิ เฟลมเมอร์ ตอนนี้เฟลมเมอร์ดูท่าจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมสีแดงกับชุดสีขาวมันก็ดูเข้ากันนะ ถ้าไม่นับพวกลวดลายแปลกๆน่ะนะ
“ใครอยู่ตรงนั้น น่ะ!” จู่ๆพวกผมก็ได้ยินเสียงของใครสักคนตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง ดูจากลักษณะเสียงแล้วน่าจะเป็น ผู้ชายวัยกลางคนนะ ผมลองหันไปดูก็เจอแสงไฟที่อยู่ห่างออกไปกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นต้นเสียง เป็นผู้ชายอย่างที่คิดใส่ชุดที่ คล้ายๆกับพวกอัศวิน แล้วก็มีคนอื่นๆที่ใส่ชุดแบบเดียวกันตามหลังมาด้วย คงจะเป็นกองอัศวินสินะเนี่ย แย่ล่ะสิเราเป็นเด็กชาวอสูรถูกจับแหงๆ.....เอ๊ะ ไม่สิเราถูกส่งมาเพื่อสอดแนมดังนั้น ถ้าแค่อัศวินพวกนี้ยังแฝงเข้าไปไม่ได้ ภารกิจก็ไม่สำเร็จน่ะสิ จากนั้นไม่นานพวกกองอัศวิน ก็มาหยุดตรงหน้าผม
“พวกเธอเป็นใครกันน่ะ” อัศวินคนหนึ่งถามขึ้น
“พวกเรามาจากเมืองโลคิวคอส” เกล็นเดินออกมาข้างหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โอ้ มาจากเมืองโลคิวคอส พวกเจ้าเป็นผู้รอดชีวิตเหรอนี่ คงลำบากแย่เลย เป็นแค่เด็กแท้ๆยังต้องเดินทางมาที่นี่อีก สวรรค์ช่างเป็นใจให้พวกเจ้าจริงๆ ว่าแต่พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้างล่ะ” เอ๊ะเชื่อง่ายขนาดนี้เลยงั้นเหรอช่างมันก่อนเถอะ
“เราชื่อ เกล็น ลินเน็จ อายุ5ปี นั่นน้องชายเราเอง” เอ๊ะ....เห้ยเกล็นจู่ก็ชี้มาทางทางผมซะงั้น ผมเป็นน้องชายเจ้าเกล็นตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้สึกอีกทีพวกอัศวินก็มองมาทางผมแล้ว ผมจึงลนลานตอบไป
“ผมชื่อ โซล โลพิด อายุ 4 ปีครับ”
“เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันแต่ทำไมนามสกุลต่างกันล่ะ” อัศวินคนนั้นพูดขึ้น ซวยแล้วไง ไม่ได้เตี๊ยมไว้กับเกล็นซะด้วย ผมมองไปทางเกล็นซึ่งใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แสดงว่าคิดเอาไว้อยู่แล้ว
“พอดีพ่อแม่เราแยกทางกัน ผมไปอยู่กับพ่อเลยใช้นามสกุลพ่อ น้องชายผมไปอยู่กับแม่เลยใช้นามสกุลแม่น่ะ” โหน่าจะจับเกล็นไปแต่งบทละครนะเนี่ย
“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เองเข้าใจละ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ เฟลมเมอร์ ไลดินอฟ อายุ 12 ปีเป็นเพียงคนที่เดินทางมาเจอพวกเกล็น เท่านั้นเองล่ะนะ มาจากเมืองโลคิวคอส เหมือนกัน” เฟลมเมอร์
“เอ ทำไม เฟลมเมอร์ ถึงได้เลอะเทอะแบบนี้ล่ะ” อัศวินคนนั้นพูด
“หกล้มน่ะ ว่าแต่พวกท่านชื่ออะไรบ้างเหรอ” หกล้มช่างคิดเนอะ
“ข้าเป็นหัวหน้ากองนี้ ธันเดอร์ แม็คโนตัม เรียกผู้กองธันเดอร์ก็ได้นะ” ลองสังเกตดีๆ ที่หน้าอกด้านขวาของ ผู้กองธันเดอร์ มีตราอะไรสักอย่างอยู่ คงเป็นตราของกองนี้ล่ะมั้งนะ
ความคิดเห็น