คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : การต่อสู้บนSector 9
บทที่15 การต่อสู้บนSector 9
“รับมือ!!” สิ้นเสียงคำประกาศกร้าวของแลนเซลอต ก็ฟาดดาบประกายสีทองเป็นเส้นตรงตัดผ่าอากาศมาที่ลำคอหวังจะเอาชีวิตผมภายในดาบเดียว ไม่ยอมหรอก ผมรีบเอาดาบไออสูรมากันไว้ได้อย่างทันท่วงที
‘คลื่นอัดกระแทก!’ ผมระเบิดไออสูรออกมาในวินาทีที่ดาบปะทะกัน ก่อให้เกิดแรงระเบิดกระแทกเราทั้งสองออกจากกันอีกครั้ง
แต่ทว่าพริบตาต่อมาแลนเซลอตก็มาโผล่ที่ข้างล่างผมอย่างรวดเร็ว....... มองไม่ทัน พุ่งมาตอนไหนกันนะ แลนเซลอตใช้ดาบฟันมาอีกครั้ง คราวนี้ผมก้มหลบแล้วใช้ดาบฟันสวนไปที่ลำตัว แต่ทว่ากลับถูกหยุดไว้ด้วยอะไรบางอย่าง ที่แข็งแกร่งมากถึงขนาดที่ผมฟันไม่เข้า
“อย่ามัวแต่ตกตะลึงเซ่” เสียงของแลนเซลอตดังขึ้นผมถึงรู้สึกตัว แต่ว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว เข่าที่หุ้มด้วยเหล็กกล้ามาอยู่ที่ตรงหน้าผมแล้ว
ตูม!!
‘อั่ก’ ผมลอยกระเด็นไถลไปไกล
“เฮอะ ฝีมือเมื่อก่อนหายไปไหนหมดล่ะเทพอสูร”
“เห้อ หมดเวลาเล่นแล้วสินะ เอาจริงได้สักที” ผมลุกขึ้นมาพลางสลายดาบไออสูรไป
“สลายดาบทิ้งไปแล้ว คงรู้ตัวแล้วสินะว่าฝีมือดาบของนายมันไม่ถึงขั้น”
“ก็ใช่อยู่ แต่ดาบไออสูรมันทื่อเกินไป ก็เลยอยากจะเปลี่ยนอาวุธสักหน่อย ต้องร่างกายตัวเองนี่แหละน้า” ผมค่อยๆยืดข้อต่อตัวเองจนดังลั่นดังกร้อบๆ
“ตาย!!” แลนเซลอตพุ่งเข้ามาอาอีกครั้ง พร้อมกับที่ดาบพุ่งตรงมาข้างหน้า แต่ทว่าที่ๆผมเคยอยู่ กลับไม่มีอะไรอยู่เลย ทำให้แลนเซลอตตกใจอีกครั้ง เสี้ยววินาทีต่อมา ผมก็มาปรากฏตัวพร้อมกับใช้เท้าเตะเข้าไปที่กลางลำตัวอย่างแรง ทำให้แลนเซลอตกระเด็นไป
ผมรีบพุ่งตามไปอย่างรวดเร็วแล้วใช้หมัดลุ่นๆต่อยกระแทกไปที่หน้าอก เกิดเสียงดังลั่น แต่สัมผัสที่ได้รับกลับได้ความเจ็บปวดกลับมาแทน นั่นก็เพราะว่าพริบตาก่อนที่หมัดจะอัดกระแทกเข้าไปที่กลางหน้าอกนั้น แลนเซลอตเอาดาบมารับไว้ จนทำให้มือของผมมีเลือดไหลซึมออกมา ผมเผยอยิ้มออกมา
“เคล็ดวิชาแห่งเทียร์วงเวทซ้อน 4 ชั้น สายฟ้าดำ” สิ้นเสียงคำพูดของผมบังเกิดวงเวทสีดำ 4 วงขึ้นรอบตัวของแลนเซลอต ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำก็พุ่งออกมาจากวงเวทสาดเข้าใส่แลนเซลอต เกิดฝุ่นควันคลุ้งขโมงไปทั่ว
“ชิเวทย์สายความมืดงั้นสินะ” เสียงที่ดังออกมาจากกลุ่มควันทำให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่สภาพที่ผมเห็นนั้น ทำเอาผมนึกย้อนไปเมื่อตอนที่ตัวผมโดนเวทนี้เองเลย
เกราะแตกหักจนเหลือเพียงแค่ส่วนล่างที่ไม่ได้โดนสายฟ้าฟาดใส่ ผิวหนังเกิดเป็นแผลไฟลวก และยังมีสายฟ้าสีดำเล็กๆกระจายอยู่รอบตัว ดาบก็แตกกระจายไม่มีชิ้นดี มือข้างขวาก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจับดาบได้
“จะต่อไหม” ตัวผมพูดขึ้น
“สุดท้ายเจ้าก็ยังไม่ได้เอาจริงเลยเทพอสูร ถ้าเจ้าสามารถรับท่านี้ของเราเข้าไปได้เราก็ไม่มีอะไรจะต้านเจ้าไว้ได้อีกแล้ว” สิ้นคำพูดผมก็รู้สึกถึงอันตรายจากรอบด้าน ผมรีบพุ่งตัวถอยห่างออกมา
“สายไปแล้วเศษดาบของข้ากระจายตัวไปรอบๆหมดแล้ว” ว่าไงนะ ผมรีบหันดูรอบๆ ก็พบกับเศษซากของดาบที่กระจายตัวเป็นจุดๆแถมยังล้อมรอบได้อย่างพอดีไม่ขาดไม่เกิน มันเป๊ะเกินไป วินาทีต่อมา เศษซากดาบกเปล่งแสงออกมาแล้วลากต่อกันเป็นเส้น บังเกิดเป็นวงเวทขนาดใหญ่ที่กินอาณาเขตถึง 10 เมตรโดยมีตัวผมและแลนเซลอตอยู่ตรงกลาง
“เฮอะ น่าสนุกดีนี่น่า ได้มาเจอกันหน่อย” ผมกระโดดขึ้นฟ้าแล้วกำหมัดขวาออกมาแล้วง้างหมัดออกมา ปรากฏวงเวทขนาด 10 เมตรสีดำทมิฬขึ้นตรงด้านหน้าของผม สีหน้าของแลนเซลอตฉายแววตกใจบ้างที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการวาดวงเวทของผมเหมือนกัน แต่จะมาคิดให้เสียเวลาก็ใช่ที่
“วงเวท 1 ชั้นมังกรสู่สวรรค์”
“วงเวท 1 ชั้นสรรพวุธทลายนรก” สิ้นคำพูดของเราทั้งสอง วงเวทก็เปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง มังกรจีนสีขาวขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากวงเวทโดยที่ ณ ใจกลางหัวของมังกรมีแลนเซลอตอยู่ด้วย พร้อมๆกับที่ผมต่อยหมัดของผมเข้าไปที่กลางวงเวทของผม บังเกิดแสงสีดำมากมายกว่าหลายพันหลายหมื่นเส้น พุ่งออกมาเป็นรูปร่างของอาวุธต่างๆ
วินาทีที่มังกรขาวปะทะเข้ากับสรรพวุธ ท้องฟ้าก็แยกออกเป็น 2 เสี่ยง ครึ่งนึงเป็นสีดำ อีกครึ่งเป็นสีขาว ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น มีเพียงเสียงคำรามของมังกรที่ดังกึกก้องไปทั่วน่านฟ้า เมื่อแสงสีดำและขาวหายไป ก็ปรากฏเพียงแค่แลนเซลอตที่นอนบาดเจ็บอยู่ ณ ใจกลางของหลุมลึกกว่า 10 เมตร
“แล้วเอ็นล่ะ” อลิซที่ไม่รู้ว่าได้สติตื่นขึ้นมาตอนไหนพูดออกมา และพยายามหันซ้ายหันขวามองหาตัวเอ็นอย่างกระวนกระวาย พร้อมๆกับที่ไอริชทำแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกับลามูส โฟลเก้ และเทียร์ที่เผยอยิ้มออกมา โดยเฉพาะที่เทียร์หัวเราะออกมานิดๆด้วย พลางทำมือชี้ไปที่ข้างบน
เมื่ออลิซเห็นดังนั้นแล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็ตกตลึง เบื้องบนนั้นมีเอ็นที่กำลังกระพือปีกอยู่เป็นปีกของมังกรดำ มีขนหมาป่าลู่ไปตามลมยามเช้ามืด ที่อีกไม่นานตะวันก็กำลังจะขึ้น ผมสีแดงที่ยาวขึ้นกำลังปลิวสยายไปตามลม สายตาที่ดูเฉียบคมมองลงมา และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่นานนักเอ็นก็ค่อยๆบินลงมา แล้วเดินไปหาแลนเซลอตที่กำลังนอนหมดสภาพอยู่
“หึหึ นายนี่เก่งจริงๆเลยนะ ช่วงเวลาที่อยู่บนเกาะนรกแห่งนี้ก็คงเป็นเจ้าเกาะไปแล้วสินะ” แลนเซลอตพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยากเย็น เปล่าเลยผมไม่ได้เป็นเจ้าเกาะสักหน่อย นู่นคนตรงนู้นต่างหากที่เป็นเจ้าเกาะ ทำเอาผมหมดสภาพมาหลายรอบแล้วด้วยซ้ำ
“ข้าทำตามข้อตกลงแล้ว ข้าชนะ งั้นข้าขอออกจากเกาะไปล่ะนะ” ผมเอ่ยขึ้น แต่ไม่นานก็มีบุรุษผู้หนึ่งพุ่งมาหยุดอยู่ข้างๆแลนเซลอต ไม่หลงเหลือบาดแผลแม้แต่น้อย กลางท้องที่สมควรมีรูอยู่กลบไม่พบร่องรอยความเสียหายเลย มีเพียงชุดเกราะที่เป็นรูเหลือไว้เพียงเป็นหลักฐานเท่านั้น
“เห้แลนเซลอตจะดีเหรอ” ดาลูนอฟพูดขึ้น
“อัศวินย่อมไม่คืนคำ อีกอย่างเราหยุดเขาไม่ได้แล้วล่ะ”
“งั้นข้าไปล่ะ” ผมหันหลังกลับไปหาพวกโฟลเก้ แต่ทว่า
“หยุดก่อน” ดาลูนอฟพูดขึ้นมาทำให้ผมหันหลังกลับไป
“มีอะไร”
“พาอลิซไปด้วยเถอะ ฉันขอร้องถ้าเป็นนาย ฉันฝากเธอไว้ได้แน่” ดาลูนอฟคุกเข่าลง มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ส่วนตัวอลิซก็ดูตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
“ทำไมล่ะ ข้าไม่มีปัญหาหรอก แต่อยากถามว่าทำไม”
“ถ้าปล่อยนายไปแบบนี้ โดยที่ไม่ได้ฆ่านาย ไม่นานเธอต้องถูกประหารแน่ๆ เพราะคงถูกสงสัยแน่ๆว่าเป็นไส้ศึก” ดาลูนอฟพูดขึ้นมา
“แค่ข้าหนีไปทำไมต้องถึงกับประหารด้วยล่ะ”
“เพราะเธอเป็นลูกครึ่งอสูร!!” สิ้นคำพูดทุกคน ณ ที่ตรงนั้นเกิดความตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่อลิซเองก็ด้วย แต่มีเพียงคนเดียว ไม่สิตัวเดียวที่ทำสีหน้าดีใจรีบเดินเข้าไปหาอลิซและทำท่าทางอยากสนิทสนมด้วย
ว่าไงนะลูกครึ่งอสูรแต่เธอแปลงร่างเป็นอสูรไม่ได้นี่น่า ไม่สิถ้าเป็นแบบนี้ก็อธิบายข้อสงสัยได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการท่าสามารถใช้ไออสูรเปลี่ยนให้มือแหลมคมจนเหมือนอาวุธได้ การฟื้นตัวจนเร็วผิดปกติของมนุษย์ทั่วๆไป มีพลังทางกายเยอะมาก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นว่ามีพลังของอสูรอยู่ในตัวก็อธิบายได้หมดทุกอย่าง
“แล้วเจ้าล่ะจะเป็นยังไง”
“ข้านั้นได้ให้คำสาบานไว้ต่อพาลาดินแล้วว่าจะภักดีไปชั่วชีวิต แต่อลิซนั้นไม่ใช่เธอไม่มีพันธะใดๆทั้งนั้น แลนเซลอตเจ้าก็ช่วยพูดด้วยสิ”
“ถือว่าข้าขอร้องอีกคนก็แล้วกัน ตามจริงแล้วเราไม่ได้จะมาฆ่าเจ้า แต่เราจะมาขอให้เจ้าพาเธอออกไปจากเกาะแห่งนี้ต่างหาก แต่ก็จำเป็นที่จะต้องทดสอบเจ้าเสียก่อน แต่เจ้าทำได้เหนือกว่าที่คาดคิดไว้ และเจ้าไม่เคยตระบัดสัตย์ด้วย” แลนเซลอตพูด
“พวกเจ้านี่น่าถือเหลือเกิน นี่ถือเป็นคำตอบแทนของข้า” ผมกัดนิ้วตัวเองจนเกิดแผล หยดเลือดค่อยๆไหลๆออกมา ผมมองดูมันอยู่สักครู่ก็สะบัดไปที่ตัวของแลนเซลอต พริบตานั้นเลือดก็ค่อยๆซึมเข้าไปในตัว และทำให้บาดแผลค่อยๆหายไป
“งั้นเราไปกันเถอะ อลิซบอกลาพี่เจ้าซะ คงไม่ได้เจอกันในเร็วๆนี้หรอก” สิ้นคำพูดของผมอลิซก็ส่ายหน้าและทำทีเหมือนจะไม่ไปด้วยและค่อยๆร้องไห้ออกมา
“ไปเถอะอลิซที่นี่ไม่มีใครยอมรับเจ้าอย่างจริงๆหรอก ไปเถอะเมืองอสูรน่าจะเป็นที่ๆเจ้าจะอยู่ได้ ไม่มีทั้งการแก่งแย่งชิงดี อำนาจเหมือนเป็นของไร้ค่ายามอยู่ในดินแดนนั้น คิดไปคิดมาคำพูดที่ว่าเมืองอสูรเป็นแดนเถื่อน มันคงเหมาะกับเมืองมนุษย์เองเสียมากกว่า” แลนเซลอตพูดขึ้นพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ดูเหมือนอลิซก็ยังไม่ยอมผมจึงจัดการให้เธอสลบไป โดยการตบไปที่ท้ายทอย
“เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว ไปกันเถอะ” ลามูสพูด
“แล้วจะไปยังไง” ผมถามขึ้น
“ร่างอสูร” โฟลเก้ตอบออกมาอย่างสั้นๆแต่ได้ใจความมาก
ทันใดนั้นทั้งลามูส ทั้งโฟลเก้ต่างเปลี่ยนเป็นร่างอสูร ผมสีขาวของโฟลเก้เปลี่ยนเป็นสีเทา นัยน์ตาสีฟ้ากลายเป็นสีแดง ผิวกายกลายเป็นสีขาวราวหิมะ แต่ของโฟลเก้ราวๆกับถอดแบบมาจากชุด ทุกส่วนเป็นสีแดงหมด ไม่เว้นแม้แต่ผิวหนัง แต่กลับมีเปลวไฟลุก ออกมาอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ไอริชเพียงแค่กางปีกออกมาเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้น ผมก็เอาอลิซขึ้นหลัง
“เทียร์จะตามฉันมาไหม” ผมถามขึ้น
“แน่นอนสิเลือดเจ้าอร่อยที่สุดเลยนี่น่า” ได้ยินดังนั้นแล้วผทแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น แล้วก็หันไปหาเฟนริว
“เฟนริวข้ารู้ว่าเจ้าแปลงเป็นอสูรได้ ไม่ต้องมาทำเหมือนขอขึ้นขี่หลังข้าอยู่ข้างๆอลิซเลยนะ” เมื่อเฟนริวได้ยินดังนั้น ก็ทำหน้าจ๋อยแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นร่างอสูร ขนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว เขาสีขาวก็ค่อยๆงอกออกมา และปีกก็ค่อยๆงอกออกมากลางหลัง
“เจ้านายรู้ได้อย่างไร”
“เดามั่ว” คำตอบที่ผมพูดออกมาทำให้เทียร์หัวเราะร่าขึ้นมาอีกครึ้ง
“ไปกันเถอะกลับบ้านของพวกเรากัน” สิ้นคำพูดของลามูส พวกเราก็สยายปีกบินออกสู่ทะเลกว้างถึงจะบอกว่าสยายปีก แต่ลามูสกับโฟลเก้นั้นไม่มีปีก แต่สามารถบินบนฟากฟ้าได้อย่างน่าประหลาด ในที่สุดก็จะได้กลับไป กลับบ้านของพวกเราสู่เมืองอสูร
ความคิดเห็น