ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Behemoth เทพอสูรคลั่ง

    ลำดับตอนที่ #12 : ก่อนพายุเข้า

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 56


     บทที่12 ก่อนพายุเข้า

                ในที่สุดความรู้สึกที่สามารถขยับร่างได้ตามใจนึกก็กลับมา ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้สิ

                  แต่ผมก็ไม่อยากเสียเวลาคิดกับเรื่องแบบนี้ ผมเลยหันหลังกลับ เดินกลับไปที่บ้านของผมอีกครั้งเพื่อทำการเลาะเอาหนังออกมาทำเป็นเสื้อ และ เครื่องนอนของเทียร์

                กลับกันเถอะ เทียร์ ผมพูดขึ้น โดยที่เทียร์เพียงแค่ขานรับผ่านลำคอมาเบาๆเท่านั้น แล้วผมก็ออกเดินทันที ไม่วิ่งเหมือนตอนที่เข้ามาในป่าแต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะว่ากลัวเฟนริวตามไม่ทัน แต่เป็นเพราะว่ารู้สึกเหมือนกับว่า หมดแรงแค่นั้นเอง ถ้าจะฝืนก็ฝืนได้ แต่ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องรีบเร่งอะไรขนาดนั้น

                แต่ผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆที่อยากจะเปลี่ยนร่างเป็นอสูร นี่สินะที่ผมเคยได้ยินในสมัยที่ยังอยู่หมู่บ้านอสูรว่า หากทำการเปลี่ยนร่างเป็นอสูรได้ครั้งหนึ่งแล้ว จะเกิดอาการประมาณว่า เสพติดร่างอสูร บางคนก็ต้านสัญชาตญาณดิบนั้นไม่ได้ เปลี่ยนเป็นอสูรอยู่ร่ำไปจนท้ายที่สุดก็กลับกลายเป็นว่าความนึกคิดและสติปัญญาได้จมลง ณ เบื้องล่างของจิตใจ กลายเป็นเพียงอสูรที่ดุร้าย วิธีแก้เพียงอย่างเดียวคือรอจนกว่าสติสัมปชัญญะนั้น จะกลับคืนมา

                ผมค่อยเดินอย่างช้าๆ ที่ด้านซ้ายมีเทียร์ที่กำลังเดินอย่างสงบเสงี่ยม เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่ ส่วนเบื้องหลัง มีเฟนริวที่แบกซากพวกพ้องกว่า 10 ตัวของมันไว้บนหลังของมัน ในเวลานี้ราวกับว่าผมเห็น หยดน้ำเล็กๆซึมออกมาจากดวงตาของมัน แต่มันก็เป็นเวลาพียงชั่วครู่เท่านั้น พริบตานั้น หยดน้ำก็ระเหยไปในอากาศราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งนี้อยู่เลย

                มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิด แต่ตัวเฟนริวเองก็ยืนยันแล้วว่าขอให้ใช้ซากของพวกพ้องของตนในการสร้างเสื้อให้กับผมและเทียร์ เพราะพวกมันเองก็คงจะดีใจ ทำให้ผมไม่มีสิทธิ์พูดต่ออะไรทั้งนั้น

                อีกไม่ถึง 100 ก้าวก็ถึงบ้านของฉันแล้ว พยายามหน่อยเฟนริว

                “ขอรับเจ้านาย

                เลิกเรียกฉันว่าเจ้านายเหอะ มันขนลุกแปลกๆ เรียกชื่อฉันเถอะ

                ขอรับ งั้นข้าน้อยขอเรียกเจ้านายว่า ท่านเอ็น ขอรับ

                เอางั้นก็ได้ จริงสิเทียร์จู่ๆผมก็เรียกชื่อของเทียร์ ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งจนเผลออุทานออกมา

                มีอะไรงั้นเหรอเทียร์ตอบกลับมา

                เธออยากได้เสื้อสักตัวไหม ฉันจะตัดให้ ผมพูดอออกมา ทันทีที่เธอจับใจความได้ ก็พุ่งกระโดดเข้ามากอดผมอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลย จนผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้า

                เอาสิ ข้าขอเป็นชุดเดรสนะ เธอรีบพูดขึ้นมาแล้วสั่งออร์เดอร์ในทันที และยังไม่วายที่จะกรัดเล็บไปที่ผิวหนังของผมจนมีเลือดไหลซึมออกมานิดๆ เธอก็เอาปาดเข้าไปในปากทันทีแล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคออกมา

                เธอจะเกาะอยู่ที่ตัวผมอีกนานไหมเนี่ย เพราะมันทำให้ผมเดินลำบากอย่างมาก ไหนจะต้องหลบหลีกต้นไม้ที่ขึ้นชุกชุม ไหนจะต้องคอยเปิดทางหักกิ่งไม้ข้างหน้าด้วยไออสูร เพื่อให้เดินสะดวก

                เอ็น ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหมเทียร์ที่ตอนนี้ได้ปล่อยตัวออกจากผมแล้วพูดขึ้นมา ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะถามอะไร เพราะมันมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เธอจะถามพ่อด้วยรูปประโยคแบบนี้

                ว่ามาสิ

                พวกพ้องของเจ้าในสมัยก่อนท่าทางเป็นเช่นไรหรือผมแปลกใจมากที่เธอถามคำถามนี้ออกมาทำเอาผมเผลอหันกลับไปมองเธออย่างรวดเร็ว เพราะไม่เคยมีแม้สักครั้งเดียวที่เธอจะถามถึงอดีตของผมเอง แต่ผมก็หันกลับไปมองข้างหน้าที่ซึ่งอีกไม่กี่ 10 ก้าวก็เข้าถึงบริเวณบ้านแล้ว

                นั่นสินะ ลามูส ในตอนนั้นเป็นชายผมสีแดง ตาก็สีแดง ชุดก็สีแดงเป็นคนที่มองแล้วชวนเอาคิดว่าตัวเองตาบอดสีจริงๆนั่นแหละ เป็นคนที่ทำตัวไม่สมกับอายุ พึ่งพาไม่ค่อยได้ นิสัยฉันขอบอกเลยว่าหลงตัวเอง ส่วนอีกคน โฟลเก้ เป็นหัวหน้าหน่วยของฉัน เป็นคนที่ฉันนับถือมากๆ ผมสีเทาเงิน นัยน์ตาสีฟ้า แม้จะอายุไล่เลี่ยกับฉันแต่ฝีมือการต่อสู้นี่สุดๆไปเลย แต่ถ้าเป็นรสนิยมก็สุดๆในอีกความหมายนึงล่ะนะ ว่าแต่ถามทำไมเหรอ ผมตอบออกมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไปเช่นกัน

                เปล่าหรอก เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วพึมพำบางอย่างออกมา เป็นการส่งเสียงที่เบาจนแม้กระทั่งหูของผมก็ไม่ได้ยิน

                เธอจะยิ้มทำไมกันนะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้นั้น ผมได้เดินมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งก็ไม่มีวี่แววของอลิซเหมือนดั่งตอนที่ออกไปแม้แต่น้อย เธอไปไหนกันนะ

                เฟนริว วางพวกพ้องของนายไว้ตรงนั้นนั่นแหละ ฉันจะทำให้ขนของพวกพ้องของนายเป็นเสื้อที่สวยงามมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมาเลยทีเดียว ฉันจะไม่ทำให้พวกพ้องของนายตายเปล่าแน่นอน ผมชี้บอกเฟนริวให้วางลงที่ข้างๆบ้าน และคำพูดของผมที่เหมือนกับว่าคนที่ทำให้พวกมันตายนั้นไม่ใช่ผมเลย นั่นก็ทำให้เทียร์หัวเราะคิกคักออกมา

                ขอรับ ว่าแต่ท่านเอ็น เฟนริวขานรับ และพูดออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจังมาก

                มีอะไรเหรอ ผมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบมีดที่อยู่ข้างขาออกมา และคอยใช้หูตั้งใจฟังกับสิ่งที่เฟนริวจะบอกตัวผม

                คือว่า......

                ...ว่า เหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญถึงกับทำให้เฟนริวลำบากใจ ทำเอาผมเงยหน้าขึ้นไปมองเฟนริวที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆผม ซึ่งเทียร์เองก็ดูจะสนใจมิใช่น้อย มายืนฟังใกล้ๆด้วย

                คือว่า มีอะไรให้ข้าน้อยกินไหม ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว โครม!! สิ้นคำพูดของเฟนริว ที่นึกว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรนักหนา ทำเอาผมกับเทียร์ ถึงกับล้มคะมำลงไปกองกับพื้นอยู่ใกล้ๆกัน

                ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ              

                ในทันทีที่ผมกับเทียร์มาสบตากัน ก็พลันหัวเราะขึ้น โดยที่ตัวเฟนริวเองก็เหมือนจะรู้ว่าหัวเราะทำไม เอาแต่ก้มหน้างุดๆอยู่กับพื้น มันยิ่งทำเอาผมกับเทียร์ที่เผลอเหลือบไปเห็นเข้าหัวเราะเสียงดังขึ้นอีก

                ฮ่าฮ่า นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก เห็นเจ้าซากที่อยู่หน้าบ้านนั้นไหมล่ะ ไปกินได้เลยฉันอนุญาต ในที่สุดผมกกลั้นหัวเราะได้จนมีแรงพอที่จะขยับปาก

                เมื่อเฟนริวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วรีบวิ่งไปที่ซากสัตว์ประหลาดและเริ่มทำการกินอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ามัจะไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวันเลยนะนี่ ทำเอาผมเพิ่งจะคิดได้ว่า พวกหมาป่าเหล่านี้ที่สู้กันเมื่อสักครู่นี้ มันไม่สามารถเอาจริงได้เลยแม้แต่น้อย

                ผมจึงเกิดความรู้สึกนับถือพวกมันจากใจจริง มันยิ่งทำให้ผมคิดว่าต้องทำให้ขนพวกมันสวยงามและแข็งแกร่งมากกว่าที่จะเป็นเพียงเครื่องเรือนให้เทียร์

                เทียร์ เธอไปนอนที่ห้องฉันก็แล้วกันฉันยกให้ ฉันคงไม่สามารถทำขนพวกนี้ให้เป็นแค่เพียงเครื่องเรือนได้อีกต่อไปแล้วล่ะ ผมเอ่ยขึ้นซึ่งก็เตรียมใจโดนเทียร์หันกลับมาหยอกเล่นอีกครั้ง

                อย่างนี้สิถึงจะสมเป็นเจ้า ข้าไม่กวนล่ะ อ้อคำพูดเมื่อกี้อย่าคืนคำล่ะ เพราะข้าไม่คิดที่จะคืนของหรอกนะ พอเธอพูดเสร็จก็รีบตรงเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว คงจะไปนั่งอ่านหนังสือสินะ

                ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ถ้าคิดที่จะทำให้เสร็จทั้งหมดก่อนที่จะถึงเวลานัดพบกับอลิซคงจะต้องรีบหน่อยแล้ว ผมเริ่มทำการเลาะขนของเหล่าหมาป่าออกมาอย่างรวดเร็ว พลางใช้ไออสูรในการทำให้ขนมันแห้ง อย่างเชี่ยวชาญ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 ชั่วโมงจึงทำการเลาะขนออกมาเสร็จหมด และได้เวลาแปรรูป สิ่งที่ผมคิดไว้ในหัวคือชุดเดรสของเทียร์ กับเสื้อคลุมของผม ผมเริ่มดำเนินการตัด และ เชื่อมเข้าด้วยกัน

                เวลาล่วงเลยไปจนดวงตะวันลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณที่เวลาแห่งทิวาอันเฉิดฉายได้หมดลงแล้ว ได้ถูกแทนที่ด้วยดวงจันทราและดวงดาราได้มาฉายแสงยามราตรี และดวงจันทราเริ่มเคลื่อนคล้อยมาอยู่ กลางหัว ช่างเงียบสงบเหลือเกิน เงียบจนเหมือนช่วงเวลาก่อนที่พายุจะมา

                ในที่สุดก็เสร็จเสียที ผมปาดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้าและจ้องมองตรงไปที่ชุด 2 ชุดที่อยู่บนโต๊ะ ชุดนึงเป็นเดรสสีดำเงางาม และ เสื้อคลุมสีดำเงาเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นสีดำ แต่กลับสามารถส่องแสงในยามค่ำคืนได้อย่างน่าประหลาด

                เมื่อผมหันกลับไปมองนาฬิกาที่อยู่บนฝาผนัง ก็พบว่าอีกไม่ถึง 10 นาทีก็จะถึงเวลาที่นัดพบแล้ว ผมจึงรีบนำชุดของเทียร์ ไปวางไว้ที่หน้าห้องของผม ซึ่งตอนนี้เป็นห้องเทียร์ไปแล้ว และคว้าเสื้อคลุมของผมออกมาสวม และนำขนหมาป่าดำมาพาดไว้ที่ไหล่เหมือนเดิม และก้าวออกมาจากตัวบ้าน

                ท่านเอ็นจะไปไหนหรือขอรับ ทันทีที่ผมก้าวออกมา เฟนริวก็เดินออกมาจากเงามืดของต้นไม้

                ตามฉันมา แต่อยู่ห่างฉันประมาณ 50 เมตร ถ้าฉันไม่ได้ให้สัญญาณ ถึงแท้ว่าฉันกำลังจะตายก็ตาม

                ขอรับ ผมไม่รอให้เฟนริวตอบรับ รีบพุ่งไปหาอลิซทันที ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลยจริงๆ แต่กลับมีความรู้สึกที่ยินดี เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ จนผมเกิดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×