คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พิธีกรรม
บทที่11 พิธีกรรม
“เจ้ามนุษย์เจ้าบังอาจมาก ที่ทำกับเหล่าลูกน้องที่น่ารักของฉัน” เห้ย มันพูด! มันพูดได้!!
“เห เจ้านี่ท่าทางจะมีเชื้อสายอสูรด้วยสินะเนี่ย” จู่ๆเทียร์ก็พูดขึ้นมา อ้อมีเชื้อสายอสูรด้วยนี่เองถึงได้พูดได้
“ที่แท้ก็พวกเดียวกันนี่เอง” สิ้นคำพูดของผม หมาป่าตัวนั้นก็หันหน้ามาทางผมอย่างรวดเร็วแล้วคำรามออกมา
“ใครเป็นพวกเดียวกันกับมนุษย์อย่างพวกเจ้ากันหา ฆ่ามีบิดาเป็นอสูรผู้สูงส่ง มีมารดาเป็นสัตว์เทพ ไม่ใช่พวกของเจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อยเยี่ยงเจ้าหรอก” มันพูดแบบนี้ออกมา
“เหอะ งั้นแกจงดูนี่ซะ” เมื่อผมพูดจบ ผมก็เริ่มกลายร่างเป็นอสูร
ผมค่อยๆยาวขึ้นจนกลายเป็นสีแดงฉาน ผิวค่อยๆกลายเป็นเกล็ดสีดำมะเมี่ยม แข็งยิ่งกว่าและเงายิ่งกว่าเหล็ก เล็บค่อยๆยาวขึ้น และมีเขางอกออกมาจากหัวของผมยาวโค้ง จนในท้ายที่สุดตาก็พลันเปลี่นเป็นสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง
เมื่อหมาป่าตัวนั้นเห็นดังนั้นก็ดูเหมือนจะเกิดอาการตกใจกลัว จนหมอบแนบลงไปกับพื้นและครางเสียงหงิงๆอย่างน่าสงสาร
จากนั้นผมก็พุ่งเข้าไปเตะเข้าที่ลำตัวของเจ้าหมาป่าตัวนั้นจนลอยขึ้นไปบนฟ้า พริบตานั้นผมก็พุ่งตามขึ้นไปแล้วตอกส้นลงไปที่กลางหลังอย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นส่วนที่กล่าวหาฉันว่าเป็นมนุษย์ อย่าได้เอาฉันไปเปรียบกับเจ้าพวกมนุษย์ที่แสนอ่อนแอนั่นเป็นอันขาด” น่าแปลกที่ผมพูดคำแบบนั้นออกไป และที่น่าตกใจกว่าคือ เจ้านั่นไม่ตายและดูเหมือนว่าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่า มันเก่งและแกร่งกว่าเจ้าพวกลูกน้องของมันเอง
หมาป่าตัวนั้นหมอบลงไปกับพื้นอย่างไม่โต้กลับแม้สักนิดเดียว
“เจ้าบอกว่าเป็นบุตรที่เกิดจากสัตว์เทพ และอสูรสินะ แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่บนเกาะแห่งนี้จงตอบข้ามา ไม่งั้นแม้แต่กระทั่งร่างของเจ้าก็จะไม่เหลือแม้แต่ซาก” ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมวิธีการพูดจาของผมมันไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขยับปาก ไม่สิทุกครั้งที่แปลงร่างเหมือนร่างกายมันขยับไปเอง เหมือนกับว่าผมเป็นเพียงแค่ผู้ชมเหตุการณ์เท่านั้นเอง
“ข้าน้อยขอน้อมฟังอสูรผู้สูงศักดิ์ ข้าน้อยนั้นเกิดที่เกาะแห่งนี้ ส่วนบิดาและมารดาของข้าน้อยนั้น ได้ไปจากเกาะแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นข้าน้อยนั้นอายุได้เพียง 3 ปีเท่านั้น” หมาป่าตัวนั้นได้เอ่ยปากออกมา ทำไมถึงเป็น 13 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นกันนะตั้งแต่ที่เรามาเกาะแห่งนี้ก็ดูเหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
“เจ้าชื่ออะไร นี่คือความปราณีของข้าที่เจ้าให้ข้อมูลแก่ข้า ข้าจะไว้ชีวิตแก่เจ้า เจ้าสามารถ ถามข้าได้1คำถาม และขออะไรก็ได้จากข้า1 อย่าง” อีกแล้ว ทำไมเราถึงได้พูดแบบนี้ออกไปล่ะเนี่ย
“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อย เฟนริว ขอถาม1คำถาม เหตุใดท่านถึงเข่นฆ่าพวกพ้องของข้าน้อยและอดีตหัวหน้าของข้าน้อยด้วย” เฟนริวถามออกมา
“นั่นสินะ ถ้าถามถึงเหตุผลก็....” ผมชี้ไปที่เทียร์ โดยที่เจ้าตัวก็สะดุ้งเฮือกเผลอหยุดกระพือปีกแล้วร่วงลงมาแล้วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งตามจริงก็แค่แกล้งทำให้ดูน่าสงสารเท้านั้นแหละ ตัวผมเหลือบมองไปอย่างหยามๆ แล้วหันกลับมามองเฟนริว
“เพราะเจ้าสินะ เหตุผลที่ทำให้พวกพ้องของข้าต้องตาย” ทันใดที่เฟนริวกำลังจะพุ่งกระโจขนเข้าทำร้ายเทียร์ ผมก็กางแขนออกไปห้ามไว้
“หยุด ข้าลืมบอกไป เธอคนนั้นเป็นสัตว์เทพ อ้อเหตุผลจริงๆแล้ว เพราะว่าข้าอยากได้หนังของพวกเจ้ามาทำเป็นชุดเกราะเท่านั้นเอง ก็ขนของพวกเจ้ามันทนทานดีนี่น่า” ตัวผมพูดออกไป
“ข้าน้อยผิดไปแล้วท่านสัตว์เทพผู้สูงส่ง” เฟนริวหมอบลงไปกับพื้นเป็นท่าทางคารวะ โอ้เปลี่ยนท่าทางเร็วมาก “หากท่านต้องการขนของพวกเรา ท่านจงเอาไปเถิด พวกเราที่ตายไปก็คงจะดีใจเป็นแน่ที่ได้กลายเป็นเครื่องป้องกันให้ท่านอสูรผู้สูงส่ง”
“หึ ข้าขอสัญญาเลยว่ามันจะได้สมใจหวังแน่นอน อ้อจริงสิเจ้ายังมิได้ขออะไรข้าเลย เช่นนั้นเจ้าก็จงขอมา”
“เห้ เอ็นแบบนี้ดีแน่แล้วเหรอ มันแค่ให้ข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้นเองนี่น่า” เทียร์ขัดขึ้นมา
“หากข้าได้ลั่นวาจาไปแล้ว ข้าไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน ขึ้นอยู่กับว่าคำขอนั่นเป็นเช่นไร หากข้าทำได้ข้าจะทำ หากข้าทำไม่ได้ข้าจะไม่เอ่ยปาก” ตัวผมเหลือบมองด้วยหางตาไปทางเทียร์อีกครั้งซึ่งตอนนี้ดูเทียร์จะอึ้งมาก กับคำที่ผมได้เอ่ยออกมา
“แล้วถ้ามันต้องการชีวิตเจ้าล่ะเอ็น”
“มันคงไม่ต้องการที่จะจบชีวิตของมันไปพร้อมกับข้าในตอนนี้หรอกจริงไหม ยังไม่นับที่ว่าก่อนที่ข้าจะตายข้าจะทำให้มันนึกเสียใจที่ได้เอ่ยคำขอนั้นออกมา”
“แน่นอนขอรับท่านอสูรผู้สูงส่ง ข้ามิอยากได้สิ่งใดจากท่าน แต่หากข้าน้อย ข้านั้นไม่หลงเหลือพวกพ้องอีกแล้ว บิดามารดาก็ไปจากข้าน้อยแล้ว และข้าคงมิอาจเอื้อมไปเอาชีวิตของท่านด้วย ดังนั้นหากข้าน้อยจะขอก็ขอเป็นผู้ติดตามท่านไปจนชีวีจะหาไม่ ได้หรือไม่ขอรับ หากท่านปฏิเสธข้าน้อยจะมิว่าสิ่งใด แต่ก่อนตายข้าจะขอให้ท่านพาข้าหรือแค่ ร่าง ของข้าไปหาบิดาหรือมารดาของข้าด้วย” เฟนริวพูดพลางก้มหัว ผมไม่เข้าใจจริงๆทำไมถึงอยากจะติดตามผมด้วย ทั้งๆที่ผมเป็นคนฆ่าพวกพ้องของมันเอง ขณะที่ผมเกิดความรู้สึกโทษตัวเอง แต่ปากผมกลับเผยอยิ้มออกมาแล้วพูดออกไป
“หึหึ ข้าถูกใจเจ้า ข้ายอมรับเจ้า ในนามของข้า เทพอสูรคลั่ง เอ็น ไรเมียวจิ เจ้าจงมาเป็นข้ารับใช้ของข้าจนกว่าชีวีจะหาไม่ จงตอบรับข้า เฟนริว” ทันทีที่ผมพูดจบประโยค ท้องฟ้าที่เคยสาดแสงกลับมีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว และตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสะท้านฟ้า และสายฟ้าที่ฟาดลงมากระทบผืนดินจนพื้นมีกระแสไฟฟ้าปรากฏออกมาอยู่ประปรายไปทั่วผืนดิน
นี่เป็นสัญญาณการเริ่มพิธีกรรมผูกพันธะสัญญา จะปรากฏออกมาเมื่อมีผู้ที่ลั่นวาจาที่พูดออกมา พร้อมๆกับที่คู่พันธะสัญญาให้ความนับถือกันอย่างแท้จริงเท่านั้น
“ข้าน้อย ขอน้อมรับและตอบรับท่านให้มาเป็นนายแห่งข้า เจ้าชายแห่งเผ่าพันธ์หมาป่านรก เฟนริว ขอตอบรับคำของท่าน ขอให้คำสัตย์แก่ท่านชีวิตนี้ผูกพันธ์อยู่กับท่าน นายแห่งข้าท่านเทพอสูรคลั่งเอ็น ไรเมียวจิ” สิ้นคำพูดที่เฟนริวได้เอ่ยออกมา ก็ปรากฏเป็นวงเวทขนาดใหญ่และกีดกั้นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมิให้สามารถเข้าไปภายในวงเวทได้ ขนาดตัวของเทียร์ที่เป็นถึงมังกรยังกระเด็นออกมา
พริบตานั้นแสงสีทองก็แหวกท้องฟ้าที่ดำมืดครึ้มออกมาแล้วสาดส่องไปทั่ววงเวท จนกระทั่งลวดลายของวงเวทที่เคยเป็นอักษรรูน มาสลักรวมกันอยู่ที่บนตัวของผม และเฟนริว ตัวของผมอยู่ที่หลังมือซ้ายเป็นรูปร่างของหัวหมาป่าสีแดง
ส่วนของเฟนริว สลักอยู่ที่ขาหน้าข้างซ้ายสลักเป็นหัวของอสูรสีดำ เมื่อสลักกลายเป็นรูปร่างจนหมดสิ้นวงเวท แสงสีทองก็ค่อยๆหายไปจนท้ายที่สุดวงเวทก็เลือนหายไป
“เอ็นทำไมทีกับข้า ถึงไม่ยอมรับล่ะ” เทียร์พูดขึ้นผมถึงนึกได้ว่ายังมีเธออยู่ข้างๆ ที่ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่ต้นไม้ข้าง และออกอาการเริ่มงอนสุดขีดเพราะหันหน้าไปทางอื่นและแก้มป่องนิดๆ
“ข้านั้นยังมีความกังวลบางเรื่องที่ หากเจ้าทำสัญญากับข้าแล้ว เจ้าอาจจะทำให้ความกังวลนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมา แต่ช่างเถอะมันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ในตอนนี้ เฟนริวเจ้าไปลากซากของพวกพ้องเจ้าตามข้ามา อ้อหากข้ากลับเป็นร่างมนุษย์เจ้าคงจะไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ข้าน้อมรับคำสั่ง และข้าน้อยก็มิมีปัญหาหากท่านจะกลับเป็นร่างมนุษย์” เมื่อเฟนริวพูดจบตัวผมก็กลับเป็นร่างมนุษย์
ในที่สุดความรู้สึกที่สามารถขยับร่างได้ตามใจนึกก็กลับมา ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้สิ
ความคิดเห็น