ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Behemoth เทพอสูรคลั่ง

    ลำดับตอนที่ #5 : ลาก่อน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 56


    บทที่5 ลาก่อน 

    แต่พวกนั้นจะสงสัยเอานะเฟลมเมอร์หันปากกระบอกปืนแล้วลั่นไก ไปที่หมาป่าที่ผมกำลังยันไว้อยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเฟลมเมอร์จะพูดแบบนี้ออกมานะเนี่ย

    ไม่สิ เอาให้มันจบตอนนี้เลยดีกว่านะเราอาจจะได้เข้าเป็นระดับหัวกะทิก็ได้นะเมื่อเกล็นพูดจบ ก็แก่วงใบมีดในคราวเดียวทำเอาพวกหมาป่าทั้งหมดที่เหลืออยู่ตายเรียบเลย เห้ๆ ที่ผมบอกว่าเบื่อน่ะ เบื่อเพราะว่าอยากฆ่าเองในทีเดียวต่างหาก ไม่ใช่เล่นเรียบคนเดียวเลยแบบนี้นะ เมื่อหมาป่าทั้งหมดตายลงซากของหมาป่าที่กองไว้ตรงนั้นตรงนี้ก็เปล่งแสงสีแดงแล้วหายไปในที่สุด เลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วเมื่อกี้ ก็หายไปราวกับว่าการต่อสู้เมื่อสักครู่เป็นภาพลวงตาอย่างงั้นแหละ ภายในห้องที่สีขาวจู่ๆ ก็กลายเป็นห้องที่มีกระจกอยู่รายล้อม ข้างหลังกระจกมีคนอยู่มากมายกำลังจ้องมองอยู่ ส่วนใหญ่เป็นบันดาพวกผู้ใหญ่ที่ใส่ชุดเลิศหรู คล้ายๆกับชุดของเข้าเมืองที่ลี้ภัยมาเลยนะ น่าจะเป็นพวกขุนนางล่ะนะ แต่สายตาที่จ้องมาเหมือนกับว่าอึ้งกิมกี่อยู่อย่างงั้นแหละ หรือว่ารู้สึกตัวแล้วว่าเป็นอสูร ราวกับว่าพวกเรา3คนใจคิดเหมือนกัน ต่างเตรียมอาวุธที่ราชาอสูรมอบให้แต่ว่าก็ยังไม่ได้เอาออกมา รอดูท่าทีไปก่อน แม้แต่ผมที่ได้รับมาแค่ผลึกอสูรก็ตามทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำให้สิ่งนี้ฟื้นขึ้นมายังไง ในใจก็ขอภาวนาไว้แค่ว่า ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วช่วยตื่นขขึ้นมาทีเถอะนะ เพราะว่าต่อให้พวกเราเป็นเผ่าอสูรที่แข็งแกร่งแต่ก็ยังเป็นแค่เด็กนะถึงจะให้พวกเรากลายร่างเป็นอสูร แต่ว่าถ้าเจอกับจำนวนอัศวินที่อยู่ในเมืองหลวงแบบนี้ ก็ไม่น่าจะรอดนะ ขณะที่บรรยากาศอึมครึมอยู่นั้น ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นเรื่อยๆ เอ๊ะทำไมกันล่ะ

    พวกเธอคือกลุ่มเด็กที่สามารถเอาชนะการทดสอบของเราลงได้!” เสียงคุณไดมอนนี่น่า

    อะไรกันเนี่ย ผมกระซิบข้างหูเกล็น

    ดูเหมือนว่าการทกสอบนี้จะไม่เคยมีใครผ่านการทดสอบแบบนี้มาก่อนเลยนะ แต่เอาเป็นว่าความลับของเรายังไม่แตกละกัน เสียงของเกล็นถึงประโยคจะพูดเหมือนโล่งอกแต่กลับแสดงสีหน้าและเสียง อย่างกับน้ำแข็งขั้วโลกที่ไม่เคยรู้สึกร้อนอะไรเลยสักนิดอย่างงั้นแหละ แต่เอาเป็นว่าก็ดีแล้วนี่น่า ตอนนั้นเองประตูได้เปิดออก พวกเราจึงเดินออกทั้งๆที่ยังเอาอาวุธที่ได้มาไปด้วย ทันทีที่ก้าวออกพ้นประตูประตูก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ และพร้อมๆกันที่มีเสียงปรบมือกระหึ่มออกมา พอลองมองดูให้ดีก็เห็นพวกอัศวินผู้ใหญ่ยืนเรียงรายเป็น2ข้างทาง พวกเราไม่รู้จะทำยังไงดีจึงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

    พาลาดินเสด็จแล้ว!” มคีเสียงหนึ่งดังขึ้น พาลาดินงั้นเหรอ พาลาดินนี่นะมาหาพวกเรา ฉับพลันนั้นประตูที่อยู่ข้างหน้าผมได้เปิดออก เมื่อประตูเปิดออกก็มีพรมสีแดง ไม่สิอะไรสักอย่างที่คล้ายพรมสีแดงพุ่งออกมาเป็นทางยาว แล้วลอดใต้เท้าเราไป ขณะที่กำลังตะลึงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแตรดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ด้านหลังประตูเป็นเงามืดๆที่ไม่เห็นอะไร แต่สักพักก็มีบางอย่างก้าวออกมา.....นี่เหรอพาลาดิน ผมสีทองอร่าม ดวงตาสีแดงฉานราวกับจะเผาผลาญทุกอย่างที่คิดจะเป็นอรินั่นแถมยังเป็น......ผู้หญิง! อะไรกันเนี่ยปกติผู้นำเผ่าจะต้องเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ ดูท่าเฟลมเมอร์กับเกล็นเองก็คงตกใจเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างทั้ง2คนคือ เฟลมเมอร์แสดงออกมาอย่างชัดเจน ส่วนเกล็นมีแค่แววตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป พาลาดินใส่ชุดของอัศวินและมีดาบขนาดใหญ่แบกอยู่ข้างหลัง พละกำลังมหาศาลจริงๆไม่งั้นคงแบกไม่ได้หรอก ท่าทางการเดินที่ดูองอาจนั่นทำให้ดูน่านับถือจริงๆ.....น่านับถืองั้นเหรอ เราคิดอะไรกันเนี่ยไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เมื่อพาลาดิน เดินมาถึงข้างหน้าผม พวกขุนนางทั้งหลายต่างคุกเข่าลง เกล็นก็คุกเข่าตาม ส่วนผมกับเฟลมเมอร์ก็คงต้องทำคามแค่โดยดีเท่านั้นแหละ

    พวกเธอลุกขึ้นเถอะนะ เสียงที่อ่อนนุ่มละมุนแบบนี้เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ผมจึงค่อยๆลุกขึ้น

    ทำอะไรน่ะโซล ท่านพาลาดินพวกเรามิบังอาจเกล็นจึ้งชายกางเกงผม ผมจึงก้มลงไปคุกเข่าตามเดิม โหดจริงๆนะเกล็นเนี่ย

    ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร พวกเจ้าเป็นกลุ่มอัศวินเด็กกลุ่มที่2แล้วนะที่ผ่านการคัดเลือกมาได้ พาลาดินเอ่ยออกมา เอ๊ะกลุ่มที่2งั้นเหรอ งั้นเกล็นก็พูดผิดน่ะสิ

    ถ้าเช่นนั้นใครเป็นกลุ่มแรกเหรอครับ เฟลมเมอร์พูดขึ้นมา อืมนั่นสิใครเป็นกลุ่มแรกงั้นเหรอ

    เป็นเด็กผู้หญิง1 ผู้ชาย2 ผู้ชายชื่อว่าดาลูนอฟ ชาเร็น ผู้หญิงชื่อ อลิซ ชาเร็น ส่วนอีกคนรู้สึกจะเป็น แลนเซล็อตมั้ง อลิซเองเหรอเนี่ย แต่ว่า เฟลมเมอร์กับเกล็นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเรียบร้อยไปแล้ว ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะว่า เธอคือผู้ที่ผ่านการคัดเลือกลำดับที่5 นี่น่า ขอแค่ไม่ได้เจอหน้ากันก็พอแล้ว เพราะว่าเธอรู้จักหน้าคร่าตา พวกเราแล้ว

    “…...

    เอาล่ะ ถึงพวกเธอน่าจะอยากพบพวกกลุ่มแรก แต่ว่าตอนนี้ กลุ่มแรกได้ไปทำภารกิจอยู่ พาลาดินพูดออกมา

    เอาไงดีเกล็น ต้องรีบแจ้งข่าวไปทางราชาอสูรแล้วนะ ผมได้ยินเฟลมเมอร์กระซิบกับเกล็น

    ฮะฮะ ไม่นึกว่าจะได้พบท่านพาลาดินแล้วสถานการณ์ตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้นะครับ เกล็นพูดอะไรออกมาเนี่ย เกล็นลุกขึ้นยืนกล้าเผชิญหน้ากับพาลาดินโดยตรง......หรือว่าคิดจะหาทางออกด้วยการฆ่าพาลาดินซะตั้งแต่ตอนนี้

    หมายความว่ายังไงเกล็นเสียงของพาลาดินแฝงไว้ด้วยความฉงนงุนงง

    อืม....จะว่ายังไงดีล่ะ ตอนแรก ก็กะจะมาแค่แฝงตัวล่ะนะ แต่ว่ากลับมีคนที่เคยเห็นหน้าเราแล้ว แล้วก็ยังรู้อีกว่าพวกเราเป็นใคร เราจึงจำเป็นต้องขอหัวของท่านไปล่ะนะ เกล็นพูดออกมาแบบนี้ แสดงว่าจะออกนอกแผนแล้วสินะ ช่วยไม่ได้ ผมลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับเฟลมเมอร์และเตรียมอาวุธไว้พร้อม ถ้าเป็นการฆ่าพาลาดินที่ไม่มีการป้องกันอะไรเลย และไม่มีทหารไม่มีอาวุธแบบนี้ บางทีอาจจะง่ายกว่าการหลบหนีที่ไม่มีทางรอดเลยก็ได้นะ

    เกล็นเธอพูดอะไรออกมาน่ะ พาลาดินแสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นเป็นครั้งแรก ก็น่าจะเป็นอย่างงั้นล่ะนะ เพราะน้ำเสียงของเกล็นเมื่อกี้เย็นไปถึงกระดูกเลยล่ะ

    เอ็น ลามูสไม่ต้องใช้ชื่อพรางตัวแล้วล่ะ เพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ต่อจากนี้ไปเข้าแบตเทิลโหมดเต็มตัวเลยนะ น่าสนุกดีนี่ การเข้าแบตเทิลโหมดคือการกลายร่างเป็นอสูร

    แบตเทิลโหมดงั้นเหรอ พะ พวกเธอเป็นใครกันแน่ พาลาดินเอ่อยออกมาอย่างหวาหวั่น

    พวกเราคือหน่วยรบ และสายลับของเผ่าอสูรไงล่ะ!” เมื่อโฟลเก้พูดจบ ร่างกายของพวกเรา3คนก็เริ่มกลายร่าง ร่างกายค่อยๆโตขึ้น โฟลเก้จากผมสีเงินก็กลายเป็นผมสีแดงคล้ำราวกับเลือด สีตาจากสีน้ำเงินก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ผิวหนังเริ่มหยาบกร้ายราวกับเกราะเหล็ก ของลามูสแทบจะไม่มีส่วนใดต่างจากโฟลเก้มีแค่เขาที่งอก ออกมาเท่านั้น ส่วนผมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้วเลย

    อะ....อสูร!” ขุนนางทั่วทั้งห้องต่างแตกตื่นแล้ววิ่งออกนอกห้องนี้ไปทันทีเหลือไว้เพียงแต่ พาลาดินองค์เดียวเท่านั้น

    งั้นเหรอพวกเธอเป็นอสูรงั้นเหรอ มิน่าล่ะถึงได้สัมผัสไอพลังแปลกๆได้”….พาลาดินมีพลังจับไออสูรงั้นเหรอ

    เตรียมรับการโจมตีได้เลยเอ็นเข้าทางซ้าย ลามูสเข้าทางขวาไปได้ เมื่อโฟลเก้พูดจบผมรีบพุ่งเข้าไปใช้ดาบที่เอามาจากห้องนั้นฟันเข้าไปทางซ้ายอย่างรวเร็ว ลามูสใช้ปืนกระหน่ำยิงเข้าทางขวาอย่างแม่นยำ โฟลเก้ใช้กรงเล็บข้างขวาโจมตีมาจากด้านบน อย่างนี้สำเร็จแน่ๆ ไม่มีทางหนีอีกต่อไปแล้วพาลาดินเอ๋ย….. แคร้ง! เอ๋?มีบางอย่างต้านการโจมตีผมไว้ได้ ผมเงยหน้าขึ้น.....อลิซ! เธอกำลังใช้ดาบมากันเอาไว้ด้วยสายตาที่พร้อมจะฆ่าได้ทุกเมื่อ พอลองมองไปทางอื่นทุกคนโดนสะกัดการโจมตีไว้ทั้งหมด ทางโฟลเก้มีผู้ชายที่น่าจะอายุราวๆ12ปีผมสีฟ้า ตาสีทอง กำลังใช้โล่กันไว้อย่างยากลำบาก พอลองมองดูดีๆแล้วกรงเล็บของโฟลเก้ ผ่าโล่ไปกว่าครึ่ง ส่วนทางลามูสมีชายที่ใส่ชุดเกราะผมสีทอง ตาสีเงินแล้วถือดาบยืนวางท่าอยู่น่าจะอายุ 15 ปีนะ และมีกระสุนที่ขาดเป็น2ท่อนตกอยู่ที่พื้นกว่า10นัด....หรือว่าหมอนั่นฟันกระสุนทิ้งหมดเลยงั้นเหรอ

    ขออภัยที่มาคุ้มครองช้าครับท่านพาลาดิน คนที่ใส่ชุดเกราะพูดออกมา

    ไม่เป็นไร เอาล่ะพวกเธอถ้ายังอยากมีชีวิตรอดกลับไปก็มาอยู่กับฝ่ายนี้ซะ พาลาดินพูดออกมา

    พูดอะไรน่ะ พวกเราไม่คิดจะแปรพักตร์หรอกนะข้ายอมตายดีกว่าจะให้ทรยศพวกพ้อง โฟลเก้นายพูดได้ซึ้งมากจริงๆ แต่ว่า.....

    เอ็น นายมาทำอะไรที่นี่ อลิซพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงและแววตาที่แฝงไว้ด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

    อย่างเธอมีหน้ามาว่าฉันงั้นเหรอ ผมพูดโต้กลับไปในทันที ประโยคนี้ทำเอาอลิซอึ้งไปเลย

    สมกับเป็นเผ่าอสูรที่ขึ้นชื่อว่ารักพวกพ้องนะ เอางี้ดีกว่ามาเล่นเกมส์กันหน่อยเป็นไง พาลาดินยิ้มแล้วพูดออกมา เกมส์งั้นเหรอ

    เกมส์อะไร ลามูสหยิบแส้ที่ราชาอสูรให้มาจากกระเป๋า

    พวกเธอต้องมาสู้กับเหล่าอัศวินของฉัน ถ้าพวกเธอชนะพวกเธอจะได้กลับไป แต่หากเธอแพ้ พวกเธอจะต้องถูกขังในคุกพิเศษ อ้อแต่ฉันใจดีนะถ้าพวกเธออยากเข้ากับฝ่ายเราเมื่อไรจะได้ออกจากคุกในทันที ว่าไงล่ะสนไหมล่ะ ขอแค่ชนะเท่านั้นสินะ

    แล้วทำไมเราจะต้องเข้าร่วมเกมส์นี้ด้วยล่ะ โฟลเก้พูดออกมา นั่นสินะเราไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าร่วมเกมส์นี้เลยนี่น่าถึงไม่ต้องเข้าร่วมเกมส์เราก็ชนะพวกอลิซ และอาจจะมีผลงานด้วยการฆ่านำหัวพาลาดินกลับไปอีกต่างหาก

    นั่นก็เพราะว่าถ้าพวกเธอไม่เล่น พวกเธอจะหลับไม่ตื่นตลอดกาลแน่ เมื่อพาลาดินพูดจบ ก็มีอัศวินโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ล้อมตัวพวกเราไว้ จากที่มองผ่านๆน่าจะมีเกิน....100 นายเสียอีก เยอะเกินไปแล้ว ถ้าไม่หนีแบบไม่คิดชีวิตล่ะก็ น่ากลัวว่าจะต้องมีผู้เสียสละไป1คนล่ะนะ สถานการณ์นี้เล่นเอาคนที่เย็นชาอย่างโฟลเก้ต้องเปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาทันที

    กรอด...เอางั้นก็ได้ พวกเราจะเล่นเกมส์ด้วย แต่ว่าเรามีเงื่อนไข ขอสู้กันด้วยมือเปล่า แต่เราไม่ขอเฉยๆ เราจะยอมไม่ใช้ร่างอสูรก็ได้ จะรับข้อเสนอนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รับเราก็จะขอยอมเสี่ยงชีวิตออกไปจากที่นี่ให้ดู แต่ว่าก็คงต้องมีการพังเมืองกันหน่อยล่ะนะ เราไม่สนอยู่แล้วว่าพวกมนุษย์จะเป็นตายร้ายดียังไง สำหรับพวกเราต่อให้ตายเราก็ไม่หวั่น โอ้โฟลเก้นายพูดได้เจ๋งมากเลย ไหนๆถ้าจะตายก็ขอลดจำนวนศัตรูหน่อยละกัน

    เอาไงล่ะแลนเซลอต พาบาดินหันหน้าไปถามคนที่ผมสีทองตาสีเงิน คนคนั้นทำหน้าครุ่นคิดสักแปปนึง แล้วตอบกลับมาด้วยท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า

    เราขอยอมรับข้อเสนอ เมื่อสิ้นเสียงคำพูด พวดอัศวินที่อยู่รอบๆก็เริ่มถอยห่างออกไปจนกลายเป็นวงกลมขนาดใหญ่ซึ่งมพวกเราอยู่ตรงกลาง ส่วนพาลาดินนั้นออกไปยืนด้านข้างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อย่างนี้เองสินะ ให้เราสู้กันตรงนี้เลยสินะเนี่ย

    เอ็น ลามูส ปลดร่างอสูรซะห้ามใช้อาวุธเด็ดขาด....ตอนนั้นเองโฟลเก้ดึงคอเสื้อพวกเรา2คนเข้ามาแล้วกระซิบ

    ฟังนะถ้าเราแพ้ขึ้นมา ฉันจะถ่วงเวลาเอาไว้พวกนายกลายร่างเป็นอสูรแล้วรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเข้าใจไหมว่าไงนะให้พวกเราหนีเนี่ยนะ คิดเหรอว่าพวกเราจะแพ้น่ะ

    เข้าใจแล้ว จู่ๆลามูสก็พยักหน้าซะงั้น ช่างเถอะ ก่อนอื่นผมก็ปลดร่างอสูรออกก่อน จากนั้นโฟลเก้กับลามูส จึงปลดออกตาม

    เอาล่ะมาเริ่มกันซะที แลนเซลอตพูด น่าจะชื่อแลนเซลอตน่ะนะ

    ได้เลย ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวก่อน ลามูสพูดขึ้น รู้สึกว่าการแนะนำตัวตอนการประลองนี่ จะเป็นธรรมเนียมของอัศวินสินะ

    ฉันชื่อ แลนเซลอต เฟรโทเมีย อัศวินขั้น1 หัวหน้าหน่วยอัศวินที่200คนที่ชื่อแลนเซลอตแนะนำตัวก่อน โดยการโค้งคำนับไปพลางอีกต่างหาก แต่ว่าอายุแค่นั้นได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยอัศวินแล้วเหรอ พวกเรารู้สึกจะไม่มีตำแหน่งนะ

    ข้าชื่อ ดาลูนอฟ ชาเร็น อัศวินขั้น5 สมาชิกหน่วยอัศวินที่200 คนที่ผมสีฟ้าตาสีทองแนะนำตัวด้วยท่าทางเดียวกันกับ แลนเซลอต

    เราชิ่อ อลิซ ชาเร็น อัศวินขั้น4 สมาชิกหน่วยอัศวินที่200 อลิซแนะนำตัวเองแต่ไม่มีการโค้งคำนับแต่อย่างใด แถมยังมองมาทางผมอีกต่างหาก สีหน้าลำบากใจนั่นมันอะไรกันเนี่ย

    ถึงตาพวกเราแล้วสินะ เราชื่อ โฟลเก้ แลนช์ หัวหน้าหน่วยจู่โจมและสอดแนมที่ 30 เอ๊ะเรามีหน่วยกับเขาด้วยเหรอนั่นน่ะ

    ลามูส เฮลเดอร์ สมาชิกหน่วยจู่โจมและสอดแนมที่30

    เอ็น ไรเมียวจิ สมาชิกหน่วยจู่โจมและสอดแนมที่30 เช่นกัน ผมแนะนำตัวเองจะจู่โจมหรือสอดแนม เอาเป็นว่าทำตามลามูสละกัน

    รอสักครู่คุณโฟลเก้คุณอายุเท่าไร ดาลูนอฟถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยเต็มพิกัด

    5ปี มีอะไรงั้นเหรอ พอโฟลเก้พูดออกไปเท่านั้นแหละทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา กันยกใหญ่ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละนะอายุขนาดโฟลเก้ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยนี่นะ แต่ที่ดูตกตะลึงมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นคุณดาลูนอฟนะ เล่นตัวแข็งไปเลย

    รีบๆเริ่มเถอะน่า ลามูสพูดออกมาด้วยอาการหงุดหงิดสุดขีด เมื่อลามูสพูดออกมาทุกคนถึงจะหลุดออกจากโลกส่วนตัว

    เอาล่ะครับทุกท่าน ขออธิบายกฏนะครับ... มีตัวตลกจากไหนก็ไม่รู้มาโผล่เป็นพิธีกรอยู่ตรงกลางระหว่างเราด้วยแฮะ

    ....ฝ่ายอัศวิน ห้ามใช้อาวุธ ฝ่ายอาสูรห้ามแปลงร่างและห้ามใช้อาวุธเช่นกัน การต่อสู้เป็นแบบตะลุมบอน 3-3 ห้ามฆ่ากัน เมื่อสมาชิกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกนอกเขตที่อัศวินของทางเราล้อมไว้ให้ถือว่าทีมนั้นสละสิทธิ์ไปในทันที เอาล่ะถ้าพร้อมกันแล้ว.....3....2.....1...เริ่มการต่อสู้ได้!” เมื่อสิ้นเสียงฝ่ายนั้นบุกเข้ามาก่อนโดยการให้อลิซพุ่งเข้ามาก่อนโดยพุ่งตรงมาทางผมก่อนเลย หวาเล็งเราอยู่นี่น่า ตอนนั้นเองลามูสใช้สันมือตอกเข้าไปที่ท้ายทอยอย่างจัง สลบแน่ๆ.....แต่ว่าแลนเซลอตเอามือมาขวางไว้ได้อย่างงดงาม

    แหมๆ รังแกสุภาพสตรีมันไม่ดีนะคุณลามูส เสียงกวนชะมัดเลย

    นายน่ะมาสู้กับฉันนี่ โฟลเก้กระโดดถีบแลนเซลอตจนกระเด็นไปเลย สมกับเป็นโฟลเก้จริงๆ

    ส่วนนายน่ะมาเจอกับฉันนี่ ดาลูนอฟโผล่มาจากไหนไม่รู้เสยคางของลามูสขึ้นฟ้าไปแล้ว ในตอนที่ผมกำลังชมการต่อสู้อยู่เพลินๆก็จับรังสีอาฆาตมาจากด้านหลัง ได้ผมเลยรีบกระโดดออกข้าง ฉวะ!.....เหวอ อลิซใช้มือเปล่าๆตัดพื้นขาดเลย

    มันอันตรายนะอลิซ ผมพูดออกไปพร้อมกับลุกขึ้นมา

    ถ้าไม่อันตรายมันคงไม่เรียกว่าการต่อสู้หรอกนะ เมื่อพูดจบอลิซก็บุกเข้ามาทันทีโดยเอามือที่นิ้วทั้ง5เรียงชิดติดกันพุ่งเข้ามา ไอ้นี่สินะที่มันคือวิชาทำมือให้กลายเป็นมีดน่ะ ผมใช้มือขวาจับมือของอลิซไว้จากนั้นก็ ใช้เท้าปัดไปที่ขาของอลิซเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บแต่ว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วต่อการหยุดการโจมตี เพราะว่าเมื่อเจอท่านี้เข้าไปไม่ว่าการโจมตีจะพุ่งเข้ามาเร็วแค่ไหนก็หยุดนิ่งแน่นอน

    นายทำอะไรน่ะ อลิซพูดออกมา

    เปล่าแค่หยุดการโจมตีเท่านั้นเอง ผมตอบ

    หนอย! ย้าก อั้ก! อะไรน่ะชั่วพริบตาก่อนที่ผมจะกระเด็นไป ผมรู้สึกแค่ว่ามีบางอย่สงกระแทกเข้าที่หน้าอกอย่างแรงเท่านั้นเอง มองไม่เห็น.....ไม่เห็นการโจมตีนั้นเลย ผมใช้เท้า2ข้างเบรกเอาไว้พอดีเกือบจะออกนอกเวทีไปแล้วไหมล่ะ ผมพุ่งเข้าไปหาเธออย่างเร็วพร้อมกับฝ่ามือที่ใส่แรงไว้เพียงพอต่อการทำให้สัตว์ป่าตัวหนึ่งสลบไปได้เลยทีเดียวเอาไว้ด้วย แต่ว่า.....ปึก! เธอใช้แขนข้างเดียวนการปัดออกพร้อมกับใช้มืออีกข้างซัดเข้ามาที่ท้องอย่างจัง อั้ก! ผมกระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเธอ....มีบางอย่างเปลี่ยนไปความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อ3นาทีก่อนนี้ ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ....สีตาของเธอก็เปลี่ยนไปจากสีฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมลองมองไปที่ลามูส ลามูสชนะไปเรียบร้อยแล้วและกำลังสู้ด้วยกันกับโฟลเก้ อะไรกันน่ะ2คนนั่นขนาดรวมพลังกันสู้แล้วแต่แลนเซลอตกลับไร้รอยขีดข่วนเลย ต้องรีบไปช่วยแล้ว

    ขอให้เธอพักอยู่แถวนี้ไปก่อนนะ

    ว่าอะไรน.....ไม่ทันที่เธอจะพูดจบผมก็ใช้2นิ้วมือจิ้มไปตามจุดตายของร่างกาย3จุด แม้จะไม่แรงนักแต่มันก็คือจุดตายเลยทำให้เธอสลบไปชั่วคราวเท่านั้น ผมรีบพุ่งไปหาลามูสและโฟลเก้เพื่อช่วยสู้

    การรุมกันเหมือนหมาหมู่เช่นนี้ถือเป็นความอับอายยิ่งของอัศวิน แลนเซลอตพูดพลางหลบการโจมตีของพวกเราทั้งหมด

    เราไม่ใช่อัศวิน แน่จริงก็อย่าหลบสิ ลามูสพูดขึ้นมา ใช่แล้วเราไม่ใช่อัศวินซักหน่อย

    แลนเซลอตทำให้มันจบๆไปเสียที จู่ๆพาลาดินที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมา

    รับทราบ แลนเซลอตตอบรับ

    คิดเหรอว่ามันจะง่ายขนาดนั้นน่ะ โฟลเก้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    นั่นสินะมันคงจะง่ายๆเลยแหละเมื่อแลนเซลอตพูดจบ ตอนนั้นเองแลนเซลอตก็หายไปจากการรับรู้ทั้งหมด..อะไรกันน่ะ

    อั่ก!” ลามูสจู่ๆก็ร้องขึ้นมาเมื่อหันกลับไปดูก็พบว่าลามูสนอนจมกองเลือดแล้ว

    ลามูส!” โฟลเก้ตะโกนออกมา จากนั้นก็หันไปด้านหลังแล้ว.....แลนเซลอตก็โผล่มาจากไหนไม่รู้กำลังใช้วิชาเดียวกันกับอลิซพยายามจะตัดแขนโฟลเก้ แต่โชคดีที่โฟลเก้รับไว้ได้ ด้วยมือ2ข้าง

    เจ้าเป็นคนเก่งยิ่งนักโฟลเก้ แต่โชคร้ายที่เจ้าตัดสินใจออมมือให้เรา นั่นคือความผิดของเจ้าเอง พริบตานั้นเลือดก็สาดกระเซ็นออกมาจากร่างของโฟลเก้ ถ้าเป็นผมผมคงหมดสติไปแล้วแต่ก็ยังคงยืนตั้งท่าสู้เอาไว้แล้วหันมาทางผม

    เอ็น พาลามูสหนีไปซะฉันจะถ่วงเวลาไว้ให้ โฟลเก้พูดออกมา อะไรกันจะให้ผมหนีไปงั้นเหรอ ไม่มีทางซะล่ะ เพราะความอ่อนแอของเรา ลามูสและโฟลเก้ถึงต้องบาดเจ็บ

    ย้าก! โฟลเก้นายอย่ามาพูดโง่ๆนะ คนเจ็บไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันหรอก!” ผมตะโกนออกมาพร้อมกับระเบิดพลังที่มีอยู่ในร่างกายออกมา สภาพร่างกายของผมเริ่มกลายร่างเป็นอสูร แต่ว่าไม่เหมือนกับที่ผ่านๆมา ผมกลายเป็นสีแดงเลือด ผิวหนังหนากว่าที่แล้วๆมา ตาเป็นสีแดงเพลิง ผิวกลายเป็นเกล็ดสีดำมะเมี่ยม มีปีกงอกออกมากลางหลัง เขายาวขึ้นเรื่อยๆ จนคดงอราวกับซาตาน เล็บยาวและแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ต่อให้เป็นรูปลักษณ์อย่างไหนก็ไม่สนขอแค่ช่วยเพื่อนๆได้ก็เพียงพอแล้ว

    โฟลเก้ ลามูส ลาก่อนผมพูดออกมาแล้วเดินไปหาโฟลเก้

    นายจะทำอะไ......ผมชกเข้าที่ท้องโฟลเก้จนสลบไป ลาก่อนนะ ผมอุ้มโฟลเก้และ ลามูสขึ้นมา แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ตอนนั้นเองมีอัศวินมาล้อมรอบผมไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าพวกนี้คิดจะหยุดผม ต่อให้ตายผมก็จะช่วย2คนนี้ให้ได้ ผมปาทั้ง2คนออกนอกหน้าต่างไปทางหมู่บ้านอสูร ด้วยพละกำลังมหาศาลและปัญญาขณะที่อยู่ในร่างอสูรผมกะพลังไว้ให้พวกเขาจกไปที่หมู่บ้าน ถ้าเป็นพวกเขาต้องไม่เป็นอะไรแน่ แต่ว่ามีพวกอัศวินถือธนูเล็งยิงไว้แล้ว ต้องปกป้องพวกนั้นให้ได้ ผมจึงพุ่งเข้าไปซัดพวกนั้นจนกระเด็นออกไป

    นายนี่แกร่งจริงๆเลยนะมาอยู่กับฝั่งนี้ไม่ดีกว่าเหรอ พาลาดินพูดขึ้น

    ฉันยอมตายดีกว่ารับใช้มนุษย์!” ผมพูดออกไปแค่นั้นพวกอัศวินก็มาโจมตีผมในทันที ย้าก ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมจะปกป้องเพื่อนผม แม้ชีวีจะหาไม่ ผมซัดคนแล้วคนเล่า คนแล้วคนเล่า จนกระทั่งผมสีแดงเริ่มจะกลายเป็นสีแดงคล้ำเพราะเลือดย่อมเปลี่ยนเป็นสีดำ

    การต่อสู้ในครั้งนั้น เอ็นได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเข้าต่อสู้กับพวกมนุษย์ จนเป็นที่หวาดกลัวของมนุษย์ เอ็นได้ทำลายเมืองไปกว่าครึ่งและได้รับการขนานนามว่า เทพอสูรคลั่ง แต่ว่าอสูรเพียง1ตน ย่อมไม่อาจเอาชนะอัศวินที่มีกำลังมากกว่า10,000นายได้อยู่แล้ว เอ็นจึงถูกจับกุมในที่สุด และถูกส่งตัวไปยังเกาะนักโทษที่หนาแน่นที่สุด และอันตรายที่สุดเช่นกัน “Sector 9” การจับกุมได้สำเร็จก็จริงแต่ว่า อัศวินได้ตายไปเป็นจำนวนมากมนุษย์เริ่มกลัวเกรงต่ออสูร จึงได้ทำการเจรจากับเผ่าอสูร และก่อเกิดสัญญาโมบิวลัส อันเป็นข้อตกลงระหว่าง2เผ่าพันธุ์ แต่ถึงจะทำสัญญากันแล้ว มนุษย์ก็ไม่ทำการปล่อยตัวเอ็นออกมา --จนกระทั่ง 13 ปี ผ่านไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×