ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Behemoth เทพอสูรคลั่ง

    ลำดับตอนที่ #3 : หนทางสู่ความร่ำรวย

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 56


     บทที่3 หนทางสู่ความร่ำรวย

                ข้าเป็นหัวหน้ากองนี้ ธันเดอร์ แม็คโนตัม เรียกผู้กองธันเดอร์ก็ได้นะ ลองสังเกตดีๆ ที่หน้าอกด้านขวาของ ผู้กองธันเดอร์ มีตราอะไรสักอย่างอยู่ คงเป็นตราของกองนี้ล่ะมั้งนะ

                ผู้กองธันเดอร์ ช่วยพาเราเข้าไปในเมืองหน่อยได้ไหมถ้าจะให้ไปกลุ่มแค่นี้ พวกเราก็กลัวทหารคุมประตูจะไม้ให้เข้า น่ะครับ เกล็นพูดขอร้องออกมา ถึงประโยคจะฟังดูดี แต่น้ำเสียงเย็นชากับท่าทางแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร มันทำให้ดูเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกเอาซะเลย

                อ้อ ได้สิตามฉันมาเลยแต่พวกที่พักพวกเธอต้องหาเอาเองนะ เพราะว่าช่วงนี้มีคนอพยพเข้ามาเยอะมาก แต่ว่าถ้าอยากจะได้ที่พักจริงๆ ก็ลองมาทดสอบเข้าเป็นหน่วยทหารเด็กสิ ถ้าผ่านพวกเธอจะได้ที่อยู่ที่กินในทันที ชิ เราไม่สนที่จะไปเป็นกำลังของพวกศัตรูหรอกนะ ฮะฮะ ถ้าเป็นเฟลมเมอร์ ในใจคงพูดแบบนี้แน่ๆเลย แต่สำหรับผมเหรอ ยังไงก็ได้อยู่แล้ว แล้วแต่เกล็นล่ะนะ ไม่สิ แล้วแต่พี่ชายผมล่ะนะฮะฮะฮะ

                เป็นไงล่ะไม่คิด จะมาเข้ากองอัศวินบ้างเหรอ.....สงสัยผู้กองธันเดอร์จะลุ้นให้พวกเราเข้ากองอัศวิน จริงๆแฮะ

                “ขอคิดดูก่อนนะครับเกล็น คิดจะทำอะไรต่ออีกนะ ถึงบอกว่าคิดดูก่อน

                คิดดูให้ดีล่ะ ตามฉันมาเลยจะเข้าเมืองสินะ ผู้กองธันเดอร์เดินนำหน้ากลับไปทางที่ผู้กองเดินมา พวกเราจึงเดินตามไป ระหว่างทางเจอทางที่มาบรรจบกัน ทางที่มาบรรจบ มีพวกชาวมนุษย์ที่หอบข้าวของอพยพมา บ้างก็มาเพียงลำพัง บ้างก็มาเป็นขบวนสินค้า หืมมีพวกที่ดูท่าจะเป็นขุนนางมาด้วยแฮะ ถ้าเป็นเผ่าอสูรอย่างเราจะไม่เจอ ขุนนางอพยพมาเพราะว่า ตายในสนามรบถือว่า เป็นการเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นรอดตาย แสดงว่า พวกขุนนางของมนุษย์ช่างขี้ขลาดตาขาวเหลือเกิน เดินมาซักพักก็เจอกับประตูเมือง ที่มีคนรอเข้าอยู่ยาวเหยียด

                ที่จริงเราจะให้คนที่จะเข้าเมืองต้องตรวจสัมภาระ และประวัติ เพื่อลงทะเบียนเป็นพลเมืองโรสเรเวน แต่ว่าเพราะเห็นว่าพวกเจ้าขอร้องข้า ข้าจะให้พวกเจ้าข้ามคิวได้เลย ผู้กองธันเดอร์นี่ใจดีจริงๆเลยแฮะ เมื่อผู้กองธันเดอร์พูดจบก็เดินพาพวกเราเดินข้างๆแถวไปยังโต๊ะตรวจสัมภาระในทันที ตอนแรกคนที่โต๊ะทำท่าจะคัดค้านแต่ว่า ผู้กองธันเดอร์ คุยสักพักคนที่โต๊ะก็ยอมแต่โดยดี

                เอาล่ะฉันต้องไปตรวจตราก่อนนะแล้วเจอกันใหม่ละกันลาก่อนนี่คิดจะไม่ให้เราพูดตอบเลยเรอะ พอพูดเสร็จก่อนเดินจากไปในทันที

                พวกเธอ ขอดูสัมภาระหน่อยผมยื่นให้แบบไม่ลังเล แต่ว่าเฟลมเมอร์กับเกล็น กลับให้แค่กระเป๋าใบแรกเท่านั้นแล้วใบที่2ล่ะ ผมลองมองไปที่มือของทั้ง2....อ่าว เอ๊ะ จำได้ว่ามีอีกใบนี่น่า จะบอกว่าผมจำผิดก็ไม่ได้นะ เพราะว่าตอนแยกกับผู้กองธันเดอร์ ผมยังเห็นอยู่เลย ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น คนที่โต๊ะก็ยื่นกระเป๋าคืนให้แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีปัญหานะ

                เอาละขอถามหน่อยพวกเธอเป็นใครมาจากไหน แล้วพ่อแม่พวกเธอล่ะ เล่นถามรวดเดียวแบบนี้นี่นะ

                ผมชื่อเกล็น ลินเน็จ มาจากเมืองโลคิวคอส นั่นน้องชายผมเอง”…..ประโยคเดียวกันกับตอนที่ตอบผู้กองธันเดอร์เลยแฮะ

                ผมชื่อโซล โลพิด ผมใช้นามสกุลแม่ครับ พูดดักทางไว้ก่อนขี้เกียจตอบ ตอนที่บอกชื่อ คนที่โต๊ะก็ดูเหมือนจะสงสัยแต่พอบอกว่าใช้นามสกุลแม่ ก็ทำหน้าเหมือนกับว่า เป็นอย่างนี้นี่เอง

                ผมชื่อ เฟลมเมอร์ ไลดินอฟ มาจากเมืองโลคิวคอสเหมือนกัน เฟลมเมอร์ตอบแบบไม่รู้สึกอะไร

                แล้วพ่อแม่พวกเธอล่ะ คุณ2พี่น้อง...ตั้งชื่อเรียกเอาเองเลยเรอะ

                พ่อ แม่ พวกผม.....ตะ..ตาย..แงงงงงง.....เห้ย! เกล็นร้องไห้ น้ำตาออกมาจริงๆด้วย พอเห็นดังนั้นผมก็ทำท่าจะร้องไห้บ้างไม่งั้นก็ถูกสงสัยสิ ผมเอามือปิดตาแล้วส่งเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้ แหม่น่าจะจับเกล็นไปแสดงหนังนะเนี่ย เนียนซะ ไม่เหมาะกับหน้าตาเอา ซะเล้ย ผมลองเหล่ตาดูคนอื่น เฟลมคุงก็ทำท่าจะปลอบพวกเรา โอ้โห น่าจะไปเปิดแสดงนะเนี่ย กำไรอื้อแน่ๆ ส่วนพวกชาวบ้านก็มองดูกัน ผมลองแอบฟังดูก็จับใจความได้ประมาณว่า แกล้งเด็กเหรอ

                พอแล้วๆ ฉันขอโทษไม่น่าให้พวกเธอนึกถึงเรื่องพวกนั้นเลย พวกเธอไม่ต้องกลัวนะพวกเธอได้มาอยู่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว พวกอสูรตามมาไม่ได้หรอก พวกเธอเข้าไปได้เลยเหอๆ พวกอสูรตามมาไม่ได้งั้นเหรอ ก็อยู่ตรงนี้3คนไงเล่า คนที่โต๊ะให้เข้าไปได้เลย เกล็นหยุดร้องไห้ไปแล้วผมเลยเลิกแกล้งทำเป็นร้องไห้ เขาก็ปล่อยให้ผ่านไปได้เลย พวกผมเดินเข้าไปผ่านประตูบานยักษ์ ที่ทำจากไม้ที่น่าจะเก่าแก่มากผมเดินเข้าไป ลักษณะบ้านเรือน แทบจะเรียกว่าไม่แตกต่างจากของเผ่าอสูรเลยซักนิด เพียงแต่สีทีใช้ทาภายนอกนั้น ของเผ่าอสูรจะดูมืดๆกว่านี้ ก็คือหมายถึงมันเก่าแก่มาก ไม่ได้ทาสีมานานมากแล้ว แต่ว่าของพวกมนุษย์เหมือนกับว่าเพิ่งทาสีใหม่เมื่อเร็วๆนี้เอง สิ่งที่แตกต่างอย่างที่2คือ เมืองมนุษย์มีปราสาทตั้งอยู่ตรงใจกลางเมือง ที่นั่นคงเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่สินะ และพาลาดินก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย  แปลกจริงแฮะทั้งที่เป็นเมืองมนุษย์ที่มีวิทยาการก้าวล้ำขนาดที่สามารถ สร้างอาวุธต่อกรกับเผ่าอสูรเราได้ แต่ทำไมกลับไม่มีเทคโนโลยีอะไรให้เห็นเลยล่ะ หรือว่าพัฒนาแต่ทางการทหารกันนะ

                เอาไงต่อล่ะเข้ามาในเมืองมนุษย์ได้แล้ว เฟลมเมอร์หันไปพูดกับเกล็น นั่นสิเอาไงต่อดีล่ะ

                ส่งข่าวให้ ราชาอสูรก่อน เกล็นพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น จำได้ว่าเมื่อกี้แกยัง ร้องไห้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ เกล็นนี่ช่างตบตาเก่งซะเหลือเกินนะ จำได้ว่าราชาอสูรบอกให้ ส่งข่าวทางอีกาสินะ แต่ไม่ผมไม่เห็นอีกาสักตัวในเมืองเลย

                ไม่เห็นมีอีกาสักตัวในเมืองเลย เฟลมเมอร์พูดได้ตรงประเด็นเหลือหลาย แต่เกล็นก็ลากพวกผมเข้าไปในซอย

                อยู่ที่ๆคนเยอะแบบนั้น จะจออีกาได้ยังไงกันเล่า อีกอย่างอีกาของเผ่าอสูร ไม่ใช่อะไรที่สามารถหาได้ง่ายๆ เพราะตัวมันล่องหนอยู่โอ้โห เกล็นไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกันเนี่ย ซักพักเกล็นก็เอาม้วนกระดาษมา 1ม้วน และปากกา ออกจากกระเป๋า แล้วเขียนอะไรซักอย่างลงไป เป็นภาษาของเผ่าอสูรถึงพวกมนุษย์ จะได้มันไปก็อ่านไม่ออก เมื่อเกล็นเขียนเสร็จแล้วก็ม้วนกระดาษกลับเหมือนเดิม แล้วเขียนที่ด้านข้างว่า โฟลเก้ ต่อมาเกล็นก็มองหาอะไรบางอย่างจากนั้นสายตาก็รวมไปอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ตรงนั้นมีอะไรงั้นเหรอ ผมลองมองไปก็เจอกับกำแพงอิฐเท่านั้น เกล็นนำม้วนกระดาษปาไปที่กำแพง ตอนนั้นเองมีอีกาตัวหนึ่งโผล่ออกมาแล้วคาบม้วนกระดาษไป แล้วก็หายไปอีกครั้งหนึ่ง

                เสร็จแล้ว เราไปหาที่พักกันเถอะ เกล็นพูดออกมา

                เดี๋ยว เกล็นนายรู้ได้ไงว่ามีอีกาอยู่ตรงนั้น ผมพูดออกไปด้วยความสงสัย

                ฉันสัมผัสได้ถึงไออสูรน่ะ เกล็นนายสัมผัสไออสูรได้ด้วยเหรอ ไออสูรคือ กลิ่นอายที่อสูรแผ่ออกมา เกิดจากพลังที่กลั่นตัวของอสูรแล้วปลดปล่อยออกมา เกิดได้กับมนุษย์ที่ไปอยู่ในถิ่นของอสูรนานๆได้เหมือนกัน แต่ว่าเผ่าอสูรที่อยู่ในรูปลักษณืของมนุษย์จะไม่มีไออสูร แต่อสูรที่สามารถกดไออสูรได้ก็มีเหมือนกันเช่นราชาอสูรเป็นต้น การที่จะสัมผัสไออสูรได้นั้น ต้องอาศัยพรสวรรค์ แต่ถ้าฝึกก็มีพลังจับไออสูรได้เหมือนกัน โดยเฉพาะพวกภูติ จะมีพลังจับไออสูรที่แผ่ออกมาแม้เพียงเล็กน้อย พวกภูติแทบทุกตนจะมีพลังนี้ เกล็นนายจะเก่งเกินไปแล้ว

                ว่าแต่เกล็น นายบอกจะหาที่พักแล้วเงินของมนุษย์ล่ะ เฟลมเมอร์นายพูดถูกประเด็นอีกครั้ง

                นี่ไง เกล็นหยิบถุงหนังสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ส่งเยงดังกริ๊ง คล้ายเสียงเหรียญกระทบกัน ออกมาจากกระเป๋า เมื่อเปิดออกก็มีแสงสีทองอร่ามฉายออกมา

                นี่มันทองนีน่า!!” เฟลมเมอร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ ทองพวกมนุษย์ใช้ทองเป็นสื่องั้นเหรอ ทองน่ะสำหรับเผ่าอสูรแทบจะไม่มีค่าอะไรเลยเพราะว่า แหล่งที่เราอาศัยอยู่เป็นเหมืองทองที่มีมาตั้งแต่โบราณ เราจึงไม่ปรารถนาทอง สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเราน่ะเหรอ ก็คงจะเป็นทองแดง เพราะเราไม่สามารถผลิตทองแดงเองได้เลย ทองแดงน่ะไปอยู่กับพวกมนุษย์ พวกมนุษย์จึงสามารถสร้างวิทยาการก้าวหน้าได้มากมาย เพราะว่าทองแดงเป็นสื่อนำไฟฟ้าที่พอเหมาะพอเจาะมาก แต่เมืองอสูรก็มีสิ่งหนึ่งที่พวกมนุษย์ต้องการมากพอๆกับทองนั่นคือดินปืน เพราะว่าดินปืนสามารถนำมาใช้ทางทหารได้ดี เพราะฉะนั้นในยุคแรกๆ เผ่าอสูรเราเป็นเผ่าแรกที่มีการใช้ดินปืนทางการทหารโดยการประดิษฐ์ปืนขึ้นสำเร็จเป็นเผ่าแรก เกล็นนำทองเก็บใส่กระเป๋าจากนั้นก็เดินพาพวกเราเข้าไปยังใจกลางเมืองอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้ว เพราะตอนเดินทางก็ออกมาตอนเที่ยงคืนใช้เวลาเดินทางก็รวมๆแล้วก็รุ่งสางพอดี ในเมืองมนุษย์เต็มไปด้วยผู้คนราวกับ ไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลย ตอนนั้นเองก็เดินไปเจอบ้านที่ติดประกาศขายไว้ เป็นบ้านที่สภาพก็ไม่ใหญ่เกินไป ผมอ่านภาษามนุษย์ออกเพราะว่า เป็นภาษาที่อสูรทุกคนจะต้องเรียนก่อนภาษาอสูร เพราะแรกเริ่มเดิมทีไม่มีภาษาอสูร เราเพิ่งมีภาษาของเราเมื่อ 10 ปีก่อนนี้เอง เรื่องพวกนี้ผมเรียนมาจากที่โรงเรียน ในโรงเรียนของอสูรจะสอนแต่เรื่องพวกนี้แหละ ราคาซื้อบ้านอยู่ที่.......200 เหรียญทองแพงชะมัดเลย แต่รู้สึกเหมือนว่าเกล็นจะเอาหลังนี้นี่แหละ ผมเลยไม่ว่าอะไรก็เกล็นเป็นหัวหน้านี่น่า อีกอย่างถ้าคัดค้านมีสิทธิ์เจ็บตัวสูงซะด้วย ถึงจะไม่รู้ว่าเกล็นจะอัดผมรึเปล่า แต่ดูจากที่ทำกับเฟลมเมอร์ ผมก็ไม่อยากเสี่ยงแล้วล่ะนะ แล้วติดต่อซื้อบ้านที่ไหนล่ะ ซักพักเกล็นก็เดินไปเคาะประตู เห้ๆ ประกาศขายบ้านแบบนี้ไม่น่ามีคนอยู่หรอก

                ขอซื้อบ้านหน่อยครับ เกล็นตะโกนออกมา ไม่มีใครอยู่หรอกน่า แอ้ด! มีคนเปิดประตูออกมา เห้ย! มีคนอยู่ด้วยเรอะ คนที่เปิดประตูออกมาเปิดชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดสูทไว้ เห้ แกติมนุษย์ใส่ชุดแบบนี้อยู่บ้านงั้นเหรอ

                อ้าวเจ้าหนู จะซื้อบ้านงั้นเหรอดูจากการแต่งตัวแล้วมาจากที่อื่นสิท่า ชายคนนั้นพูดขึ้นมา

                เรามาจากเมืองโลคิวคอส ชื่อ เกล็น ลินเน็จ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เกล็นยิ้มออกมาแล้วยื่นมือออกไปเหมือนกับจะขอจับมือด้วย เกล็นทำหน้าแบบนี้ได้ด้วยเหรอ แต่เห็นเกล็นทำแบบนี้แล้วขนลุกแฮะ

                โอ้เป็นผู้รอดชีวิตจากเมืองนั้นงั้นเหรอ ลุงชื่อ โซไลนอฟ โคลเวอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก ฃายคนนั้นยื่นมือไปจับมือกับเกล็น

                ผมชื่อเฟลมเมอร์ ไลดินอฟ ครับ เฟลมเมอร์ยื่นมือไปจับกับคุณ โซไลนอฟ ซึ่งคุณโซไลนอฟก็จับมือตอบ ส่วนผมขอไม่บอกชื่อดีกว่านะ

                เอาล่ะเห็นว่าเป็นคนที่เดินทางมาไกลจะลดราคาให้ละกันนะ เอาเป็น 150 เหรียญทองคำละกันนะ โอ้คุณโซไลนอฟนี่ใจดีจังเลยนะ

                ตกลงครับ เกล็นเอาถุงทองออกมา ชั่วพริบตาที่เกล็นกางถุงทองออกมา คุณโซไลนอฟก็ตาเป็นประกายในทันที ตอนนั้นเองเกล็นก็ยื่นถุงทองคำให้ไปเลย

                นับดูก่อนนะครับ แล้วก็ถ้าเกินก็ไม่ต้องทอนนะครับเอาไปเลย เกล็นยิ้มหน้าชื่นตาบาน เห้ แล้วจะกินอยู่ยังไงล่ะ อาหารก็ต้องใช้เงินเหมือนกันนะ คุณโซไลนอฟนับเหรียญทองไปครึ่งถุงก็เลิกนับแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว อืมดูท่าจะเกินไปเยอะมากเลยนะ

                ขอบคุณที่ซื้อนะฉันไปก่อนล่ะ อ้อถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องอะไรก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อนะ นี่ที่อยู่ฉันคุณโซไลนอฟยื่นกระดาษ 1 ใบ กับกุญแจ 1 พวงมาให้แล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางที่อยู่ติดกับตัวแล้วเดินออกไปจากเขตบ้าน พวกผมเดินเข้าไปก็เจอกับห้องนั่งเล่นขนาดพอดีๆ ภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ผมก็อยากจะพูดหรอกนะว่ามันคุ้ม แต่ว่าเราจะเอาอะไรไปจ่ายค่าอาหารล่ะ

                นี่เกล็น อยู่ที่นี่ก็ต้องใช้เงินเหมือนกันนะแล้วเราจะเอาอะไรไปซื้อของกินล่ะ ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

                หา แล้วใครบอกว่าเงินเราหมดแล้วล่ะ เกล็น เปิดกระเป๋าออกมาภายในนั้น มีถุงทองคำแบบเดียวกันกับที่ให้คุณโซไลนอฟไปอยู่ถึง 10 กว่าถุง....นายเอามาตอนไหนเนี่ย

                โอ้ โห เราเป็นเศรษฐีในเมืองมนุษย์ได้สบายๆ เลยนะเนี่ย เฟลมเมอร์พูดขึ้นมา อืมเราเป็นเศรษฐีในเมืองมนุษย์ได้สบายๆเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×