ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Privatear นาวาทรราช

    ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 63


     

    อารัมภบท

     

    ว่ากันว่า ในคริสศตวรรษที่16 ใครก็ตามที่เกิดใต้ฟ้าผืนแผ่นดินอังกฤษคือคนที่โชคดีมากๆ เพราะ ได้เกิดมาในยุคทองของจักรวรรดิอังกฤษ ได้เกิดร่วมแผ่นดินกับพระนางเจ้า[1] และจะยิ่งโชคดีขึ้นไปใหญ่หากได้เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองตั้งแต่เกิด เกิดในคฤหาสถ์หลังใหญ่ อยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม ในยุคนั้นความมั่งคั่งร่ำรวยของราชสำนักต่างเผื่อแผ่ไปยังเหล่าขุนนางตระกูลต่างๆผู้จงรักภักดีอย่างทั่วถึง ให้ได้แบ่งสันปันส่วนกันไปอย่างอิ่มท้อง คงไม่ต้องเอ่ยถึงประชาชนคนคนสามัญ เพราะเหล่าขุนนางใหญ่น้อยคงพร้อมใจกันเบือนหน้าหนี

    'ได้เกิดในแผ่นดินอังกฤษก็บุญหัวแล้ว'

    พวกเขามักพูดกันอย่างนั้น อย่างไรเสียความมั่งคั่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ราษฎรเดือดร้อนมากเท่าไรนัก อังกฤษได้แสวงหาอาณานิคมทางทะเล ไกลออกไปเรื่อยๆ กวาดล้าง กอบโกย สรรหาผลประโยชน์จากดินแดนที่พวกเขาพบเจอ หากแต่อังกฤษไม่ใช่ชาติมหาอำนาจเดียวที่กระทำเช่นนี้ ไกลออกไปเหนือผืนทะเลแคริบเบียน ศัตรูตัวฉกาจ...หมายถึงพวกเขาเรียกกันอย่างนั้น สเปนเองก็เป็นเจ้าอาณานิคมทั้งยังมีเรื่องไม่ถูกกันอังกฤษมาประมาณชาติเศษ การเติบโตของจักรวรรดิอังกฤษไม่ได้สร้างความพอใจให้กับสเปนมากนัก ทำให้สองชาตินี้กลายเป็นคู่แข่งกันไปโดยปริยาย อำนาจ เม็ดเงิน ทองคำ อาณานิคม ทุกอย่างคือการแข่งขัน

    และไพรเวเทียร์ ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อการนี้...

    ไพรเวเทียร์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า สลัดหลวง โจรสลัดที่ทำงานรับใช้ราชสำนักอย่างลับๆ เป็นเครื่องมือของราชสำนักในการเอาชนะประเทศคู่แข่ง โดยวิธีสกปรก ไพรเวเทียร์จะได้รับอนุญาตในการปล้นเรือสินค้าของชาติศัตรูอย่างถูกกฏหมาย โดยจะได้รับสารตราจากราชย์เป็นใบผ่านทางในการปล้น และหากประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เหล่าไพรเวเทียร์ก็จะถูกเรียกตัวมาในการรบหากมีสมรภูมิในทะเล เป็นกำลังเสริมอีกขั้นของราชนาวี เรียกง่ายๆก็สุนัขรับใช้ของสุนัขรับใช้อีกทีหนึ่งนั่นแหละ

    มือหยาบกร้านของชายหนุ่มยึดเชือกไว้แน่น ออกแรงดึงใบเรือสู่เสากระโดง คลื่นลมพายุทำให้เรือโคลงเคลง ล่องลอยไร้ทิศทางอย่างสุ่มเสี่ยงไปในมหาสมุทรร้างผู้คน หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะอ้วกแตกจนไม่เป็นอันทำอะไรไปแล้วล่ะ แต่เมื่อคนเราทำมันจนชิน ทั้งร่างกายและจิตใจก็จะปรับสภาพเพื่ออยู่กับมันให้ได้

    ต้องอยู่ให้ได้อยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม...เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่เอาชีวิตมาแขวนบนเส้นด้ายเพราะความคึกคะนองตามประสาคนทั่วไปหรอกนะ

    เพราะปฏิญาณไปแล้ว ตั้งคำมั่นกับตัวเองและตระกูลไว้แล้ว

    "หากการเป็นโจรสามารถปลดปล่อยพันธนาการที่ผูกมัดตระกูลของข้าให้พ้นจากเงื้อมมือของราชสำนักได้แล้วล่ะก็ ข้าก็ยินดีที่จะเป็นไพรเวเทียร์ นักปล้นน่าสมเพชของพระนางเจ้าผู้ยิ่งใหญ่"

    แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ได้พูดออกมาพล่อยๆแน่นอน ฟลินน์ เฮร็อนเดล พูดคำไหนคำนั้น และเขามักจะพูดด้วยความสัตย์จริง

    เขาออกแรงดึงสุดแรงจนใบเรือผงาดขึ้นเหนือหัวเหล่าชายฉกรรจ์ผู้ประสบชะตากรรมเดียวกัน มือเรียวดึงเชือกแรงเสียจนมันบาดเข้ามือเป็นรอยเลือดจางๆ ร่างสูงเพรียวคล่องตัวมัดปลายเชือกเข้ากับง่ามไม้ที่ยึดจนแน่น เรือโคลงเคลงไปมาท่ามกลางเสียงตะโกนคุยกันของเหล่าไพรเวเทียร์ คลื่นซัดสาดสูง กลิ่นสาบทะเลที่เขาเริ่มจะชอบมันเข้าแล้ว เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

    ทำเอาเขารู้สึกเวียนหัว...

    "ฟลินน์ เจ้าเข้าไปหลบข้างในก่อนเถอะ" ร่างกำยำสมชายของเพื่อนสนิทเดินมาประชิดตัว กึ่งดันกึ่งลากเขาไปทางห้องพักใต้ท้องเรือทันทีที่เห็นเขาซึ่งมีสถานะเป็นคนป่วย

    "ข้าไม่เป็นไร ยังเหลืออะไรให้ทำอีกไหม?"

    "หากเจ้าไม่ใช่คนคุมหางเสือออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนักหรอก ป่วยอยู่ก็ไปพัก"

    "แต่ข้าไม่อยากทำตัวไร้ประโยชน์"

    "ภาวนาให้เราผ่านคืนนี้ไปได้สิ ข้าจะขอบคุณมากเลย" ร่างเพรียวบางของฟลินน์บวกกับสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อยเท่าไรทำให้เขาขืนแรงอีกฝ่ายไว้ไม่ได้นัก จำต้องยอมเดินตามไป โถงเรือด้านในค่อนข้างกว้างขวาง ห้องของเขาเป็นห้องธรรมดาที่ต้องนอนรวมกับคนอีกสามคน อยู่ชั้นล่างจากห้องของกัปตันเรือ

    "เปลี่ยนเสื้อผ้าดูแลตัวเองซะนะ เดี๋ยวข้ากลับมา" พูดจบขายาวๆนั่นก็ก้าวจากไปโดยที่เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปด้วยซ้ำ

    ห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจากสายฟ้าที่ส่องผ่านหน้าต่างมาเป็นครั้งคราว พายุฝนโหมกระหน่ำราวกับเจ้าสมุทรกำลังพิโรธ หากรอดจากคืนนี้ไปขึ้นฝั่งได้เขาคงจะไปเข้าโบสถ์เสียหน่อย มือเรียวถอดเสื้อกั๊กหนังสีน้ำตาลชุ่มน้ำแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวแนบเนื้อออก ตั้งใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าทำเนื้อตัวให้แห้ง

    "เจ้านี่ขยันหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองเก่งจริงๆ ข้าขอชื่นชม" น้ำเสียงหยอกเย้าที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นตรงเตียงเขาที่อยู่มุมห้อง ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างเล็กน้อย และเมื่อรู้ว่าเป็นใครสมองก็สั่งการให้สองขาก้าวถอยหลังออกห่าง "ท่าทางตกใจแบบนั้นคืออะไรกัน? อย่าบอกว่าเจ้าเพิ่งเห็นข้า"

    "เจ้ามาทำอะไรห้องข้า"

    "ห้องเจ้าแต่เรือข้า ใครดูมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่ากันล่ะ ท่านลอร์ดเฮร็อนเดล" ดวงตาสีออนิกซ์มองมาที่เขาอย่างขบขัน

    "ออกไป"

    "คนอุตส่าห์เป็นห่วง ได้ยินว่าเจ้าเป็นไข้" ร่างสูงในชุดผ้าซาตินอย่างดีลุกขึ้นเดินมาทางเขา ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากเท่าไร ฟลินน์ก็ยิ่งขยับออกห่างมากเท่านั้น

    "อย่ามาใกล้ข้า ข้าบอกให้เจ้าออกไป"

    "เจ้าจะกลัวไปทำไม ในเมื่อเราเคยใกล้ชิดกันมากกว่านี้" วินส์ตันหยุดเมื่อเขาเข้ามาใกล้ฟลินน์มากพอที่จะกระชากคอเสื้อที่ยังค้างอยู่บนตัวมาหาเขาได้ มือแกร่งจับข้อมือบางๆของอีกฝ่ายกดไว้ พร้อมๆกับร่างเขาที่ตามไปทาบทับคนตัวบางไว้บนเตียงของใครซักคนที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงของฟลินน์

    "เจ้าทำอะไร ปล่อยข้า!" ฟลินน์ดิ้นสุดแรงแต่ก็หาได้เป็นผลอะไรกับร่างข้างบนไม่ บางทีเขาก็หงุดหงิดเหมือนกันที่ตัวเองไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ต่างจากอีกฝ่ายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นเขาตลอดที่พลาดท่าเสียทีให้ 

    น่ารำคาญ... 

    "ชู่ว...แหกปากไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก เสียงฟ้าร้องดังขนาดนี้" คนด้านบนโน้มหน้าลงมากระซิบเสียงเบา ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อคนใต้อาณัติหยุดนิ่งแต่ยังจ้องกลับมาตาเขียว "อย่ามองข้าเหมือนมองสาหร่ายทะเลใต้ท้องเรือสิ ข้าไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย"

    "ไม่ต้องห่วงวินส์ตัน เจ้าน่ารังเกียจกว่านั้นเยอะ" ไม่ได้พูดออกไปให้ใครเจ็บใจเล่นหรอก เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็คิดว่าท่านเสนาธิการราชนาวีคนนี้จะรู้สึกเหมือนกัน จะได้เลิกตามราวีเขาสักที 

    "ปากดี เมื่อไหร่ที่เราเทียบท่าที่ชายฝั่งสเปนแล้ว ข้าอยากให้เจ้าเข้าไปอารากอน[2] กับข้า"

    "เจ้าจะเข้าอารากอนทำไมนั่นอยู่นอกแผนเรา อีกอย่างนั่นไม่ใช่หน้าที่ข้า" ฟลินน์ขมวดคิ้ว

    "จะไม่ไปก็ตามใจ สิ่งที่ข้ากำลังจะไปหามัน อาจจะทำให้เจ้าเลิกการเป็นไพรเวเทียร์ไปตลอดกาลเลยก็ได้.." วินส์ตันปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสระ เสียงอึกทึกโครมครามภายนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะกลบเสียงพูดของอีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น ดวงตาลุ่มลึกสีออนิกซ์เป็นประกายวาบในเงามืดจ้องมองเขาตอบด้วยแววอ่านยาก มุมปากยกขึ้นนิดๆเหมือนทุกทีที่เจ้าตัวกำลังกวนประสาทเขา

    "หมายความว่ายังไง? อย่ามาพูดโง่ๆ"

    "ก็หมายความตามที่พูด" ว่าพร้อมยักคิ้วให้คนด้านล่างไปทีหนึ่งก่อนกายหนาที่ทาบทับจะค่อยๆถอนตัวออกไป "ราตรีสวัสดิ์เพื่อนรัก เจ้ามีไข้อ่อนๆนะ...ดูแลตัวเองให้ดี หมายถึงถ้าเจ้าไม่ได้อยากกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์น่ะนะ"

    "ขยะเหรอ ข้าไม่แย่งหน้าที่เจ้าหรอก" ฟลินน์ปิดเปลือกตาลงช้าๆปล่อยความอ่อนล้าเข้าครอบงำ ในหูได้ยินเสียงปิดประตูกับเสียงฝีเท้าของใครคนนั้นดังไกลออกไป

    เลิกเป็นไพรเวเทียร์...คิดว่าคนเรามีทางเลือกมากนักรึไง ตราบใดที่สงครามยังดำเนิน ขุนนางชั่วยังเดินอยู่เต็มราชสำนัก ไพรเวเทียร์ก็จะยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสกปรกอยู่ตราบนั้น เครื่องมืิอ ที่โลดแล่นอยู่บนอิสระจอมปลอม น่านน้ำกับท้องฟ้าที่มีเจ้าของ

    ดังที่เขาเป็นมาตลอด...

     

     

    -------------------------------------------

    [1] พระนางเจ้า หมายถึง พระนางอลิซาเบธที่ 1 

    [2] อารากอน เมืองหลวงของสเปนในช่วงศตวรรษที่16

    เปิดมาเขาก็กัดกันซะแล้ว ถถถ..น้องฟลินน์ของแม่ อารัมภบทจริงๆเราตันไม่รู้จะเปิดยังไงดี แต่ก็เปิดมาแล้วน่ะนะ เอาเป็นว่า เราอยากให้ทุกคนรู้กันคร่าวๆก่อนนะว่าไพรเวเทียร์คืออะไร มันมีจริงๆในประวัติศาสตร์นะคะทุกคนเราไม่ได้เมค ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ทางเราจะพยายามเขียนให้ได้ดีที่สุดเหมือนกัน ด้านภาษาก็จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อยๆค่ะ <3

    #นาวาทรราช

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×