NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ ศพที่หนึ่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 225
      5
      30 ก.ค. 63

    บทที่ 1

    ศพที่หนึ่ง

     

              หากการประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงมตินำเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในโครงการ หรือถ้าให้เครียดขึ้นไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายด้านสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้ ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา รองประธานบริษัทชลธารคอนสตรักชันคงจะไม่รู้สึกหน่ายใจจนเผลอทอดสายตาสีนิลมองท้องฟ้าสีสดใสนอกหน้าต่างกระจกบานกว้างของห้องประชุม

              “เราจะไม่ตั้งโต๊ะแถลงเพื่อโต้ข่าวไม่จริงพวกนั้นบ้างหรือครับคุณก้อง”

              หลังจากฟังเสียงทุ่มเถียงกันในที่ประชุมมานาน รองประธานหนุ่มก็ถูกผู้จัดการฝ่ายการตลาดถามความเห็นถึงการโต้ตอบข่าวที่สร้างกระแสลบให้แก่ภาพลักษณ์ของบริษัท

              ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ วางปากกาที่ยังไม่ได้ใช้มันเซ็นสัญญาจัดจ้างก่อสร้างถนนหลวงสายสำคัญสายใหม่ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเลยมาตฐานชายไทย จากนั้นวางมือทั้งสองยันกับโต๊ะ กวาดสายตามองใบหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ก่อนมาหยุดที่ใบหน้ากังวลของ ธิดา ฤทธิ์นาคา ผู้เป็นน้องสาวแสนรักหนึ่งเดียว

              “ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องเสียเวลาไปตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเรื่องที่มันไม่จริง” เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่นไม่แพ้ดวงตาที่ฉายแววความจริงจังในทุกคำพูด

              “แต่ทั้งข่าวทางทีวีและข่าวในกองหนังสือพิมพ์ที่พวกเราทุกคนกว้านซื้อมา ก็มีแต่ข่าวโจมตีเราฝ่ายเดียวนะคะพี่ก้อง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทในอนาคต” ผู้เป็นน้องรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร จึงขอเป็นตัวแทนพูดกับพี่ชายเอง

              “เมื่อสองปีที่แล้ว เราก็เคยเป็นบริษัทโนเนมไม่ใช่หรือ แล้วเมื่อสองปีที่แล้วพวกเราทุกคนที่นั่งในห้องนี้ทำงานเพื่ออะไร เพื่อชื่อเสียงที่มีวันเกิดมีวันดับ หรือเพื่องานคุณภาพแต่ยั่งยืน”

              ปณิธานของประธานบริษัท ผู้เป็นบิดาซึ่งวางมือจากการบริหารไปแล้วถูกหยิบยกขึ้นมาเตือนสติ และแม้ก้องปฐพีจะไม่ได้ยินคำตอบจากปากที่กำลังเม้มแน่นของแต่ละคน เขาก็เชื่อเหลือเกินว่ายังคงได้รับการสนับสนุนจากทีมงานให้เป็นผู้นำบริษัทไปสู่อนาคต

              “เราจะจบการประชุมแค่นี้ ขอให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนตัวผมเองในฐานะรองประธาน...” เขากล่าวเสียงก้องกังวาน พลางหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมาในมืออีกครั้ง และครั้งนี้มันถูกจดลงบนกระดาษเพื่อลงนามเซ็นสัญญาจ้างงานกับรัฐบาล “ผมจะเป็นผู้ตัดสินใจรับงานที่มั่นใจว่าเราทำได้ดีกว่าพวกเก่งแต่ปาก”

              จากนั้นยื่นหนังสือสัญญาส่งให้แก่ผู้จัดการฝ่ายการตลาด พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าหล่อเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดครึ้มดูอ่อนโยนลงไปถนัดตา

              “ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงานไปตามครรลองของมัน ส่วนพวกเราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ” เขาพูดทิ้งท้ายแล้วค้อมศีรษะขอตัวเดินออกจากห้อง ถอดเสื้อสูทตัวหนา ปลดเนกไทและกระดุมพอให้หน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้คลายความอึดอัด แล้วพาตัวเองขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนชั้นดาดฟ้า อ้าแขนรับสายลมและแดดอุ่นยามบ่ายคล้อย

              “ก็ในเมื่อความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แล้วจำเป็นหรือที่ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา จะต้องป่าวร้องให้โลกรู้ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในใจ”

              ชายหนุ่มรำพึงพลางล้วงเอากล่องเก็บบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกง จุดไฟแช็กที่ปลายมวน สูบควันนิโคตินเข้าเต็มปอด แล้วทอดสายตามองปุยสีเทาหม่นที่เคลื่อนตัวตามแรงลมกลบทับเสี้ยวดวงจันทร์สีขาว ก่อนลดสายตาลงมองแสงสีทองที่เริ่มฉาบตรงเส้นขอบฟ้า จากนั้นหลับตาพักทุกความคิด ทำจิตใจให้สงบ

              ทว่าเสียงสายเรียกเข้าที่ดังจากสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงขัดจังหวะความผ่อนคลาย และพอดูหมายเลขปลายทาง ก็ทอดถอนลมหายใจเสียงยาวก่อนเลื่อนปุ่มรับสาย

              “ก้องปฐพีพูดครับ”

              “ฉันโทร.มาเพื่อขอคำตอบ”

              ถึงปลายทางไม่ได้แนะนำตัวและเอ่ยคำทักทายกลับอย่างที่หวัง เขาก็จำน้ำเสียงเข้มงวดของหญิงสาวปลายสายได้ดี เธอคือ ไหมแก้ว วงศ์เวช หมอประจำหมู่บ้านช้างที่เขารับอาสาเข้าไปฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาด้วยฝีมือของนายพนา อาชญากรระดับประเทศ

              “คำตอบเรื่องอะไรครับ” จริง ๆ แล้ว ก้องปฐพีรู้อยู่แก่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ก็อยากยั่วยุอีกฝ่ายกลับเป็นการเอาคืน

              “คุณคงเริ่มมีอาการความจำเสื่อม เพราะถ้าหากคุณจำเรื่องที่เราคุยกันไม่ได้จริง ดิฉันก็คงต้องบอกกับคุณปราณนารายณ์ว่าขอปฏิเสธคำขอร้องของเขา และไม่ให้คุณทำงานนี้”

              ก้องปฐพีพ่นลมหายใจพรวด สงบสติ ข่มความขุ่น แล้วดัดเสียงให้นุ่มสุดขีดเท่าที่จะทำได้ “คนที่ความจำเสื่อมไม่น่าเป็นผม เพราะผมได้ฝากคำยืนยันไปกับทางเลขานุการแล้วนี่ครับ ว่าผมขอพิจารณาเรื่องที่คุณหมอขอเปลี่ยนแบบแปลนก่อสร้าง ซึ่งผมก็จำได้ว่าโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครติดต่อกลับมา จนผมคิดไปว่าเจ้าของหมายเลขอาจจะเป็นคนขี้ลืม หรือไม่ก็งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพ”

              “ดิฉันไม่ได้ขี้ลืมค่ะ แต่งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพจริงอย่างที่คุณบอก ถ้าอย่างนั้นขอตัดสายสักครู่แล้วขอให้คุณเป็นฝ่ายโทร.กลับนะคะ เพราะมันเปลืองเงินค่าโทรศัพท์ของดิฉัน สวัสดีค่ะ” ไม่ทันให้เขาพูดทักท้วง เจ้าหล่อนก็ให้เขาฟังเสียงตัดสัญญาณทันที

              “มันอะไรกันวะเนี่ย แม่คุณเอ๊ย!

              รองประธานหนุ่มคำราม แล้วรีบรัวนิ้วกดหมายเลขเรียกเข้าสุดท้ายด้วยความฉุน แต่เจ้าของเลขหมายก็ทำให้เขารอสายนานจนหน้าหงิก 

              “สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่ช่วยดิฉันประหยัดค่าโทรศัพท์ไปหลายนาที”

              แถมยังพูดอย่างกับเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เป็นอีกครั้งที่เจ้าหล่อนทำให้เขาพ่นลมออกจมูกเป็นกระทิง แล้วกัดฟันเอ่ยเสียงให้สุภาพที่สุดเท่าที่ขีดจำกัดความอดทนจะเหลืออยู่

              “เข้าเรื่องดีกว่า ผมก็ไม่อยากเสียเวลานานนัก ผมอยากเคลียร์กับคุณหมอเหมือนกันที่คราวก่อนคุณหมอฝากข้อความผ่านเลขานุการของผมว่า ผมเป็นนายสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ”

              “ได้ค่ะ จะเคลียร์อะไรกับฉันก็ได้ แต่อยู่ที่คุณจะเปิดใจฟังฉันหรือเปล่า” หญิงสาวปลายสายพูดหยั่งเชิง

              ก้องปฐพีกำมือแน่น “คุณหมอครับ ใจผมเปิดกว้างอย่างกับประตูเมืองอยู่แล้ว แต่อยากรู้เหตุผลของคุณหมอที่ไม่ยอมรับแบบก่อสร้างที่ผมเขียนส่งไป”

              “แบบบ้านที่คุณทำเป็นแบบก่ออิฐ มันไม่เหมาะกับที่นี่ค่ะ”

              “ไม่เหมาะตรงไหนมิทราบครับ เรือนทั้งหมดของหมู่บ้านช้างโดนเผาจนไหม้เพราะว่าวัสดุที่ใช้เป็นไม้ ผมจึงเอาปัญหามาปรับปรุงป้องกันให้ ก็เหมือนกับที่คุณหมอจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามโรคนั่นแหละ” ก้องปฐพีชี้แจงเหตุผลกลับ

              “แล้วคุณเป็นสถาปนิกจริงหรือเปล่า คงไม่ใช่ผู้ที่ใช้แต่แรงงานในการวาดรูปนะคะ” แต่การโต้กลับของเธอทำให้ชายหนุ่มถึงกับเหวอ อ้าปากค้าง สมองว่างชั่วขณะ

              “คุณหมอว่าอะไรนะครับ”

              “แถมยังเป็นคนหูตึง หรือไม่ก็เป็นพวกสถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรง ชอบอวดดี แต่มักเอาหูไปทิ้งที่คันนา เลยไม่ได้ยินความเห็นของคนอื่น”

    มาเป็นชุด!

              เขาอยากจะโต้แย้งให้แสบสันปานกัน แต่หญิงสาวปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน “คุณพูดถูกตรงที่ฉันจ่ายยาตามโรคของผู้ป่วย นั่นหมายความว่าผู้ป่วยต้องการสิ่งที่ฉันทำให้เขา แต่คุณเป็นสถาปนิก หน้าที่ของคุณคือปลูกเรือนตามใจผู้อยู่  แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่  ฉันว่าคุณควรจะเอาเวลาที่คุณเถียงกับฉัน เปลี่ยนเป็นมาดูหน้างานจริงก่อนที่จะเขียนอะไรในสิ่งที่คนที่นี่ไม่ต้องการ หรือไม่ก็นั่งเทียนทำงานของคุณต่อไป”

              แล้วก้องปฐพีก็มาถึงจุดที่หมดความอดทน “ดี ผมจะเข้าไปดูหน้างานให้มันรู้ ๆ กันไป!

              “เรียนเชิญค่ะ พร้อมเมื่อไหร่ก็มา” 

              “แล้วเราจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้แน่นอนครับ...คุณหมอไหมแก้ว”

              เขาบอกลาผ่านน้ำเสียงแกมมาดร้ายแล้วสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่ง จุดบุหรี่สูบมวนที่สอง หวังให้มันช่วยลดระดับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านในตอนนี้

              “พี่ก้อง...ไม่เป็นไรจริงหรือคะ”

              คำถามมาพร้อมเสียงหวาน ทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าจนลึกสุดปอด ปั้นยิ้มก่อนหมุนตัวกลับไปหาน้องสาวที่ยืนประสานมือทั้งสองไว้ด้านหน้า จ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตสีนิลสุกสกาว

              “ธิดาอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ พี่จะได้ตอบให้ถูกใจ” เขาเอ่ยเย้าน้องสาวอย่างเคย แต่ผู้เป็นน้องไม่ได้อยากเล่นด้วย ย่นคิ้วใส่พร้อมเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

              “พี่ก้องละก็ ธิดาจริงจังนะคะ”

              “พี่ก็จริงจัง” ก้องปฐพีคลี่ยิ้ม ขยี้ก้นบุหรี่ในกระบะทราย “เราไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ยอมให้ชลธารคอนสตรักชันเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”

              “ที่ธิดาห่วงไม่ใช่บริษัท แต่เป็นตัวพี่ก้องต่างหาก”

              ผู้เป็นพี่ยิ้มกว้าง ยกมือหนาขยี้หัวน้องสาวจนเรือนผมนุ่มสลวยยุ่งเหยิง “แทนที่จะห่วงพี่ เราน่ะห่วงตัวเองก่อนเถอะ ตั้งใจเรียนให้จบ จะได้ออกมาช่วยงานเต็มตัวเสียที”

              “ธิดาเรียนจบอยู่แล้วน่า” คนน้องเชิดคางพูดแสดงความมั่นใจ คนพี่เห็นแล้วให้นึกหมั่นไส้ อยากบิดจมูกน้อย ๆ ของน้องสาวนัก

              “อ้อ คืนนี้พี่จะไปพบ เพลงพิณ แล้วนัดเขาให้เข้ามาฟังเรื่องที่เราจะเสนอทุนการศึกษาให้”

              “พี่ว่าเพลงพิณจะยอมรับความช่วยเหลือจากเราไหมคะ”

              ก้องปฐพีถอนหายใจ แต่ยังไม่คลายรอยยิ้ม “ถ้าเพลงพิณได้รู้ว่าเราทำเพื่อแสดงความเสียใจต่อนายกำธร พ่อของเขาที่ตายไปเพราะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตธิดาจากค่ายโจรนายพนา พี่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่อยากปฏิเสธความตั้งใจ”

              กระนั้น ถ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อเพลงพิณไม่มายืนยันการรับทุนต่อหน้าเธอ ธิดาก็คงไม่คลายความกังวล เพราะตามความจริงนั้น นายกำธรเป็นหนึ่งในผู้ลักพาตัวเธอไปให้นายพนา แต่เขาเลือกที่จะกลับใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งนั่นก็มีค่าแก่การตอบแทน

              “แล้วพรุ่งนี้พี่คงเดินทางไปดูหน้างานที่หมู่บ้านช้างแต่เช้ามืด จะได้ไม่ค้างคาใจเจ้าของงาน” เขากล่าวต่อในเรื่องอื่นเพื่อเลี่ยงประเด็นในหัวของน้องสาว

              “เจ้าของงาน?” น้องสาวทำหน้างง

              “ก็ยายคุณหมอไหมแก้วนั่นไง” พอพูดเรื่องนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากไปดูหน้าเจ้าหล่อนเสียเดี๋ยวนี้ แต่พอเห็นคิ้วเรียวย่นเข้าหากันกับดวงตาหวั่น ๆ มองมา ก็ยิ้มเอ็นดูแล้วรวบตัวน้องสาวเข้ามาสวมกอด

              “อย่าห่วง พี่ไม่ไปกินหัวเขาหรอก ส่วนเราน่ะอยู่ที่นี่ก็ดูแลพ่อกับเจ้าปราณให้ดี ยิ่งเจ้าปราณมันเพิ่งผ่าตัดตามาไม่นาน อย่าให้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนโน่นชนนี่”

              “ดูพูดเข้า พี่ปราณเขาไม่ใช่คนซุ่มซ่ามสักหน่อย”

    ก้องปฐพีหัวเราะขบขันจนตัวกระเพื่อม ก่อนคลายวงแขนออกจ้องใบหน้าง้ำงอของคนที่เพิ่งถูกแหย่ถึงชายคนรัก ที่เห็นแล้วก็ให้รู้สึกอิ่มใจมากกว่าเคืองขุ่น

              เขาไม่ได้กลัวว่า ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ รองประธานควีนส์คอร์ป บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ลำดับต้นของประเทศ และเป็นคนรักของธิดา จะซุ่มซ่ามทำตัวเองบาดเจ็บจนกระเทือนถึงผลการผ่าตัดดวงตา แต่เพราะรู้ว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว คนที่จะฝากให้ดูแลพ่อและน้องสาวได้ก็คือปราณนารายณ์

              และก็เป็นเจ้าปราณนารายณ์คนนี้ที่อ้อนวอนขอร้องให้เขารับงานอาสาฟื้นฟูหมู่บ้านช้างแบบไม่ได้สตางค์สักแดงเดียว การที่เขาตกลงรับทำก็เพราะความวินาศของหมู่บ้านช้างเกิดจากการที่นายพนาบุกชิงตัวธิดาไปเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้คนรัก ถึงต้นเหตุที่แท้จริงจะไม่ใช่ความผิดของธิดาเลยก็ตาม

              “พี่ไปแล้วจะรีบกลับ” เขาบอกน้องสาวแค่นั้น แล้วหมุนตัวเดินกลับห้องทำงานส่วนตัว จัดการงานทุกอย่างที่คั่งค้างให้เสร็จ แม้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานปกติ

              จนได้ยินเสียงนาฬิกาเตือนบอกเวลา ก้องปฐพีจึงเปลี่ยนจากชุดทำงานของผู้บริหารแสนเคร่งขรึมเป็นสิงห์นักบิดในชุดแจ็กเกตหนังกับกางเกงยีนสีดำซีดตัวโปรด จากนั้นใส่โทรศัพท์และสมุดโน้ตเข้าไปในเป้คู่กาย แล้วตบเท้าเดินออกจากสำนักงานตรงไปยังลานจอดรถ เพื่อขึ้นควบซูเปอร์ไบค์คันโตสีดำด้านที่เขาตั้งชื่อให้แสนเก๋ว่า แบล็กแบร์

              “ลุยงานกันอีกครั้งนะเจ้าหมีดำ” แต่ก็มักเรียกมันด้วยชื่อเล่น

              เขาสวมหมวกกันน็อกสีเดียวกับเจ้าหมีดำ สตาร์ตเครื่องยนต์เกิดเสียงดังกระหึ่ม ให้มันพุ่งทะยานด้วยความเร็วตามใจสั่งของผู้เป็นนาย แล่นฉิวไปตามถนนสายเศรษฐกิจ ลัดเลี้ยวหลบความคับคั่งของจราจรเข้าตรอกนั้นออกตรอกนี้ กระทั่งเข้าสู่แหล่งรวมสถานให้ความบันเทิงเริงใจยามราตรี

              เมื่อหาที่จอดให้เจ้าแบล็กแบร์ได้ ชายหนุ่มเดินเท้าต่อมุ่งตรงไปยังสถานที่จัดงานแสดงซูเปอร์ไบค์ซึ่งจัดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผู้สนับสนุนเป็นเจ้าของผับชื่อดัง

              การที่เขารู้ว่าเพลงพิณจะมางานนี้ก็ต้องขอบคุณสารวัตรอัชวินที่สืบข้อมูลมาให้ แต่สารวัตรใหญ่ไม่ได้ทำไปเพื่อช่วยให้เขาส่งมอบทุนการศึกษาแก่เด็กหนุ่มสำเร็จ เพลงพิณมีสิ่งที่สารวัตรต้องการ นั่นคือการใช้ทายาทของสมุนโจรนำพาไปสู่การจับกุมพวกที่หนีหายไปตอนทลายค่ายนายพนา

              ตลอดสองข้างทางที่ร่างสูงย่ำขาผ่านนั้น มีทั้งร้านเหล้าขนาดเล็กและรถเข็นขายอาหารเรียงราย ได้ยินเสียงตะเบ็งของแม่ค้าคุยหยอกล้อกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนที่เดินสวนทาง และได้ยินเสียงผู้รายงานข่าวจากโทรทัศน์เครื่องจิ๋วที่กำลังฉายภาพการประท้วงของกลุ่มคนผู้ต่อต้านการสร้างกาสิโนในประเทศของตน

              ก้องปฐพีทำเพียงแค่เดินผ่านไป ไม่ได้หยุดดูหรือฟังคำประท้วงจากเหล่าคนในข่าว เขามุ่งหน้าต่อไปจนมาหยุดตรงทางเข้างาน

              ดวงตาคมเข้มสีนิลมองตามลำแสงไฟสปอตไลต์ที่ส่องแสงสว่างให้แก่ป้ายรูปถ่ายรถเครื่องสองล้อขนาดใหญ่รุ่นใหม่ ซึ่งกำลังออกขายและนำมาจัดแสดงในงาน ส่วนป้ายข้าง ๆ กันเป็นรูปถ่ายของเหล่าพริตตี้สาวงาม อันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานแสดงรถ

              “นึกว่าพี่ก้องจะเบี้ยวผมเสียแล้ว”

              เสียงทักทายมาพร้อมกับลำแขนที่โอบบ่ากว้างของสถาปนิกหนุ่มอย่างสนิทสนมเป็นของ ระพีพัฒน์ พิทยากูล ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยชีวิตธิดา แต่นั่นก็ทำให้ระพีพัฒน์กลายเป็นที่พึ่งพาของสารวัตรอัชวินยามที่เจอคดีซับซ้อน แต่งานไขปริศนาก็เป็นที่ชื่นชอบของระพีพัฒน์เป็นทุนเดิม เขาจึงไม่บ่ายเบี่ยงนักถ้าได้ช่วยงานของกรมตำรวจ

              “พี่ก้องเขาไม่เหมือนมึงนะกลาง ที่จะเที่ยวผิดนัดเขาไปเรื่อย” อีกเสียงเป็นของตฤณ ดำรงไกรลาส บุตรชายคนเดียวของเจ้าพ่อกาสิโนใต้ดิน และเพื่อนผู้ร่วมเป็นร่วมตายของระพีพัฒน์ครั้งลอบเข้าค่ายโจรในอดีต

              “มาถึงกันแล้วก็รีบเข้าไปเถอะ อยากเห็นหน้าเจ้าเพลงพิณ ลูกชายผู้มีพระคุณเต็มแก่”

              ก้องปฐพีพูดแล้วก้าวขาพาหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองเข้าสู่งาน ที่มีเสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากเครื่องเสียงชุดใหญ่ดังกระหึ่มทั่วทุกหัวมุม และละลานตาไปด้วยรถเครื่องสองล้อชั้นดี 

              ทว่าความสนใจของงานกลับไม่ใช่เทคโนโลยีความเร็วอย่างเดียว เพราะยังมีกลุ่มหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่กำลังออกลีลาสะบัดบนเวทีได้เร้าใจ จนเหล่ากระทาชายทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จ้องตาไม่กะพริบ ยืนจองที่ติดขอบเวทีเพื่อโลมเลียร่างอรชรเต้นตามจังหวะเพลงด้วยสายตา

              แต่สำหรับชายอกสามศอกสามนายที่เพิ่งก้าวขาเข้าสู่ตัวงานนั้น อาจต้องฝืนบังคับใจไม่ให้วอกแวกออกนอกลู่นอกทางถ้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่เพราะความโดดเด่นของทั้งสามเรียกสายตาจากพริตตี้สาวภาคพื้นดิน โดยเฉพาะชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า หน้าอกกว้างผึ่งผาย เจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้มกับดวงตาสีนิลประกายซึ้ง ก็มักตกเป็นเป้าหมายโจมตีของพริตตี้สาวงามทุกนางเสมอตั้งแต่ก้าวขาเข้าสู่ตัวงาน

              “สวัสดีค่ะคุณก้องปฐพี ไม่คิดว่าจะได้เจอนักแข่งดาวรุ่งอย่างคุณในงานนี้ด้วย ดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอ”

              พริตตี้สาวในชุดสายเดี่ยวรัดรูปปักเลื่อมระยิบระยับเข้าคู่กับกางเกงหนังเทียมขาสั้นตัวจิ๋วนางหนึ่ง เดินตรงเข้ามาทักทายพร้อมกับการเกี่ยวแขนราวสนิทสนมกันมาแต่ปางก่อน  

              “คนจัดงานคงแค่อยากขายรถ ไม่ได้ต้องการเชิญนักแข่งมาโชว์ตัวกระมังครับ อีกอย่าง พวกผมก็ไม่ได้เด่นดังอะไร” เขาเอ่ยพร้อมค้อมศีรษะเป็นการขอตัว แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่อยากปล่อยเขาไป

              “จะรีบไปไหนล่ะคะ ว่าจะขอลายเซ็นคุณก้องปฐพีไว้ไปอวดพวกเพื่อน ๆ แต่ไม่ได้พกกระดาษกับปากกามา” เธอบอกแล้วบิดตัวไปมาคล้ายเขินอาย ก่อนหยิบลิปสติกออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นส่งให้พร้อมด้วยดวงตายั่วยวน

              “ช่วยใช้ลิปสติกแท่งนี้เขียนตรงหน้าอกให้หน่อยได้ไหมคะ...เอาแบบตัวบรรจงเต็มบรรทัดว่า ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา”

              เพราะไม่ใช่พระอิฐพระปูน และยังเป็นชายแท้ตั้งแต่หัวจดปลายเท้า ดวงตาสีนิลจึงพยายามซ่อนแวววาบวับยามเนินอกอิ่มขาวเนียนเคลื่อนมาอยู่พอดีกับสายตา แล้วกล่าวปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า

              “อย่าเลยครับ ลายมือผมไม่สวย กลัวว่าจะทำตัวคุณเปื้อนเสียเปล่า ๆ”

              เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจับมือคุณก้องเขียนนะคะ ลายมือฉันสวยระดับโรงเรียนส่งเข้าประกวด”

              ไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวเจ้าก็จะคว้ามือชายหนุ่ม แต่ไม่ทันได้แตะเขาแม้แต่ปลายเล็บ ร่างของเธอก็ถูกตวัดหมุนหันไปเจอประกายไฟในดวงตาเรียวของคนที่ทำให้ถึงกับอ้าปากค้าง

              “จากที่เห็นลงชื่อในบัญชีลูกหนี้ ฉันก็การันตีให้เลยว่าลายมือเธอสวยแค่ไหน ถ้าว่างจะช่วยไปสอนฉันคัดลายมือที่กาสิโนได้ไหม”

    รอยยิ้มพริตตี้สาวเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยพูดเสียงติด ๆ ขัด ๆ “ชะ...ช่วงนี้ไม่ว่างพอดีค่ะ ตะ...ต้องวิ่งทำงานหาเงินจนหัวหมุน” แล้วรีบเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองเจ้าของยิ้มร้ายที่มุมปาก

              “ตฤณ ทำไมเขาทำหน้าอย่างกับเห็นมึงเป็นยักษ์เป็นมาร” ระพีพัฒน์อดยิ้มขำท่าทางของคนที่เพิ่งสับขาเดินหนีไปไม่ได้

              “ก็เจ้าหล่อนยังติดเงินพนันที่กาสิโนอยู่หลายแสน” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อกาสิโนใต้ดินเอ่ยอธิบายแล้วเดินปโอบบ่าก้องปฐพี พูดด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง “คราวหน้าผมไม่ไปไหนมาไหนกับพี่ก้องแล้วดีกว่า สาว ๆ วิ่งหาพี่กันหมด ไม่เลี้ยวหาผมสักคน”

              “ตกลงว่ามึงมาช่วยพี่ก้องหาเพลงพิณ หรือตั้งใจมาหิ้วหญิงกลับบ้าน” ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของระพีพัฒน์เต็มไปด้วยความประชดประชันแบบไม่คิดปกปิด

              “ก็แค่อยากได้ปลาสักตัวติดไม้ติดมือกลับไปกิน” ตฤณกล่าวด้วยท่าทีกวนสายตาของอีกฝ่าย “แต่วันนี้ปลาคงไม่ติดเบ็ด”

              ก้องปฐพีฟังแล้วก็ส่ายหน้า หากให้ทั้งคู่ยืนถกเถียงกันต่อก็จะมีแต่เสียเวลา จึงกวาดสายตามองไปรอบงานพร้อมเอ่ยคำสั่ง “รีบกระจายตัวกันหาเจ้าเด็กเพลงพิณดีกว่า กูไม่อยากกลับดึกนัก พรุ่งนี้ต้องไปหมู่บ้านช้างแต่เช้ามืด”

              “พี่ก้องรับงานฟื้นฟูหมู่บ้านช้างจริงหรือ” ระพีพัฒน์เลิกคิ้วถาม

              “ช่วยไม่ได้ รับปากกับปราณไปแล้ว” ก้องปฐพีตอบพลางถอนหายใจ

              “พี่ก้องก็ต้องเลี้ยงเบียร์ผมหนึ่งลังด้วยนะ อย่าลืม” ลูกชายเจ้าพ่อบอกความต้องการของตนขึ้นบ้าง

              “มึงได้แดกเบียร์แน่ ดูนั่นสิ”

              ก้องปฐพีและตฤณรีบหันไปทางปลายสายตาของระพีพัฒน์ที่เป็นเวทีใหญ่กลางงาน เห็นกลุ่มชายวัยรุ่นในชุดสถาบันอาชีวะยืนออกันอยู่เพื่อคอยชมการเริงระบำของเหล่านักเต้นโฉมงาม

              “คนผมยาวที่สุดนั่นไง...เพลงพิณ” ระพีพัฒน์บอกพลางหยิบรูปถ่ายที่ได้จากสารวัตรอัชวินออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นเทียบ ก่อนสอดเก็บเข้าไปตามเดิม “เราต้องหาทางดึงเพลงพิณออกจากกลุ่ม”

              “อย่าเพิ่งเข้าไป” แต่ตฤณสะกิดทั้งคู่ให้สังเกตความเคลื่อนไหวอีกฟากของเวที มีกลุ่มนักเรียนช่างกลอีกกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบต่างสถาบัน แล้วสังหรณ์ของทายาทเจ้าพ่อก็เริ่มทำงานทันที “กูได้กลิ่นดินปืน”

              เรียวคิ้วเข้มตัดกับผิวขาวของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเพราะสังหรณ์ถึงความยุ่งยากที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นเช่นกัน จึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดเลขหมาย แล้วบอกทุกคนในทีม “คอยดูลาดเลาอยู่ห่าง ๆ กูจะติดต่อไปรายงานสถานการณ์กับสารวัตรก่อน ดูทีท่าแล้วน่าจะมีเรื่อง”

              แต่มีเสียงเฮของเหล่าผู้คนดังไปทั่ว ระพีพัฒน์ก็เพ่งตามองกลุ่มหญิงสาวในชุดสุดแสนเซ็กซี่เดินเรียงแถวขึ้นบนเวทีปรากฏโฉมของตนต่อหน้าผู้ชม

              ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยืนหันหลังอวดเอวคอดกิ่วกับสะโพกผายกลมกลึง จนเสียงเพลงจากเครื่องเสียงดังกระหึ่ม นวลนางร่างอรชรทั้งหลายก็เริ่มร่ายระบำ และในวินาทีที่เจ้าของเอวคอดนั้นหมุนตัวมา ดวงตาของระพีพัฒน์ก็ถูกตรึงแน่นไว้กับเธอ

              แค่เพียงแวบเดียวที่สบประสานสายตากันโดยบังเอิญ ก็เกิดอาการร้อนวูบวาบภายในอกชายหนุ่ม มือที่ถือโทรศัพท์ค้างนิ่ง หลงลืมไปอย่างหมดใจว่าปลายสายกำลังรอฟังคำรายงาน

     

              “เจ้าของทุนเขาเรียกแกให้เข้าไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่หรือพิณ”

              คำถามที่แทรกเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจ ทำให้เด็กหนุ่มผมยาวประบ่าวัยสิบเจ็ดในเครื่องแบบสถาบันอาชีวะหันหน้าจากเวทีไปมองชายหนุ่มรุ่นพี่ ที่นอกจากจะมาจากบ้านเกิดเดียวกัน ก็ยังร่ำเรียนในสถาบันเดียวกันด้วย

              “พรุ่งนี้ครับ” เพลงพิณตอบด้วยน้ำเสียงเบา เหตุเพราะมีเขาคนเดียวที่ได้รับการเสนอทุนการศึกษาจากบริษัทก่อสร้างระดับใหญ่ จึงไม่สบายใจและอยากให้คนที่รักดั่งพี่ชายแท้ ๆ คนนี้ได้รับทุนบ้าง

              “ผมจะขอให้เขาเพิ่มอีกทุนให้พี่ป๋อง พี่ป๋องเรียนดีกว่าผมเสียอีก”

              “อย่าเลย ปีหน้ากูก็เรียนจบแล้ว อย่าห่วงกู มึงน่ะทำตัวดี ๆ ให้เจ้าของทุนเขาเมตตา อย่าไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขานัก”

              “ผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องสักหน่อย แต่เรื่องมันวิ่งเข้ามาหาผมเอง”

              เด็กหนุ่มให้เหตุผล แต่รุ่นพี่ยิ้มส่ายหน้า ยกแขนโอบบ่า “เอาเป็นว่ากูยินดีด้วย ถ้ามึงได้ทุนเรียนจนจบสูง ๆ ก็อย่าลืมพี่ลืมน้อง เดี๋ยวกูกลับทองผาภูมิคราวนี้ จะนำข่าวดีไปบอกน้าปิ่นให้”

              เพลงพิณยิ้มกว้าง “ครับพี่ ฝากบอกแม่ด้วยว่า ผมติดทำงานพิเศษอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ลางานกลับไปกราบเท้าไม่ได้เลย แล้วก็ฝากขอบคุณน้าอัญที่ช่วยดูแลแม่ผมให้ด้วย

              “เอื้อยก็คงเหมือนมึง ไม่ได้กลับไปหาน้าอัญนานแล้ว ป่านนี้ยายอรก็น่าจะโตเท่าเอวแล้วมั้ง” ป๋องเอ่ยพลางหันสายตาไปทางหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดกลางเวที

              “ถ้าผมเรียนจบ ได้งานดี ๆ ทำ ผมจะซื้อซูเปอร์ไบค์รุ่นที่โชว์ในงานให้พี่ป๋อง”

              คนฟังก็ปลื้มปีติ แต่ในใจของป๋องนั้นไม่ได้ต้องการของใด ๆ จากเพลงพิณ จึงไม่ได้ตอบรับ นอกจากกอดคอกันเดินเข้าสู่งานแสดงซูเปอร์ไบค์ที่ เสี่ยเกียง ผู้เป็นนายจ้างในผับที่เขารับทำงานพิเศษเป็นผู้จัด

              แต่จุดประสงค์ของการมาไม่ใช่เพื่อมาดูรถรุ่นใหม่ที่ไม่มีปัญญาซื้อหา หรือมาดูพริตตี้ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย แต่เขามาเพื่อบอกลา เอื้อย หญิงคนรัก ก่อนกลับบ้านเกิดเพื่อนำสารลับจากนายอำพัน บิดาของเอื้อยที่ถูกจำคุกอยู่ฝากไปมอบให้ถึงมือผู้รับ

              พอแกพบคุณหมอไหมแก้วแล้ว แกต้องเป็นคนอ่านให้คุณหมอฟังตามวิธีที่ฉันบอก แล้วจากนั้นทั้งแกทั้งเอื้อยแล้วก็เพลงพิณต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ต้องหนีไปให้ไกลสุดล่า

              คำบอกของนายอำพันล่าสุดในตอนที่เขาไปเยี่ยมในเรือนจำดูจริงจังกว่าเป็นเรื่องหยอกล้อ แล้วเขาต้องหนีใคร หนีทำไม สองคำถามนี้ยังไม่ได้รับคำตอบทางวาจา แต่เป็นกระดาษห่อหมากฝรั่งที่เขาอยากรู้เหลือเกินว่า นายอำพันเขียนอะไร

              “พี่ป๋อง นั่นพวกมันนี่ครับ”

              เสียงของเพลงพิณเรียกเขากลับจากภวังค์ ป๋องปรายตามองตาม เห็นอริของเด็กหนุ่มยืนมองด้วยสายตามาดร้าย แต่ฝ่ายรุ่นพี่นั้นไม่แสดงทีท่าว่าเดือดเนื้อร้อนใจ หันกลับไปทางเวทีที่หญิงคนรักกำลังก้าวขึ้นไป

              “พี่ป๋อง” แต่ผู้เป็นรุ่นน้องยังกังวล

              “งานนี้ ใคร ๆ ก็มาได้ มึงจะแปลกใจทำไมวะพิณ” ป๋องชักสีหน้าใส่ กล่าวเสียงขุ่น

              “มันก็ไม่แปลก แต่ผมไม่อยากอยู่เที่ยวงานร่วมกับมัน ไอ้พวกนั้นชอบหาเรื่องไร้สาระ”

              “ถ้าอย่างนั้น มึงก็ออกไปรอกูด้านนอก กูจะรอคุยกับเอื้อย เสร็จแล้วจะตามไป”

              พูดจบป๋องก็เดินออกจากเวที มุ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้หลังที่จัดงาน จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วยืนพิงมอเตอร์ไซค์รุ่นธรรมดาราคาถูกของตน ฟังเสียงแว่วของดนตรีที่ดังห่างจากจุดที่ยืนอยู่ ก่อนถอนหายใจยาวมองดูท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีทั้งแสงดาวและแสงจันทร์ มีเพียงลำแสงของไฟงานส่องเป็นทางขึ้นไปยังกลุ่มม่านเมฆสีเทา

              “ป๋อง”

              กระทั่งได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เฝ้ารอดังจากด้านหลัง เขาทิ้งมวนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟ ก่อนหันไปโยนคำถามใส่โคโยตี้สาวดาวเด่นที่เพิ่งลงจากเวที แล้วเอ่ยทักทายเธอด้วยคำถามเจืออารมณ์ขุ่น

              “เมื่อไหร่จะเลิกอาชีพเต้นแร้งเต้นกาเสียที”

              ร่างอรชรคลี่ยิ้มอ่อนใจ เดินเข้ามายกแขนทั้งสองโอบรอบคอชายหนุ่ม “ก็ฉันอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ จะได้ปลดแอกตัวเองจากชีวิตเส็งเคร็งเสียที”

              ป๋องถอนหายใจเสียงหนัก ยกมือทั้งสองจับตรงเอวบางคอดกิ่ว “ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันไม่ชอบเวลาเธอส่งสายตายั่วผู้ชายคนอื่นอย่างเมื่อกี้ กับเรื่องเธอตกเป็นเมียเสี่ยบ้ากาม ฉันก็ปวดหัวใจจนแทบเดินไม่ได้”

              เธอหัวเราะเสียงใส หยิบบุหรี่ของตนออกจากถุงพลาสติกที่สอดไว้ในกระเป๋าหลังออกมาจุดไฟแล้วสูบควันเข้าปอดฟอดใหญ่ ก่อนพ่นกลุ่มควันสีเทาออกมา “อย่าคิดมากสิ มันก็แค่การแสดงเวลาอยู่บนเวที แล้วเขาก็ไม่ได้มาสนใจผู้หญิงเต้นกินรำกินอย่างฉันหรอกน่า”

              “มันจ้องเธอตาไม่กะพริบแบบนั้นหรือที่เรียกว่าไม่สน แต่ที่ฉันกลัวไม่ใช่ว่ามันจะสนเธอ...แต่กลัวว่าเธอจะลืมสัญญาแล้วหนีไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นักแข่งรถอย่างมันมากกว่า”

              “อิจฉาเขาหรือ” เสียงหวานพูดหยั่งเชิง มองแววตาวูบไหวของชายหนุ่ม

              ป๋องแค่นหัวเราะ “อาจจะใช่”

              “ป๋อง...” เธอสบตาชายหนุ่มตรงหน้า เลื่อนมือจากรอบต้นคอหนาลงมาโอบสันกรามทั้งสองข้าง “วันที่เราแต่งงาน เราจะมีความสุขด้วยกันจนทุกคนต้องอิจฉา รออีกนิด เงินที่ฉันเฝ้าเก็บสะสมกำลังงอกเงยเป็นความสุขและอิสระของเรา”

              ดวงตาของป๋องควรจะมีประกายยินดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เอื้อยจึงไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า”

              ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ รวบตัวหญิงสาวเข้าไปกอดแนบชิด จนเธอสัมผัสถึงความร้อนที่แผ่ออกจากร่างกาย และจังหวะหัวใจเต้นกระชั้นถี่

              “เธออยากให้ฉันช่วยเหมือนทุกครั้งใช่ไหม” เอื้อยจึงเอ่ยถามไป แต่ยังไร้คำตอบจากเจ้าของวงแขนที่เพิ่มแรงกอดรัด

              “ไม่...เธอช่วยฉันมากพอแล้ว ต่อจากนี้ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยเธอบ้าง”

              “ป๋อง...” เพราะการพูดจาที่แปลกไป จึงทำให้เธอขืนตัวเองออก เงยหน้ามองดวงตาหมองหม่นของชายหนุ่มที่ฟ้องว่าเขามีเรื่องหนักใจจนไม่อาจระบายออกมาเป็นคำพูด

              “เธอเป็นอะไร”

              “ฉันเป็นคนที่รักเธอสุดหัวใจ”

              แล้วปากหยักก็แนบกับเรียวปากอิ่มฉาบสีแดงก่ำ มอบจูบลุ่มลึกและเร่าร้อน จนในบางครั้งหญิงสาวรู้สึกตื่นกลัวในความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร

              ตู้ม!!!

              แต่ในวินาทีนั้นเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ยุติจูบหวานราวกับอยู่ในความฝัน และชายหนุ่มก็ผละลำแขนตนออกจากการโอบกอดหญิงสาวคนรักฉับพลัน

              “พิณ!” เขาพูดเสียงลอดไรฟันจากการขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แล้ววิ่งรุดไปยังต้นกำเนิดเสียงดังสนั่น สวนทางกับผู้คนที่แตกตื่นวิ่งออกจากงาน

              “ป๋อง หยุดก่อน!

              พอขวัญที่กระเจิงหนีไปกลับมาหลังเสียงระเบิด เอื้อยก็ร้องห้ามชายคนรักแล้ววิ่งตามเขาไปติด ๆ แต่ไม่ทันฝีเท้าของชายหนุ่ม เพราะความสูงของส้นรองเท้าเป็นเหตุให้สับขาได้ไม่เร็วพอ จนเห็นวงล้อมของกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันท่ามกลางกลุ่มเขม่าควันสีขาวลอยคละคลุ้ง ก็รู้สึกหวั่นในอกประหลาด

              “ป๋อง!

              เธอตะโกนเรียกหาพลางกวาดสายตามองไปทั่ว จนเห็นป๋องกำลังวิ่งไปแยกเพลงพิณออกจากการแลกหมัดอย่างหนักหน่วงกับคู่อริ จึงตัดสินใจหยุดยืน ยกมือป้องปากแล้วเปล่งเสียงดัง

              “ปะ...”

              ปัง!

              แต่เสียงลั่นของปืนกลบเสียงของเธอให้หายไปพร้อมกับหัวใจที่ปลิดปลิวออกจากอก

              “กรี๊ด!

              เอื้อยหวีดร้องดังสนั่น เสียงของเธอดึงเพลงพิณให้หันไปมองหลังพุ่งหมัดสุดท้ายส่งคู่ต่อสู้ไปนอนกองกับพื้น แต่ก็ถึงกับตกอยู่ในอาการตะลึงงัน เมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากหน้าอกของชายหนุ่มรุ่นพี่

              ปัง!

              เสียงกระสุนปริศนาดังอีกครั้ง แต่เพลงพิณยังยืนตื่นตระหนก สมองไม่สั่งร่างกายให้ขยับ แต่เห็นหน้าอกของป๋องถูกกระสุนอีกนัดเจาะทะลวงเป็นครั้งที่สองก่อนเดินเซมาหา พาเอาเด็กหนุ่มล้มไปด้วยกัน

              “ป๋อง!” เอื้อยกรีดร้องเสียงหลง

              “พี่...พี่ป๋อง” เนื้อตัวของเพลงพิณเย็นเยือก แต่ตัวของป๋องนั้นเย็นยิ่งกว่า

              “พะ...พิณ...”

              คล้ายกับเขาพยายามเอ่ยคำพูด แต่ก็ยิ่งทำให้ลมหายใจที่กักเก็บมาจางหาย ปากจึงทำได้เพียงแค่ขยับ แต่ไร้ซึ่งเสียงใดเปล่งออกมา ดวงตาของเขาเริ่มริบหรี่ลงจนเกือบปิด ลำแขนสองข้างยังเกาะเกี่ยวป้องกันภัยคนที่รักดั่งน้องชายไว้ ตัวกระตุกสั่นหนาวยะเยือกเหมือนถูกแช่แข็ง

              “กะ...กะ...”

              แต่แล้วเสียงสุดท้ายก็ถูกพรากจากไปพร้อมลมหายใจ ทิ้งร่างเปล่าไร้ดวงวิญญาณไว้ในอ้อมกอดของหญิงสาว ไม่ได้ยินสิ่งใดแล้ว แม้แต่เสียงร่ำไห้ปานขาดใจ สมองพร่าเลือน มองทุกอย่างเป็นสีดำสนิท จนกระทั่งดวงจิตดับสิ้นมลายหายไป






    ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
    ผลงานที่อัพจบแล้ว



    ผลงานที่กำลังอัพ




    อยากคุยกับไรท์ กดแอดเฟรนด์หรือกดติดตามเลยค่า

    หรือไลค์เพจไว้จะได้ไม่พลาดข่าวอัพนิยาย



    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

    ฤดีวัลย์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×