คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ก ร ะ สุ น นัด เ ดี ย ว 'รักคนของคนอื่น II' (อัปครบ)
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นความคิดจากงานเขียนไม่มีอยู่จริง เนื้อหาค่อยข้างละเอียดอ่อน
ตัวละครมีมุมมองต่างกัน หากมีหักดิบบ้าง หวานบ้าง เถื่อนบ้าง ดราม่าบ้าง
ทุกสถานการณ์ขึ้นอยู่กับการดำเนินเรื่อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านตามความชอบ
กลุ่มลับ ในเพจ
EPISODE ๐.๒
ก ร ะ สุ น นัด เ ดี ย ว 'รักของคนอื่น II'
“เดียวขอเป็นรสเนยนะคะเอาน้ำตาลเยอะ ๆ เลย”
“จัดไปจ๊ะลูกสาว”
หลังจากนั้นเรานั่งคุยกันจนฉันเริ่มรู้สึกดีขึ้น
ฉันจำได้ว่ามีงานที่ต้องส่งแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
มือทั้งสองข้างเริ่มเปียกแล้วอ่า
“พี่ช่ายคะ” เราจะโดนด่ามั้ยนะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด
“ว่าไงมีอะไรพูดมาสิพี่รอฟังอยู่”
พี่ช่ายทำตัวสบาย ๆ จิบกาแฟไปด้วยตอบแชตไปด้วย
มันเป็นแชตของพวกแฟนคลับที่ติดตามข่าวสารของกระสุนอ่ะ
อย่างเช่นอัปเดตข่าว กิจกรรม
ผลงานเพลง งานถ่ายแบบ เดินแบบ รวมถึงพวกรูปภาพต่าง ๆ พี่ช่ายรับดูแลเรื่องนี้อยู่
“คือว่าเมื่อคืนเดียว” ฉันก้มหน้าต่ำจรดนิ้วชี้เข้าด้วยกันในตอนที่พูด
มันไม่ใช่ความผิดของเรานะ? “เดียวยังค้างงานอยู่” หรือว่าเป็นความผิดของเราที่ไม่รับผิดชอบ?
รีบวิ่งไปทำให้เสร็จตอนนี้ดีมั้ยนะ
“หื้ม? งานอะไร” คำถามมาพร้อมการครางรับทำให้ฉันเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น
เรื่องงานเรารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่น
ๆ หากเป็นงานด่วนแล้วเราส่งไม่ทัน..มันไม่ซวยหมดเหรอ
ฉันเป็นเด็กฝึกงานที่กำลังจะจบการศึกษา
ฉันเรียนวิศวฯคอม เก่งพวกการเขียนโปรแกรม การคำนวณรวมถึงพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นระบบ
ถามว่าเกี่ยวอะไรกับที่แห่งนี้
มันคงไม่เกี่ยวเต็มร้อยแต่พี่ช่ายเห็นช่องทางหลากหลายเธอจึงดึงฉันเข้ามา
เธอบอกว่าฉันเก่งอยู่แล้ว มีงานอะไรฉันทำได้แน่นอนไม่เป็นตัวถ่วง
ฉันจึงรับหน้าที่ดูแลจำพวกระบบซอฟต์แวร์ของสตูดิโอแห่งนี้แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…ใครจะคิดว่าโลกใบนี้มันจะกลมจนฉันโคจรมาจนมาเจอรักครั้งแรกแถมยังเป็นรักข้างเดียว
ไม่ ๆ
เลิกคิดซะนัดเดียวโฟกัสกับงานหน่อย
“ว่าไง?” พี่ช่ายถามย้ำฉันจึงส่ายหน้ารีบตอบกลับไปทันที
“กะก็งานที่พี่ให้เดียวตัดต่อไงค่ะ” มิวสิควิดีโอใหม่ของกระสุนอ่า พี่ช่ายบอกให้ฉันส่งให้เธอดูเช้าวันนี้แล้วดูเหมือนมันยังไม่คืบหน้าเลย
“อ้อ…” ใบหน้าสวยครางรับพลางยิ้มแต่มือเธอยังไล่อ่านคอมเม้นอื่น
ๆ ไปด้วย “กระสุนมันเลื่อนงานออกไปเมื่อสองวันก่อน”
“เอ๊ะ?”
“พี่ลืมบอกเราหรอหรอก”
“…”
“ซอรี่น่า”
เลื่อนเหรอแล้วแบบนี้ที่เรานั่งตัดต่อสามวันติดต่อกันจนไม่ได้หลับไม่นอนก็เพราะคำว่าลืมของพี่ช่าย…แบบนี้เราสมควรโกรธพี่เขาดีมั้ยนะ
ใช่เราควรโกรธสิอย่างน้อยงอลหน่อย ๆ
ก็ดี
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้หลวม ๆ
ถือว่าโชคดีที่ไม่เบี้ยวงานของพวกเขา
ไม่งั้นแย่
“วันนี้ไม่มีงานอะไรนัดเดียวอยากทำอะไรก็ได้นะจ๊ะ” เห็นพี่ช่ายบอกแบบนั้น ฉันที่นั่งเหนื่อย ๆ จึงกำขอบกระโปรงตัวเองไว้แน่น
“งั้นเดียวขอกลับบ้านได้มั้ยคะ”
เราไม่ได้กลับบ้านมาเมื่อคืนแถมแบตมือถือก็ดันหมดป่านี้พี่ชายสุดหล่อจอมบงการชีวิตไม่สาปแช่งเราหรือไง
“หื้ม? แล้วนี่นัดเดียวไม่ได้กลับบ้านหรอหรอกเมื่อคืน” คำถามมาพร้อมการจ้องมอง มือสวยคู่นั้นวางลงบนไอแพด
เราควรตอบกลับยังไงดี งานก็ไม่เสร็จ
บ้านก็ยังไม่กลับ
“…”
เราต้องเม้มปากอีกแล้วเหรอเนี่ย
“เกร็งแบบนี้มีเรื่องอะไรชัวร์ใช่มั้ย” พี่ช่ายจ้องจับผิดด้วยการดึงเก้าอี้ของให้ฉันเข้าไปใกล้เธอ สายตาหวานดูดุดันในเวลาต่อมา
“ไอ้กระสุนมันทำอะไรเรา”
ตึกตัก ตึกตัก
ไม่นะ
“บอกพี่มาไม่ต้องนั่งคำนวณเลยนัดเดียว”
เราจะบอกพี่ได้ไงเรื่องมันไม่ควรบอกใครด้วยซ้ำ
“นัดเดียวตอบ”
เสียงแข็งจัง…
“หนูลบข้อมูลที่เซฟไว้ในเครื่องจนมันหายไปหมดเลยนั่งทำใหม่ทั้งคืนแต่มันก็..” มันเป็นประโยคหลอกลวงที่ฉันทนฝืนพูดออกไปด้วยการเบี่ยงหน้าไปทางซ้าย
สองมือกำขอบโปรงแน่นขึ้น “แต่มันก็ไม่ทันอยู่ดีค่ะ”
โกหกอีกแล้วสินะ
หมับ
“พี่ก็เหมือนพี่สาวเราเรื่องแบบนี้บอกกันตรง ๆ
ไม่ต้องปกปิดพี่ไม่ว่าอะไรเราหรอก” ฉันถึงกับโล่งอกในคำพูดของพี่ช่าย
เธอลูบหัวฉันไปหนึ่งทีจากนั้นสั่งให้ฉันลุกจากเก้าอี้
“กลับไปบ้านแล้วก็ทานข้าวจากนั้นพักผ่อนซะนะ” ฉันไม่พูดอะไรอีกเลือกยกมือขึ้นจากนั้นไหว้เธอนอบน้อม ๆ
แล้วก็เดินออกมาจนถึงหน้าบริษัท
ระหว่างทางมีกลุ่มผู้ชายสองสามคนกำลังเดินตรงเข้ามา
เราเลือกวิธีการด้วยการก้มหน้ามองพื้นตามด้วยย่ำเท้าออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดแต่แล้ว
“นัดเดียวววว” เสียงร่าเริงบวกกับความสดใสมาพร้อมกับการดึงกระเป๋าสะพายของฉันไว้
ปลายเท้าฉันหยุดชะงักทันที สัมผัสผิดแปลกถูกต่อเติมในช่องว่าง
นั่นก็คือ
“ไอ้เชฟมึงปล่อยมือออกจากแขนน้องเขาเลยนะ” เสียงหนาหันไปพูดกับคนที่ชื่อเชฟ ซึ่งเชฟเองก็ดันยิ้มทะลึ่กให้ฉันซะด้วย
“…”
“อะไรวะกูก็แค่ทักน้องเขาเองมึงอิจฉากูหรือวะไอ้เหนือ” การเซาะเล่น ๆ เกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะกับฉัน
ผู้ชายกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ฉันคุ้นเคย
ฉันหมายถึงฉันรู้จักพวกเขา ฉันทำงานให้กับพวกเขาเลยต่างหาก เขาเป็นเพื่อนร่วมวงกับกระสุน
เป็นเพื่อนสนิทของเขาเลยก็ว่าได้
“โอ๊ะ น้องจะร้องแล้วมึงรีบปล่อยเลยนะไอ้เชฟ” การดึงดันเกิดขึ้นในตอนที่ฉันสับสนผู้ชายอีกคนพูดตัดขึ้นมาทำให้พี่เชฟรวมถึงพี่เหนือมองฉัน
เราไม่ได้จะร้องซะหน่อยลมมันพัดมาต่างหากน้ำตาเลยปริ่ม
ๆ
“น้องร้องเราต้องปลอบเปล่าวะ”
พี่เชฟดูลังเลเหมือนจะปล่อยมือแต่ก็อยากกอดด้วยเช่นกัน
การกระทำของพวกเขามันโล่งแจ้ง
ทุกคนดูเด่นหมด ไม่ว่าจะรูปร่างสัดส่วน ใบหน้า ฉันค่อยข้างมองโลกในแง่ดี
มองทุกคนในที่นี้เหมือนพี่ชาย
‘พี่เชฟ’ เป็นมือกลอง เป็นคนรูปร่างดี เป็นบุคคลที่น่ารักที่สุดในกลุ่ม
เขาใจดีกับฉันมากที่สุด เขาชอบแกล้งแต่ด้วยความแกล้งมักจะมีอะไรอยู่เสมอ
เขาไม่ได้แกล้งฉันบ่อยนักหรอก พี่เชฟจะแกล้งก็ตอนที่ฉันเงียบ ๆ หรือไม่ก็บึ้งตึงไม่ยอมคุยกับใคร
ตอนแรกฉันเข้าใจผิดคิดว่าเขาแกล้งฉันตามภาษาพวกผู้ชายที่จะเต๊าะผู้หญิงไปวัน
ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ ฉันกลับพบว่ามันไม่ใช่ พี่เชฟดูน่ารัก ดูเป็นกันเอง
เป็นคนใส่ใจคนอื่นตลอดเวลา เขามักจะแซวเพื่อให้ฉันอาย
ทั้งที่ความจริงแล้วฉันรู้หรอกว่าเขาทำเพื่อไม่ให้ฉันคิดมากต่างหาก
ส่วน ‘พี่เหนือ’
เป็นมือเบส หน้าตาดีที่สุดในบรรดาสองคนนี้ เขาเป็นคนนิ่ง ๆ แต่อ่อนไหวง่าย
เขามักจะไม่ชอบการบังคับของใคร
คนสุดท้ายเป็น ‘พี่ทาวน์’ เป็นมือกีตาร์ เขาเป็นคนพูดน้อยแบบชนิดที่ว่าถามไปสามประโยคตอบกลับมาหนึ่งคำ
สามคนนี้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อสังคมมาก
พวกเขาค่อยข้างรักอิสระ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีนิสัยต่างกันแต่อยู่ด้วยกันได้ทำนองนั้น
“ปลอบบ้าอะไรของมึงวะไอ้เชฟปล่อยมือน้องเขาได้แล้ว” พี่เหนือสั่งด้วยใบหน้านิ่ง
เมื่อกี้เขาเลิกคิ้วเชิงเบื่อหน่ายด้วย
ก็ปกติเขาไม่ค่อยจะมองหน้าฉันโดยเฉพาะพี่เหนือ
เขาไม่มองหน้าฉันในตอนพูดเลย ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาชอบใจหรือไม่พอใจอะไรฉันหรือเปล่า
ฉันจึงเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น
มันเป็นจังหวะที่รถคันหนึ่งวิ่งผ่านไป
เราลืมไปเลยว่าอยู่หน้าบริษัท
แบบนี้เป็นข่าวได้แน่เลย
เราต้องบอกให้พี่เชฟปล่อยมือไม่งั้นเขาจะเดือดร้อน
“พี่ชะเชฟ” เรียกไม่ทันขาดคำใบหน้าทะเล้นก็ดันค้อมตัวลงมาแถมยังยิ้มให้ฉันอีกด้วย
เป็นคนอื่นคงหวั่นไหวแต่ไม่ใช่เรา…
“เรียกหาพี่ทำไมครับ”
คำพูดสุภาพแบบนั้นทำให้เขาดูหล่อขึ้นแต่ว่า
ผัวะ!
“ปล่อยมือ” เสียงตบมาพร้อมกับคำสั่งของพี่เหนือส่วนพี่ทาวน์กระชากคอเสื้อลากพี่เชฟให้เดินออกไปทำให้เขาปล่อยมือฉันในที่สุด
“ไอ้พวกเวร!” พี่เชฟตะโกนโวยวายไม่หยุดเลยเราเห็นแล้วส่ายหัว
พวกเขาหายเข้าไปในบริษัทแล้ว
มันเป็นวินาทีเดียวกันที่ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า
เอี๊ยดด!
ปึก!
หมับ!
ช่วงจังหวะที่ฉันยืนมองท้องฟ้ารถคันหนึ่งวิ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วก่อนจะเหยียบเบรคกะทันหันต่อจากนั้นช่วงไหล่ของฉันถูกรวบรัดให้เผชิญกับดวงตาดุดัน
“อะเฮีย” เสียงเราหายไปเลย
เฮียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมถึงได้ทำหน้าดุแบบนั้นล่ะ
ฮึก
หายใจไม่สะดวกเลยอ่า รู้สึกถึงแสงแดดของการเผาไหม้
จริงสิเรายืนที่แจ้ง
“เฮียโทรหาทำไมไม่รับสาย” เสียงห้าวดังขึ้นจนฉันสะดุ้ง
เฮียชอบตะคอกใส่นัดเดียวตลอดเลยอ่า
นัดเดียวไม่อยากคุยกับเฮีย นัดเดียวจะเดินหนี
“ไม่ต้องเม้มริมฝีปากขึ้นรถ” ร่างสูงสั่งดึงฉันไปที่รถ
ฉันจะงอลเฮียเลยขัดขืน “อ้อ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง” เฮียฉุนเฉียวทุกครั้งที่ฉันงอแง
เฮียเป็นพี่ชายของฉันชื่อ
‘อาเซ่อ’ หน้าตาก็พอดูได้ เป็นคนขี้หงุดหงิด
อารมณ์ร้อน พูดไม่เพราะ เราเลยไม่อยากพูดด้วย แถมยังบงการชีวิตนัดเดียวยิ่งกว่าอะไร
“จะยืนตากแดดอีกนานมั้ยเฮียบอกให้ขึ้นรถ”
สั่งไม่พอยังมีหน้าผละไหล่นัดเดียวอีก
ไอ้พี่ชายใจร้าย
หนูจะร้องไห้คอยดู!
“แหนะ ไม่ต้องทำสีหน้าอย่างนั้นเลยเฮียไม่ใจอ่อนเหมือนป๊าหรอกนะ”
ชอบพูดถึงป๊าอยู่เรื่อยเลย
หาว่าป๊ารักนัดเดียวมากกว่าอาเซ่อ ทั้ง ๆ ที่อาเซ่อเองเป็นลูกรักของม๊านัดเดียวไม่เคยว่าสักคำ
-ต่อมา-
พวกเรากลับมาถึงบ้านอาเซ่อลงไปจากรถแล้วฉันถึงได้เดินตามหลังเฮียตัวเองเข้าไปในบ้าน
วันนี้มีนัดทานข้าวพวกเราก็เลยต้องกลับบ้าน
อันที่จริงฉันอยู่คอนโดกับเฮียจะขอย้ายออกไปใช้ชีวิตคนเดียวเฮียก็ไม่ยอมก็เลยจำใจ
ก็บอกแล้วเฮียเป็นมากกว่าป๊า
“กลับกันมาแล้วเหรอ” ป๊าผู้ชายร่างอ้วน ๆ ตัวสูง ๆ
มีใบหน้าอ่อนโยนเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเดินตรงมาในห้องรับแขก ป๊าเหลือบมองเฮียเล็กน้อยในตอนที่เฮียยกมือไหว้ป๊าหลวม
ๆ ต่อมาเฮียก็นั่งลงด้วยการวางเท้าไว้บนโต๊ะ ท่าทีเหมือนคนเบื่อโลก
เฮียแสดงสีหน้ารำคาญป๊าออกจะบ่อยเราเห็นจนชิน
“ไปก่อเรื่องที่ไหนมาอีกล่ะแกหนะ”
ป๊าหันไปดุเฮียก่อนจะเดินเข้ามาหาฉันด้วยการกอด
ด้วยความที่ฉันเป็นลูกรักของป๊า
ป๊าไม่เคยบ่นกับฉันสักคำก็มีแต่ม๊าเท่านั้นที่ดุฉัน
“เห็นหน้าลูกรักไม่ได้นะ” เฮียแหวะป๊าด้วยแบะปากมองบน
วิธีการที่เฮียทำมันดูตลกจัง มันไม่เข้ากับรูปร่างของเฮียเลย
“แกนี่มันยังไงกลับมาแทนจะพูดให้ฉันสบายใจกลับกวนอารมณ์ให้ฉันโมโหอยู่ได้
ป๊าว่าอย่างเคือง
“ใครดุอาเซ่อ”
ด้วยความที่ป๊าพูดเสียงดังม๊าที่ใช้ครัวอยู่ถึงได้เดินเข้ามา ในมือม๊ามีตะหลิวอยู่ด้วย
เราไม่ได้โฟกัสม๊าแต่เราโฟกัสเศษผักที่ติดตะหลิวต่างหาก
“หอมม๊าทำของโปรดให้เฮียอีกแล้วสินะ” ฉันพูดกอดป๊าแน่นขึ้น
ดูเหมือนฉันลืมความอึดอัดไปหมดเลยเมื่ออยู่กับครอบครัว
“ของอาเซ่อมีของเราก็มี”
ป๊าบอกหอมแก้มฉันทำให้ม๊าชักสีหน้าใส่ป๊า
“อะไร ๆ ก็ลูกสาว”
ม๊าเดินเข้ามาพร้อมตะหลิว
“อะไร ๆ ก็ลูกชาย”
ป๊าบอกปล่อยอ้อมกอดออกจากฉันก่อนจะวิ่งขึ้นตัวบ้านไป
เห็นแบบนี้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุขนะยกเว้นเพียงแค่ตัวฉันเท่านั้นเอง
“อาเซ่อเราก็อย่าทำให้ป๊าดุนักสิ”
ม๊าพูดในตอนที่ปรับอารมณ์ได้แล้วส่วนอาเซ่อเองพยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรออกมา “เราก็ด้วยนัดเดียว”
“คะ?”
“ม๊าโทรหาทั้งหลายรอบทำไมไม่ยอมรับสาย”
เอ๊ะ
ม๊าโทรหาเราเหรอทำไมเราไม่รู้เลยอ่า
ได้ความแบบนั้นฉันจึงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากดดูหน้าจอตัวเองทันที
ตุบ!
“เป็นอะไรทำไมทำสีหน้าอย่างนั้น”
ม๊าดูเหมือนตกใจที่จู่ ๆ ฉันปล่อยมือถือจนตกลงบนพื้นดีนะที่มันยังคงสภาพเดิมอยู่
“ปะเปล่าค่ะนัดเดียวแค่หิวอยากทานฝีมือม๊าจะแย่อยู่แล้ว” ฉันยิ้มให้ม๊าในตอนที่เก็บมือถือเครื่องนั้นขึ้นมา ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เราไม่ได้หิว
เราแค่ตกใจที่จู่
ๆ มือถือของเราดันมีรูปของกระสุนเป็นภาพล็อกหน้าจอ
ถ้าให้จำได้มือถือของเราเป็นภาพท้องฟ้าต่างหาก…
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวมาช่วยม๊าจัดการส่วนที่เหลือด้วย” ม๊าพูดจบเดินออกไปส่วนอาเซ่อเล่นจ้องมองฉัน
อะไรของเฮียอีกอ่ะ..
“มานี่ดิ” เฮียกวักมือให้ฉันเดินเข้าไปหา
หน้าเฮียโหดใครจะกล้าปฏิเสธล่ะ
“เฮียมีอะไร” เราถามเฮียด้วยเสียงเบา ๆ
ในตอนที่เข้าไปนั่งข้างเฮีย
อยากจะบอกว่าเราแอบหายใจเข้าปอดลึก
ๆ เมื่อเห็นสายตาดุคมของเฮียที่มองมา
“รูปหน้าจอเฮียว่าเฮียคุ้นหน้า”
ฮึก
“เฮียเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…”
แฮ่ๆๆ
ฉันพยายามยิ้มกลบเกลื่อนขยับตัวออกห่างในตอนที่เฮียเริ่มจับผิด
จริง ๆ แล้วเฮียไม่รู้จักกระสุนด้วยซ้ำหรอก ฉันหมายถึงเฮียไม่รู้ว่าเขาคือใคร
เฮียไม่ใช่คนที่เป็นประเภทสนใจรายละเอียด
เฮียรู้แค่ว่าฉันกำลังเรียนหนังสืออยู่ในช่วงฝึกงานและรู้ว่าฉันฝึกอยู่ที่ไหนแต่เฮียไม่เคยลงรายเอียดไปมากกว่านี้
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เฮียสนใจอย่างอื่น
“ดาราไงเฮีย” ฉันตอบพยายามจะลุกหนีแต่เฮียจับไหล่ฉันไว้
“ดารา?” เฮียตั้งคำถามมองแบบไม่เชื่อใจ
“ใช่” เราตอบเราโกหกอีกแล้ว
“เฮียไม่ยักรู้ว่าเราชอบดารา”
แล้วเฮียจะสนใจน้องสาวทำไมอ่า ฉันทำได้แค่เกาหัวตัวเองแถมยังยิ้มจืด ๆ ไปให้เฮียอีก
“ไม่ใช่ว่าแฟน”
“บ้า!”
แฟนเฟินอะไรไม่มี
เราไม่ใช่รักใครง่าย ๆ นะ
“ถ้าไม่ใช่แฟนก็ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวถึงขั้นเอาตีนมาถีบหน้าเฮีย”
เอ๊ะ?
ตีน? ถีบ?
หน้าเฮีย?
ฉันคิดตามอย่างที่เฮียพูด
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เฮียปัดตัวฉันออกจากร่างกายของเขา
นี่เราเผลอทำร่างกายลูกสุดที่รักของม๊าหรอหรอก
“หนูขอโทษเฮีย” ฉันนั่งลงบนพื้นยกมือขึ้นไหว้เฮียหลวม
ๆ ที่ฉันขอโทษก็เพราะดันทำตัวไม่น่ารักกับพี่ชายตัวเองต่างหาก
ทำไมนะทำไมเราถึงได้แสดงกิริยาแบบนี้
“แอบชอบผู้ชายละสิ”
ดวงตาดุคมมองฉันหนึ่งครั้งจากนั้นลดสายตาลงต่ำ “อาการเรามันฟ้อง”
“…”
ฉันเงียบเพราะไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี
ฉันอยู่ที่บ้านเป็นคนคิดแล้วพูดเลยแต่เมื่ออยู่กับคนนอกฉันกลับต้องคิดก่อนพูดซึ่งมันก็ใช้เวลานานมาก
ๆ
“คำนวณหาค่า?” เฮียลากสายตาตอนที่พูด “ไว้วันหลังแนะนำให้เฮียรู้จักบ้างสิ”
รู้สึกถึงแรงผวายังไงอย่างนั้นแหละ
“เฮียจะได้ต่อยถูกคน”
นั้นไงว่าแล้วเชียว
“หนูไม่ได้ชอบเขาซะหน่อย” ในที่สุดฉันก็พูดออกไป
“ไม่ชอบ?” หน้าเฮียไม่เชื่อเลยต่างหาก
เฮียจะพูดยังไงก็ช่างตอนนี้ฉันกลับสู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกแล้ว
ตอนแรกมันพอจะลืมได้แต่เมื่อเฮียพูดเรื่องกระสุนขึ้นมามันทำให้ฉันเศร้าลงหน่อย ๆ
พรึบ
“อ้าวเห้ยจะไปไหนเฮียยังพูดไม่จบกลับมาก่อนไอ้นัดเดียว!” เฮียโวยวายจนฉันเดินหนี
ฉันขึ้นมาชั้นบนของบ้านเปิดห้องนอนของตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง
“มือถือทำไมมันถึงได้เป็นรูปของกระสุนนะ” เราตั้งคำถามด้วยการมองมือถือเครื่องนั้น
และจังหวะนั้นเอง
Rrrr
ตุบ
“โอ้ยย! จะเจ็บ”
ฉันลูบหน้าผาตัวเองพร้อมกับมองเบอร์เมื่อกี้ มือถือยังคงสั่นอยู่
ปลายสายยังคงโทรเข้ามา
‘ไอ้เหี้ยเหนือ’
อัปครบ
ขอบคุณทุกคนที่รอไรท์ให้อัพกระสุนนะคะ ครอบครัวน้องน่ารัก ส่วนกระสุนไม่อ่อนโยนเลยจ้า
1 เม้น 1 กำลังใจ
ความคิดเห็น