ตอนที่ 4 : MADDEN LOVE : 03
3
Fortuitous
ฉันสบตากับผู้ชายที่นั่งอยู่กับพี่ชายฉันครั้งหนึ่งก่อนที่จะหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจแต่ก็สงสัยอยู่ว่าเขาเป็นใครรู้จักพี่ชายฉันได้ยังไง ช่างเถอะขี้เกียจถาม แต่สายตาที่หมอนั่นมองมาที่ฉันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงขึ้นมายังไงชอบกล เหมือนฉันกำลังโดนลวนลามทางสายตาอยู่เลย
“เป็นไรทำหน้าหงุดหงิด”
ไอ้เชี่ยวถามพร้อมกับใช้มือของมันวางไว้บนหัวฉันตามนิสัยของมันที่ชอบวางอะไรไว้กับสิ่งที่เตี้ยกว่ามัน นั่นก็คือหัวฉัน
“เปล่า”
ฉันตอบก่อนที่จะเดินขึ้นไปนั่งบนรถของไอ้เชี่ยวที่มีไอ้วนนอนหลับอยู่เบาะหลังอย่างเคย ไอ้นี่ก็ขี้เกียจ ถึงมันจะขี้เกียจแต่มันก็ไปไหนด้วยทุกทีไม่เคยบ่น
วันนี้ฉันกับเพื่อนในกลุ่มมีนัดไปฉลองวันเกิดของเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่พอจะรู้จักกันบ้างแต่อยู่คนละมหาลัยกับฉัน เลยไม่ค่อยได้เจอกันซักเท่าไหร่ พวกเพื่อนของไอ้เชี่ยวกับไอ้วนนะ ฉันเลยพลอยรู้จักไปด้วย
“ว๊าว สวยเหมือนเดิมเลยนะซอล”
ทันทีที่เข้าไปในผับแล้วกลุ่มเพื่อนผู้ชายก็เอ่ยแซวฉันอย่างเช่นทุกครั้งที่พวกมันเจอฉัน ฉันไม่ใช่สาวหวาน สาวเปรี้ยว แต่ฉันมันแนวห้าวเข้ากับผู้ชายได้ง่าย เลยไม่ค่อยจะเขินกับคำพูดไร้สาระพวกนี้หรอก
“เข้มๆ แก้วหนึ่ง”
ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่ที่ล้อมเป็นวงขนาดใหญ่ โดยข้างๆ ก็มีไอ้แฝดนั่งอยู่ด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าไอ้พวกแฝดหวังจะเก็บฉันไว้กินเองหรือเปล่า เห็นตามติดตามหวงตลอด ขอบอกเลยว่าเซย์โนค่ะ ไอ้พวกนี้เห็นฉันเหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง และมันก็ปฏิบัติกับฉันเหมือนผู้ชายด้วย
“จะว่าไปสวยๆ อย่างซอลเมื่อไหร่จะมีแฟน”
คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามหลังจากที่ชงเหล้ามาให้ฉัน
“ไม่มีก็ไม่ตาย”
“พูดแบบนี้ผู้ชายหลายคนแถวนี้อกหักไปเป็นแถว”
ฉันก็ได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ จะว่าไปที่นั่งอยู่นี่มีฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวหรือไง แต่ความสงสัยของฉันก็มลายหายไปเมื่อมีผู้หญิงหุ่นสะบึ้มสองคนเดินเข้ามานั่งฉันพร้อมกับขอชนแก้วกับผู้ชายในวงด้วยสายตาที่ฉันเห็นก็ได้แค่เคล้นยิ้มด้วยความเวทนา หึ แบบนี้ก็ได้เหรอ หากินง่ายไป
ฉันไม่สนใจยัยพวกนั้นซักเท่าไหร่ว่าจะมองฉันที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มว่ายังไง แค่พวกเธอมาสร้างความสนุกให้หนุ่มๆ ในกลุ่มก็พอแล้ว แต่ขอร้องอย่างมาเกะกะฉันก็เป็นพอ
“ไม่ยักรู้ว่าพวกนายมีเพื่อนหล่อๆ แบบนี้ด้วย”
ยัยปากแดงนมโตพูดพร้อมกับกรีดสายตามองมาทางที่ไอ้เชี่ยวกับไอ้วนนั่งอยู่แต่ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยเลยถูกมองไปด้วยไง และดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักเพื่อนกลุ่มนี้ของฉันอยู่ก่อนแล้ว ก็ว่าเห็นไม่กลัวอะไรเลยแบบนั้น
“อ่อ เพื่อนอีกมหาลัยนะ คบมาตั้งแต่มัธยมแล้ว”
คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น ฉันไม่ค่อยใส่ใจซักเท่าไหร่ว่าใครจะพูดหรือทำอะไรตอนนี้ ฉันเพียงแค่อยากดื่ม อยากเมา แค่นั้น ฉันไม่ใช่คนขี้เมาแต่ฉันชอบบรรยากาศในวงเหล้ามากกว่า มันปลดปล่อยความเป็นตัวตนของเราดี
“เป็นแฝดกันเหรอ”
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่ายัยปากแดงนั่นจะถามมาที่พวกไอ้แฝดตรงๆ บอกตรงยัยนี่แม่งโคตรอ่อยวะ ขนาดฉันเป็นผู้หญิงด้วยกันเองยังดูออกเลย
“ครับ”
ไอ้เชี่ยวตอบไปตามนิสัยเจ้าชู้ของมัน กับผู้หญิงมันก็แบบนี้ทุกคนแต่มันเบื่อเมื่อไหร่ ขอบอก เหมือนเหรียญกลับด้านนั่นแหละ ส่วนไอ้วนอย่าหวังเหอะว่ามันจะคุยด้วย ลำพังฉันที่เป็นเพื่อนมันยังไม่ค่อยจะพูดด้วยเลย
ยัยนั่นยิ้มให้ไอ้เชี่ยวก่อนที่จะมองมาที่ฉันด้วยสายตาแบบว่าที่ผู้หญิงด้วยกันมันมองรู้ว่ายัยนี่กำลังจ้องเขม่งฉันทางสายตา มันแสดงออกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ชอบที่ฉันนั่งขั้นกลางระหว่างสองแฝดนี่ ฉันเลยมองกลับด้วยสายตาเบื่อๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“มองเพื่อ มีไรข้องใจ เคลียร์ได้”
คำพูดของฉันทำให้ผู้ชายทั้งกลุ่มหันมามองด้วยความสนใจ พร้อมกับยิ้มเหมือนกับจะรู้ว่ากำลังมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นอีกในไม่ช้า คนพวกนี้มันรู้กันอยู่แล้ว ไม่งั้นจะทนคบกันไปได้ไง
“ปะ เปล่า”
หึ กากวะ แน่จริงก็เจอกันซึ่งๆ หน้าสิ ฉันได้แต่เคล้นยิ้มออกมาด้วยความเยาะเย้ย ยัยนั่นดูเหมือนจะเก่งแค่มองคงคิดว่าหน้าตาที่ดูเหมือนคนใสใสตัวเล็กๆ เหมือนสู้คนไม่ได้อย่างฉันจะกล้าตอกกลับเธอไปแบบนั้น ขอโทษนะ พอดีฉันไม่ได้ใสอย่างที่เห็นกัน
“กาก”
ฉันเอ่ยก่อนที่จะยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม ส่วนพวกผู้ชายที่รอดูอยู่ก็ได้แต่ทำหน้าเสียดายกัน ให้ตายสิ พวกนี้ชอบนักหรือไงกันเวลาที่ฉันมีเรื่องกับคนอื่นแบบนี้ พวกนั้นเคยบอกว่าเวลาที่ฉันมีเรื่องกับใครหรือด่าใครมันสนุกดีและมันน่ามองแปลก พิลึกคน
และต่อมาดูเหมือนว่ายัยพวกนั้นจะทนแรงกดดันไม่ไหวก็ถอยออกไป เลยทำให้ภายในวงเหลือผู้หญิงแค่ฉันเพียงคนเดียวอย่างเคย ส่วนผู้ชายเจ้าชู้อย่างไอ้เชี่ยวก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะวันนี้เรามาดื่มกัน ไม่ใช่มาล่าเหยื่อ ถ้ามันจะล่ามันไม่เอาฉันมาด้วยหรอก และอีกอย่างถ้าเกิดมันล่ามันก็ต้องไปนอนที่อื่นเพราะคืนนี้ฉันจะไปค้างที่ห้องพวกมัน เพราะทุกคนรู้ดีว่าเวลาฉันดื่มฉันจะดื่มแบบสุดเหวี่ยงแล้วไปจบที่ห้องของพวกแฝดอยู่ดี ถ้าฉันอยู่พวกผู้หญิงพวกนั้นห้าม แค่นั้น
“อ่า”
ฉันครางออกมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมึนขึ้นมาแล้ว เห็นฉันปล่อยตัวแบบไม่กลัวอะไรแบบนี้ก็เพราะรู้ดีว่าสองแฝดมันคุมอยู่
“ไอ้ซอลไปไหน”
ไอ้เชี่ยวที่เริ่มกริ่มๆ เรียกฉันขณะที่ฉันลุกขึ้นจะไปที่ไหนสักแห่ง ดูท่าวันนี้แล้วคนที่พากลับน่าจะเป็นไอ้วนเพราะไอ้เชี่ยวเริ่มไปแล้ว ไอ้วนความหวังสุดท้ายขึ้นอยู่กับมึงแล้ว
“ห้องน้ำ”
“เออ”
ก็อย่างที่บอกว่าพวกมันไม่เห็นฉันเป็นผู้หญิง คำว่าพูดกันดีๆ ไม่เคยมีหรอก ฉันเลยเดินเซๆ มุ่งหน้าไปห้องน้ำที่เหมือนว่าจะอยู่ห่างไปพอสมควรหรือเป็นเพราะฉันเริ่มเมาแล้ววะ เลยทำให้เธอเดินช้าแบบนี้ คนแม่งก็เยอะชิบ
ผลัก
“อ่ะ”
ดูเหมือนว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาชนฉันเข้าฉันเลยเซไปล้มนั่งทับใครเข้าก็ไม่รู้ และดูเหมือนว่าเจ้าของตักที่ฉันนั่งทับอยู่จะตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเพราะสีหน้าของเขาดูตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด อ่า ฉันนั่งทับตักผู้ชายอยู่นะ
“อ่า โทษที”
ฉันเอ่ยขอโทษออกไปก่อนจะยันกายลุกขึ้นแต่ดูเหมือนว่ามันทำยากกว่าที่คิด ทำไมโลกมันเริ่มหมุนวะ แล้วไอ้เจ้าของตักนี่ก็ไม่ช่วยฉันเลยเอาแต่มองหน้าฉันอยู่อย่างนั้นแล้วมันได้อะไรขึ้นมา
“ช่วยหน่อย”
ฉันบอกอีกครั้งและครั้งนี้เหมือนเขาจะได้สติขึ้นมาบ้างแล้วเลยเอื้อมมือมาจับเอวฉันยกขึ้นฉันเลยสามารถลุกได้สักที
“ขอบคุณ”
ฉันบอกเพียงแค่นั้นแล้วค่อยๆ เดินเซๆ มุ่งหน้าไปห้องน้ำต่อ ฉันทำธุระกับตัวเองสักพักก็พอสร่างขึ้นมาบ้างแล้วเลยเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางที่ดูดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาดักหน้าฉันไว้เสียก่อน ฉันเลยมองหน้าเขาไปด้วยสายตานิ่งๆ
“อะไร”
ฉันถามออกไปเพราะเขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมาสักที เห็นแล้วมันรำคาญตานะ
“เมื่อกี้ที่คุณล้ม คุณทำมือถือตกไว้นะ”
เขาตอบพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ที่คุ้นตาส่งมาให้ฉัน อ่า นี่ของฉันเอง ผู้ชายคนนี้คงเป็นคนที่ฉันล้มไปนั่งตักเมื่อกี้แน่ๆ เลย เมื่อกี้เห็นหน้าไม่ชัดแต่ตอนนี้ชัดแจ๋วเลยพอได้รู้ว่าเขาหล่ออยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจสั่น เฉยๆ
“ขอบคุณ”
ฉันขอบคุณไปหลังจากที่รับโทรศัพท์คืนมา อย่างน้อยเขาก็อุตส่าห์เอามาคืนฉันเลยยิ้มให้ไปครั้งหนึ่งแบบมีน้ำใจ และเขาก็ยังคงมองหน้าฉันค้างไว้อยู่อย่างนั้น ฉันเลยดีดนิ้วต่อหน้าเขาเพื่อให้สติเขากลับคือสู่ร่าง
“เออ ผมซันครับ”
จู่ๆ หมอนั่นก็โผล่งบอกชื่อตัวเองมา เลยทำให้ฉันงงเป็นไก่ตาแตกว่าเขาต้องการที่จะสื่ออะไรกับฉันหรือเปล่า
“แค่อยากบอกว่า ชื่อซัน”
“อ่อ จะจำไว้ละกัน”
ฉันบอกก่อนที่จะทำท่าจะเดินออกมา แต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อเขาเรียกฉันไว้
“คุณชื่ออะไร”
“ซอล”
ฉันบอกแค่นั้นก่อนที่จะเดินออกมา ไม่ใช่ว่าหยิ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วย ไม่รู้จักเลยไม่อยากสุงสิง ฉันเดินกลับมาถึงโต๊ะไอ้สองแฝดก็จ้องมาที่ฉันด้วยสายตาเขม่งทันที อะไรอีกวะเนี่ย
“ไปไหนมาวะ โคตรนาน นึกว่าตกส้วมตาย”
ไอ้เชี่ยวถามออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็รู้ว่าห่วง ก็คนเมามึงจะให้เดินเร็วได้ไง กูไม่เซียนขนาดนั้น
“กูเมา กูเซ จบ”
ฉันบอกก่อนที่จะกรอกเหล้าเข้าปากต่อ และไอ้เชี่ยวก็ไม่ถามอะไรเซ้าซี้ต่อ เวลาผ่านไปได้สักพักฉันก็พอรู้แล้วว่าฉันเมามากแล้วสติสตางค์เริ่มหายหมดแล้ว ตอนนี้ไอ้วนกำลังแบกร่างไอ้เชี่ยวที่ไม่รู้ว่าน็อกไปตั้งแต่ตอนไหนไปที่รถของเขา ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งรอที่หน้าผับรอไอ้วนกลับมารับอีกทีเพราะไปเองตอนนี้มีหวังจูบพื้นแน่
“อ้าว มานั่งทำไรตรงนี้”
ฉันไม่รู้ว่าใครมาทักฉันตอนนี้รู้แค่ว่ากูมึน กูเมา กูเดินไม่ได้
“ใครอ่า~”
ฉันเอ่ยถามเสียงยานพร้อมกับเอียงคอมองหน้าเขา ใครวะ
“ซันไง ที่เธอนั่งตัก”
“อ่ออออ”
ฉันก็เออ ออไปงั้นแหละ ตอนนี้จำอะไรไม่ได้หรอก มันมึนไปหมดแล้ว
“ให้ไปส่งไหม”
ดูเหมือนว่าเขาจะหวังดีกับฉันไหมนะ หรือเป็นเพราะว่าเห็นฉันนั่งอยู่คนเดียวเหมือนโดนทิ้งแบบนี้เลยถามออกมาแบบนั้น ฉันเลยส่ายหน้าแทนคำตอบ
“กลับเองด้ายยย”
“กลับไง”
“ทำไรวะ”
เสียงคุ้นเหมือนเสียงไอ้วนเลย ตอนนี้สภาพฉันแบบว่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ใครเดินมาใครถามอะไรตอนนี้ ไม่รู้กูเมา
“แค่ดูเผื่อใครมาฉุด”
“ซอล”
ฉันรู้สึกเหมือนแก้มตัวเองโดนตบเบาๆ ใครเรียกวะ ฉันปรือตาขึ้นมองไอ้วนที่กำลังนั่นตบหน้าฉันอยู่ ไอ้นี่เลยทีเผลอตอนฉันเมาหรือไงกันตบมาซะ
“ไอ้วนนน”
ฉันเอ่ยเรียกก่อนที่ตัวฉันจะรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่กลางอากาศดูเหมือนว่าไอ้วนกำลังอุ้มฉันไว้อยู่ฉันเลยเอื้อมมือขึ้นไปโอบรอบคอไอ้วนไว้อย่างอัตโนมัติแล้วก็หลับมันไปทั้งอย่างนั้น
วันต่อมา
ฉันกลับมาถึงบ้านในเย็นของอีกวันหนึ่ง หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในห้องของใครสักคนระหว่างไอ้วนกับไอ้เชี่ยวนี่แหละ ส่วนสองคนนั้นน่าจะไปนอนอีกห้องหนึ่งเพราะว่าคอนโดของไอ้แฝดมันมีสองห้องนอนมันเลยเสียสละให้ฉันห้องหนึ่งอย่างเช่นทุกครั้งที่ฉันมา แล้วก็อยู่จนหายแฮงค์แล้วค่อยกลับบ้านอย่างที่เห็น ไม่รู้ว่าเมื่อกลับมาได้ไง น่าจะไอ้วนผู้ที่ดื่มน้อยที่สุดเป็นคนพากลับ แต่ฉันจำไม่ได้หรอกว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้าง
“ไม่กลับพรุ่งนี้เลยละ”
พอฉันเดินเข้าบ้านมาไอ้พี่ชายก็แขวะฉันทันที ส่วนพวกแฝดที่มาส่งก็ออกไปทันทีเพราะมีธุระสำคัญกับทางบ้านแต่มันก็ยังจะมาส่งฉันอยู่ดีโดยไม่ได้ลงมาทักทายพี่ชายฉันอย่างเช่นทุกครั้ง
“ความคิดดี น่าจะกลับพรุ่งนี้ ว้า เสียดาย”
ฉันไม่ได้กวนนะ เปล่าเลย
“ประชด”
ฉันเลยได้แต่ยิ้มแล้วก็เดนเข้าไปในบ้านแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สบายๆ ใส่อยู่บ้านก่อนที่จะลงมาเดินเล่นหน้าบ้าน เพราะตอนเย็นๆ แบบนี้อากาศหน้าบ้านมันกำลังดีน่าออกมาเดินเล่นสักหน่อย
“ข้าวเสร็จแล้วเรียกด้วย”
ฉันตะโกนบอกโซลที่อาสาทำอาหารเย็นให้กินวันนี้ก่อนที่จะเดินออกมาหน้าบ้าน ฉันเดินเล่นอยู่ที่สวนหน้าบ้านเรื่อยๆ แล้วบังเอิญไปเห็นว่าบ้านหลังตรงข้ามฉันมีรถคันหนึ่งกำลังแล่นออกไป บ้านหลังนั่นเป็นบ้านหลังที่ฉันชอบไปเล่นบ่อยๆ ตอนเด็กๆ แต่หลังจากที่ฉันกลับมาที่ไทยอีกครั้งฉันก็ยังไม่ได้ไปเหยียบที่บ้านหลังนั้นอีกเลยทั้งๆ ที่กลับมาตั้งนานแล้ว
เกลียด
คำเดียวที่ฉันคิดได้ตอนนี้ ฉันไม่ได้เกลียดบ้านหลังนั้น แต่ฉันเกลียดคนที่อยู่ที่นั่นต่างหาก คนคนเดียวที่ฉันไม่อยากเจอเป็นที่สุด ผู้ชายคนนั้นคนที่ฉันเกลียดเข้ากระดูก
พันแสง Talk
ผมขับรถออกมาจากบ้านหลังจากที่ภารกิจเฝ้าบ้านได้จบลงไปแล้ว เป็นอิสระสักที แต่ระหว่างที่ผมกำลังขับรถออกจากรั้วบ้านสายตาของผมก็ดันไปเจอเข้ากับร่างเล็กๆ ของใครคนหนึ่งเข้าที่บ้านหลังตรงข้าม หมายถึงบ้านของไอ้โซลนะ ตอนนี้เธอกำลังเดินทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ที่สวนหน้าบ้านของเธอ แต่เป็นเพราะบังเอิญหรือเปล่าที่ผมดันไปสบตาเธอเข้าผมรู้ว่าผมนั่งอยู่ในรถและเธอก็ไม่เห็นผมหรอก แต่ที่รู้ๆ ผมเห็นเธอ ซอล
ผมเลิกสนแล้วรีบขับรถออกไปทันที เพราะมีนัดทานข้าวกับไอ้ซันที่เร่งให้ผมไปหาเหมือนกับว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายยังไงยังงั้น ทันทีที่ผมถึงร้านประจำที่พวกเราชอบมานั่งกันไอ้ซันที่มารออยู่ก่อนแล้วถลาเข้าหาผมทันทีที่เห็นผม
“อะไรของมึง”
ผมถามเพราะเห็นว่าเพื่อนผมมันดูแปลกๆ ไป
“กูว่ากูเจอเนื้อคู่วะ”
ผมแทบจะหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ออกจากปากของไอ้ซัน เนื้อคงเนื้อคู่อะไรมันมีจริงที่ไหน ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้สักครั้ง แต่ท่าไอ้ซันท่าจะบ้า ผู้ชายเจ้าชู้อย่างมันเหรอจะเจอเนื้อคู่
“ไร้สาระวะ”
“จริงๆ กูเจอเมื่อคืน แบบว่า แม่ของลูกวะ”
ไอ้ซันพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น เมื่อคืนดูเหมือนว่ามันจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ส่วนผมขี้เกียจเลยขอบาย สงสัยมันคงเมาแล้วเบลอแน่ๆ เพื่อนผม และพวกผู้หญิงที่เที่ยวกลางคืนนะเป็นแค่ของทานเล่นไม่เหมาะเอามาทำพันธุ์หรอก
“เพ้อเจ้อ”
“คือแบบจู่ๆ ก็มีนางฟ้าหล่นลงมาบนตักกู กูแบบว่าสั่นเลย”
ผมไม่สนใจคำพูดของเพื่อนซักเท่าไหร่หันมาสนใจรายการอาหารแทนเพราะรู้สึกว่าตัวเองตอนนี้กำลังหิว และหิวมาก ส่วนไอ้ซันก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึงนางฟ้าเหี้ยอะไรของมันก็ไม่รู้อยู่อย่างนั้น
“มึงฟังกูปะวะ”
“อืม กูฟังอยู่”
ซะเมื่อไหร่
“กูไม่รู้ว่ากูจะได้เจอเขาอีกหรือเปล่า แต่แม่ง โคตรโดนใจกุูเลยวะ”
ผมเลิกสนใจไอ้ซันแต่หันมาจดจ่อกับอาหารของผมแทน เพราะเรื่องที่มันกำลังพูดอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่นอน ความรักอะไรนั่น ไม่จำเป็นสำหรับผมหรอก
เมื่อไหร่ทั้งคู่จะได้เจอกันเนี้ย
555
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
