ตอนที่ 6 : บทห้า
บทห้า
ดอกบัว สัญลักษณ์แห่งฤดูร้อนเบ่งบานลอยสง่าอยู่ทั่วสระน้ำ และด้วยสภาพอากาศซึ่งร้อนเกินทน นางได้อพยพตนเองมาใช้ชีวิตในศาลาริมสระแทนเก็บตัวอยู่ในเรือน โดยมีจินซิ่นคอยพัดให้อยู่มิห่าง
หลังจากเขียนจดหมายตอบเสวียนหลวนเหยาก็ผ่านมานานถึงครึ่งเดือน นางคิดว่าหากเขาต้องการจะตอบกลับมา จดหมายคงมาถึงในอีกมิกี่วันข้างหน้า จะว่าไปแล้วหลังจากนั้นนางก็เขียนจดหมายถึงบิดาหนึ่งฉบับ ก่อนจะได้รับตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เนื้อความบนกระดาษเปรอะเปื้อนหยาดน้ำตา
หลันหลัวซานคงภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่บุตรสาวสามารถอ่านออกเขียนได้เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น ๆ
“เจ้ายังเคืองบิดาของเจ้าอยู่หรืออย่างไร” น้ำเสียงทุ้มต่ำขององค์ชายสามเอ่ยทำลายความเงียบสงบ หลันซือซือชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ขณะหันไปรับถ้วยน้ำชาจากจินซิ่น
“บุตรีออกเรือนเปรียบได้ดั่งน้ำที่ถูกสาดออกมา ล้วนแต่มิข้องเกี่ยวกันอีก” นางตอบ เป็นครั้งแรกที่เห็นองค์ชายสามกล่าวอะไรเพื่อคนอื่น บางทีเขาคงพอมีความรู้สึกดี ๆ ให้หลันซือซือในฐานะสหายอยู่บ้าง
“แม่ทัพประจิมรักเจ้ามาก อีกอย่างการแต่งงานกับตวนอ๋องมิได้แย่นัก อย่างน้อยเขาก็ร่ำรวย”
นัยน์ตากลมโตหลุบมองพื้น “เพราะรักมากจึงต้องทำเช่นนี้”
หลันหลัวซานรักและเฝ้ามองบุตรีของเขาอยู่เสมอ ต่อให้ทักษะการสวมหน้ากากของนางยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าต้องแสดงบทลูกรักภายใต้สายตาของเขา ผู้เป็นบิดาหรือจะจดจำบุตรีของตนมิได้ หลันหลัวซานต้องรู้แน่ว่านางมิใช่หลันซือซือ ดังนั้นสู้ออกห่างแล้วเป็นเช่นนี้ยังจะดีกว่า
“ผู้ใดเป็นคนกำหนดกันว่าความรักและความปรารถนาดีต้องแสดงออกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อย่างเช่นการโอบกอดหรืออยู่ด้วยกัน ใต้หล้านี้หาได้มีอะไรตายตัว กระทั่งกฎเกณฑ์ยังแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย”
องค์ชายสามนิ่งเงียบพลางหยิบน้ำชาขึ้นดื่ม นางลอบเหยียดยิ้มแล้วออกคำสั่งกับจินซิ่นว่าให้ไปบอกโรงครัวจัดเตรียมขนมเปี๊ยะไส้งาดำ ทำให้ทั้งศาลาเหลือเพียงนางกับองค์ชายสามตามลำพัง
คล้ายกับฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่านางต้องการพูดอะไรบางอย่าง องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นสบตานาง
“ดูท่านจะยังหวาดระแวงข้า หายหน้าไปกว่าสิบวัน ความคิดของท่านยังมิตกผลึกอีกงั้นหรือ”
“ตกผลึกว่าเจ้าเพียงกลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่” องค์ชายสามกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วแสร้งเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา “พักหลังสติปัญญาของเจ้าเฉียบแหลมขึ้น”
“ข้ามีเวลาไม่มาก ก่อนจินซิ่นจะกลับมา จึงอยากกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม”
“ว่ามา”
หลันซือซือหลับตาลงก่อนปรือขึ้นอีกครั้ง “ข้าเพียงต้องการความจริงใจ อาจเรียกว่าอยากได้ท่านมาเป็นสหายซึ่งไว้ใจได้ มิใช่เพื่อผลประโยชน์”
เพราะว่าโลกใบนี้ต่างออกไป สตรีถูกกดภายใต้เส้นกรอบ ทั้งนางเองก็ต้องการทางหนีทีไล่เมื่อจวนตัว ผนวกกับมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การได้เพื่อนที่เป็นเหมือนคู่คิดสักคนจึงนับว่าเป็นเรื่องดี ฐานะองค์ชายสาม คุณสมบัติของเขาเหมาะสมที่จะเป็นสหาย รวมถึงระดับสติปัญญาก็ใช้ได้
“แล้วตอนนี้พวกเรามิใช่หรืออย่างไร”
นางส่ายหน้า “ข้าได้แสดงความจริงใจต่อท่านไปแล้ว ตามจริงหากข้าต้องการตลบหลังท่าน วันนั้นคงมิจงใจเล่นตลกให้ท่านไหวตัวได้หรอก ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนคิดมาก การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการเป็นสหาย ยิ่งทำให้ท่านหวาดระแวง”
องค์ชายสามเติบโตขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมซึ่งเต็มไปด้วยกลลวง ต่อให้เป็นความจริง เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นกลลวงอยู่ดี
ดวงตาคู่คมทอประกายเยียบเย็น “เจ้าเองก็ใช่ว่าจะจริงใจทั้งหมด”
“กระนั้นท่านก็ยังตกผลึกทางความคิดมิได้เช่นกัน” นางโคลงศีรษะ เลื่อนตัวหมากบนกระดานออกไป “ข้ามอบความจริงใจให้ท่านได้เพียงเท่านั้น เอาเถอะ เรายังมีเวลาอีกมาก รอได้อีกนานทีเดียว”
“ไฉนข้าถึงมิเข้าใจเจ้าแม้แต่น้อย” องค์ชายสามถอนหายใจ หยิบตัวหมากสีขาววางลงบนกระดาน “ปวดหัวยิ่งนัก”
หลันซือซือเลิกคิ้วสูง เลือกที่จะไม่พูดถึงมันอีก “ใกล้จะถึงเทศกาลตวนอู่ ข้าว่าจะพาจินซิ่นออกไปท่องเที่ยวนอกจวนเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
“เจ้ากำลังคิดชวนข้าด้วยหรืออย่างไร”
“ก็มิเชิงเสียทีเดียว”
องค์ชายสามชะงัก พลางจงใจบ่นให้นางได้ยิน “หลันซือซือ เจ้ามันน่าปวดหัว!”
กระนั้นเขากลับได้ยินเสียงหัวเราะ ยามจินซิ่นมาถึงหลันซือซือแย้มยิ้มราวกับมิมีอะไรเกิดขึ้น และนั่นช่างแนบเนียนยิ่ง...ไร้ที่ติ
ดูเหมือนว่าอาการเจ็บป่วยของเหอรุ่ยเตียนจะเป็นเรื่องจริง เพราะอีกฝ่ายล้มป่วยลงอีกครั้ง คราแรกจินซิ่นคิดจะปล่อยผ่านไป แต่เมื่อได้ยินว่าเหอรุ่ยเตียนนอนมิได้สติถึงสามวันก็ตัดสินใจรายงานนางในที่สุด หลันซือซือวางม้วนตำราลง ก่อนให้ไห่กงกงไปตามหมอหลวง โดยอ้างว่าให้มารักษานาง
ด้วยฐานะของเหอรุ่ยเตียนแล้ว การจะได้หมอหลวงระดับฝีมือชั้นยอดคงเป็นการยาก มาในนามของหลันซือซือดูจะมีความหวังเสียมากกว่า
ยามท่านหมอหลวงมาถึงจินซิ่นเดินเข้ามาปลุกนาง เพราะการสะดุ้งตื่นกลางดึกแทบทุกคืนทำให้นางพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ กลางวันจึงเผลอหลับอยู่เรื่อย หลันซือซือรีบล้างหน้าสำรวจความเรียบร้อยของตน แล้วออกไปต้อนรับท่านหมอหลวง
สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นางเลือกสวมอาภรณ์เนื้อผ้าบางสีสันเรียบง่าย เครื่องประดับบนศีรษะก็ลดน้อยลง จนดูแวบแรกมิต่างจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป เป็นผลให้ท่านหมอหลวงขมวดคิ้ว ก่อนคลายออกในที่สุด จากนั้นรีบค้อมกายลงทำความเคารพหลันซือซือ
“ถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ด้านหลังของท่านหมอหลวงวัยกลางคนมีเด็กหญิงผู้หนึ่งติดตามมาด้วย ซึ่งดูแล้วน่าจะอายุมากกว่านาง
หลันซือซือพยักหน้า โดยมีจินซิ่นคอยกระซิบบอกว่าคนผู้นี้คือท่านหมอหานผู้มากฝีมือ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา หากก็มิได้บอกว่าเด็กหญิงด้านหลังนั้นคือใคร
จะว่าไปหมอหลวงหาน...
“นี่คือบุตรีของกระหม่อม หานฉินซานพ่ะย่ะค่ะ” คล้ายว่าท่านหมอหลวงหานจะรับรู้ถึงความสงสัยของนาง จึงรีบแนะนำคนด้านหลัง หานฉินซานเงยหน้าสบตานางแล้วย่อตัวลงอย่างอ่อนน้อม
“หม่อมฉันหานฉินซาน ถวายพระพรพระชายาเพคะ”
นางหรี่ตาลง หานฉินซานคือนามของนางเอกในนิยายเรื่องนี้ และเด็กหญิงตรงหน้าก็คงเป็นนางเอกมิผิดแน่ บุตรีของหมอหลวง ผู้ซึ่งหลงรักกับองค์ชายรองผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เหนือพระโอรสองค์อื่น ความรักของพวกเขาได้สร้างเรื่องวุ่นวายรวมถึงความหายนะเป็นวงกว้าง
การนองเลือด สงครามการเมือง นางร้ายผู้ถูกทอดทิ้ง รวมถึงการก่อกบฏของตัวร้าย
“กระหม่อมเห็นว่านางมีความสนใจในวิชาแพทย์ จึงได้ให้นางติดตามมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลันซือซือพยักหน้า กล้าให้บุตรีติดตามมาด้วยโดยมิหวั่นเกรงว่าจะโดนโทษอะไรหรือไม่ คงต้องบอกว่าเป็นผลมาจากความโปรดปรานที่โอรสสวรรค์มอบให้แก่ท่านหมอหลวงหาน เอาเถอะ อะไรปล่อยไปได้ก็ปล่อยไป มิจำเป็นต้องแสวงหาความยุ่งยาก
“คนที่ท่านต้องรักษามิใช่ข้าหรอกนะ”
ท่านหมอหลวงหานขมวดคิ้ว “หมายความอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเป็นหมอคงมิปฏิเสธคนไข้หรอกกระมัง” ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เปิดปากถามต่อ นางขยับลุกขึ้นนำทางให้แก่ท่านหมอหลวงหาน โดยมีเหล่านางกำนัลคอยติดตามเป็นขบวน
ตลอดทางได้ยินเสียงใสของหานฉินซานถามไถ่อะไรมากมายกับบิดา พลันได้ยินชื่อของหลันซือซือลอยออกมา กล้าวิจารณ์นางระยะเผาขนเพียงนี้ ช่างมิกลัวตายเสียจริง
นางลอบปรายตามองหานฉินซานเป็นระยะ ในใจรู้สึกเฉยชาเป็นที่สุด หานฉินซานอาจเป็นนางเอกในนิยายที่อ่านก็จริงอยู่ ทว่าในชีวิตของหลันซือซืออีกฝ่ายเป็นคนซึ่งผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป ส่วนจะให้วางแผนกำจัดทำลายบุพเพของคู่พระนาง นั่นนับเป็นเรื่องไร้ค่าหาใดเปรียบ
ต่างคนต่างมีชีวิตตราบเท่าที่ตัวเองต้องการแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนใจมนุษย์มิได้หรอก
ไม่รักก็คือไม่รัก รักก็คือรัก มันก็เพียงเท่านั้น
ยามมาถึงเรือนเหมยฮวา บ่าวไพร่ข้างกายเหอรุ่ยเตียนกำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจ เป็นผลให้จินซิ่นรีบกวาดสายตาห้ามปราม แล้วให้คนนำบ่าวไพร่พวกนี้ออกไป หลันซือซือก้าวไปยืนประชิดเตียงเคียงคู่กับท่านหมอหลวงหาน ขณะที่หานฉินซานยืนมองจากทางด้านข้าง
มืออันไร้เรี่ยวแรงของเหอรุ่ยเตียนพลันยื่นมากระตุกชายอาภรณ์ของนาง ดวงตาปรือขึ้นอย่างอ่อนแรง แล้วมองนางด้วยสายตาวูบไหว หลันซือซือขมวดคิ้วยุ่งยาก ยื่นมือออกไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้
“เป็นอะไร”
เหอรุ่ยเตียนขยับยิ้มเสมือนกำลังพร่ำเพ้อ “มารดา”
หลันซือซือชะงักไปชั่วครู่ สมองประมวลว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกไป ไร้เหตุผลที่จะต้องไยดีเหอรุ่ยเตียน อีกฝ่ายคืออนุภรรยา เคยคิดก่อเรื่องใส่ร้ายนางด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้...
เรื่องใดละวางได้ก็ควรละวาง
“เจ้าจะหายดี เหอรุ่ยเตียน”
เหอรุ่ยเตียนหลับตาลง ส่งเสียงครางตอบ “อือ”
ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่นี่เป็นเพียงน้ำใจในฐานะเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
พระเอกเรื่องนี้ค้่ตัวแพงใช่ไหมคะ ????????????????
เป็นนางเอกไม่ว่า แต่นินทาระยะเผาขนคือจะเอาปะละ
คุณหนูห่าน กลายเป็นหนูหาน 555
ลับหลังอะรู้จักปะ ไม่ใช่คุยกันตรงนี้เว้ยยย
ชอบค่ะ รอนะคะ
น่าติดตามนะ รออ่านต่อค่ะ
ด้วยสกิลนางเอก นางทำอะไรก็ไม่ผิด ยิ่งมีพ่อใหญ่โตยิ่งไม่ผิดเข้าไปใหญ่เลย
555+-ชอบภาพปลากอบมากค่ะไรต์ผู้กอดขวดกาว
พ่ออะไรนี่เจอหน้าลูกที่ไม่ได่เจอมานาน แถมลูกสาวก็ขี้โรคล้มป่วยบ่อยๆ แต่ถามคำแรกไม่เกี่ยวกับลูกเลยพ่อแบบนี้คือรักความถูกต้อง...ย้อนแย้งมาก ลูกยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ
พูดเหมือนสั่งเสีย ทำใจว่ายังไงก็ใกล้ตายสินะ แต่ละคนเข้าใจยากพอดู ต้องรอติดตามต่อไปค่ะ
เมากาว5555
แบบนี้ดูหม่นๆดี ชอบ
ถ้าตัวร้ายไปรักนางเอก
แล้วจะเอาเมียไปทิ้งไว้ที่ไหน
ร-ไรท์สบายดีนะคะ ไม่ป่วยใช่ไหม?
เตรียม ตับ ไต รอเลยค่ะ
ยังงัยก้อรอนะคะ
จบสุขนิยม ?? คืออะไร ?? สุขนิยมจบไปแล้ว เริ่มเข้าสู่เวลาบริหารตับหรอ ?? แต่ก็เถอะ มาขนาดนี้แล้ว ลู่เอินก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ตับ ไต เริ่มแข็งแรงแล้ว จัดมาค่ะไรท์ รีดพร้อมรับมือ