วายร้ายในสายงาน....ตอน psycho - นิยาย วายร้ายในสายงาน....ตอน psycho : Dek-D.com - Writer
×

    วายร้ายในสายงาน....ตอน psycho

    เสียงแมงวี่แมงวันตัวบวมฉุสำรอกผังมโนความคิดของตนเอง ลอยมาตามอากาศที่สูญเสียความสมดุล ไฉไล ผู้มีรูปร่างอ้วนฉุพอๆ กับโอ่งมังกรแถวๆ ราชบุรีเธอมีความเชี่ยวชาญในการ ใช้วาจากระแหนะ กระแหน คนทั่วไปที่ทำให้นา

    ผู้เข้าชมรวม

    57

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    57

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  6 มี.ค. 59 / 20:59 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    วายร้าย....ในสายงาน

    ตอน.......Psycho…….   โดย ควันหลง

    เสียงแมงวี่แมงวันตัวบวมฉุสำรอกผังมโนความคิดของตนเอง ลอยมาตามอากาศที่สูญเสียความสมดุล ไฉไล ผู้มีรูปร่างอ้วนฉุพอๆ กับโอ่งมังกรแถวๆ ราชบุรีเธอมีความเชี่ยวชาญในการ ใช้วาจากระแหนะ

    กระแหน คนทั่วไปที่ทำให้นางไม่พอใจ นางมีความสุขกับการแอบมองผู้ชายร่างท้วนคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก นางมักที่จะแวะเข้าไปทักทาย พูดคุย จนศรีภรรยาของเขาบังเกิดความไม่พอใจอย่างมาก อยากจะร้องเรียนไปยังที่ทำงานของนางก็กลัวตนเองจะอับอายขายหน้าเพื่อนบ้าน จึงอดทนเรื่อยมาและเริ่มที่จะปรึกษาผู้ใหญ่จนถึงขั้นว่ากล่าวแรงๆ ออกไป นางถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง วันนี้นางเหลือบตาเห็นปุริมภัทรนั่งอยู่ท้ายห้อง พอดีกับใจกล้าได้เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นวารสารฉบับใหม่เหรอ ทำไมเขียนตกแบบนี้อ่ะ” ไฉไลก็พูดเหน็บแนมขึ้นมาทันที “กล้า จะพูดจะจาอะไร ระวังถึงนะแก” ใจกล้า งง “อะไรนะ พี่” ไฉไลพูดต่อ “พี่บอกว่า เดี๋ยวก็ถึงหูเขาหรอก” ใจกล้าจึงถามว่า “ในนี้มีสายด้วยรึ พี่” เฉลาศรีจึงผสมโรงขึ้นว่า “ฮิ ฮิ ฮิ สายลมแสงแดด”ปุริมนั่งพิมพ์งานนิ่งๆ พลางนึกในใจ 55555 ไม่ระคายหรอกเนาะ คนคิดไม่ดี ย่อมคิดว่าคนอื่นจะนิสัยเหมือนตนเองทั้งนั้นแหละ สังคมแบบนี้ใครๆ ก็เจอเพราะคนแบบนี้มีทุกที ทุกอณูสังคมเหมือนเหลือบสังคมก็ไม่ปาน ปุริมภัทรเหมือนได้ฝึกความอดทน เมื่อวันก่อนปุริมภัทรมีโอกาสได้เจอกับรุ่นพี่คนหนึ่ง รุ่นพี่ได้สอนปุริมภัทรว่า “ปุริมเป็นคนดี หนูจงเชื่อมั่นในความดีของตนเอง อย่าหันหลังหนีทั้งๆ ที่เราไม่ผิด หนูต้องสู้และเชื่อมั่นในความดีของตนเอง หนูเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาดพี่เชื่อว่าหนูต้องคิดได้จ๊ะ ว่าต้องทำอย่างไร” ปุริมภัทรยิ้ม “พี่ค่ะ หนูรู้สึกว่าอบอุ่น และมีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนพวกนั้นเลยค่ะ เมื่อคุยกับพี่ ทุกครั้งที่พี่บอกพี่สอนหนูรู้สึกว่า พี่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนปกติหลายเท่านัก พี่ไม่เคยว่าร้ายใคร ขอบคุณนะค่ะพี่” รุ่นพี่ยิ้มน้อยๆ แต่อบอุ่น พลางกางแขนออก “ม่ะ ขอพี่กอดให้พลังเราหน่อยซิ สู้ๆ นะ สาวน้อยของพี่” อ้อมกอดของรุ่นพี่อบอุ่นยิ่งนัก “คนสวยของพี่ จำไว้นะถึงแม้ว่าวันนี้คนที่นี่จะไม่เข้าใจเจ้าและหลงเชื่อในน้ำคำของคนพาล แต่จงเชื่อในความดี ความมีน้ำใจของตนเองอาจจะช้าหน่อยเพราะต้องใช้เวลา อีกหน่อยคนที่นี่จะหลงรักเจ้าเหมือนที่พี่รักเจ้า เชื่อพี่นะ ปุริม จงอดทนให้ความจริงปรากฏแล้วคนชั่วเหล่านั้นจะเป็นทุกข์กันเอง” ปุริมภัทรพนมมือไหว้อย่างสวยงาม “ขอบคุณรุ่นพี่มากๆ ค่ะ หนูจะทำตามที่รุ่นพี่แนะนำนะค่ะ” รุ่นพี่ตบไหล่เบาๆ “สู้ๆ จ๊ะ คนสวยของพี่”

    อาทิตย์ที่ผ่านมานั้นบริษัทได้รับฝึกเด็กกลุ่มหนึ่ง แต่เด็กกลุ่มนี้เป็นเหมือนกลุ่มทดลองเพราะเป็นกลุ่มแรกที่เปิดทำการฝึกหากได้ผลดีก็จะมีรุ่นต่อๆ ไปตามมาคนที่ถูกเจ้านายใหญ่มอบหมายให้ดูแลคือ แจ่มสมร เธอมีความสุขมากกับการได้เป็นผู้ฝึกแต่สิ่งหนึ่งที่เธอทำคือ บอกกับเด็กกลุ่มนี้ว่า ปุริมภัทรเป็นพนักงานที่ขัดสนทางด้านการเงิน มีปัญหามากในเรื่องนี้คนทั้งบริษัทต่างเอือมระอา เพราะปุริมภัทรชอบขอยืมเงินคนในออฟฟิตแล้วไม่คืน เด็กๆ แทบทั้งห้องต่างอึ้ง “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือค่ะ แย่จังค่ะ” หนึ่งในจำนวนเด็กเทรนด์พูดขึ้น เสื่อมเสียมั้ยปุริมภัทร แต่หนึ่งในจำนวนนั้นมีเด็กคนหนึ่งที่ถูกชะตากับปุริมภัทรชอบเขามาพูดคุยกับปุริมภัทรบ่อยๆ จึงเป็นที่หมายตาของ แจ่มสมรเธอไม่รอช้าเรียกโคนันมาคุยทันที “นี่ เธอสนิทกับพี่ปุริมเหรอ” โคนันพยักหน้า “มาหาพี่หน่อยดิพี่มีไรถามหน่อย” โคนันทำหน้า งงๆ “พี่ปุริมเขาเป็นไงหรอ ประมาณว่า เขาเคยบ่นอะไรให้ฟังมั้ย” โคนนันตอบไปว่า “ ก็ไม่นี่ค่ะ” แจ่มสมรยิงคำถามใหม่ทันที “เขาโพสเพ้ออะไรบ้างมั้ยในเฟชอ่ะ” โคนันนิ่งคิด “ก็ไม่นี่ค่ะ พี่มีไรมั้ยค่ะ” แจ่มสมรรีบกลบเกลื่อน “เปล่าจ๊ะ อย่าบอกปุริมนะว่าพี่ถาม ขอบใจมากจ๊ะ โคนัน” โคนันครุ่นคิด ท่าจะบ้าซักขนาดนี้บอกไม่มีไร เรื่องไรจะสงบปากเรื่องดีๆ แบบนี้ต้องรีบบอกเลยแหละ ยัยเทรนด์เนอร์คนนี้คิดไม่ดีแน่ๆ “พี่ปุริม ว่างมั้ยอ่ะมาหาโคนันหน่อยดิ มีเรื่องจะเม้าอ่ะ” ปุริมภัทรรู้สึก งง กับเด็กน้อย “ว่าไงยอดนักสืบโคนัน” โคนันยิ้มเผล่ “แหมๆ ไม่ขนาดนั้นคร่า พี่” ว่าแล้วโคนันไม่รั้งรอที่จะพูด “พี่ปุริม นัน ถามจริงๆ พี่มีเรื่องอะไรกะพี่เทรนเนอร์เปล่า” ปุริมภัทร งง “ทำไมเหรอ มีไรป่ะเนี่ยเด็กน้อยมีลับลมคมในฝัก” ปุริมภัทรหยอกตอบ “แหมๆ เจ้ ก็เขาอ่ะมาซักหนูเกี่ยวกะพี่ ทั้งเรื่องเฟช เรื่องพี่เป็นหนี้เยอะแยะ ละก้อยืมเงินในที่ทำงานไปทั่วละก้อไม่คืนอ่ะ” ปุริมภัทรตกใจ “ห๊ะ!!อะไรนะ พี่เนี่ยนะ โถ่ๆๆ 5555555” ปุริมภัทรขำ “พี่ปุริมขำเข้าไป แบบเนี่ยเขาหาเรื่องพี่นะ ยังจะขำพี่เนี่ย” ปุริมภัทรกอดคอเด็กน้อยเบาๆ เธอยิ้มน้อยๆ พลางคิดว่าคนนี้เนาะจิตไม่ว่างคิดหวาดระแวงได้ตลอดเวลาสรรหาเรื่องโดยไม่คิดถึงสามัญสำนึกถูกผิด หนทางใดที่จะทำให้อีกฝ่ายวิบัติวินาศสันตะโลเป็นอันต้องรีบทันที เพียงเพื่อทำลายให้อีกฝ่ายย่อยยับตามความคิดตนเอง ตัดสินลงทัณฑ์คนอื่นด้วยความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งเป็นบรรทัดฐานให้ผู้อื่น นี่แหละผู้ที่ได้ชื่อว่าคน!!!!

    ยิ่งนานวันเรื่องราวต่างๆ ก็สุมประเดประดังเข้ามาในชีวิตของปุริมภัทรอย่างมากมาย เหมือนแม่ค้าเทกระจาดหาบเร่เลยทีเดียว ทุ่มทุนและทุ่มเทบางครั้งเรื่องเงียบไปก็หลงดีใจว่า มันจบแล้วที่ไหนได้มันแค่กลบดานรอเวลาเท่านั้นเอง ปุริมภัทรอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งไปกาญจนบุรีตอนปิดไตรมาสเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ น้องวันใสเป็นรุ่นน้องอีกคนที่เข้ามาฝึกงานที่แผนกเอกสาร วันนั้นปักเป้าได้แนะนำน้องวันใสให้ปุริมภัทรได้รู้จัก “นี่ไง น้องวันใสพี่ปุริมเป็นเพื่อนกับพี่เอง ลองปรึกษาดูดิว่าพี่ปุริมมีวิธีการรับมือยังไงกับอสรพิษทั้งหลายที่เขาเจออ่ะ” วันใสชะงักกึก รีบหันมายกมือไหว้สวัสดี “สวัสดีค่ะ พี่ปุริม วันใสไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ปุริมจะโดน Psycho ขนาดนี้อ่ะ เห็นพี่ร่าเริงมากอ่ะ อารมณ์ดีหัวเราะด้วย” ปุริมภัทรยิ้มอ่อนพลางกล่าวกับน้องว่า “ ทำไมพี่ต้องเครียดละน้องในเมื่อพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพยายามจะให้พี่เป็น มันก็ไม่ต่างกับเกมส์ แล้วทำไมพี่ต้องวิ่งตามเกมส์เขาด้วย ถ้าพี่โวยนั่นก็เท่ากับว่าเขาประสบความสำเร็จในการยั่วพี่ แต่ถ้าพี่นิ่ง ยิ้ม หัวเราะ ร่าเริง ตามปกติเขาเองตะหากที่ต้องเต้น ไม่ใช่พี่” วันใสยิ้ม ดีดนิ้วเป๊าะ “สุดยอดอ่ะพี่ พี่คิดได้ไงค่ะ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสชัดๆ สุดยอดอ่ะ แต่พี่ต้องใช้ความอดทนสูงอ่ะ” ปุริมภัทรยิ้มน้อยๆ “ไม่เลยจ๊ะ เพราะว่า EQ พี่สูงถ้าเรื่องแบบนี้เขาทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก แต่มันน่ารำคาญ เหมือนพวกแมงวี่แมงวันอะไรทำนองเนี่ยอ่ะ มันกวนใจเราอ่ะ” วันใสนัยน์ตาเป็นประกายยิ้มพรายทีเดียว “หนูอยากทำได้แบบพี่จังเลยค่ะ ตอนนี้หนูเครียดอ่ะ เลยเยอะไปหมดคนที่ทำงานคู่กันกะหนูงานไม่ค่อยทำโยนมาที่หนูแต่พองานเสร็จก็เสนอคนเดียวเหมือนหนูไม่ได้ทำ” ปุริมภัทรตบไหล่วันใสเบาๆ เป็นเชิงปลอบ “ วันใสก็ถ่ายรูปตอนทำงานเก็บไว้ซิ ใช้ภาพพูดแทนเราไง เถียงด้วยหลักฐานอ่ะ” วันใสยิ้มแฉ่งทันที “ว๊าวววววว บรรเจิดเลยพี่ ขอบคุณนะค่ะ ที่จุดประกายขอบคุณค่ะ” วันใสดูมีความสุขมากขึ้นหลังจากที่พูดคุยกับปุริมภัทร แต่วันหนึ่งวันใสก็มากระซิบบอกปุริมภัทรว่า “พี่ๆ เมื่อกี้หนูไปรีดผมมาห้องหนูอ่ะ ติดกะห้องพี่แจ่มสมร หนูได้ยินเขาพูดว่า เด็กใหม่แผนกเขาอ่ะ นิสัยไม่ดี ไม่เอาอะไรเลย งานก็ไม่ทำงาน พอให้ทำอะไรก็อ้างว่าทำงานให้เจ้านายอ่ะ ตอนแรกหนูก็นึก เอ? เขาพูดถึงใคร หนูรีดไปก็คิดไปนึกได้ว่าแผนกพี่นี่หว่า แล้วพี่ก็เป็นเด็กใหม่ เหอ พี่เจออะไรที่น่ากลัวหนูอีกอ่ะ” ปุริมภัทรหัวเราะขำ “อ้าว พี่ปุริมยังจะขำได้อีกอ่ะพี่” ปุริมภัทรจึงอธิบายว่า “พี่ได้ยินมาเยอะกว่านั่นอีก แล้วที่สำคัญนะ มีคนคอยขายข่าวพี่ให้เขา จำไวเกลได้มั้ย คนที่นั่งโต๊ะตรงข้ามพี่นางคอยขายข่าวพี่ให้เขาตลอด” วันใสหน้าสลด “โห่!! ทำไมเยอะจังอ่ะ รอบตัวพี่เลยนะเนี่ย พี่ทำได้ไง ยิ้ม หัวเราะ ปกติมากแล้วเขาไม่รู้เหรอ ว่าพี่รู้อ่ะ” ปุริมภัทรตอบ “ไม่รู้หรอก พี่เงียบและทำให้เป็นปกติและไม่คุย ทำงานตามปกติ พี่ไม่ชอบทะเลาะกับใครและก็ไม่อยากมีเรื่องด้วยอ่ะ” วันใสตบมือรัวๆ “พี่ปุริม พี่รู้ตัวมั้ยว่าพี่เก่งมากๆ หนูทึ่งมากๆ เลยหนูจะพยายามทำให้ได้แบบพี่นะ แต่ดูแล้วหนูคงทำไม่ได้แบบพี่หรอกเชื่อดิ” ปุริมภัทรยิ้มจางๆ “อดทนนะ มีไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ วันใสพี่เข้าใจ” วันใสพยักหน้ารับ พลางคิดว่าในบางครั้งเราคิดว่าปัญหาของเราที่ว่าใหญ่แล้วเอาเข้าจริง ทุกคนมีปัญหาเหมือนกันหมดแต่ใครละ ที่จะมีวิธีการจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร เฮ้อ!!!!!

    .                      ไม่นานนักวันใสก็ถูกประเมินว่าไม่ผ่านการทดลองงานอย่างที่เธอวิตกจริง แต่นายใหญ่ก็ใจดีมีเมตตาไปฝากงานที่ใหม่ให้ เป็นผลให้วันใสไม่ต้องตกงานอย่างที่กลัว นับว่าเธอยังโชคดีไม่น้อยเลยทีเดียว ทุกอย่างเหมือนคลื่นกระทบฝั่งเงียบสงบราบเรียบ แต่ก็นั่นแหละจะปะทุโครมครามเป็นสึนามิตอนไหนใครจะรู้ได้ ปุริมภัทรได้แต่ตั้งรับดั่งคำที่แม่สอน ทุกครั้งที่กลับบ้านคนที่เข้าใจและส่งพลังให้เธอก้าวผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ คือ แม่ตลอดมา ทุกคำสอนแม่ไม่เคยบอกให้ปุริมภัทรต้องปะทะ หรือต่อกรกับใครแต่หากสอนให้เธอตั้งสติแล้วหันกลับไปมองปัญหาใช้สติปัญญาที่มีแก้ปัญหา เพราะทุกที่คนแบบนี้แฝงตัวอยู่ด้วยเสมอภายนอกอาจเหมือนคนปกติ แต่ในใจลึกๆ คับแคบ ไร้ซึ่งสามัญสำนึกของการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ความโลภ ความทะเยอทะยานอยากมีมากกว่าปุถุชนคนปกติ ในใจจึงเต็มไปด้วยไฟริษยาคิดแต่จะห้ำหั่นอย่างเดียวปุริมภัทรพยายามวางเฉยเพราะคิดว่าเวลาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเยียวยาและรักษาทุกๆ อย่างได้อุปสรรคนานัปการไม่เป็นปัญหากับเธอหรอก เธอบอกกับตนเองอย่างนั้น แต่ในครั้งแรกๆ ที่เจอเธอรู้สึกพิศวงงงงวยเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับตาลปัตรราวฟ้ากับเหว คนรอบตัวต่างเห็นเธอเป็นสิ่งน่ารังเกียจทั้งๆ ที่เรื่องราวต่างๆ เธอไม่ได้ก่อขึ้นมาเลยสักนิด เป็นเพียงเพราะลมปากที่พัดผ่านของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แต่ลมปากนั้นเคลือบไปด้วยสิ่งปฏิกูลมากมายแม้แต่รถขนขยะ ยังขนไปไม่หมดเลยปุริมภัทรเฝ้าดูแจ่มสมรว่าจะทำอะไรต่อไปอีก สิ่งที่ปุริมภัทรทำได้คือ สวดมนต์และขออโหสิกรรมให้กับแจ่มสมร เพราะเธอไม่ต้องการที่จะตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น

                           “พี่จี๊ดๆ ไอ้เด็กคนนั้นเป็นไงรึ เห็นคนพูดถึงกันจัง” ป้าจี๊ดมองหน้าลำพู “คนไหนล่ะ ลำพู” ลำพูจึงตอบว่า “ก็คนที่ช่วยพี่หิ้วกระเป๋านั่นไง” ป้าจี๊ดถึงบางอ้อทันที “อ๋อ ไอ้เจ้าปุริม น่ารักดีมีน้ำใจ ทำงานเป็น” ลำพูทำหน้าฉงน “อ้าว! ทำไมไม่เหมือนที่เขาพูดกันเลยพี่ เออ คนเรานี่ก็แปลก” ป้าจี๊ดได้แต่ยิ้มๆ สุดท้ายด้วยความเมตตาป้าจี๊ดจึงเล่าให้ปุริมภัทรฟังด้วยความสงสาร “มันขนาดนั้นเลยหรือค่ะ ป้าจี๊ด 5555555 หนูมีความรู้สึกว่าเหมือนดาราเข้าไปทุกวันเลยค่ะ” ป้าจี๊ดให้กำลังใจปุริมภัทรว่า “มันต้องใช้เวลาหน่อย แล้วทุกคนจะรักและเข้าใจหนูเหมือนที่ป้าเข้าใจ สู้ๆ นะ” ปุริมภัทรยิ้มจางๆ แต่เศร้าเหลือเกิน ปุริมภัทรพยายามสะกดกลั้นน้ำตา “ป้าค่ะ หนูไปทำอะไรให้พวกเขาค่ะ เขาถึงทำร้ายหนูขนาดนี้ หนูไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลยทำไมค่ะป้า ทำไม” ปุริมภัทรอยากถามออกไปดังๆ เหลือเกินแต่ติดอยู่ในลำคอที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สักวันมันต้องเป็นของเราซิน่า..

                         วันนี้ปุริมภัทรรู้สึกอ้างว้างเหลือเกินถูกจำกัดเนื้อที่ทางความคิด จำกัดสิทธิ์ในทุกอย่างเธอตัดสินใจคุยกับโจอีกครั้ง “โจเย็นนี้แกว่างม่ะ ออกมาหาฉันหน่อยดิ เครียดว่ะแก” โจรู้ได้ในทันทีว่าปุริมภัทรต้องการกำลังใจเป็นที่สุด “ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะพาแกไปกินสเต๊กจ้าวอร่อย รับรองแกไม่เคยกินแน่นอนร้านนี้” ปุริมภัทรตอบรับแบบเนือยๆ “อืมๆ” ไม่นานโจก็มาถึง “ไงยัยยุ่ง ทำหน้าเป็นตูดแบบนี้มีเรื่องอีกอ้ะเด้ ฉันขอทายว่ารุ่นพี่แกหาเรื่องแกอีกแล้วใช่ม่ะ ยัยยุ่ง” ปุริมภัทรพยักหน้าแทนคำตอบ “แกเลยทำหน้าเหมือนคนปวดท้องขี้ว่างั้น” คราวนี้ปุริมภัทรหัวเราะขำ “55555 ไอ้บ้าโจ ตกลงฉันจะได้กินม่ะ สเต๊กอ่ะ” โจหัวเราะตามเบาๆ  “น่านไงแกหัวเราะแหละ มองอะไรให้มันง่ายเข้าไว้ดิว่ะ รู้จักใช้คำว่า “ช่างแม่ง”แล้วอะไรๆ จะง่ายขึ้นเยอะเลย เชื่อดิแก” ปุริมภัทรยิ้มน้อยๆ อย่างผ่อนคลายอารมณ์ทุกครั้งที่มีปัญหาแต่เมื่อได้คุยกะโจ ทุกเรื่องเหมือนมันถูกทำให้ง่ายขึ้นในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแม่งยากโคตร ปุริมภัทรอยากตะโกนดังๆ ให้ดังลั่นเผื่ออะไรๆ จะดีขึ้นถ้าไม่กลัวว่าใครจะว่าบ้าไปก่อน “อืม...เราก็พยายามอยู่นะแก แต่มันยากว่ะ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ สังคมที่นั่นแม่งอยู่ยากคนหน้าตาดีแต่ใจโสโครก ปากอย่างใจอย่างหาความจริงใจไม่ได้เลยแก” โจพยักหน้ารับรู้ “ฉันเข้าใจแต่ก็นั่นแหละ ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าคนรึ” เออเนาะ ท่าจะใช่แฮะ “บางทีฉันท้อจนไม่อยากไปทำงาน ฉันเบื่อสายตาของคนพวกนั้นที่จ้องจับผิด สายตาที่ชำเลืองมองด้วยหางตาแบบไร้ซึ่งสามัญสำนึกของความคิด การไตร่ตรอง” โจจึงเตือนว่า “ยัยยุ่ง เธอต้องมีสตินะ อย่าวิ่งตามเกมส์ของคนพวกนั้น ถ้าเธอหวั่นไหวกับคำกล่าวหาเขาจะประสบความสำเร็จที่ยั่วยุ สร้างสถานการณ์หรืออะไรก็ตามแต่ เธอต้องนิ่งให้ได้มากที่สุด นั่นคือเขาไม่สามารถทำให้เธอหมุนไปตามลมปากของเขาได้ เธอรู้จักเพชรใช่มั้ย” ปุริมภัทรมองหน้ามองอย่างสงสัย แกจะบอกอะไรฉัน “อืม รู้จัก” โจอธิบายต่อ “เพชรน่ะ แม้จะอยู่ในโคลนตม คราบน้ำมัน แต่มันก็ส่องแสงได้เสมอ เพราะฉะนั้นยัยยุ่ง แกต้องเป็นเพชรซิ ส่องแสงให้สง่างาม เข้าใจนะ” ปุริมภัทรอมยิ้ม “55555 ฉันเนี่ยนะ จะเป็นเพชรได้ ก้อนกรวดซิไม่ว่า แหมๆ เปรียบซะหรูเลย” โจยิ้มเมื่อปุริมภัทรหัวเราะได้ “แต่มันก็ทำให้ใครบางคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยง หัวเราะได้ป่ะล่ะ 55555” ปุริมภัทรจ้องหน้าโจนิ่งๆ “ทำไมแกรู้จักฉันดีนัก ห๊ะ!!” โจหัวเราะขำ “55555 นี่ยัยยุ่งฉันเป็นเพื่อนเธอมากี่ปีเรียนด้วยกันกี่ปี ทำเป็นมาถาม” โจตอบกลบเกลื่อนไม่กล้าให้ปุริมภัทรจับความรู้สึกได้ “เออ มาว่าฉัน ว่าแต่เธอเหอะ เมื่อไรจะมีแฟน” โจถามกลบเกลื่อนไป แต่โดนปุริมภัทรสวนกลับ “รอแกมีก่อนไง 55555 ไอ้ทึ่ม!!” โจอยากจะเขกกบาลปุริมภัทรซักเป๊ก “เออเนาะ ด่าได้ด่าเอา ด่าตลอด ยัยยุ่งเอ๊ย” ปุริมภัทรหัวเราะร่าเริง “55555 ฉันล้อเล่นอ่ะแก ขอบใจนะที่อยู่ข้างตลอดเลย ฉันขอบใจแกจริงๆ นะ โจ” แต่โจกลับคิดไปไกลไม่ได้อยากได้ยินคำว่า ขอบใจ อยากได้ยินคำอื่นมากกว่าแต่ก็นั่นแหละ ถ้าเปลี่ยนสถานะ แกกับฉันเรายังจะสนิทกันแบบนี้ไหมนะ โจครุ่นคิด “เฮ้ย!!โจ แกทำหน้าเครียดทำไมอ่ะ ฉันพูดไรผิดหราแก” โจยิ้มทำทีร่าเริง “เปล่าๆ แกหิวมั้ยเราไม่ได้กินอะไรด้วยกันนานแล้วนะ กินสเต๊กกันมั้ย!!"บ้านเล็กๆ "ดเผยจริงๆ เลยนะ หัวเราะที่ปากงี้กว้างเชียว 55555"ย ถ้าเปลี่ยนสถานะ แกกับังสนรถาความจริงใจสเต๊กปลาที่แกชอบไง” ปุริมภัทรยิ้มเหมือนได้ของถูกใจ "ไม่ปฏิเสธ 55555” โจมองปุริมภัทรที่หัวเราะปากกว้าง “แกนี่เป็นคนเปิดเผยจริงๆ เลยนะ หัวเราะที่ปากงี้กว้างเชียว 55555”

    ปุริมภัทรค้อนเล็กๆ “ไอ้บ้า!!!” เวลานี้ปุริมภัทรรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ยิ้มหัวเราะอย่างไม่ต้องแสร้งทำ“ฉันรู้สึกสบายใจอ่ะ แก ขอบใจแกนะ ที่รับฟังเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ฉันพูดอย่างน้อยถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังมีแกคอยรับฟัง” โจยิ้ม รอยยิ้มของโจสดใสเต็มไปความจริงใจแต่ปุริมภัทรไม่เคยสัมผัสถึงสักที “เออ ก็ดีแล้วยัยยุ่ง แกยุ่งตลอดทั้งความคิด ทั้งพฤติกรรม 55555” ปุริมภัทรค้อนขวับ “นี่แกว่าฉันรึ ห๊ะ อิโจ อิบร้าาาา” คราวนี้โจหัวเราะปากกว้างเลยทีเดียว“อ้าว ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ใครจะกล้าว่าแก ห๊ะ!! ยัยยุ่งเรื่องแค่นี้ยังจะทำให้ยุ่งขึ้นมา 555555” ปุริมภัทรหัวเราะตาม “เออ แหมๆ ได้ทีนะเอาใหญ่เลยนะแก เออ เมื่อไรจะได้กินเนี่ยฉันชักจะหิวแล้วนะ”โจยิ้มขำกับท่าทางแสนงอนนิดๆ ของปุริมภัทรผู้หญิงที่ตนเองแอบรักมานานโดยที่ปุริมภัทรไม่เคยรับรู้อะไรเลยยังคงให้ความสนิทสนม หยอกล้อเหมือนเพื่อนคนหนึ่งตลอดมา “เอ้า ลุกๆ จะกินร้านไหนบัญชามาเลยครับ คุณผู้หญิง” โจยังคงล้อเลียนไม่เลิก ปุริมภัทรส่งค้อนขวับๆ ไม่เลิก “ขอบใจย่ะ พลขับ”ปุริมภัทรยังเล่นต่อ “ว่าเราแต่ทำซะเองนะ ยัยยุ่งเอ๊ย!!!” ปุริมภัทรยังคงทำหน้าล้อเลียน “เอามั่งเหอะ ป่ะๆ ไม่เล่นละ หิวอ่ะแก” โจพยักหน้าพร้อมทั้งเปิดประตูรถให้ “ขอบใจย่ะ พลขับ อิ อิ อิ” โจอยากจะเขกกบาลให้ซักที

                             เมื่อความสุขได้ผันผ่านไปความควายก็เข้ามาแทนแจ่มสมรยังคงตีสีหน้าไม่เลิก (ถ้าจะว่าไปนางน่าจะได้ตุ๊กตาทอง ในการแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีเนาะ) เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เข้ามาให้ปุริมภัทรต้องตื่นเต้นได้เสมอเมื่อโคนันสาวน้อยจอมสืบ วิ่งหน้าตายตื่นเข้ามาบอกว่า “พี่ปุริมๆ ว่างป่ะ ขอเวลาแป๊บดิ” ปุริมภัทรวางงานลงแล้วจ้องหน้า โคนันสาวทันทีอย่างเอาเรื่อง “ว่ามา ถ้าไม่สำคัญนะ พี่จะเขกกบาลเราให้” นักสืบน้อยรีบสาธยายทันทีเพราะกลัวมะเหงก “พี่ปุริมเจ้เขาเอาอีกแล้วนะ ตุ๊กตาที่เพื่อนหนูให้พี่มาอ่ะ ตอนนี้มันกลายเป็นว่าพี่แย่งเขามาแล้วนะ งานนี้พี่เสียเต็มๆ” ปุริมภัทรทำได้แค่อุทานเบาๆ “ห๊ะ!!” นักสืบน้อยรีบจ้อต่อทันที “ไม่หือ ไม่ห๊ะ ละพี่ก็ตอนแรกที่หนูเจอมันใช่ป่ะ หนูถามมันว่า แกๆ ตุ๊กตาไปไหนว่ะ มันบอกว่าให้พี่ไปละ แต่ตอนที่เจ้เขาเข้าไปพูดอ่ะ มันเปลี่ยนเลยกลายเป็นพี่อ่ะแย่งจากมือเขาเลยนะ” ปุริมภัทรอุทานอีกรอบ “แม่ง!!! ลิ้นไม่มีกระดูกจิมๆเลย แม่ง!!!” นักสืบน้อยขำกับคำสบถของปุริมภัทรเพราะนานๆ จะเห็นปุริมภัทรเดือดซะที “5555555 พี่โกรธเป็นด้วยอ่ะ หนูไม่เคยเห็นซักทีเห็นแต่ยิ้มตลอดอ่ะ” ปุริมภัทรส่ายหัวไปมาอย่างใช้ความคิด “ทำไมนับวันเขายิ่งเลวได้ขนาดนี้นะ พี่ไม่เข้าใจเขาจงเกลียดจงชังอะไรพี่นักหนา พี่ไปขี้รดหัวบิดามันตั้งแต่เมื่อไรกัน” ปุริมภัทรยังคงสบถเบาๆ กรรมของเวรจริงๆ สังฆทานก็ทำให้แล้วแต่ก็นั่นแหละ นางเฮี้ยนของจริงจะทำบุญกรวดน้ำสักเท่าไรนางก็ไม่ยอมรับ งานนี้หนักมากสำหรับปุริมภัทร งานอะไรก็แล้วแต่หากว่าคนหนึ่งตั้งใจที่จะทำแต่อีกคนตั้งหน้าตั้งตาที่จะคอยจับผิดให้ทำให้ตายก็ไม่เป็นผลจริงไหมค่ะ ท่านผู้อ่าน

    งานยังคงเข้าปุริมภัทรเป็นระยะๆ เพราะแจ่มสมรไม่มีสักครั้งที่จะปล่อยให้โอกาสในการทำลายล้างได้ผ่านพ้นไป เมื่อมีโอกาสเมื่อใดหล่อนจะโยนบอมทันที ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เจมส์เพื่อนรุ่นน้องที่ค่อนข้างจะสนิทกับปุริมภัทรช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการทำกิจกรรมของงานที่บอสใหญ่จัดขึ้นนั้น เธอได้ขออาศัยรถของเจมส์กลับที่พัก แต่ให้ตายเถอะ!!!! เป็นเรื่องอีกตามเคยในวันรุ่งขึ้น ในขณะที่ปุริภัทรนั่งจัดเอกสารบนโต๊ะ “พี่ๆ ผมขอคุยด้วยหน่อยดิ แป๊บเดียว” เจมส์เข้ามาบอกเบาๆ ท่าทางร้อนรน “ อืมว่าไง แกมีไรรึ” ปุริมภัทรมองเห็นสงสัย แต่ก็นึกในใจ งานเข้าอีกแล้วมั้งตู “พี่ๆ เมื่อวานที่พี่นั่งมากะผมอ่ะ พี่สมรแกไปเอาไปพูดอ่ะ ว่าพี่กะผมมาด้วยกัน 2 ต่อ 2 อ่ะ พูดในเชิงไม่ดีอ่ะ” ปุริมภัทรถึงบางอ้อ ทันที “เรื่องแค่นี้นะ 5555555 เขาช่างคิดได้ว่ะ แก” เจมส์ส่ายหน้าอย่างระอา “ผมไม่คิดเลยว่า คนหน้าตาดีแบบพี่แจ่มสมรจะคิดได้แค่นี้ สุดๆ อ่ะพี่” นั่นดิเนาะ สมองของเขาไม่น่าถึงระดับหัวหน้าสายงานเลยนะ คิดมาแต่ละเรื่องโสโครก โสมม ตลอด ปุริมภัทรจึงเล่าเรื่องที่ตนเองประสบก่อนหน้านั้นให้เจมส์ฟัง “เจมส์พี่จะบอกไรให้ แกฟังนะ กลุ่มเด็กเทรนของเขา พี่ไปหยอกมาเรื่องตุ๊กตาแล้วเด็กคนนั้นให้พี่จริงเว้ย พอพี่ถามย้ำว่าให้จริงนะ เด็กนั่นก็ตอบว่าจริง พี่ก็เอามาอวดพี่สาวกะแกอ่ะ” เจมส์นั่งนิ่งฟังอย่างสนใจ “แต่แกรู้ป่ะ พอเรื่องนี้ถึงหูเขา เขารีบโทมาขอพี่คืนเว้ย ประมาณว่าเด็กเขาไม่ให้อ่ะ พี่ก็คืนแต่ฝากกับน้องอีกคนให้อ่ะ แต่เรื่องมันไม่จบเว้ยแก” ปุริมภัทรพรั่งพรูสาธยายอย่างเหลือทน “กลายเป็นพี่แย่งตุ๊กตาจากเด็ก แถมพี่ยังเป็นคนปากเสียเล่าไปทั่วทำให้เสื่อมเสียอีกอ่ะแก แม่งสุดยอดป่ะล่ะ” เจมส์อึ้งกับคำบอกเล่าของปุริมภัทร “มันขนาดนั้นเลยเหรอพี่ ทำไมพี่แจ่มสมรแกเป็นเอามากนะเนี่ย ผมว่า” เจมส์ส่ายหน้าอีกรอบกะความเอือมระอาที่มี “เขาเป็นมากกว่าที่ผมคิดไว้อีกอ่ะ พี่ บ้ามาก” ปุริมภัทรหัวเราะ หึ หึ หึ ในลำคอ “สุดท้ายพี่ก็ต้องเงียบเพราะโดนทั้งขึ้น ทั้งร่อง พี่เลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ดีกว่า พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง” นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ปุริมภัทรโดนเต็มๆ ชื่อเสียงติดลบ ทุกคนต้องใช้คำว่า แทบจะทุกคนมองเธอในแง่ลบ เป็นคนไม่ได้เรื่องแต่คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ สุภาษิตนี้ใช้ได้จริงๆ ยิ่งนานวันทุกคนที่เชื่อคำบอกเล่าของแจ่มสมร เริ่มประจักษ์กับตัวตนที่แท้จริงของปุริมภัทร

                             ปุริมภัทรเป็นคนค่อนข้างสันโดษมีความอาร์ตติสในตัว แต่รับผิดชอบกับงานที่มอบหมายดีเยี่ยมเธอจะทำทุกอย่างเพื่อสำเร็จบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด แม้ตนเองจะทำไม่ได้ก็ตามทีแต่ด้วยศักยภาพของคนทำงานเธอจึงต้องขวนขวายทำให้เสร็จตามที่ได้รับปากมา สิ่งหนึ่งที่บั่นทอนความรู้สึกของปุริมภัทรคือ คนที่ทำงานที่นี่ฟังเรื่องอย่างผิดๆ แล้วตั้งแง่ให้ชีวิตของเธอต้องติดลบถูกมองในด้านตรงกันข้าม แต่นั่นก็ทำให้เธอมองเห็นสัจธรรมอีกข้อ ของคนที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้ว (จริงรึเปล่า) นั้นไม่ได้มีความเจริญทางด้านสติปัญญา ตามการศึกษาที่ตนเองมีได้เลย ยังคงความเห็นแก่ตัวมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ คนที่ตนเองไม่ชอบ กลั่นแกล้ง สาดสี ใส่ไข่ คนที่ตนเองใส่ไคล้ ขณะที่ปุริมภัทรกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ปุริมจ๊ะ มาพบพี่หน่อยจ๊ะ” เสียงพี่จิ๋ม พี่สาวอีกคนที่เอ็นดูและให้ความเมตตาต่อปุริมภัทรดังกังวาลมาตามสาย ปุริมภัทรฉงนนิดๆ มีอะไรแน่ๆ เลย “ได้ค่ะ” ปุริมภัทรตามกลับไป แล้วรีบวางเอกสารในมือลง “พี่จิ๋มสวัสดีค่ะ เรียกปุริมมามีเรื่องอะไรให้ปุริมช่วยค่ะ” พี่จิ๋มรีบแจ้งเรื่องทันที “นี่หนู เรื่องตุ๊กตาไม่จบนะ แจ่มสมรเขาโทมาบอกพี่ว่าปุริมไปพูดให้เขาเสียหาย เดี๋ยวพี่จะเรียกเด็กคนนั้นมาถาม” ปุริมภัทรถอนใจเบาๆ งานเข้าอีกตามเคย ถ้าเด็กนั่นพูดความจริงปุริมภัทรก็รอดแต่ถ้าเด็กนั่นเชื่อแจ่มสมร ปุริมภัทรก็จบเห่ไป  แล้วก็เป็นดังคาดเด็กนั่นพลิกคำพูดกลายเป็นปุริมภัทรแย่งตุ๊กตาจากมือยิ่งทำให้ชื่อเสียงของปุริมภัทรแย่ลงไปอีกแต่ปุริมภัทรหาได้สนใจไม่ใครทำอะไรและเราทำอะไรย่อมรู้แก่ใจดีแต่ปากและการกระทำสมองที่คิดได้แค่นั้นก็จนใจที่จะอธิบายเพราะถ้าคนที่มองอย่างเป็นกลางย่อมที่จะฟังและคิดแบบเป็นกลางให้ความยุติธรรม แต่สำหรับคนที่อคติย่อมไม่มีความถูกต้องให้แก่กันอยู่แล้ว ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าแก้ตัวไปด้วยซ้ำไป เมื่อคิดได้ดังนี้ปุริมภัทรจึงคิดแก้เกมส์ด้วยการทำตัวเองให้เป็นกระจก แจ่มสมรจะมาไม้ไหนเธอก็ทำตัวให้เป็นกระจกสะท้อนกลับไปแบบเดียวกัน แต่ไม่พูดหรือแสดงกริยาก้าวร้าวใส่ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นกำแพงที่คอยรับการปะทะเพื่อให้ผลของการกระทำนั้นตกกระทบกลับไปสู่บุคคลที่คิดไม่ดีเยี่ยงนั้น หึ หึ หึ ปุริมภัทรยิ้มเนือยๆ สมเพชตัวเองที่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายไม่เว้นแต่ละวัน อยากกรวดน้ำคว่ำขันใส่ อยากถวายสังฆทานชุดใหญ่แต่ก็นั่นแหละ ทำได้แค่คิดเท่านั้นเอง เพราะความเป็นจริงแค่เถียงยังไม่กล้าเลย อธิบายยังไม่มีใครฟังเลย!!!

                            เช้านี้อากาศดีปลอดโปร่งสายลมพัดเอื่อยๆ กระทบผิวกายเย็นสะท้านกำลังดี ปุริมภัทรไม่รีบตื่นค่อยลุกจากที่นอนอันแสนสุข สะบัดความขี้เกียจเบาๆก่อนที่จะเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดผมเดินลิ่วๆ เข้าห้องน้ำไป เปิดน้ำใส่อ่างเสียงดังซู่ๆ ฮัมเพลงเบาๆ เมื่อเสร็จกิจจากห้องน้ำก็ตั้งกาน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟดำใส่คอลลาเจนกินก่อนไปทำงาน เพื่อสุขภาพปุริมภัทรเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ทานอาหารเช้าในมื้อแรกของวันเธอก็จะทานกาแฟดำลองท้องก่อนไปทำงานเป็นประจำ วันนี้เธอหวังเพียงว่าขอให้เป็นวันที่สงบสุขของเธอเองสักวัน ขอแค่สักวันเท่านั้น เมื่อเดินทางมาถึงที่ทำงานเธอรีบกระวีกระวาดตอกบัตรทันที แล้วไปติดต่อสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่เธอต้องตรวจที่ธุรการ เพราะเธอไม่ทราบว่าเอกสารอยู่ที่ใดแล้วนั่นเอง พนักงานนางหนึ่งช่วยเธอค้นหาแล้วบอกกับเธอว่า “เอิ่ม...พี่ค่ะไม่มีค่ะ น่าจะไปที่แผนกพี่แล้วอ่ะค่ะ” ปุริมภัทรยิ้มและกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ เธอรีบมาที่แผนกเพื่อตรวจเช็คดูว่าเอกสารมาถึงแล้วจริงมั้ย หาเท่าไรก็หาไม่เจอจึงตัดสินถามพี่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ “พี่ค่ะๆ เห็นเอกสารที่หัวหน้าให้พวกเราแบ่งกันตรวจมั้ยค่ะ” พี่สาวทำหน้า งง ก่อนจะช่วยเธอหาก็หาไม่เจอ จึงถามไฉไล “น้องๆ พอจะเห็นบ้างมั้ยจ๊ะ” แต่ไฉไลกลับนั่งเงียบไม่ตอบ ปุริมภัทรจึงถามมนุษย์ป้าทั้งสองที่ยืนเม้ามอยอยู่ข้างๆ ไปด้วย “ป้าๆ ขาพอจะทราบมั้ยค่ะว่าเอกสารที่ให้ตรวจอยู่ตรงไหน” มนุษย์ป้าทั้งสองหันมามองแล้วนิ่งคิด “อ๋อ!!เอกสารที่ต้องตรวจใช่มั้ย บ่ายๆอ่ะเขาจะเอามาส่ง” แต่ก่อนที่มนุษย์ป้าทั้งสองจะพูดจบประโยคเสียงไฉไลก็ดังแหวกอากาศมาว่า  “ควายเอ๊ย”  อุต๊ะ!!!ปุริมภัทรที่น่าสงสารเธอโดนอีกแล้วเป็นคนอยู่หลัดๆ กลายเป็นควายไปฉิบ เฮ้อ!!คนสมัยนี้ ปุริมภัทรกับคำที่ได้ยินเธอทำงานมาก็หลายที่ไม่เคยพบเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญแล้วสบถคำที่แย่มากออกมา คนที่เธอเคยยกมือไหว้ตั้งแต่ครั้งกระโน้น ปัจจุบันยกมือทิ่มขี้หมายังจะดีเสียกว่า!!!!

                               ไฉไลสาวใหญ่ทึนทึกวัย 42 ปี รูปร่างอ้วนตันลำตัวใหญ่กลมกลึง ผมยาวบางปะบ่า เธอรวบผมลวกๆ เสมอต้นแขนใหญ่ตันพอๆ กะท่อนซุง น้ำเสียงเล็กแหลม นัยน์จ้องจับผิดดุจพญาแร้งถ้าถามถึงคอบอกเลยว่า หาไม่เจอเพราะสั้นเต่อนางชอบใส่เสื้อลายสก๊อตตาหมากรุก เพื่อปกปิดพุงที่ยื่นจนเลยขอบกระโปรงทรงรุงรังนั้น เธอมีเบื้องหลังที่ไม่ค่อยโสภีมากนัก ข่าวแว่วว่าเธอแอบปิ๊งผู้ชายที่มีครอบครัวสุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไปเพราะฝีปากเธอกล้าเป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั่วไป จึงไม่มีใครกล้าต่อกรกับเธอนั่นเองด้วยเหตุนี้เธอจึงชอบแขวะ จิกกัดคนอื่นอย่างไม่เกรงกลัวต่อผู้ใด เพราะเสียงที่แหลมเล็กชอบหัวเราะเยาะและใช้วาจาถางถากผู้อื่นอยู่เป็นนิจนั่นเอง “นี่ๆ วันพรุ่งนี้ไม่เอาน้ำปลาหวานมาหรอกนะ เดี๋ยวมีคนมากิน5555” ขนาดปุริมภัทรทำงานอย่างเงียบๆ ก็ยังมิวายโดยจิกกัดจนได้ บางครั้งก็พูดลอยๆ ขึ้นมาว่า “นี่ๆ จะพูดอะไรให้ระวังนะ เดี๋ยวจะไปถึงหู” ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปุริมภัทรเบื่อหน่ายที่จะนั่งทำงานที่โต๊ะจึงนั่งบ้างไม่นั่งบ้างเพราะไม่อยากทนฟังคำสำรอกของหมีดำขั้วโลกเหนือนั่นเอง ไม่นานนักก็มีข่าวแว่วมาจากแจ่มสมรมาเข้าหูให้ระคายใจว่า “เขาไม่นั่งที่โต๊ะทำงานนานเป็นเดือนแล้วนะ”  ในแผนกบางคนก็จีบปากจีบคอลับหลังว่าให้ “ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับห้องนี้จะมานั่งทำไม” คิดดูเอาเถอะคำว่า “น้ำใจ” ช่างหาได้ยากนักกับบุคคลากรที่นี่ ถามว่าที่ทำงานแห่งนี้ดีมั้ย ดีมากเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นวิชาการ บริหารทั่วไป ฝ่ายบุคคล รวมไปถึงระบบการทำงานองค์กรที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งเลยทีเดียว แต่บุคลากรที่นี่ไร้น้ำใจ ไร้สามัญสำนึกของการเป็นบุคลากรที่ดี (บางบุคคลเท่านั้นนะค่ะไม่ใช่ทั้งหมด) ไม่เคารพกฎระเบียบและวินัยไม่รักษาจรรยาบรรณของคนทำงาน ที่สำคัญปุริมภัทรเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหัวหน้าระดับบิ๊กในที่ทำงานได้แบนเธอทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่ในสายงาน ทั้งๆ ที่ในสายงานมีคำสั่งให้เธอทำงานก็ตามที ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบรรยากาศการทำงานจะเลวร้ายแค่ไหน สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องผจญภัยอยู่กับฝูงไฮยีน่าหรือปิรัญญ่าที่จ้องจะฉีกเนื้อของเธอตลอดเวลาแล้วจะไปมีความสุขในการทำงานได้อย่างไร????

    นึกถึงสมัยก่อนนี้ ก่อนที่จะมาทำงานที่นี่มีเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก มีพี่ๆ ในที่ทำงานต่างให้ความเอ็นดูรักใคร่แตกต่างจากที่นี่ราวฟ้ากะเหว แต่ก็ยังดีที่มีคนบางคนเข้าใจและให้ความรักความเข้าใจแกปุริมภัทรแม้เพียงหยิบมือเดียวก็ตามทีสุดท้ายคนที่นึกถึงเวลาที่มีปัญหาเป็นคนที่สองรองมาจากแม่ก็ว่าได้ ปุริมภัทรจำได้ว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยบอกกับนางว่า “อย่าเอาปัญหาไปให้แม่ดิ เดี๋ยวแม่จะเป็นทุกข์ ไม่มีแม่คนไหนทนได้หรอกนะ ถ้าลูกทุกข์ ยิ่งจะทุกกว่านะ ปุริม” ปุริมภัทรจดจำใส่ใจพยายามไม่เล่าไม่พูดถึงปัญหาเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แม่จะโทมาถามข่าวคราวของเธอเสมอ “ปุริม เป็นไงลูกเพื่อนที่ทำงานดีกับลูกหรือยัง อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปใกล้มันนะลูก เลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะลูกนะ” ปุริมภัทรได้แต่รับปากเบาๆ “ค่ะแม่  เคยเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามปกติค่ะ เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แม่จ๋าหนูไม่ค่อยสะดวกคุยค่ะ เย็นๆ หนูโทรกลับน๊า” ปลายสายฟังอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไมวายห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม ปุริมภัทรกลัวแม่คิดมากจึงไม่กล้าเล่าออกไป ตกเย็นเลิกงานจึงโทรกลับหาแม่ตามสัญญาทันที “แม่จ๋า เมื่อกลางวันไม่ค่อยสะดวกคนเยอะจ๊ะ อีกอย่างเป็นเวลาทำงานด้วยจ๊ะ แม่สบายดีมั้ย” เสียงแม่หัวเราะอย่างมีความสุขตามสายมา “แม่เป็นห่วงนะ ปุริม แม่สบายดีลูก ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” แม่ยังคงห่วงใยตามสายมา ปุริมภัทรรู้สึกมีความสุข อบอุ่นมีพลังที่จะต่อสู้อีกวัน มีเพียงแม่ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และคอยให้กำลังตลอด ส่วนเพื่อนสนิทอย่างโจบ่อยครั้งนักที่ปุริมภัทรมักจะนึกถึงและเล่าเรื่องราวต่างๆ เพื่อระบายบ่อยๆ “โจ แกทำไรอยู่อ่ะ ว่างมั้ยอ่ะแก” โจยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทัน “คราวนี้มีเรื่องไรอีก ยัยยุ่ง” ปุริมภัทรหัวเราะบ้าง “55555 แกนี่รู้ทันไปหมด ก็นิดหน่อยอ่ะ เบาๆ เจ็บๆ คันๆ พอเป็นกษัย” ปุริมภัทรตอบอย่างขำๆ “ถ้าแบบนั้นแกคงไม่โทรหาฉันหรอก ยัยยุ่ง” ปุริมภัทรหัวเราะอีกรอบ “เออ เอ็งเก่งเย็นนี้ว่างมั้ยล่ะ ปรึกษาหน่อยดิ” โจตอบตกลงทันที “ว่างดิ เด่ะไปรับที่ทำงานเอามั้ยแก แล้วหาร้านนั่งกินชิลด์ๆ แกก็เล่าไปละกัน” โจคิดให้เสร็จสรรพ “อืม!!ก็ดีนะ แต่ไม่ต้องมารับหรอกเจอกันที่ร้านสเต็กที่เดิมดีกว่านะ”โจรับคำ มหกรรมของการสนทนาจะเริ่มขึ้นอีกแล้วซินะ “โจๆ แกรอนานมั้ยอ่ะ” โจส่ายหัวแทนการพูด “ว่ามาฉันรอฟังอย่างเต็มที่เลยแก” ปุริมภัทรยิ้มโจเริ่ม งง งง กับท่าทีของนาง “เอาไงแก เรื่องซีเรียสรึยังไง ยิ้มหน้าบานได้เนี่ยแสดงว่าไม่ร้ายแรงใช่ป่ะ” ปุริมภัทรยังคงยิ้มแฉ่งสั่งสเต็ก “เอาสเต็กปลานะค่ะ ไม่ทอดนะค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมื่อนางสั่งเสร็จก็หันมายิ้มแฉ่งต่อพร้อมกับพยักหน้า “ช่ายยยยยยย มีคนเริ่มเข้าใจฉันแล้วอ่ะ แล้วที่สำคัญฉันไม่สนและไม่แคร์คนพวกนี้แล้วอ่ะ เบื่อ” โจหัวเราะ หึ หึ ในลำคอ “โธ่ เรากะนึกว่าโดนยำจนเละเป็นโจ๊ก ทีแท้ก็จะอวดนี้เองว่า มีสาวกแล้ว” ปุริมภัทรถลึงเงื้อมมือกางนิ้วใส่ทันทีพร้อมขู่ฟ่อ “แหมๆ ทำเราจัง” โจยังไม่หยุดบ่น “แหมๆ ก็เราอยากให้รู้ว่าเราเริ่มมีความสุขแล้วอ่ะแก” โจรู้สึกมีความสุขไปด้วยกับปุริมภัทรที่เธอมีความสุขกับการทำงานซักที เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน บางทีเล่าไปน้ำตาซึมไป เสียงงี้เครือน้ำตาคลอเบ้าก็มี เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่ขึ้นชื่อว่ามีการศึกษาพึงปฏิบัติต่อกัน โจติดตามเรื่องนี้มาตลอดเพราะปุริมภัทรมักที่จะมาเล่าให้ฟังเป็นประจำ จนโจมีความรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ถูกกระทำเลยทีเดียว “กินเหอะ แก แกน่าจะดีใจนะที่ฉันสบายใจไม่มีเรื่องบ้าๆ มาเล่าให้แกเสพติดอ่ะ” โจยังคงยิ้มละไมในใบหน้าที่คมเข้มนั้น “เรากะดีใจกะแกไง ยังไม่ได้บอกเลยว่าไม่ดีใจ” ปุริมภัทรตีแขนของโจทันที “ยอกย้อนเราเหรอ แก” โจหลบแทบไม่ทัน “เอะอะใช้กำลังตลอด เห็นเราไม่มีทางสู้ทำร้ายเราตลอดเลยนะ แก” โจต่อว่า ปุริมภัทรลอยหน้าลอยตาเถียงไม่หยุด “ก็นายไม่เคยไม่ยอมเรานี่ แต่ก็นั่นแหละถ้านายมีแฟนเราคงเล่นกับนายไม่ได้แบบนี้เนาะ” โจลอบถอนใจเบาๆ กับความไม่เอาไหนของตนเอง ความไม่กล้าของตนเอง “อ้าวฉันพูดไรผิดอ่ะ ฉันขอโทษอ่ะ” โจยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า “เปล่าๆ แกไม่ได้พูดไรหรอก เฮ้อ!!!!” ปุริมภัทรทำหน้า งง กับโจ “อะไรของแกว่ะ เปล่าแต่ถอนใจเฮือกใหญ่ สงสัยจะโมโหหิว” ปุริมภัทรยังคงเย้าแหย่ไม่เลิกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “จ้าๆๆๆ เอาที่สบายใจเลยนะ ยัยยุ่ง” คราวนี้ปุริมภัทรหัวเราะปากกว้างเลยทีเดียว โจเริ่มผ่อนคลายเพราะว่าเขาคงทำได้เพียงแค่นี้ เพราะปุริมภัทรไกลเกินสำหรับฐานะอื่น “ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็จะอยู่ข้างๆ แกแบบนี้ไปนานๆ จนกว่าแกจะไม่ต้องการเราแหละ ยัยยุ่ง” โจทำได้แค่ตะโกนเบาๆ ในใจกับตนเอง เพราะคงไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยมันออกมา.......................

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น