ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Polaris ปริศนาดวงดาวสาบสูญ

    ลำดับตอนที่ #3 : หนีคนหล่อมาเจอคนสวย(มั้ง)

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 67


    น้ำเสียงเข้มแต่นุ่มนวลและกังวานดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของบุรุษนัยน์ตาสีฟ้าคราม ผมสีทองยาวถึงเอว ดูไกลๆแล้วเหมือนผู้ดี ขุนนางหรือชนชั้นสูงสักคน ที่เสื้อประดับยศ เครื่องหมายและสัญลักษณ์มากมาย แบบว่าแสบตาสุดครับ เครื่องหมายตามเสื้อพ่อคุณสะท้อนแสงอาทิตย์ทอประกายระยิบระยับ มันก็สวยดีอะนะ แต่มากไปก็เป็นพิษต่อสายตาด้วยเช่นกัน ดีนะที่เหม่งไม่มันไม่งั้นละจะนึกว่าพระอาทิตย์ดวงที่สองเลยเชียว

    "พะ พลเรือโทอันเซล!"

    ทหารแต่ละคนทำหน้าเหวอตกใจกันสุดขีด

    "อะไรนะ พลเรือโท!"

    ทำไมพลเรือโทถึงมาอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ล่ะ

    "แย่แล้วแหะ"

    เด็กสาวหยุดร่ายเวทแล้วจ้องไปยังบุรุษผู้มาใหม่ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นโบ

    "ไม่ไหวเขาเก่งเกินไป"

    เธอพูดพลางซัดเวทลมบทใหญ่ไปทางพวกทหาร ทำให้อิฐ ปูน ฝุ่น เศษไม้ต่างๆ ปลิวทั่วฟ้า เป็นจังหวะให้เธอวิ่งมาหาผม แล้วกระชากแขนผมพร้อมใส่เกียร์หมาอย่างไว 

    เดี๋ยว จังหวะจะซัดก็ซัดแหลก จังหวะจะหนีก็หนีกันดื้อๆแบบนี้เลยหรอ สุดจริงโว้ย

    เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ เวทลมบทนั้นก็สลายไป เขากวาดตามองความเสียหายรอบๆก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง อันเซลจ้องไปยังหนึ่งเด็กหญิง หนึ่งชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้วิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ 

    "จับพวกมันให้ได้"

    ทหารนายหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะต้องชะงัก

    "ไม่ต้องตามไปแล้ว แค่นี้ยังวินาศไม่พออีกหรือ ขืนตามไปคงได้เสียหายทั้งเมืองแน่"

    อันเซลพูดขึ้นพร้อมยกมือปรามเหล่าทหารเอาไว้ เขาปรายตามองความเสียหายอีกรอบ ใช้ว่าเขาไม่อยากตามสองคนนั้นไปหรอกนะ แต่รู้ว่าถ้าตามไปเมืองนี้คงเหลือแต่ชื่อแน่นอน เขาเองก็มีพลังเวทที่สูงอยู่ระดับหนึ่งถ้าต้องสู้กันตรงๆล่ะก็ ยังไงอันเซลก็ได้เปรียบแต่เขาเป็นห่วงประชาชนคนบริสุทธิ์มากกว่า

    ‘เด็กคนนั้น เก่งเอาเรื่อวเหมืนกันนะ‘

     ตอนนี้ทหารหลายนายเปลี่ยนอาชีพเป็นกู้ภัยบ้าง แม่บ้านบ้าง กรรมกรบ้าง บางคนก็ยังไล่จับนักโทษคนอื่นๆอยู่ และไม่ลืมที่จะหันมามองคนหล่อ เอ๊ย ท่านพลเรือโทด้วยสีหน้าฉงนงงงวย คนยศระดับนี้ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน

    .........................

    เป็นการวิ่งที่สุดตีนจริงๆ ไอเด็กบ้านี่วิ่งเร็วชิบ สับขาไม่ทันโว้ย ว่าแล้วผมก็ล้มกลิ้งไปหลายตลบเพราะสะดุดขาตัวเอง....โง่แท้

    "อยากจับกบหรอเบนวิค มาๆเดี๋ยวหนูช่วย"

    เมื่อโพลาริสเห็นว่าทหารไม่ตามมาก็หยุดวิ่งแล้วโดดทับผมที่ยังนอนอยู่บนพื้น

    "โว้ย นี่ช่วยหรือซ้ำเติมเนี่ย ลุกออกไปเลย ช่วยให้ตายไวละสิไม่ว่า “

    "ฮิฮิ"

    เธอขำน่ารักแต่สำหรับผมไม่ซักนิด เหมือนเจอยมทูตหัวเราะอัดหน้า โพลาริสลุกออกจากหลังผมแล้วดึง(กระชาก)มือผมให้ลุกขึ้น ทำเอาแขนแทบหลุด พร้อมกับดีดนิ้วหนึ่งแป๊ะ เชือกที่มัดมือผมอยู่ก็หลุดออก แต่ว่านะ 

    "แล้วเราจะไปไหนกันต่อ"

    เธอถามขึ้น

    "หาอะไรกินกันดีไหม ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลย"

    ผมลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นที่เสื้อออก ไม่รู้ว่าตบตีกับทหารไปนานเท่าไหร่แต่รู้ตัวอีกทีก็เกือบเที่ยง ผมจึงพาโพลาริสไปหาร้านอาหารในย่านชุมชนที่ห่างจากจุดที่ซัดเละกับทหารมาหลายโล 

    กว่าจะมาถึงก็เที่ยงพอดี แน่นอนย่านชุมชนต้องมีคนเยอะอยู่แล้ว แถมหนาแน่นเสียด้วย แบบเดินทีไหล่ชนกันไปตลอดทาง ผมจึงใช้สกิลหัวขโมยล้วงกระเป๋ามาได้หลายคนเลย

    "เบนวิคขี้ขะ อุ๊ป"

    "ชู่ เงียบไว้เดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันหมดหรอก"

    ผมปิดปากเธออย่างไว เกือบโป๊ะแตกแล้วไหมล่ะ ผมพาเธอมาถึงร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศในร้านก็ไม่อึดอัดเท่าไหร่เพราะคนไม่เยอะ เออ เพราะคนส่วนมากอยากไปดูคนตายโชว์ที่ลานประหาร ปัจจุบันเลยเข้าโรงหมอกันเป็นแถบ อาหารก็เป็นเมนูง่ายๆเช่น ซุป สเต็ก มันฝรั่งทอดเป็นต้น

    "เบนวิคหนูอยากกินอันนี้"

    เธอชี้เมนูให้ดู ที่เธออยากกินคือสเต็กปลาแซลมอน ซึ่ง...แพงมากครับ

    "เออ เงินไม่พออะ ถูกกว่านี้ไม่ได้หรอ"

    ผมเอาเงินที่ขโมยมาได้ให้โพลาริสดู

    "ชิ ก็ได้"

    เธอทำหน้างอก่อนสั่งสเต็กหมูซึ่งถูกกว่า ส่วนผม...ซุปข้าวโพดกับไส้กรอก เข้ากันหรือเปล่าไม่รู้ รู้แค่อยากกิน

    ทันทีที่อาหารมาเสริฟ ผมก็ตักซุปร้อนๆเข้าปาก พอวแล้วครับ ลิ้นผมเนี่ย ผมดยากจะถุนซุปออกมาสุดใจแต่เกรงใจเด็กตรงหน้าเสียเหลือเกิน เลยต้องทำใจกลืนลงท้องไป

    "เออนี่ ไอหนูพ่อแม่เธอหละ"

    "โพลาริสค่ะ มีชื่อให้เรียกก็เรียกชื่อสิ"

    เด็กสาวละสายตาจากอาหารตรงหน้า เธอจ้องหน้าผมเขม็ง

    "ชื่อเธอมันยาวนี่ ริสเฉยๆได้ไหมละ"

    "ได้!"

    ทำไมต้องตะคอกด้วยฟะ ไอเด็กนี่ พูดจบก็เคี้ยวเนื้อตุ้ยๆเลยนะ

    "แล้วพ่อแม่เธอละริส"

    รอบนี้ผมลองพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาแล้วดูเป็นมิตรขึ้น

    "ไม่รู้สิ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่"

    ริสพูดพลางยัดเนื้อหมูเข้าไปคำใหญ่

    "แล้วทำไมต้องตามหาดาวเหนือหละ"

    "เรื่องของหนู เบนวิคน่ะแค่ช่วยก็พอ"

    ผมอึ้งกับคำตอบเล็กน้อยถึงมากที่สุด แต่ก็นะไหนๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล่ว แถมมีคดีติดตัวอีก ถ้าไม่ได้ริสช่วยไว้ผมคงไปเฝ้าท่านยมแล้วแน่ๆ ทำตามใจนางไปก่อนแล้วกัน พลันสายตาผมก็เห็นส้อมวิเศษจากสิ่งมีชีวิตผมขาว

    แหนะ มีมาจกไส้กรอกในจานคนอื่นด้วยนะ ขอตีสั่งสอนสักที ผมยกมือข้นทำท่าจะตีมือขาวๆน้อยๆและ

    เปรี้ยง! โคร้ม

    เวทสายฟ้าจากมือริสอัดเต็มกลางตัว ส่งให้ผมหงายหลังตกเก้าอี้ไป

    "อย่างกหน่อยเลย เงินตัวเองก็ไม่ใช้ ง่ำ"

    นอกจากยิ้มเยอะเย้ยแล้วก็จิ้มไส้กรอกในจานผมกินอย่างเอร็ดอร่อย

    ผมรีบลุกขึ้นทันที ทันใดนั้นสงครามแย่งไส้กรอกก็เกิดขึ้น

    ถึงจะยังชาอยู่นิดหน่อยแต่ไม่ใช่ปัญหา ส้อมของผมและริสตีกันไปมาเพื่อแย่งไส้กรอก ผมใช่ส้อมปัดใส่กรอกออกทำให้ริสจิ้มพลาด ริสก็ไม่เบาเลยเธอใช้ส้อมเธอปัดส้อมผมให้เสียหลักก่อนจะพลิกส้อมของเธอจิ้มมือผมจากนั้นใช้มือข้างที่ว่างหยิบไส้กรอกไปกิน...ขี้โกงงงง

    "ว้าก เจ็บโวย"

    ผมนกมือขึ้นมาเป่า รอยแดงเล็กๆก็ปรากฏบนมือผม ดีที่จิ้มไม่แรง ไม่งั้นเลือดสาดชัวๆ

    "นั้นใช้เด็กผมขาวที่ถล่มลานประหารหรือเปล่า"

    เสียงผู้คนในร้านนั่งซุบซิบกันเบาๆ เออ...แต่ผมได้ยินนะ

    "ไม่รู้สิแต่เค้าบอกเป็นเด็กหญิงผมขาวกับชายหนุ่มตัวเตี้ยผมสีน้ำตาล"

    หญิงสาวโต๊ะข้างๆผูดอย่างแผ่วเบา

    "ดูแล้วน่าจะใช้นะ เด็กนั้นก้าวร้าวจังเลย"

    ขอโทษเถอะ ไม่ได้เตี้ยโว้ยเค้าเรียกเกือบสูง ว่าแต่ข่าวมาไวไปไหมนะ

    "เบนวิคดูนั้นสิตรงนั้นมีรูปนายด้วย"

    ริสชี้ไปยังผนังด้านหนึ่งที่มีใบประกาศจับต่างๆ ทำให้มีคนหันไปมองตาม ถึงรูปในใบประกาศจับจะเป็นสีขาวดำแต่ก็เหมือนตัวจริงสุดๆ ทำให้รู้ว่าใบไหนเป็นของผม

    "ต้องการ เบนวิค เอเวอร์รี กัปตันเรือกลุ่มโจรสลัดแฟรงคลิน ค่าหัว สองหมื่นเหรียญ"

    ริสอ่านใบประกาศจับเสียงดังฟังชัด นี่กลัวชาวบ้านไม่รู้หรือไง โวยยยย หันมามองกันทั้งร้านแล้ว

    "ชิบเป๋งละ"

    "อิ่มแล้วขอบคุณที่เลี้ยง"

    ตู้ม

    ริสระเบิดพลังเวทอีกครั้งทำเอาคนแถวนั้นหนีตายกันอลหมาด โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ไม่สิต้อวเรียกว่า กลายเป็นเศษไม้แล้วด้วยซ้ำมั้ง โต๊ะบางตัวเนี่ย ช่วงชุลมุนอยู่นั้นผมกับริสก็หนีไปทางหลังร้าน ผมหยิบขนมปังติดมือมาสองสามก้อนพร้อมตังอีกเล็กน้อย ฉกได้ฉกครับ

    "พวกมันหนีไปหลังร้านแล้วตามมันไป"

    ทหารจากไหนไม่รู้โผล่มากันอย่างไวแล้ววิ่งตามผมกับริสมา เท่านั้นแหละเกมวิ่งไล่จับก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ผมขอร้อง(แทบกราบเท้า)ไม่ให้ริสโต้เวทกับทหารเพราะเป็นเขตชุมชน มีคนเยอะกว่าตรงหน้าลานประหาร วิ่งไปแอบไป แต่ก็ถือว่าเป็นการสำรวจเมืองด้วยล่ะนะ เผื่อเอาไว้หนีครั้งต่อไป พอสลัดพวกทหารหลุดผมกับริสก็วิ่งมาหลบหลังโกดังเก่าๆใกล้ๆท่าเรือ ผมได้ออกไปถามข้อมูลกับคนแถวนั้นสองสามคนก่อนกลับมาหาริส

    "นี่เราจะเอาไงกันต่อหรอเบนวิค"

    เสียงเหมือนเหนื่อยแต่หน้าคือสนุกเสียเต็มประดา เหมือนเด็กได้วิ่งเล่นในสนามหลังบ้าน แต่ผมไม่ซักนิด หอบลิ้นห้อย

    "ก็ เดี๋ยวจะไปหาคนที่ผมรู้จักก่อนนะ เขาน่าจะมีข้อมูลอยู่ เห็นว่าจะมาถึงเมืองนี้ตอนเย็นๆ"

    "งั้นหรอ แล้วนายยังเก็บจี้รูปไม้กางเขนอยู่ไหม เอามานี่หน่อย"

    ผมหยิบจี้ไม้กางออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะส่งให้ริส ทันทีที่เธอรับไปเธอก็ท่องเวทเบาๆ เมื่อท่องจบจี้ไม้กางเขนก็ท่อแสงสีขาวพร้อมมีเชือกเส้นเล็กๆร้อยเป็นสร้อยคอนพร้อมใส่ พวกมีเวทนี้อเนกประสงค์ดีแท้

    "อะ ใส่ติดตัวไว้ตลอดนะ เผื่อคลาดกันหนูจะได้ตามหาเบนวิคเจอ"

    "โอเค ขอบใจ"

    ผมรับมาใส่อย่างว่าง่าย มันก็สวยดีนะโดยเฉพาะเข็มทิศตรงกลาง ดูแปลกตาดี

    .

    . 

    พระอาทิตย์ยามอัสดงนั้นสวยงามเสมอ ยิ่งสะท้อนเงาสีส้มตามผิวน้ำทะเลทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผมพาริสออกมาชมพระอาทิตย์ริมท่าเรือหลังโกดัง ลมพัดอ่อนๆหอบความชื้นจากท้องทะเลพัดผ่านร่างเล็กของเด็กผมขาว เวลานี้บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอ่อนๆปรากฏให้เห็น สายตาทอดไปไกลยังเส้นขอบฟ้า

    "คิดถึงจังเลย"

    เสียงคลื่นและลมดังจนกลบเสียงพูดของเธอไปเสียหมด แต่เหมือนเธอก็ไม่อยากให้ใครได้ยินเหมือนกัน

    "ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว"

    "อื่อ"

    ผมเดินนำริสออกมาสู่เขตชุมชนอีกครั้ง พวกเราเดินเรียบถนนจนไปถึงตรอกหนึ่งที่มีคนหนาแน่น ก่อนจะจูงมือริสเข้าไป

    "ระวังพวกล้วงกระเป๋าด้วยนะริส"

    "พูดเองทำเองสินะ"

    ผมเตือนริสก่อนที่จะโชว์การล้วงกระเป๋าชาวบ้านแบบแนบเนียนไปที พวกเราเดินมาหยุดหน้าบาร์แห่งหนึ่งที่หน้าร้านมีดอกกุหลาบสีแดงสดประดับอยู่หลายดอก

    "ที่นี่เด็กห้ามเข้านะครับ"

    ชายหน้าเหี้ยมคนหนึ่งพูดก่อนเอามือกันริสไม่ให้เข้าไป

    เปรี้ยง

    ริสใช้เวทสายฟ้าอัดเข้าเต็มหน้าชายคนนั้นจนล้มลงไปนอนชักแหง็กๆอยู่บนพื้น สภาพเหมือนคางคกใกล้ตาย โหดจริงวุ้ย

    "ไปกันต่อได้ยัง"

    ริสหันมาถามผมพร้อมเวทหน้ากลัวบนมือ

    "ครับๆไปต่อเลยครับ"

    ผมผายมือไปข้างหน้าทันที เชิญเลยครับคุณหนูไม่มีใครกล้าขวางแล้วครับ

    เวทบนมือริสสลายไป เธอจะเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรขัดใจเด็กผมขาวสินะ

    ผมพาริสเดินไปถึงโต๊ะในสุด ตรงนั้นมีหญิงสาววัยกลางคนนั่งจิบไวน์อยู่ บนโต๊ะมีแจกันที่ใส่กุหลาบสีแดงสดตั้งอยู่กลางโต๊ะ พอเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นหอมเหมือนดอกกุหลาบจางๆแต่เย็นสดชื่น

    "ไงครับคุณลาวีออง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ"

    ผมเดินเข้าไปโบกมือทักทายหญิงสาวคนนั้น

    "โอ้ นึกว่าใคร ไงเบวิค"

    ตรงหน้าผมคือสตรีผมสีทองอ่อน นัยน์ตาสีแดงแบบดองกุหลาบ สวมชุดราตรีสีทองปักลายดอกกุหลาบสวยงาม แถมยังมีเข็มกลัดดอกกุหลาบสีทองตรงหน้าอกอีกตาหาก อื้อหือ แจกันดอกไม้สีทองหรือยังไงกัน

    "นั่งก่อนสิ มาหาข้าแบบนี้มีเรื่องอะไรอีกล่ะ"

    เธอโปรยยิ้มอ่อนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะผายมือให้ผมกับริสนั่งลง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×