ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Polaris ปริศนาดวงดาวสาบสูญ

    ลำดับตอนที่ #2 : เด็กหญิงผมขาวน่ารักปุกปิก

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 67


    แสงแดดยามเช้าอันสดใส เสียงนกตัวน้อยตัวนิดร้องกันเซ็งแส่ สายลมเย็นๆที่พัดเอาถ้วย จาน กะละมัง หม้อ ไห ปลิวว่อนเกลื่อนฟ้า ผู้คนที่กรีดร้องอยากหวาดผวาและวิ่งหนีตายกันอลหมาด อ่า ช่างเป็นภาพที่ชวนฝันร้ายเสียจริง

    "แว้ก! อย่ามาตีกันแถวนี้สิวะ ไปไกลๆเลยนะเฟ้ย"

    ผมแหกปากยังไม่ทันได้หุบลังไม้ที่ผมใช้หลบภัยก็กลายเป็นเศษไม้ละเอียดๆไปในบัดดล

    “ก็อย่ามาเกะกะสิ”

    เด็กหญิงผมขาวหันมาตะโกนใส่ผมก่อนจะกลับไปตะลุมบอนกับทหารในชุดเครื่องแบบอีกสี่สิบกว่าคน ตอนแรกใครมาเห็นก็ต้องคิดว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กแน่ๆ แต่พอมาอยู่ตรงนี้คือเด็กไล่ตบผู้ใหญ่จนผู้ใหญ่ที่ว่าสภาพเละตุ้มเปะ ถ้าจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะหรอ ก็ต้องย้อนความกันสักหน่อย

    ………………………

    สวัสดี ผมชื่อเบนวิค เอเวอร์รี่ เป็นโจรสลัดที่พึ่งจะเรือแตกแหกลงทะเลได้ไม่นาน ผมโชคดีลอยมาติดเกาะๆหนึ่งจึงขโมยเรือเขา (ก็ผมเป็นโจรอะ ให้ขอดีๆมันเสียชาติเกิด) แล้วก็ล่องไปตามทะเลเผื่อโชคดีเจอพวกพ้องที่เหลือรอด ลอยลำอยู่ดีๆจู่ๆดาวเหนือสุดที่รักหายไปจากท้องฟ้าเสียอย่างนั้น ผมที่แผนที่ก็ไม่มีเข็มทิศก็หายอาศัยการดูทิศจากดาวเหนืออย่างเดียวเลยได้แต่สวนมนต์ให้เรือลอยตามกระแสน้ำไปเจอเกาะหรือเรือพาณิชสักลำก็ยังดี แล้วก็เจอจริงๆครับ กองเรือทหารเรือ… 

    ผมนี่มอบตัวไม่ทันเลยครับ ต้องขอบคุณที่ทหารเรือกลุ่มนั้นไม่ยิงผมตายเป็นผีเฝ้าทะเลไปเสียก่อน พวกเขาแค่จับผมมาขึ้นศาล พอสอบสวนเสร็จสับก็จับผมโยนทิ้งไว้ในห้องขังรวมกับพี่น้องโจรสลัดอีกหลายคนเพื่อรอไปประหารในวันพรุ่งนี้

    ในคุก ชื่อก็บอกว่าคุกคงไม่สบายเหมือนนอนบ้านแน่นนอน ทั้งอับทั้งชื้น สกปรกโสโครก นี่ถ้ามีไม้ถูพื้นสักอันนะผมจะถูให้สะอาดจนเห็นหน้าตัวเองบนพื้นเลยเชียว ฮึมๆ

    “ไงไอหนุ่ม แนะนำตัวเจ้าหน่อยสิ ตอนอยู่นรกจะได้ทักกันถูก ข้าชื่อจอร์น ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    ลุงหนวดร่างท้วมผมหยิกฟูผู้ที่นั่งอยู่ในห้องขังเดียวกันกับผมกล่าวทักทายผมอย่างเป็นมิตร 

    “เบนวิคครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    ผมทักทายลุงแกกลับ จากนั้นลุงแกก็แนะนำลูกน้องของลุงซึ่งก็คือนักโทษคนอื่นที่อยู่ในห้องขังถัดๆไป ไม่นานคุกอันเงียบสงบก็กลายเป็นตลาดสดที่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าคุยกันเจื่อยแจ้ว 

    ปั้ง!

    “เงียบๆหน่อยได้ไหม จะตายอยู่วันพรุ่งนี้แล้วยังจะทำตัวทุเรศกันอีก เก็บแรงไว้หายใจเถอะ!”

    นายทหารเวรคนหนึ่งเดินเข้ามาก่อนจะยิงปืนโชว์ไปหนึ่งนัด ทำเอาตลาดสดหุบร่มหุบปาก แต่ละคนก็นั่งนิ่งตัวเป็นหินทันที ผ่านไปสักสองสามชั่วโมงก็เริ่มจะเทียงคืนแล้ว นักโทษหลายคนก็พากันสลบสไลไปเฝ้าเทวดา มีแต่ลุงจอร์นกับผมที่ยังไม่นอน ก็จะให้ข่มตาหลับได้ไงล่ะ ลุงแกเล่นสาธยายชีวประวัติส่วนตัวให้ฟังแบบไม่มีหวง ตั่งแต่พ่อแม่ชื่ออะไร เกิดวันไหน ทำวีระกรรมอะไรมาบ้าง มีเมียมาแล้วกี่คน พอผมทำท่าจะหลับลุงแกก็สะกิด(ตบเปรี้ยงเข้ากลางหลังทำเอาหลังแทบหัก) ผมเลยตื่นตาค้าอยู่อย่างนั้น

    “นี่ๆ พี่ชายๆ ช่วยหนูตามหาดาวเหนือหน่อยได้ไหมคะ”

    ขณะที่ลุงกำลังเล่าเรื่องอย่างสนุกปากก็มีเสียงเล็กแหลมของเด็กหญิงดังขึ้นผมกับลุงจึงหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับเด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีขาวดูสะอาดตา มองดูคล้าวๆแล้วเธอน่าจะอายุประมาณสิบขวบกว่าๆ สูงประมาณหน้าอกผม เส้นผมสีขาวนวลยาวประบ่า นัยน์ตาสีดำทอประกายระยิบระยับดุจท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดารานับแสนประดับตกแต่งอยู่ ดูๆแล้วเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน เธอกำลังยังยืนแกะลูกกรงห้องขังที่ผมอยู่

    “เฮ่ไอหนู ดึกดื่นปานนี้มาเล่นอะไรอยู่อีก กลับไปนอนได้แล้วไป”

    ลุงทำท่าโบกมือไล่ ส่วนผมก็พยายามมองหาใครสักคนที่น่าจะเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ น่าจะเป็นทหารเวรสักคนล่ะมั้ง ไม่นานบนใบหน้าของเด็กคนนั้นก็มีน้ำใส่ไหลย้อยลงมา

    “ฮึก ฮือๆๆๆ แง”

    เด็กหญิงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้งอแงเสียงดัง ทำเอาคนที่หลับสะดุ้งตื่นกันเป็นแถบๆ เธอเริ่มร้องหนักขึ้นจนตาเริ่มแดง

    “เออ คือว่าอย่าร้องเลยนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยหาให้เอาไหม หยุดร้องก่อนนะครับ”

    ผมรีบยื่นมืออกไปนอนลูกกรงแล้วลูบหัวเธอเบาๆ เธอสะอื้นที่นึงแล้วปาดน้ำตา

    “จริงหรอคะ”

    “จริงสิ ถ้าพี่อยู่รอดจนถึงวันพรุ่งนี้ล่ะนะ พี่จะไปกับเธอทุกที่เลย”

    “รอถึงวันพรุ่งนี้หรอคะ พรุ่งนี้มันทำไมหรอ”

    มีนัดสารภาพบาปกับท่านยมครับ แค้กๆ

    “เออ มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ”

    “งั้นให้หนูช่วยนะคะ ถ้าพี่รอดพี่ต้องช่วยหนูนะ สัญญานะ”

    “ครับสัญญาครับ”

    เธอยื่นนิ้วก้อยเล็กๆมาตรงหน้าผม ผมจึงเอานิ้วก่อยของผมไปเกี่ยวกับนิ้วของเธอ

    “พี่รับสิ่งนี้ไปด้วยคะ เอาไว้นำโชค”

    มืออีกข้างหนึ่งหยิบจี้รูปไม้กางเขนที่มีแข็มทิศแปะอยู่ตรงกลางมาให้ผม ผมรับจี้มามองอยู่พักหนึ่ง ปกติตรงกลางต้องเป็นรูปอย่างอื่นไม่ใช่หรอ ทำไมเป็นรูปแข็มทิศได้หว่า สงสัยอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บจี้ลงกระเป๋ากางเกงไป

    “จริงสิ หนูชื่อ โพลาริส พี่ชื่ออะไร”

    “เบนวิคครับ”

    “แล้วเจอกันนะ เบนวิค!”

    เธอยิ่มร่าแล้วโบกมือเล็กน้อย ทันใดนั้นสายลมสายหนึ่งก็พัดเข้ามา มันหอบเอาฝุ่นละออกองหญ้ากองฟางที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาปลิวบนอากาศ ทำให้หลายคนต้องยกมือมาปิดหน้าปิดตากันฝุ่นเข้าตากันวุ่นวาย พอลมสงบลงเด็กหญิงตัวน้อยก็หายไปเสียแล้ว

    “แว้ก(กไก่ล้านตัว) ผะ ผะ ผีหลอก”

    นักโทษคนหนึ่งแหกปากสุดชีวิตก่อนจะน็อคคาอากาศไป

    “ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าคุกนี้มีผีด้วย!”

    “พระเจ้า พระเจ้า โปรดคุ้มครองลูกด้วย”

    หลายๆคนที่เริ่มจิตตกหวาดผวาไปตามๆกัน

    ปั้งๆๆๆ

    “คำว่าเงียบน่ะรู้จักไหม อยากตายก่อนเวลากันหรือไง ถ้าอยากนักก็แหกปากกันอีกสิ”

    สิ้นเสียนายทหารเวรเหล่านักโทษก็ปิดปากเงียบ พร้อมใจกันล้มตัวลงนอนอย่างเรียบร้อยทำเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายทหารคนนั้นทำเสียงถุยหนึ่งทีก่อนจะเดินสะบัดตูดออกไป ผีก็กลัวนะ แต่กลัวลูกปืนมากกว่า

    .

    .

    พอรุ่งเช้ามาถึงนักโทษแต่ละคนก็ถูกนำตัวมายังลานประหาร มือถูกมัดด้วยเชื้อกหนาและใบหน้าที่มีสภาพขอบตาดำคล้ำ ผมฟูยังกับถูกไฟช็อต เบ้าหน้าเหมือนคนอดหลับอดนอนมาทั้งคือ ก็แน่สิ เจอผีเข้าเต็มสองตาใครหลับลงก็เชิญเลย ส่วนพวกที่สภาพดีๆผมยุ่งนิดหน่อยน่ะมันเป็นพวกที่สติปลิวสลบเหมือดไปก่อนชาวบ้านชาวช่องแล้วยังไงเล่า ปัดโถ่

    ดูเหมือนการประหารครั้งนี้จะประหารกับแบบแขวนคอนะ บนลานมีเชือกที่ผูกเป็นบ่วงๆห้อยเรียงแถวกันเป็นหน้ากระดานดูดีเลยเชียว ผมขอเป็นกิโยติดหรือยิงเป้าไม่ได้หรอ ตูมเดียวดับไปเลย จะได้ไม่ทรมาน

    ไม่นานผมกับเหล่าสหายร่วมตายก็มายืนเท่ๆเรียงแถวหน้าเชือกกันเป็นที่เรียบร้อย นายทหารนำเชือกมาคล้องคอพวกเราไว้

    “เจอกันในนรกนะหนุ่มเบนวิค”

    “บนสวรรค์ไม่ได้หรอลุง ผมว่าเทวดาอาจเห็นใจผมบ้างนะ”

    ผมมองไปด้านล่างลานประหารก็เห็นผู้คนมากรีดกราด(โห่ไล่ให้ไปตายไวๆ)กันเป็นร้อย พลันสายตาผมเหลือบไปเห็นอะไรเล็กๆสีขาวๆอยู่ในฝูงชนตรงนั้นด้วย

    “โพลาริส?”

    อะไรสีขาวๆที่ว่าเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มสดใสก่อนจะปาเวทระเบิดเข้าใส่ตรงกลางลานประหาร 

    ตู้ม!เปรี้ยง!

    ทั้งเศษไม้ทั้งตัวคนกระเด็นออกมาคนละทิศละทาง ผมกลิ้งคลุกๆอยู่สักพักหนึ่งก็มานอนซบเท้าโพลาริสเรียบร้อย

    “เอาล่ะเบนวิค ไปกันได้แล้ว”

    โพลาริสเข้ามาคว้ามือผมไว้แล้วทำท่าจะวิ่ง แต่ก็ต้องชะงักกึก

    “หยุดนะ! อย่าคิดว่าจะหนีได้นะไอพวกโจรชั่ว”

    นายทหารสายสิบคนวิ่งเข้ามาล้อมลานประหารในทันที เด็กหญิงผมขาวกระตุกยิ้มนิดๆก่อนจะร่ายเวทเสียงเบา ชั่วพริบตาลูกไฟนับร้อยนับพันก็ปรากฎขึ้นรอบๆตัวเธอ เธอตวัดนิ้วไปยังเหล่าทหารผู้โชคร้ายลูกไฟเหล่านั้นก็พุ่งไปหาพวกทหารเหมือนรักกันมาสิบปี เข้าไปซบแบบจังๆทำเอาทหารเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อย่างแดดเดียวกันทั้งกองทัพ

    “ฮ้าๆ ทหารฝีมือแค่นี้หรอ ทำไมกระจอกจังเลยอะ”

    กระจอกหรอ กระจอกกับผีน่ะสิ นี่มันแค่ลิ้วล้อพลีชีพพลีชีวาหรือไม่ก็กระสอบทรายคุณภาพตางหากเล่า รอเจอระดับพันเอกขึ้นไปสิเดี๋ยวมีร้องไห้หาแม่แน่ 

    ผมได้แต่คิดแล้วก็ต้องรีบหาหลุมหลบภัยเซฟๆโดยด่วน ก็คุณเธอเล่นถล่มบ้านช่องชาวบ้านด้วยน่ะสิ หม้อจานชามนี่ลอยเต็มฟ้าเลย ยังไม่นับเสื้อพงเสื้อผ้าอีกนะ วินาศสุดๆ ผมขอขุดหลุมฝังตัวเองตอนนี้ทันไหมหนอ

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×