คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : นักแสดงมือหนึ่ง อึ้งกันไปสิ
"ออกเรือได้!"
สิ้นเสียงของนายท่า เหล่าลูกเรือก็ช่วยกันดึงสมอเรือขึ้นจากน้ำ เรือสำเภาลำใหญ่ที่กางใบเรือเต็มที่ก็เล่นไปยังมหาสมุทรอันกว้างไกล
ผมคิดถึงจริงๆนะ ท้องทะเลสีคราม ลมทะเลพัดเบาๆ เหล่านกนางแอ่นที่บินเหนือเสากระโดงและเสียงลูกเรือที่กำลังวุ่นวายกับการจัดข้าวของต่างๆ ทำให้ผมคิดถึงสมัยก่อนที่----
"ไอคนขี้เกียจ!"
โครม!
ผมถูกตีนหนักๆของหัวหน้างานยันโครมจนตกจากลังไม้ที่นั่งอยู่ ทำเอาผมหลุดจากผวังและกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงทันที
"หวา ขอโทษครับๆ ไปทำงานเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"
ผมก้มหน้าขอโทษขอโพยก่อนจะวิ่งไปช่วยลูกเรือคนอื่นยกของลงด้านล่าง ตอนนี้ผมมีสถานะเป็นลูกเรือสุวรรณมัจฉา เรือเดินสมุทรของแดนสุวรรณภูมิที่นำทูตมาเจรจาทางการค้ากับฟรานส์เมื่อหลายวันก่อนและกำลังจะเดินทางกลับพอดี ผมเลยใช้เส้นสายนิดหน่อยทำให้ติดเรือมาด้วยได้ ส่วนริสกับกาลาเทีย--มีสถานะเป็นสัมภาระอยู่ใต้เรือเพราะผมไม่มีตังจ่ายค่าเดินทางของสองคนนั้นและลาวีอองก็ไม่ยอมช่วยออกอีกต่างหาก ให้มาเนียนเป็นลูกเรือก็ไม่ได้อายุไม่ถึงแถมเป็นผู้หญิงอีกเข้าไม่รับกัน เลยต้องโหลดลงกล่องใต้ท้องเรือไปโดยปริยาย
"จะได้กลับบ้านสักทีนะ ที่ฟรานส์นี่หนาวชะมัด ถ้าให้ข้าอยู่ต่อล่ะก็ข้าคงตายไปแล้ว"
"คิดถึงแดดที่บ้านจังเลย ถึงที่นี่จะมีแดดก็เถอะแต่โคตรหนาวเลย"
"ใช่ๆ อาหารก็เลี่ยนไม่อร่อยเลย อยากกลับไปกินต้มยำฝีมือแม่ดาวเรืองจังเลย"
"ข้าก็คิดถึงเมียเหมือนกัน ตอนข้ามานางกำลังท้องอยู่เลย ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมั้ง ข้าอยากเห็นหน้าลูกเร็วๆจังเลย"
"เฮ้ย แล้วเจ้าล่ะ ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาแต่เด็กเลยนะ เป็นอย่างไรบ้าง"
ผมสะดุ้งตัวลอยเมื่อลูกเรือคนหนึ่งเอามือมาตีหลังผมเบาๆ นี่ผมกะจะนั่งเงียบๆแล้วนะเนี่ย โถ่ ถึงโลกจะใช้ภาษาเดียวกันหมดแต่สำเนียงกับภาษาถิ่นก็ทำให้ฟังยากได้เหมือนกัน บนเรือนี้มีแค่ผม ริส กาลาเทีย แล้วก็ทูตของฟรานส์อีกไม่ถึงสิบคนที่เป็นชาวโยเซีย ที่เหลืออาเทียร์หมด ดีทีสีผิวผมออกคล้ำนิดๆเพราะเจอแดดจากทะเลมาเกือบสิบปีทำให้เนียนๆได้อยู่ แต่สำเนียง โยเซียจ๋าๆมากครับ
"ก็ดีครับ แต่ก็คิดถึงบ้านอยู่ดี ที่ฟรานส์หนาวมากเลยถ้าเทียบกับที่บ้าน ผมสามวันดีสี่วันไข้ตลอดเลยครับ"
"ข้าก็เหมือนกัน ป่วยบ่อยมากๆ กลับถึงสุวรรณภูมิเมื่อไหร่นะ ข้าเหมาน้ำสมุนไพรให้หมดร้านเลย เอาให้รู้กันไปว่าข้าจะป่วยอีก"
ผมค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาจากวงสนเสวนาของชาวอาเทียร์อย่างแนบเนียน ขืนอยู่ต่อโป๊ะแตกชัวๆ เพราะงั้นลาก่อนนะครับพี่น้อง ผมคิดว่าจะเดินลงไปดูริสกับกาลาเทียที่ห้องเก็บของเสียหน่อย ผมจึงใช้บันไดตรงกลางเรือเพื่อเดินลงไปยังใต้ท้องเรือที่เป็นห้องเก็บของแต่ยังไม่ทันไปถึงบันไดก็ได้ยินเสียงโวยวายก่อนชายฉกรรจ์สี่คนจะหิ้วหนึ่งสาวผมขาวและหนึ่งเด็กผมขาวออกมาจากใต้ท้องเรือและนำตัวไปยังดาดฟ้า งานเข้าแล้วครับพี่น้อง!
.............................................
เพราะไม่สามารถเนียนเป็นลูกเรือได้สองสาวผมขาวจึงต้องเนียนเป็นสัมภาระแล้วซ้อนตัวอยู่ในลังไม้ ที่ทั้งแคบและอึดอัด
"พี่เทียหนูหิวแล้วอะ"
เสียประท้วงจากกระเพาะอาหารว่างๆของเด็กผมขาวดังขึ้นเป็นช่วงๆทำให้คนเป็นพี่ชักหน้าเสีย
"พี่ไม่ได้เอาอะไรติดมาด้วยสิ ทำไงดีเนี่ยลังที่เราอยู่ไม่มีอะไรเลย"
"ลังอื่นๆมีอาหารไหมนะ"
โชคดีที่ลังมีรูเล็กๆสำหรับหายใจอยู่ ริสจึงใช้รูนั้นส่องหาของประทังท้องว่างๆ
"เจอแล้ว!"
ตูม
พูดจบริสก็ซัดเวทเข้าลังไม้ทันที ลังไม้แตกกระจายกลายเป็นเศษไม้ในชั่วพริบตา
"ริสพี่ว่าความคิดนี้ไม่ดีเลยนะ ถ้ามีใครมาเห็นจะทำยังไง"
กาลาเทียรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เธอมองซ้ายทีขวาทีมุมเงยมุมเสยมุมแย้งมุมตะแคง(?)
"เอาน่าๆ ถ้ามีใครมาเห็นก็ใช้แผนเอ ไม่สำเร็จค่อยแผนบี"
"อย่าเลยไปแผนบีเลยนะ"
"เฮ้ยใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!"
ยังไม่ทันไรก็ลูกเรือร่างใหญ่ก็เดินลงมาพอดี ริสกับกาลาเทียเลยรีบหาที่ซ้อนแต่ช้าไป ลูกเรืออีกสามคนจับแขนพวกเธอไว้แล้วหิ้วขึ้นไปดาดฟ้าเรือทันที
หนูริสลูกกก พี่ไม่อยากใช้แผนเอหรือบีทั้งนั้น!
......................................
"กัปตันรับ! มีผู้หญิงกับเด็กแอบขึ้นเรือมาครับ"
เหล่าชายฉกรรจ์ค่อยวางริสกับกาลาเทียลงบนพื้นโดยมีผมยืนอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ พลันสายตาผมก็สบกับนัยตาสีดำของริส อ่า รู้สึกเย็นสันหลังแปลกๆ
"พี่เบนวิคช่วยด้วย แง"
จู่ๆริสก็พุ่งตัวมาหาผมที่หลบอยู่ข้างๆเสากระโดงเรือ แถมมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด ร้องไห้ขี้มูกโป่งน้ำตาไหล ตัวสั่นระริก แหนะๆ มีการดึงเสื้อชาวบ้านไปเช็ดน้ำมูกด้วยนะ
"พี่เบนวิค!"
แหนะ นี่อีกคน ผมไปเป็นพี่คุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
"นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกเจ้าสองคนแอบขึ้นเรือมางั้นหรือ!"
ต้องบอกก่อนเลยว่าหัวหน้างานกับกัปตันเรือเป็นคนละคนกัน หัวหน้าคือคุมลูกเรือส่วนกัปตันคุมทุกอย่างและเรื่องถึงหูกัปตัน--- ว่ายน้ำไปอาเทียร์กันไหมสาวๆ
"กะ ก็พวกข้าเป็นห่วงพี่เบนวิคนี่หน่า หลังจากคุณพ่อคุณแม่ตายไปเราก็เหลือกันสามคนพี่น้อง แล้วนี่พี่เบนวิคจะต้องออกไปทำงานถึงต่างทวีปเลยนะ จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าพี่ไม่กลับมาพวกหนูจะอยู่กันยังไงล่ะ"
กาลาเทียพูดอย่างสะอึกสะอื้นพร้อมบีบน้ำตาเรียกแต้มสงสารจากชาวประชาชนคนบนเรือ
"พี่สัญญาแล้วนี่ว่าจะกลับมา พี่ไม่เคยผิดสัญญาเจ้าก็รู้"
ไหนๆก็ไหนๆลองเล่นบ้างจะเป็นไร
"ตอนแรกหนูก็บอกน้องแล้วว่าพี่ต้องไม่เป็นไร แต่น้องไม่ยอม น้องกลัวว่าพี่จะเป็นเหมือนพ่อหนูเลยพาน้องแอบขึ้นเรือมา หนู...."
พูดจบก็เอามือปิดหน้าแล้วปล่อยโฮเสียงดังจนคนแถวนั้นเริ่มมีน้ำตากันบ้างแล้ว
"พี่เบนวิคใจร้ายที่สุด! ทั้งๆที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกันสามคน แต่พี่ชอบหายไปบ่อยๆ ตอนนี้พี่ก็จะไปอีก พี่โกหก!"
ริสที่เอาหน้าซุกท้องผมอยู่พูดขึ้นพร้อมเอามือทุบอกผมแล้วก็ปล่อยโฮดังพอๆกับกาลาเทีย ทำเอาผมน้ำตาไหล(จากแรงทุบที่เหมือนโดนช้างเหยียบ)
"เฮ่อ เรื่องในครอบครัวนี่พูดยากนะ ถ้าให้บอกตรงๆพวกเธอสองคนก็ติดเรือไปได้อยู่หรอกแต่ปัญหาคือเสบียงนี่สิ มันมีไม่พอสำหรับพวกเจ้าหรอกนะ ถ้าจะซื้อเสบียงที่เมืองอื่นก็ไม่ได้เสียด้วย ทางคณะเดินเรือมีงบจำกัด พวกเจ้าก็แบ่งอาหารกันเอาเองนะ อดๆหน่อยทนไว้นะ"
กัปตันพูดไปเช็ดน้ำตาไป หึ อินละสิ รางวัลนักแสดงยอมเยี่ยมต้องมาแล้วปะนาทีนี้ ก่อนจะมีใครเอ่ยปากแบ่งมื้อเช้าเที่ยงเย็นให้กับสาวๆทั้งสองก็มีเสียงสวรรค์(เสียงนุ่มทุ้มของบุรุษผู้หนึ่ง)ดังออกมาจากด้านหลัง
"กัปตัน ท่านช่วยแวะซื้อเสบียงที่เกาะใกล้ๆนี้ได้หรือไม่ เดี๋ยวค่าใช้จ่ายทั้งหมดข้าออกให้เอง"
"จะดีหรอครับคุณธเนตร"
"มิต้องกังวลหรอก เงินเล็กน้อยแต่นี้ไฉนเลยจะเป็นปัญหาสำหรับข้า ข้าจัดไม่สบายใจมากเสียกว่าถ้าหากรู้ว่ามีสตรีและเด็กน้อยกำลังหิวโหย "
"ถ้าคุณว่าอย่างนั้นผมก็ไม่เกี่ยง หันหัวเรือไปทิศสามนาฬิกา เราจะแวะซื้อเสบียงเพิ่ม"
"เดี๋ยวๆกัปตัน ไอหนุ่มคนนี้ไม่ใช้ชาวสุวรรณภูมิหรือ"
ผมคิดว่าเรื่องจะจบลงด้วยดีแต่มีไอบ้าที่ไหนไม่รู้ดันสงสัยผมเสียได้ ถ้ามีก้อนหินเหมาะๆซักก้อนนะ แกได้ลงไปจูบพื้นเรือแน่ เสียดายตรงนี้ไม่มีสักก้อนมีแต่ระเบิดเวลาหัวขาวตัวนี้ตัวเดียว
"เพื่อนข้าเขาฝากมาให้เขามาทำงานบนเรือ ไม่ยักรู้มีน้องพ่วงมาอีกสองคน"
กัปตันตอบสวนไปพลางเดินไปบังคับเรือต่อ
"เออ ขอบคุณมากนะครับคุณ..."
ชื่ออะไรแล้วหว่า ภาษาอาเชียร์ฟังยากชะมัด
"ธเนศ ข้าชื่อธเนตร พวกเจ้าล่ะชื่ออะไรกัน"
ชายหนุ่มผมดำเข้มผิวสีแทนนัยตาสีเขียวมรกตแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร
"เบวิคครับ นี่กาลาเทียส่วนเจ้าตัวเล็กชื่อโพลาริส"
"ส่วนห้องพักมีห้องว่างเหลือ ให้น้องของเจ้าสองคนไปพักในนั้นก็ได้นะ เดี๋ยวข้าคุยกับกัปตันให้ แล้ว พอไปถึงอาเทียร์แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรต่อหรือ"
"ผมยังไม่ได้คิดเลยท่าน ตอนแรกว่ามาเสร็จรับเงินแล้วจะหางานทำบนเรือพาณิชต่อ ไม่คิดว่าสองคนนี้จะแอบตามมาด้วย"
"พวกเจ้าอยู่กันแค่สามคนหรือ"
"ใช้ครับ สามคนพี่น้อง"
"งั้นไปทำงานที่บ้านข้าไหม"
"งานอะไรหรอครับ"
"พวก กวาดบ้านถูบ้าน ทำกับข้าว ก็งานบ้านงานเรือนทั่วไป ข้าวเจ้าบ้านเลี้ยง ที่อยู่ก็มีให้นะ"
งานดีเงินดีน่าสนใจ
"ให้พวกผมไปทำงานที่เรือนท่านได้หรือครับ"
"ได้สิ อีกอย่างข้าก็ไม่ค่อยมีความรู้ของโยเซียเท่าไหร่ มีพวกเจ้าเป็นที่ปรึกษาเพลาทำงานคงดีไม่น้อย"
ใช่ครับ ถ้าเป็นกาลาเทียอันนี้ผมยอมรับ ฉลาดเป็นกรด ฉลาดแบบว่าสามารถเอาทฤษฏีวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างไปตบหน้าไดแลนจนทางนั้นยอมรับได้เลยนะ ส่วนผม....หนังสือยังอ่านไม่ออกเลยครับ อะ แต่ถ้าความรู้รอบโลกก็มีอยู่นะ ออกทะเลเป็นสิบปีรู้แค่ทิศเหนือใต้ก็เกินไป
"ยินดีเลยครับ ของคุณมากครับ"
หลังจากนั้นผมกับธเนตรก็คุยกันสนุกปาก ผมเล่าเรื่องประเทศต่างๆที่เคยล่องเรือผ่านโดยแต่เรื่องนิดหน่อย เพราะถ้าบอกไปว่าผมเป็นโจรสลัดแล้วล่องเรือไปนู้นไปนี่คงมีได้ตีก้นเธอกันบ้างล่ะ ตีไปให้ทหารเรือนะ ซึ่งผมไม่เอาเด็จๆ ไม่นานเรือก็มาถึงเกาะเล็กๆเกาะหนึ่ง เราแวะซื้อเสบียงเท่าที่จำเป็นก่อนจะออกเรือต่อ
.......................................
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะเป็นเรือของคณะทูตจึงแล่นเร็วกว่าเรือปกติทั่วไปทำให้มาถึงอาณาจักรสุวรรณภูมิด้วยระยะเวลาหนึ่งเดือนเป๊ะๆ และแน่นอนครับ อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรที่ผมไม่อยากมาที่สุด เพราะว่ามันร้อนมากครับ! ทันทีที่เรือวันๆฉาๆอะไรสักอย่างมาถึงเขตสุวรรณภูมิ ลมร้อนก็กระแทกหน้าผมจนต้องรีบม้วนตัวกลับเข้าไปใต้ท้องเรือทันที ส่วนกาลาเทียกับริสเหมือนไม่ใช้คน พวกเธอเหมือนไม่มีความรู้สึกร้อนหรือเย็นอะไรเลย จะว่าไปก็ไม่ใช้คนอยู่คนหนึ่งนี่หว่า
"ลิ้นห้อยเชียวนะเบนวิค"
ธเนศเดินลงมาดูผมที่หอบลิ้นห้อยจากอุณหภูมิที่ร้อนเปรี้ยงของประเทศนี้
"ครับ ร้อนมากครับ มันร้อนแบบนี้ตลอดปีหรือเปล่าครับ"
อย่าตอบใช้เชียวนะ ไม่งั้นผมจะว่ายน้ำกลับโยเซียเดี๋ยวนี้
"ไม่หรอก หน้าหนาวก็หนาวอยู่นะ บางเรือนต้องก่อไฟให้พวกบ่าวหรือทาสกันเลยล่ะ แต่ก็หนาวไม่เท่าฟรานส์หรอกนะ"
หนาวของคุณคือปกติของผม ผมมั่นใจผมเคยมาหน้าหนาวแล้ว หิมะก็ไม่มี มีแต่ลม ถ้าให้เลือกอยู่ในอาเชียร์ก็ขออยู่แดนมังกรดีกว่า ร้อนน้อยกว่าแถมหิมะตกด้วย นี่ถ้าไม่ติดต้องมาตามหารูปภาพล่ะก็ ผมไม่มาแน่นอน
"ถึงท่าเรือแล้วเอาสมอลงได้!"
ในขณะที่ผมนอนแห้งอยู่บนพื้นลูกเรือคนอื่นๆก็ช่วยกันขนของออกมาจากใต้ท้องเรือกันวุ่นวาย เมื่อเรือเทียบท่าพวกขณะทูตก็เดินลงจากเรือเพื่อไปเข้าเฝ้าจักพรรดิของพวกเขา นั้นทำให้ผมกับน้องสาว(จำเป็น)ทั้งสองต้องมายืนรอธเนศอยู่หน้าวัง ใช้ครับหน้าวังยืนกันเป็นทหารเวรเลยครับ
"ร้อนชะมัดเลย พวกเธอไม่ร้อนบ้างหรอ"
"ไม่!"
ตอบพร้อมกันแบบชัดถ่อยชัดคำมาก พลันผมเหลือบไปเห็นชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังแบบของกันอยู่และพวกเขาไม่ใส่เสื้อ เอาล่ะในเมื่อมันร้อนขนาดนี้ ไม่ซงไม่ใส่มันแล้วเสื้อ ผมตัดสินใจปลดกระดุมแล้วถอดเสื้อออกแต่ไม่ทันไรก็ต้องรีบใส่กลับอย่างไว ผมมั่นใจในภูมิต้านทานแดดเผาของผมมากๆเพราะสู้แดดกลางทะเลมาสิบปี นี่อะไรแดดถูกผิวปุ๊ปไหม้ปั๊ป ผมจึงทำได้แค่ปลดกระดุมโชวพุงขาวๆอย่างเดียว อยากถอดนะแต่ไม่อยากเปลี่ยนสีผิวเท่าไหร่ ยังรักผิวขาวๆอยู่เพราะงั้นทนร้อนต่อไปนะตัวผม
"ข้ามาแล้ว ขอโทษที่ทำให้รอนานนะ"
ผมอยากบอกพี่แกว่าผมจะละลายแล้วครับ ช่วยด้วย
"เราไปกันเลยเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานเจ้าต้องตายแน่ๆ"
ธเนศมองผมอย่างห่วงๆเพราะตอนนี้หน้าผมแดงกว่ามะเขือเทศแล้ว แถมเหงื่อท่วมยังกับอาบน้ำมา ธเนศจึงเดินนำไปที่ท่าเรือริมแม่น้ำ ที่ท่ามีเรือพายมาลอยลำรออยู่หลายลำ พอเดินไปใกล้ๆจึงได้เห็นน้ำใสน่าว่ายสุดๆ ในน้ำมีปลายตัวเล็กตัวใหญ่แหวกว่ายกันเต็มไปหมด สายลมอ่อนๆพัดความชื้นจากในน้ำทำให้อากาศเย็นสบาย
"พวกเจ้าขึ้นเรือกันเลย นี่เรือของบ้านข้าเอง"
ธเนศผายมือให้พวกผมขึ้นเรือ ริสขึ้นไปคนแรกตามด้วยกาลาเทียและปิดท้ายด้วยผม
ตู้ม!
เสียงดังฟังชัดพร้อมน้ำที่สาดกระเด็นไปทั่วบริเวณ
"เบนวิค! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
หนุ่มผมดำชะโงกหน้ามาดูผมที่กำลังลอยคออยู่ในแม่น้ำกับพวกปลาตัวเล็กตัวน้อยน่ารัก
"ไม่เป็นไรครับ สบายมาก"
ผมว่าผมเมาอากาศที่นี่ชัวร์ ผมเลยก้าวพลาดลงไปลอยคอแบบนี้ แต่ก็ดีเหมือนกันน้ำเย็นสบาย อยากว่ายน้ำไปบ้านธเนศเลย
"พี่เบนวิคอยากว่ายน้ำตามไปค่ะ พี่บอกว่าอากาศมันร้อนเลยอยากดับร้อนค่ะ"
ริสพูดเสียงใสทำเอาหนุ่มผมดำหน้ามึนไปสักพัก
"จริงหรือ"
"ไม่จริงครับ"
ผมรับดีดตัวขึ้นมาจากน้ำก่อนจะแลนดิ้งบนเรืออย่างสวยงาม
ธเนศยิ้มขำก่อนจะบอกให้บ่าว ใช้ไหม คนใช้ที่นี่เขาเรียกว่าบ่าวถูกไหม ใช้แหละผมรู้ผมเรียนมา เรือพายลำเล็กล่องไปตามแม่น้ำเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวไปยังคลองเล็กๆด้านซ้ายมือและไปทะลุคลองใหญ่อีกสายหนึ่ง พายไปสักพักก็เริ่มชะลอความเร็วแล้วก็จอดเทียบที่ศาลาไม้ริมน้ำทรงแปลกตา ส่วนเรือลำอื่นๆก็ไปจอดเทียบที่ตะลิ่งดิน
"ถึงแล้วนะพวกเจ้า นี่บ้านข้าเอง"
เลยจากสาลาริมน้ำคือบ้านทรงแปลกตาหลังใหญ่ รอบๆบ้านมีต้นไม้นานาชนิดขึ้นรายล้อมอยู่ทั่วบริเวณ ทั้งไม้ดอกที่ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ไม้ผลที่ออกลูกเต็มต้นเห็นแล้วชวนหิวขึ้นมาดื้อๆ บ่อน้ำเล็กๆที่มีบัวหลายสีเบ่งบานล่อแมลงตัวเล็กตัวน้อยให้มาดอมดม ลมกัดอ่อนๆพัดพาเกสรดอกไม้และใบไม้แห้งๆปลิวไปตามอากาศ ที่หน้าบ้านมีชายชรากับคนใช้อีกจำนวนหนึ่งรอต้อนรับอยู่แล้ว
"กลับมาแล้วหรือ ธเนศ"
ความคิดเห็น