ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [อยู่ระหว่างการรีไรต์ค่ะ] When I became a Mermaid เมื่อโชคชะตาเล่นตลกผลักฉันตกทะเลมาเป็นเงือก!

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 : ไม่ยอมยกให้

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 66


    สามวันต่อมา

    [ณ อาณาจักรเครสต้า]

    และแล้วก็มาถึงวันงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเซน ฉัน โจเซฟีน ขุนนางบางส่วน และเหล่าทหารองครักษ์จึงเดินทางมาเยือนอาณาจักรเครสต้า ด้วยขบวนรถฮิปโปแคมปัสอันยิ่งใหญ่ตระการตา

    “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งเปิดประตูให้ฉันกับโจเซฟีน พวกเราจึงว่ายลงจากรถม้าแล้วว่ายเข้าห้องโถงที่ใช้จัดงานไปด้วยกัน โดยมีเหล่าขุนนางและองครักษ์สามสี่คนว่ายตามมาด้วย

    “แล้วเราต้องทำอะไรบ้างเหรอเพคะท่านพี่” ฉันหันไปถามโจเซฟีนที่ว่ายอยู่เคียงข้าง ถึงจะพอจำได้จากความทรงจำของเซเรน่าแต่่่ก็ถามไว้เพื่อความชัวร์ดีกว่า เพราะนี่เป็นงานวันเกิดครั้งแรกของเซนในรอบหลายปี แถมช่วงที่ผ่านมาฉันก็มัวแต่ง่วนอยู่กับการปรับตัวเข้ากับงานของเซเรน่าซึ่งมีเป็นกองพะเนิน จึงไม่ได้ถามโจเซฟีนเรื่องนี้มาก่อน

    เมื่อคืนฉันว่าจะถามเซเรน่าในห้วงฝัน แต่ก็กลายเป็นว่าไม่ได้ฝันซะงั้น หรือว่าเซเรน่าจะได้รับประสบการณ์ปั่นงานโต้รุ่งแล้วกันนะ น่าสงสารจริง ๆ …ไม่ก็โดนยัยเกลบังคับดูซีรี่ส์เป็นเพื่อนจนเช้าเหมือนที่ฉันโดนล่ะมั้ง ฮะ ๆ

    “ช่วงต้นก็เหมือนกับงานเลี้ยงของราชนิกุลตนอื่น เจ้าต้องนำของกำนัลไปมอบให้องค์ราชาเวทิสและองค์ราชินีเคเรน่า ที่เพิ่มมาคือพอถึงช่วงอวยพร เจ้าต้องขึ้นเวทีกล่าวอวยพรองค์ชายในฐานะตัวแทนของอาณาจักรเซเรเนีย”

    “อ๋อ…ห้ะ ต้องกล่าวอวยพรด้วยเหรอเพคะ!” ซวยล่ะสิ งานของคนอื่นไม่เห็นมีพาร์ทพูดอวยพรแบบนี้เลยนี่ หรือเพราะเป็นการจัดงานในรอบหลายปีเลยเพิ่มขึ้นมาให้งานมันยิ่งใหญ่ขึ้นงั้นเหรอ แต่โจเซฟีนไม่เห็นบอกฉันก่อนเลยย แบบนี้จะเตรียมตัวทันได้ไงเล่า TT

    “ก็ใช่น่ะสิ”

    “งั้น เอ่อ...มีบทพูดให้มั้ยเพคะ” อย่างน้อยก็ขอโพยทีเถอะ!

    “หา? ของแบบนั้นจะไปมีได้อย่างไร เจ้าอย่ามัวแต่คุยกับข้าอยู่เลย นู่น! เอาของกำนัลไปให้ทั้งสองพระองค์ได้แล้ว” โจเซฟีนพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางส่งสายตาไปทางบัลลังก์ด้านในสุดของโถงจัดงานเลี้ยง โดยไม่สังเกตเลยว่าสีหน้าฉันมันกำลังตื่นตระหนกขนาดไหน

    ไม่มีบทพูดให้แล้วตอนนี้ยังจะทิ้งกันอีกเหรอ ใจร้ายที่สุด TT

    “แล้วท่านพี่ไม่ไปด้วยกันเหรอเพคะ”

    “ไม่ล่ะ ข้าไม่ใช่รัชทายาทนี่ เจ้าต่างหาก”

    “ไม่เอาน่า ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยนะ” รับผิดชอบด้วยการไปด้วยกันซะดีๆ !

    “ห้ะ เมื่อกี้เจ้าเรียกตัวเองว่า…น้องหรือ” โจเซฟีนทำหน้าตกตะลึง คงเพราะไม่คิดว่าเซเรน่าจะยังนับตัวเองเป็นพี่ล่ะมั้ง ก็เล่นแกล้งน้องไว้ตั้งมากมายนี่ แต่จริง ๆ ฉันลองถามเซเรน่าดูแล้วล่ะ นางบอกว่า ‘เราไม่เคยเกลียดท่านพี่เลยนะคะ เพราะเราเข้าใจเหตุผลของท่านพี่ดี มันมีหลายปัจจัยค่ะที่ทำให้ท่านพี่เป็นอย่างนั้น...เราเข้าใจแล้วก็สงสารท่านพี่ด้วยใจจริงค่ะ’ น่ะ! เห็นมั้ยว่าเซเรน่าของฉันเป็นคนดีขนาดไหน ดังนั้นในเมื่อเซเรน่าไม่ผูกใจเจ็บกับโจเซฟีนฉันก็จะทำให้สัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นี้ดีขึ้นให้เอง!

    “ใช่เพคะ ท่านพี่เองจากนี้ก็เรียกตัวเองว่าพี่เสียด้วยนะเพคะ เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกันนี่นา” ว่าแล้วฉันก็คล้องแขนของโจเซฟีนเอาไว้ แล้วดึงให้ว่ายไปหาราชาและราชินีของอาณาจักรนี้ด้วยกัน โดยมีคณะขุนนางและองครักษ์ก็ว่ายตามหลังพวกเรามาอีกที ซึ่งการที่นางยอมโดนลากมาโดยไม่ดึงแขนออกเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายของฉันมาก

    ก็นะ ยังไงพี่ก็เป็นพี่อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ

     

    “ถวายบังคมเพคะ ขอละอองทรายในพงไพรจงสดับท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองพระองค์”

    เมื่อมาถึงด้านหน้าของราชาราชินี ฉัน โจเซฟีนและคณะผู้ติดตามก็โค้งคำนับทั้งสองพระองค์ พร้อมกล่าวคำอวยพรตามประเพณี ทั้งสองดูเด็กกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย ถ้าลูกโตเป็นหนุ่มขนาดนั้นก็น่าจะอายุมากแล้วแท้ ๆ แต่จากความทรงจำของเซเรน่าดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติของชาวเครสต้าสินะ สมกับเป็นอาณาจักรแห่งกาลเวลาจริง ๆ จะว่าไป...เมื่อกี้มองจากตรงนั้นมีเงือกอยู่เยอะเลยไม่เห็น ที่แท้เซนก็นั่งอยู่บนบัลลังก์ข้าง ๆ กันกับพ่อแม่ของเขานี่เอง วันนี้แต่งตัวมาซะเต็มยศเชียว ปกติเห็นใส่แค่เสื้อคลุมตัวเดียวเอง…

    อ๊ะ แล้วทำไมเราต้องสนใจหมอนี่ด้วยเล่า! เลิกมอง ๆ

    “โอ้ องค์หญิงแห่งเซเรเนียและคณะขุนนางมาถึงกันแล้วรึ ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรเครสต้า” องค์ราชาเวทิสกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อืม...ทีแรกก็กังวลแทบแย่ แต่ดูเหมือนทั้งราชาและราชินีจะไม่ได้มีออร่ากดดันอย่างที่ฉันกังวลขนาดนั้นแฮะ ค่อยยังชั่ว~

    “ขอบใจองค์หญิงผู้งดงามทั้งสองที่มาร่วมงานนะ พวกเราหวั่นใจมากทีีเดียวเพราะงานจัดขึ้นอย่างกะทันหัน คงจะสร้างความลำบากให้พวกเจ้าไม่น้อยเลย” องค์ราชินีพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ฉันว่าจดหมายเชิญก็ส่งมานานแล้วนะ จำได้ว่าตั้งแต่ฉันโดนโทษกักบริเวณช่วงแรก ๆ เลย ไม่ถึงกับกะทันหันเสียหน่อย หรือสำหรับงานระดับนี้การเชิญก่อนครึ่งเดือนยังถือว่าเร็วไปเหรอ

    “แฮ่ม”

    ระหว่างกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงกระแอมของโจเซฟีนก็ดึงความสนใจของฉันกลับมา นางมองฉันกับองค์ราชินีสลับกันเหมือนต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง เอ่อ…แต่ฉันไม่เข้าใจอะ และความมึนงงของฉันมันคงจะแสดงออกทางสีหน้าไปเป็นคำพููดว่า ‘หมายความว่ายังไงเหรอคะ’ ถึงได้โดนนางกลอกตาใส่กลับมาอย่างไม่สบอารมณ์

    “หาได้ลำบากไม่เพคะ เพราะอาณาจักรเครสต้าและเซเรเนียอยู่ไม่ไกลกันนัก จดหมายเชิญของทั้งสองพระองค์จึงมาถึงรวดเร็ว มีเวลาให้พวกหม่อมฉันตระเตรียมตัวอย่างเพียงพอเพคะ” พอโจเซฟีนพูดขึ้นมาฉันก็เข้าใจ สัญญาณนัั่นหมายถึงให้ ‘บอกว่าไม่เป็นไรซะสิ’ นี่เอง ฉันก็มัวแต่คิดในใจอยู่ เกือบเงียบจนเหมือนยอมรับว่า ‘เพราะพวกท่านเราเลยลำบากกันจริง ๆ’ ไปซะแล้ว ถ้าทำแบบนั้นคงโดนมองว่าเสียมารยาทแน่ ใช้ไม่ได้เลย คงต้องเรียนรู้เอาไว้แล้ว คราวหน้าจะได้ไม่ต้องให้ใครมาช่วย! แต่แหม เอาเข้าจริงก็ยอมช่วยนี่นา ขอบคุณนะพี่สาวสุดซึน

     “อย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าช่างใจกว้างนัก นี่...เจ้าก็ขอบคุณด้วยสิเซน” องค์ราชินีหันไปบอกเซนที่นั่งเงียบมาตลอด ถึงสายตาของเขาจะมองมาทางนี้แต่ดูเหมือนจะกำลังเหม่อลอยไปไกลแล้ว ว่าแต่นี่เขามองฉันอยู่เหรอ กำลังคิดนินทาอะไรอยู่ในใจรึเปล่านะ หรือชุดนี้มันแปลกเหรอ สีชมพูมันกลมกลืนกับหางเกินไปเหรอ แต่โจเซฟีนก็บอกดูดีแล้วนี่นา ไม่น่าใช่เรื่องชุดหรอกมั้ง ถ้างั้นจะมองทำไมนักนะ

    “เซน”

    “อ๊ะ! ขออภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ” พอถูกองค์ราชินีเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย เซนก็สะดุ้ง เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวแล้วกล่าวขอบคุณฉันและโจเซฟีน

    “เพคะ” ฉันตอบรับคำขอบคุณนั้น เลิกสนใจดีกว่าว่าเขาจะมองฉันเพราะอะไร ตอนนี้ทำเรื่องสำคัญให้เสร็จแล้วรีบไปดีกว่า ฉันหันกลับมาหาองค์ราชาแล้วยื่นกล่องใส่ของกำนัลสองใบให้พระองค์ “สิ่งนี้คือของกำนัลจากเซเรเนียเพคะ แล้วก็ท่านพ่อกับท่านแม่ฝากขออภัยมาด้วยเพคะที่เสด็จมาร่วมงานไม่ได้”

    “ฮ่า ๆๆ ฝากบอกท่านพ่อท่านเม่ของเจ้าด้วยนะว่าไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าทั้งสองพระองค์ไม่ค่อยอยู่อาณาจักร ถ้ามางานได้นี่สิข้าคงแปลกใจยิ่งนัก” องค์ราชาหัวเราะร่วนพลางรับกล่องทั้งสองใบไป

    “กล่องหนึ่งของพระองค์ส่วนอีกกล่องขององค์ราชินีเพคะ” คราวนี้โจเซฟีนพูดขึ้นบ้าง “เป็นเครื่องประดับจากไข่มุกของอาณาจักรเราเองเพคะ”

    “หืม...” องค์ราชาเปิดฝากล่องใบแรกออกอย่างสนอกสนใจ ปรากฏเป็นสร้อยไข่มุกสีขาวคัดเกรดพรีเมียมสามชั้นประดับด้วยจี้เปลือกหอยสีชมพูอ่อนธรรมชาติซึ่งหายากมากระดับต้น ๆ ของเปลือกหอยทั้งหมดในเซเรเนีย และฉันเองที่เป็นคนออกแบบแล้วส่งให้ช่างอัญมณีทำอีกที โชคดีที่คลังของเซเรเนียมีวัตถุดิบทั้งสองเหลือเฟือ ไม่งั้นคงจะทำภายในสิบห้าวันไม่ทันหรอก

    “ชิ้นนี้น่าจะเป็นของเจ้านะเคเรน่า”

    “ไหนเพคะ ว้าว~สวยมากเลย” องค์ราชินีหยิบสร้อยออกจากกล่องแล้วยกมาดูใกล้ ๆ มีการทาบที่คอของตัวเองให้สามีดูด้วย องค์ราชาก็ยิ้มตอบด้วยใบหน้าที่หลุดจากมาดน่าเกรงขามไปครู่หนึ่ง

    “ชิ้นนั้นเซเรนเป็นคนออกแบบเองเลยเพคะ หวังว่าจะถูกใจพระองค์” อ๊ะ โจเซฟีนเรียกฉันว่าเซเรนล่ะ กลับไปเรียกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว! แสดงว่าเปิดใจให้กันมากกว่าเดิมแล้วสิ ดีใจจัง~

    “จริงหรือ! ขอบคุณนะองค์หญิงเซเรน่า สร้อยเส้นนี้งดงามไร้ที่ติเลย ข้าชอบมาก”

    “ไม่เคยได้ยินว่าองค์หญิงเซเรน่ามีฝีมือด้านออกแบบด้วย ดูจากผลงานแล้วทำเป็นสินค้าส่งออกสำคัญยังได้เลยนะนี่”

    “อ่า…ขอบพระทัยเพคะ” พอโดนชมขนาดนั้นแล้วเขินเหมือนกันนะเนี่ย ที่จริงฉันก็แค่เอาแบบที่เคยเห็นในโลกอนาคตมาดัดแปลงเปลี่ยนวัตถุดิบให้เข้ากับอาณาจักรเซเรเนียเท่านั้นเอง ไม่อยากเอาความดีความชอบเข้าตัวเลยแฮะ รู้สึกผิดกับเจ้าของดีไซน์ เอาเป็นว่าเปลี่ยนเร่ื่องดีกว่า

    “ส่วนขององค์ราชาท่านพี่เป็นคนออกแบบเพคะ ตอนเป็นแบบร่างหม่อมฉันก็ว่าสวยแล้ว แต่พอเห็นตอนเสร็จแล้วก็รู้เลยค่ะว่าท่านพี่โจเซฟีนมีพรสวรรค์” ขณะพูดแบบนั้นโจเซฟีนก็ทำสีหน้าเหมือนกับให้หยุดพูดขึ้นมา แต่จะให้ฉันได้รับคำชมอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะ ฉันจึงส่งวิ้งกลับไปเพื่อบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วง มันสวยจริง ๆ ค่ะเชื่อน้องเถอะ’

    “อืม...ของข้าเป็นเข็มกลัดประดับพลอยอะความารีน” องค์ราชาหยิบของกำนัลชินนั้นขึ้นมาพลิกดูอย่างละเอียด มันเป็นเข็มกลัดแบบมีโซ่คล้องที่เอาไว้ติดระหว่างปกคอเสื้อ ตัวโซ่สีเงินและอัญมณีอะความารีนสีฟ้าอมเขียวอย่างน้ำทะเล ฉันนับถือโจเซฟีนเลยที่นึกถึงอะความารีนขึ้นมาในขณะที่ฉันแค่นึกถึงไข่มุกอันเป็นเอกลักษณ์ของเซเรเนียเท่านั้นเอง

    “ตายจริง ชิ้นนี้ก็งามมากเช่นกันนะเพคะ ข้าเองก็อยากได้ขึ้นมาเลย” องค์ราชินีที่ตอนแรกสนใจสร้อยของฉันคราวนี้หันมาสนใจเข็มกลัดของโจเซฟีนแทน เห็นมั้ยล่ะ ว่าคนที่เหมาะจะได้รับคำชมจริง ๆ คือนางต่างหาก พี่สาวของฉันนี่เก่งจริง!

    “เจ้าเองก็มีความสามารถนะองค์หญิงโจเซฟีน ถูกใจข้านักขอบใจมาก”

    พอได้รับคำชมโจเซฟีนก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ขณะนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นประกายแสงสะท้อนอยู่ในแววตาของโจเซฟีนราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

    …มันคงจะเป็นใบหน้าของความโล่งใจ ความภูมิใจ และความสุขจากการได้รับการยอมรับที่เธอใฝ่หามันมาตลอด ซึ่งเซเรน่าจำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

    “ขอบพระทัยเพคะ”

    “นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเริ่มงานแล้ว เชิญพวกเจ้าตามสบายเถอะ” องค์ราชินีที่เก็บสร้อยใส่กล่องเรียบร้อยแล้วหันมาบอกกับพวกเรา “เซน เจ้าช่วยนำองค์หญิงทั้งสองและเหล่าผู้ติดตามไปนั่งที่โต๊ะทีสิ”

    “พ่ะย่ะค่ะ” ว่าแล้วเซนก็ว่ายลงมาจากบัลลังก์ โค้งให้ฉันกับโจเซฟีนแล้วพูด “เชิญทางนี้”

    จากนั้นฉันกับโจเซฟีนก็ว่ายตามเซนไปที่โต๊ะตัวหน้าสุดทางซ้ายของบัลลังก์ “โต๊ะขององค์หญิงคือตัวด้านหน้านี้ ส่วนเหล่าขุนนางให้นั่งตัวด้านหลัง”

    เหล่าขุนนางก็เข้าไปนั่งโต๊ะตัวด้านในตามคำบอกของเซน ในขณะที่ฉันมองดูโต๊ะพลางคิดว่าฝ่ายขุนนางมากันเยอะแต่ฝ่ายราชวงศ์เรามีกันแค่สองคนโต๊ะสำหรับสี่คนนี่คงจะว่างแปลก ๆ

    จริงสินะ ปกติราชวงศ์อื่นคงไม่มีลูกแค่สองคนแถมราชาราชินีก็ไม่ค่อยอยู่ที่อาณาจักรเหมือนอย่างเซเรเนียหรอก บ้านเราแปลกเองแหละ ฮะ ๆ

    ในจังหวะที่ฉันกำลังจะนั่งลงนั่นเอง เก้าอี้ของฉันก็ถูกเซนเลื่อนออกไปก่อน ดีนะที่ฉันเห็นทันเลยไม่ได้นั่งลงไปทันที ในงานสำคัญแบบนี้ฉันจะเชื่อก็ได้ว่าเขาไม่ได้จะแกล้งดึงเก้าอี้ออกให้ฉันล้มก้นจ้ำเบ้าน่ะ

    “ข้าช่วย”

    อ๋อ ที่แท้เขาก็แค่ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันเข้าไปนั่งได้ง่ายขึ้นนี่เอง เรานี่ก็เผลออคติไปก่อนอีกแล้วแฮะ “ขอบใจ”

    จากนั้นเซนก็หันไปเลื่อนเก้าอี้ให้โจเซฟีนด้วยอีกคน เอาเข้าจริงก็มีความเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันนี่

    “ขอบพระทัยเพคะ” โจเซฟีนพูดกับเซนแท้ ๆ แต่ตากลับเสมองไปทางอื่น จะว่าไปตอนแรกที่เจอราชาราชินีนางก็ดูท่าทางแปลก ๆ อยู่แวบหนึ่งนะ ฉันก็นึกว่าประหม่าแต่เห็นคุยกับทั้งสองท่านคล่องปรื๋อขนาดนั้นคงจะไม่ใช่หรอก แล้วนี่กลับมามีอาการอีกแล้ว หรือจะไม่ใช่เพราะพวกท่านนะ “องค์ชาย ไม่ทราบว่า…ห้องสุขาไปทางไหนหรือเพคะ”

    อ้อ เพราะอยากเข้าห้องน้ำนี่เอง

    “อ่า ออกจากโถงไปทางขวา ตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอห้องที่มีประตูสีน้ำตาลลายฟองอากาศน่ะ...ให้ข้าพาไปไหม”

    “ไม่เป็นไรเพคะ พระองค์อยู่กับเซเรนเถอะ ข้าไปเองได้”

    “อืม...งั้นก็ได้” พอเซนอนุญาตโจเซฟีนก็หันมายิ้มให้ฉัน แล้วว่ายออกจากห้องโถงจัดงานไป เหลือแค่ฉันกับเซนอยู่ที่โต๊ะกันสองคน

    จะว่าไป...ไม่เห็นซามูเอลเลยแฮะ

    “นี่นายไม่ได้...” ฉันกำลังจะหันไปถามเซน แต่เห็นเขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างกันซะก่อน ฉันจึงเปลี่ยนคำถาม “อ้าว ทำไมนายนั่งตรงนี้ล่ะ ไม่กลับไปนั่งกับพ่อ- ราชาราชินีเหรอ”

    “ไม่ล่ะ นั่งเฝ้าเจ้าแทนพี่สาวดีกว่า”

    “หา? เห็นฉันเป็นเด็กรึไง ถึงไม่มีใครเฝ้าฉันก็ไม่หายไปไหนหรอกน่า”

    “เหรอ แต่ข้าไม่ไว้ใจ ข้าจะเฝ้า”

    “งั้นก็ตามใจ” อยากเฝ้าก็เฝ้าไปเลยไป นี่จากที่ตอนแรกไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ตอนนี้เริ่มอยากขึ้นมานิด ๆ ละ

    “ว่าแต่เมื่อครู่...เจ้าจะถามอะไรข้ารึเปล่า”

    จริงด้วย! ฉันจะถามเขาเรื่องซามูเอลนี่นา ลืมไปซะสนิทเลย

    “อ้อ ฉันจะถามว่านายได้เชิญซามูเอลมารึเปล่า”

    พอได้ยินฉันถามเซนก็แค่นหัวเราะยกยิ้มมุมปาก “เฮอะ ที่แท้ก็ถามหาหมอนั่นนี่เอง”

    “ทำไมล่ะ ทำไมฉันจะถามถึงเขาไม่ได้ นายนั่นแหละ จะอะไรกับซามูเอลนักหนาห้ะ! เขาไปทำอะไรให้นายรึไง”

    ฉันลองถามสิ่งที่สงสัยออกไป อันที่จริงฉันติดใจตั้งแต่ตอนที่เซนมาส่งฉันที่อาณาจักรเมื่อสองอาทิตย์ก่อนแล้ว เขาดูไม่ค่อยถูกกับซามูเอลเท่าไหร่เลย ทั้งที่ก่อนฉันจะมาอยู่ในร่างนี้หมอนี่ก็ไม่เห็นจะมีประเด็นอะไรกับซามูเอลสักหน่อย ดูทั้งสองคนจะเฉย ๆ ต่อกันซะมากกว่า จนตอนเจอกันที่โรงเลี้ยงสัตว์นั่นแหละ ที่ทั้งสองคนเหมือนจะไม่ชอบหน้ากันขึ้นมา ซามูเอลน่ะเข้าใจได้ว่าเขาคงหวงเซเรน่า แต่เซนนี่สิ...ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรเลย อยู่ดี ๆ ก็มาเป็นศัตรูกับซามูเอลเนี่ยนะ จู่ ๆ อยากจะไม่ชอบใครก็ไม่ชอบได้เลยอะเหรอ ได้เหรอ?

    “...” เซนชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าตกใจเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเรื่องที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้มันโคตรพิลึก แถมยังพึมพำออกมาอีกว่า “...งั้นเหรอ”

    ก็เออน่ะสิ! รู้สึกตัวสักทีนะ “ตกลงนายจะตอบฉันได้รึยังว่าได้เชิญซามูเอลมางานนี้รึเปล่า”

    “เซเรน่า” อ๊ะ! เสียงนี้มัน

    ฉันรีบหันไปหาต้นเสียงโดยไว และสบตาเข้ากับผู้ที่กำลังว่ายเข้ามาหา กำลังอยากได้คนช่วยอยู่พอดีีเลย~

    “ซามูเอล” ฉันลุกขึ้นกำลังจะว่ายไปหาซามูเอล แต่ก็ถูกใครบางคนจับแขนไว้เสียก่อน

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร...ตาเซนจอมขัดขาคนเดิมนี่แหละ

    “อะไรของนายเนี่ย” ฉันหันไปจ้องเขาในขณะที่เขาก็กำลังมองหน้าฉันอยู่เหมือนกัน แถมยังทำสีหน้าจริงจังสุด ๆ ทำเอาฉันเกร็งไปด้วยเลย ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นนะ

    “...ข้ารู้แล้ว”

    “ระ รู้อะไร”

    “รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่ชอบหน้าขุนนางนั่น”

    “...แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?”

    “...” ตอนนี้เขาทำหน้าเคร่งเครียดเสียจนฉันเริ่มกลัว “นั่นก็เพราะ...”

    “เซเรน” โอ๊ะ! ซามูเอลว่ายมาถึงตัวฉันเมื่อไหร่เนี่ย เขามองมาที่แขนของฉันซึ่งถูกเซนจับอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “นั่น...”

    “อ๊ะ! ไม่มีอะไรหรอก” เห็นดังนั้นฉันจึงรีบสะบัดแขนออกจากมือเซน แล้วเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อไม่ให้ซามูเอลไม่สบายใจ “ซามูเอลเพิ่งมาถึงเหรอ ฉันมองหาไม่เจอเลย”

    “อือ เพิ่งถึงเมื่อครู่นี้เอง”

    “แล้วพวกพี่น้องของซามูเอลล่ะ มาด้วยกันรึเปล่า”

    “มาสิ นั่งกันอยู่ตรงนนู้น เจ้าเองก็มานั่งกับข้าด้วยไหม”

    “อืม...ก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ฉันต้องนั่งโต๊ะนี้กับท่านพี่น่ะสิ” ต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ให้ดีนะเซเรีย ถึงใจของเซเรน่าจะอยากไปแค่ไหนแต่ต้องปฏิเสธไว้ก่อน

    “งั้นเหรอ...” แต่แงง ซามูเอลทำหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเลยอะ เขาคงไม่อยากให้เซเรน่านั่งอยู่กับเซนสองต่อสองสินะ สงสารจัง…

    “ถ้างั้นซามูเอลมานั่งกับฉันก็ได้นะ ท่านพี่ไม่ว่าอะไรหรอก คุณองค์ชายเจ้าของงานเองก็คงจะไม่ว่าอะไรใช่มั้ยเพคะ”

    ว่าแล้วฉันก็หันไปส่งยิ้มธุรกิจให้เซน พยายามจะสื่อให้เขารู้ว่า ‘ถ้าไม่อยากเป็นก้างขวางคอไปมากกว่านี้ก็ช่วยกรุณาลุกออกไปจากโต๊ะให้ฉันนั่งกับซามูเอลด้วยเถอะค่ะ’

    “เรื่องสิ”

    แต่บางทีหมอนี่ก็ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย -_-+

    “เรื่องอะไรจะยอมยกให้ล่ะ” ตาเซนพูดพลางจ้องหน้าซามูเอลนิ่ง ยกอะไรให้ฟะ? เก้าอี้เรอะ? ก็เข้าใจว่าเป็นเจ้าของวันเกิดนะแต่หวงที่มันก็เกินไปมั้ย เป็นเจ้าที่เจ้าทางหรือไง

    “ทางนี้ต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น” เอ๊ะ? ซามูเอลก็เป็นไปด้วยอีกคนเหรอ เก้าอี้นี่มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ

    “อย่าได้ใจไปหน่อยเลย” เซนยกยิ้มมุมปากพลางจ้องซามูเอลด้วยสายตามุ่งมั่น “ตราบใดที่ยังมีโอกาส ข้าก็ยังมีสิทธิ์ชิงมา…คอยดูให้ดีเถิด”

    “ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” ว่าแล้วซามูเอลก็จับมือฉันแล้วพาว่ายออกไปจากตรงนั้นในทันที ส่วนฉันก็ได้แต่มึนงงสงสัยไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

    ชิงเชิงอะไรของหมอนั่นฟะ?? -_-;; ทำไมฉันไม่เข้าใจอยู่คนเดียว พวกเขาแย่งที่นั่งกันเหรอ? แต่ที่จริงโต๊ะนั้นก็มีที่เหลือเฟือนะ ทำไมต้องแย่งกันด้วยเล่าา ที่สำคัญต้องเล่นใหญ่มองหน้าเหมือนจะต่อยกันขนาดนั้นเลยรึไง โอ๊ยยย ยิ่งคิดยิ่งงง พวกผู้ชายนี่เข้าใจยากชะมัด!

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    รู้ไว้ใช่ว่า (เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนที่ไม่มีจังหวะอธิบายจะมาบอกไว้ตรงนี้นะคะ)

     - อายุของเงือก โดยปกติประชากรเงือกมักจะมีอายุยืนยาว อย่างชาวเซเรเนียเองก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นอมตะ หากไม่ประสบอุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรม พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยร่างกายชาวเซเรเนียจะเติบโตขึ้นจนถึงอายุ 70 ปีเงือกจากนั้นร่างกายจะคงสภาพขณะอายุเท่านี้ไปตลอด แต่สำหรับอาณาจักรเครสต้า อายุจะถูกหยุดไว้เร็วกว่านั้น (รายละเอียดมากกว่านี้สามารถติดตามในเรื่องของเพื่อนจีได้ในภายหลังค่ะ) ทำให้เซเรียตกใจตอนที่เห็นราชาราชินีเครสต้านั่นเองค่ะ่

     

      ชี้แจงแถลงไข

      1. จีต้องขออภัยจริง ๆ นะคะที่อัปให้ได้แค่ 2 ตอน จีวางแผนไว้ว่าจะแต่งเมื่อวานตอนสาย ๆ แต่ลืมไปเลยว่าต้องไปทำจิตอาสาเก็บชั่วโมงกยศ.ค่ะ TT ก็เลยต้องมาปั่นตอนเย็นแทนกว่าจะเสร็จก็ดึกซะแล้ว แถมวันนี้มีสอบย่อยด้วยค่ะเลยต้องนอนเร็ว แล้วก็ต้องรอคอนเฟิร์มข้อมูลที่เพิ่มเข้ามากับเพื่อนที่แต่งอาณาจักรเครสต้าด้วยเลยช้าเลย ต้องขออภัยจริง ๆ นะคะ

      2. เนื่องจากสัญญากับรี้ดเดอร์ทีไรไม่เคยจะทำได้เลย (เสียใจมากที่สุดในโลก TT) จีจะขอท้าตัวเองแทนแล้วกันค่ะ ถ้าหลังจากนี้มาอัปได้ทุกอาทิตย์ เธอจะได้กินน้ำหวานอาทิตย์ละแก้วเลยนะ! พยายามเข้า!!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×