คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 : ให้อภัย
Happy New Year 2023!! นักอ่านที่น่ารักของจีค่ะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดียิ่งขึ้น ขอให้ทุกคนไม่เจ็บไม่ป่วย สมหวังทุกอย่าง และเป็นปีที่เต็มไปด้วยความสุขนะคะ ^^
บทที่ 7 ให้อภัย
“เซน”
หมอนี่อีกแล้วเรอะ??
“…หมู่นี้เจ้ากล้าหาญขึ้นมากทีเดียว”
อะฮ่า มาชมกันแบบนี้คือประชดล่ะสิ แต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน “หมายความว่ายังไง”
“ก็อย่างเช่น…การเรียกชื่อข้าห้วน ๆ แบบนี้กระมัง” อ้อ ปกติต้องเรียกว่าองค์ชายสินะ แต่กับคนใจดำอย่างนายฉันไม่อยากจะเรียกด้วยความยกย่องหรอกย่ะ
“แล้วจะทำไมล่ะ”
“เจ้ามาทำอะไรแถวนี้” ตาเซนเปลี่ยนเรื่อง เขาถามฉันพร้อมยิ้มยียวนกวนประสาท
“ฉันจะมาทำอะไรตรงนี้มันก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับนาย” ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นจะเคยสนใจอะไรเกี่ยวกับเซเรน่าเลยแท้ ๆ แล้วทำไมมาตอนนี้ถึงได้ดูสนอกสนใจสารทุกข์สุกดิบของฉันจังเลยนะ “นายนั่นแหละ เอาฉลามมาขวางฉันทำไม ต้องการอะไร”
“ก็ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก...แค่จะมาพาเจ้ากลับอาณาจักร”
“?” ฉันได้แต่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เซนพูด เขาจะมาพาฉันกลับอาณาจักรได้ยังไง เขาไม่มีทางรู้ว่าฉันหายไปจากอาณาจักรจนกว่าจะมาเจอฉันที่นี่นี่นา...
“ก็...ข้าไปทำธุระที่วังเซเรเนีย แล้วเห็นว่าทุกคนกำลังวุ่นวายกันยกใหญ่เพราะองค์หญิงรัชทายาทหายตัวไป ข้าก็เลยอาสาช่วยตามหาให้”
ตายแล้ว! ทุกคนรู้แล้วเหรอเนี่ย เนียร์คนเดียวเอาไม่อยู่จริง ๆ สินะ ต้องรีบกลับแล้ว!
“งั้นก็น่าจะรีบบอกกันสิยะ ฉันจะกลับแล้วหลบไปสิ!” ฉันบอกอย่างนั้นก่อนจะว่ายอ้อมไปทางหัวฉลาม แต่ตานั่นก็ขยับฉลามเข้ามาขวางหน้าฉันไว้อีกครั้ง “นี่นาย! ก็บอกให้หลบไปไง”
“ขึ้นมาสิ”
“ห้ะ?”
“ก็บอกแล้วไง ว่าข้าจะพาเจ้ากลับอาณาจักร” เซนพูดพลางโน้มตัวลงมายื่นมือให้ฉัน เพิ่งจะมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเอาป่านนี้เนี่ยนะ “ขึ้นมาสิ”
เรื่องสิยะ! ทำไมฉันต้องรับความช่วยเหลือที่เพิ่งจะมีจากเจ้าชายนิสัยไม่ดีแบบนายด้วยล่ะ
“ไม่จำเป็น” ฉันปฏิเสธเสียงแข็งและตั้งใจจะว่ายอ้อมไปอีกทาง...
ฟุ่บ!
“ว้าย!” แต่กลับถูกเซนคว้าตัวดึงขึ้นไปนั่งบนหลังฉลามด้วยกันกับเขาอย่างง่ายดาย “นี่นาย! ก็บอกว่าไม่เอาไง ปล่อยฉันลงนะ”
“ให้เจ้าว่ายกลับเองกว่าจะถึงก็มืดกันพอดี อยากให้เงือกในวังวุ่นวายกันนาน ๆ รึ”
อึก...เขาพูดไม่ผิดเลยสักนิด
“ถ้าไม่อยากก็ให้ข้าไปส่งไม่นานก็ถึง ตกลงไหม?”
“...อืม”
พอฉันพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก เซนก็สะบัดบังเหียนในมือเป็นผลให้ฉลามยักษ์ตัวนี้พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ฉันที่ยังไม่ทันจัดได้ท่านั่งให้ดีจึงถลาเข้าไปชนอกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าฉันพยายามดันตัวออกมา แต่แล้วก็ไหลกลับไปซบเขาอีกที จะบ้าตาย! อย่างน้อยก็ให้ฉันนั่งเกาะอยู่ข้างหลังไม่ได้รึไงเล่า ทำไมต้องมานั่งข้างหน้าให้เขาโอบแบบนี้!
หมับ
“อ๊ะ!” ในขณะที่ฉันกำลังดันตัวออกห่างจากเซนรอบที่สี่ เขาก็เอามือข้างที่ว่างจากการจับบังเหียนมากดหัวฉันให้ซบเข้ากับอกเขาซะงั้น “ทำอะไรของนายเนี่ย ปล่อยฉันนะ!”
“ถึงเจ้าจะขยับออกไปครู่เดียวก็ถลากลับมาอีกนั่นแหละ ที่เจ้าชนข้าแล้วชนข้าอีกอยู่เนี่ย...บอกตรง ๆ ข้าเจ็บ” เซนก้มหน้าลงมาพูดกับฉัน ในจังหวะที่ฉันกำลังเงยหน้าขึ้นจะด่าเขาพอดี ทำให้หน้าของพวกเรา...อยู่ใกล้กันมาก
ตึกตัก~
เฮ้ย! นี่หัวใจฉันเต้นแรงเหรอ ไม่ได้นะไม่ได้ ฉันจะใจเต้นแรงกับหมอนี่ไม่ได้! ถึงเขาจะหล่อหรือหุ่นดีขนาดไหนก็ไม่เอา!
อะไรล่ะ ก็ฉันต้องใช้มือผลักเขาออกนี่ มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าอยากจับสักหน่อย!
“เจ้าเขินรึ” เซนพูดด้วยรอยยิ้มราวกับไม่สะทกสะท้านต่อระยะห่างแสนน้อยนิดนี่เลยสักนิด มีแต่ฉันที่ลนลานสุดขีดจนแสดงออกทางสีหน้าไปเหรอเนี่ย
“จะบ้าเหรอ! ฉันก็แค่...อึดอัด อยู่ใกล้นายแล้วหายใจไม่ออก” พูดจบฉันก็ก้มหน้าหลบตาเขามุดกลับไปอยู่ที่เดิมโดยอัตโนมัติ
“ฮ่าๆๆ งั้นเหรอ” ถึงจะมองไม่เห็นหน้าแต่ฉันก็รู้ได้ว่าหมอนี่ต้องกำลังยิ้มหน้าบานเพราะสนุกที่ได้แกล้งฉันอยู่แน่ ชิ! ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ คอยดูเถอะ สักวันจะต้องเอาคืนให้ได้เลย!
ตึกตัก~ตึกตัก
ว้าก~ ไอ้หัวใจบ้านี่ก็เหมือนกัน หยุดเต้นเร็วสักทีได้ไหม!
ปกติแล้วต่อให้ตื่นเต้นแค่ไหนก็ต้องจับที่อกหรือชีพจรดูถึงจะรู้ว่าใจเต้นเร็วหรือเปล่าสิ แต่นี่ทำไมถึงได้ยินชัดจังถึงเงือกจะมีศักยภาพการฟังมากแค่ไหนก็เถอะ
รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้หูมากเลยแฮะ
“…ข้าขอโทษ”
“ห้ะ!!?” เพราะได้ยินอะไรที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าเจ้าของเสียงทันควัน เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ได้เป็นเพราะหูแว่ว “พูดว่าไงนะ”
“เรื่องที่ข้าไม่ช่วยเจ้าทั้งที่เห็นว่าเจ้าถูกพี่สาวรังแกมาตลอดน่ะ ขอโทษนะ”
เขาก้มลงมาสบสายตากับฉัน นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาดูเหมือนตั้งใจจะขอโทษด้วยความจริงใจจริง ๆ ในขณะที่ฉันได้แต่นิ่งงันเพราะความคาดไม่ถึงเซนก็พูดประโยคต่อไปพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องในครอบครัวจึงไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่พอได้ยินเจ้าพูดแบบนั้นแล้วข้าถึงรู้สึกตัวว่าต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นอยู่ดี”
ที่ฉันพูดเหรอ...
“สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นกับฉันมันก็มีคงมีแค่การกลั่นแกล้งจากพี่สาวที่นายเมินเฉยใส่มาตลอดนั่นแหละ”
หมายถึงตอนนั้นสินะ
“เมื่อก่อนที่ข้าไม่ช่วยเจ้าก็เพราะข้าอยากให้เจ้ายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ข้ารู้ว่าภาระของรัชทายาทมีมากเพียงใดและเจ้าคงรับมันไม่ไหวแน่ถ้าแค่กับพี่สาวยังสู้ไม่ได้เช่นนี้ แต่การปล่อยให้เจ้าเผชิญกับเรื่องเช่นนั้นตามลำพังก็ใช่ว่าจะช่วยให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นได้ ข้า…คิดน้อยเกินไป”
ได้ยินดังนั้นฉันก็เริ่มเข้าใจการกระทำของเซน ถ้ามองในมุมของเชื้อพระวงศ์มันคงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะทั้งเขาและเซเรน่าต่างก็เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงของอาณาจักร มีหน้าที่มากมายที่ต้องแบกรับ มีราชกิจนับไม่ถ้วนที่ต้องทำ เพื่อนำทางประชาชนของตนไปสู่อนาคตอันสงบสุข อาจจะเพราะแบบนั้นเซเรน่าถึงได้ไม่เคยขอควาามช่วยเหลือจากใครและพยายามอดทนอย่างถึงที่สุด
เช่นนั้นแล้วการที่ฉันตัดสินเซนจากภาพความทรงจำและอคติกับเขาไปก่อนตั้งขนาดนั้น มันคงจะถือว่าใจแคบเกินไปใช่หรือเปล่า…
ผ่านไปไม่นานเซนก็มาส่งฉันถึงหน้าพระราชวังของอาณาจักรเซเรเนีย ฉันจึงได้ฤกษ์แยกร่างตัวเองออกมาจากเขาแล้วดีดตัวลงจากฉลามยักษ์ตัวนั้นเสียที นี่ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดร่างฉันคงได้หลอมรวมกับเขาซะตรงนี้นี่แหละ
“ขอบใจ” ฉันพูดสั้น ๆ ก่อนจะว่ายเข้าประตูพระราชวังไป แม้ฉันจะไม่ได้หันกลับไปมองเซนอีกแต่ก็รู้สึกได้ว่าเซนลงจากหลังฉลามแล้วว่ายตามมาด้วย ยังทำธุระที่นี่ไม่เสร็จรึไงนะ…
พอฉันเปิดประตูเข้ามาในวังก็พบว่ามันเป็นจริงตามที่เซนบอก เพราะทุกคนในวังทั้งทหารทั้งสาวใช้ต่างวิ่งวุ่นกันยกใหญ่ แต่พอเห็นฉันว่ายเข้ามาทุกคนก็หยุดนิ่งและจ้องฉันเป็นตาเดียว ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วครู่ จนกระทั่งเซนว่ายเข้ามาอยู่ข้าง ๆ และสาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้น
“องค์หญิงเพคะ!” สาวใช้นางนั้นว่ายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดฉันก็มองออกว่าสาวใช้นางนั้นเป็นใคร...เนียร์นั่นเอง “องค์หญิงหายไปไหนมาเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่”
เนียร์ว่ายเข้ามาจับมือฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“อ่า เราไปราซเบียมา ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ฉันจับมือเนียร์ตอบ รู้สึกผิดจังที่หนีไปแบบนั้นจนนางต้องรับหน้าแทน
“อ๋อ~ที่แท้ก็ทิ้งงานทิ้งการไปหาเจ้าขุนนางนั่นมานี่เอง” เซนพูดพลางหันหน้าไปทางอื่น แต่ฉันรู้หรอกน่าว่าเขาหมายถึงฉันน่ะ ที่แท้ก็แค่ตามมาสืบว่าฉันไปไหนมาล่ะสิ
“พูดแบบนั้นก็เกินไปหน่อยมั้ง” ฉันพูดพร้อมหันไปค้อนใส่เขาทีหนึ่ง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แถมยังยักคิ้วยักไหล่ให้ฉันอีก นี่ฉันอุตส่าห์ว่าจะมองนายใหม่แล้วนะ แต่มาพูดแขวะกันแบบนี้ทำเอารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วสิ ชิ!
เพราะขี้เกียจคุยกับหมอนี่ต่อแล้ว ฉันจึงหันกลับมาคุยกับเนียร์แต่นางกลับกำลังทำหน้างงอยู่ เพราะคำพูดของนายนั่นเมื่อกี้แน่ ๆ “เราแค่...ไปหาเพื่อนมาจ้ะเนียร์”
“แค่เพื่อนจริงเร้อออ”
โว้ยยย ตาบ้านี่ไม่พูดขัดฉันสักประโยคมันจะตายใช่ไหม! โกรธแล้วนะ!
“นี่นาย!”
“กลับมาแล้วเหรอ ยัยตัวดี…” อ๊ะ! ในจังหวะที่ฉันกำลังจะด่าเซนให้หายหงุดหงิด เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ท่านพี่!”
และแล้วฉันก็โดนโจเซฟีนลากไปเทศน์อยู่นานสองนานในห้องของตัวเอง ถึงมันจะดูแย่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับเซเรน่าแล้วการที่พี่สาวที่เคยจงเกลียดจงชังมาใส่ใจความเป็นอยู่ของตัวเองแบบนี้...อาจจะดีกว่าก็ได้
ฟุ่บ!
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน เฮ้อ วันนี้เหนื่อยชะมัด เกิดเรื่องขึ้นมากมายเลย แถมยังมีสกินชิพกับคนนู้นคนนี้ไปทั่วอีก ร่างกายเซเรน่าสึกหรอหมดแล้วมั้งเนี่ย ทั้งซามาเอลที่เข้าใจผิดว่าเราเป็นโรเซล่า ทั้งซามูเอลที่ดูเหมือนจะหวงมากเลยแสดงความเป็นเจ้าของ แล้วก็…
ตึกตัก~ตึกตัก
อ๊ะ! พอนึกถึงใจมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว
บ้าจริง...อย่างนี้จะหลับลงได้ยังไงเล่า
.
.
.
ครึ่งเดือนต่อมา
เฮ้อ~ นี่ฉันก็อยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้วนะ ยังไม่เห็นลู่ทางที่จะกลับร่างตัวเองได้เลย ปกติในนิยายทะลุมิติเขากลับร่างกันยังไงนะ เรื่องแนวทะลุมิติที่เคยอ่านก็ยังอ่านไม่จบด้วยสิ... หรือจะบอกความจริงกับทุกคนแล้วขอให้ช่วยดีนะ
“องค์หญิง ขออนุญาตนะเพคะ” เนียร์พูดก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในห้องของฉัน “หม่อมฉันมาปล่อยตัวองค์หญิงตามคำสั่งขององค์หญิงใหญ่เพคะ”
จริงสิ ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฉันหนีออกจากวังไป โจเซฟีนก็ลงโทษฉันด้วยการกักบริเวณให้อยู่แต่ในพระราชวังเป็นเวลาสองสัปดาห์ และวันนี้ก็คือวันที่ฉันจะเป็นอิสระจากการกักบริเวณนี่สักที ไชโย!
“เชิญเลย ๆ”
ฉันพูดพลางหันหลังให้เนียร์ถอดสร้อยกักบริเวณให้ มันเป็นสร้อยพิเศษที่ทำขึ้นจากเปลือกหอยไซเรน โดยมีกระบวนการทำงานคือเมื่อคนที่สวมมันอยู่ออกไปจากบริเวณที่ถูกกำหนดไว้ เปลือกหอยจะส่งเสียงดังและส่งสัญญาณไปที่ทหารหรือเหล่าผู้คุม (อย่างในกรณีของฉันก็จะส่งสัญญาณไปที่โจเซฟีน) ปกติใช้กับนักโทษจำคุกแต่ครั้งนี้คุณพี่สาวแสนน่ารักของฉันเอามาใช้กับฉันเป็นกรณีพิเศษ สั่งสอนได้แสบใช้ได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองโจเซฟีนนักหรอก เพราะที่ฉันทำไปมันก็ทำให้ทุกคนเดือดร้อนจริง ๆ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าหลังจากนี้ฉันจะทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เซเรน่าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก
...เว้นแต่ว่าสถานการณ์มันจะเป็นใจน่ะนะ
“เสร็จแล้วเพคะ”
“ฮ่า~รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย จะได้กลับมาใส่สร้อยเส้นเดิมแล้วสินะ” ว่าแล้วฉันก็ว่ายไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบสร้อยมุขสองชั้นเส้นประจำของเซเรน่าขึ้นมาทำท่าจะใส่
“อ๊ะ องค์หญิงอย่าเพิ่งใส่จะดีกว่านะเพคะ”
“หือ? ทำไมล่ะ” ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันก็หยุดมือที่กำลังจะสวมสร้อยไว้ตามที่เนียร์บอก
“ลืมไปแล้วหรือเพคะ นั่นก็เพราะว่าองค์หญิงต้องลองชุดสำหรับงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายเซนแห่งอาณาจักรเครสต้าอย่างไรล่ะเพคะ ถ้าองค์หญิงสวมอีกเดี๋ยวก็ต้องถอดแล้วล่ะเพคะ”
“อ้าว? ปกติตานั่น...องค์ชายเซน เขาไม่จัดงานวันเกิดไม่ใช่เหรอ”
เท่าที่รู้มาจากความทรงจำของเซเรน่า หลังจากเซนอายุสิบห้าทางอาณาจักรเครสต้าก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้หมอนั่นอีีกเลย เห็นว่ามันไปตรงกับวันครบรอบก่อตั้งราชทูตอะไรสักอย่างนี่แหละ ...ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่พอมาคิดดูดี ๆ ตานั่นก็น่าสงสารเหมือนกันนะ
“เรื่องนี้หม่อมฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะ ว่าปีนี้องค์หญิงโรเซล่าน้องสาวของพระองค์ขอให้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษน่ะ”
อ๋อ… ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าโรเซล่ามีอิทธิพลต่ออาณาจักรเอาเรื่องนะเนี่ย
“งี้นี่เอง แต่ว่านะเนียร์…” ฉันพูดค้างไว้ พลางนำสร้อยไข่มุกเส้นนั้นกลับไปเก็บในชั้น “เดี๋ยวนี้จะคุยกับเราแบบไม่เกรงกลัวกันเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง”
“อ๊ะ! ขออภัยเพคะ” เห็นอีกฝ่ายโค้งขอโทษสุดตัวขนาดนั้นฉันก็หลุดขำ เป็นฉันเองที่ตั้งใจทำให้เนียร์รู้สึกสบายใจกับฉันมากขึ้นเพราะไม่อยากต้องมีบรรยากาศเกร็ง ๆ กับคนสนิทซึ่งอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดอย่างเนียร์ และจากที่เห็นดูเหมือนจะประสบความสำเร็จดีเลยล่ะ
“ฮิ ๆ ล้อเล่นน่ะ เนียร์คุยกับเราแบบเป็นกันเองก็ดี เราจะได้สนิทกันมากขึ้นไง!”
“อ่า…เพคะ” เนียร์ก้มหน้างุดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ นั่นคงจะตีความได้ว่าเธอยอมรับคำขอของฉันสินะ “ถ้าเช่นนั้นเชิญองค์หญิงที่ห้องเสื้อเลยเพคะ หม่อมฉันจะไปเอาชุดที่ช่างตัดไว้มาให้ลอง”
เนียร์บอกดังนั้นก่อนว่ายออกจากห้อง ส่วนฉันก็ตรงไปเปิดประตูห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ในห้องของฉันอีกทีแล้วว่ายเข้าไปในนั้น
จะว่าไป… ตอนนี้เสื้อผ้าของเซเรน่าก็มีเยอะมากแล้วนะ ดูจากปริมาณแล้วน่าจะตัดชุดใหม่ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงฉลองเลยล่ะ เพราะแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเสื้อผ้าทั้งหมดเป็นชุดงานเลี้ยงทั้งนั้นเลย ส่วนที่เหลือมีชุดทางการประมาณสิบห้าแล้วก็ชุดประจำวันและอื่นๆ อีกห้าเปอร์เซ็นต์เห็นจะได้ เป็นเจ้าหญิงก็ดีตรงนี้แหละน้า
หลังจากนั้นห้านาทีเนียร์ก็กลับมาพร้อมกับชุดสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงประมาณสี่ห้าชุด แล้วจัดการลองให้ฉันสวมชุดทุกชุดจนหมดเวลาไปครึ่งค่อนวัน แถมยังบอกอีกว่าพรุ่งนี้จะมีเครื่องประดับมาให้ลอง และวันต่อไปก็จะมีลองแต่งหน้าทำผมอีก ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมต้องเตรียมการล่วงหน้านานขนาดนี้
“นี่ก็ลองครบทุกชุดแล้ว องค์หญิงชอบชุดไหนที่สุดเพคะ”
“อืม...นั่นสินะ” ฉันจ้องตัวเองในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนไล่ขาวตรงชายผ้า ซึ่งสะท้อนอยู่บนกระจกเงาบานใหญ่ ปกติเสื้อผ้าในอาณาจักรเซเรเนียจะตัดขึ้นด้วยผ้าหนานุ่มมีน้ำหนักพอประมาณเพื่อให้ทิ้งตัวลงแต่ยังคงความพลิ้วไหวไปตามสายน้ำอยู่ และจะตัดขึ้นจากผ้าผืนเดียวเท่านั้น หรือถ้าสถานะดีหน่อยอย่างขุนนางกับเชื้อพระวงศ์ก็อาจจะทำด้วยผ้า 2-3 ผืน ส่วนเครื่องประดับหลัก ๆ ก็ทำมาจากไข่มุกซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของอาณาจักรนี้ โดยรวมก็คล้ายคอนเซ็ปท์ของเงือกในจินตนาการสมัยเด็กของฉันอยู่มากทีเดียว
ที่จริง...ชุดนี้ก็สวยแบบเรียบหรูดี ถ้าใส่กับไข่มุกน่าจะเข้ามาก แถมดูเหมาะกับลุคเซเรน่าดีด้วย เอาชุดนี้ก็แล้วกัน! “เอาชุดนี้แหละ”
“งั้นองค์หญิงถอดมาเลยเพคะ หม่อมฉันจะเอาไปทำความสะอาดให้เพคะ” จากนั้นฉันก็ถอดชุดส่งให้เนียร์ตามที่นางบอก จะว่าไป...เรื่องนั้นลองถามเนียร์ดูดีมั้ยนะ
“เนียร์”
“เพคะ?”
“เนียร์พอจะรู้จัก...คนที่สามารถช่วยเรื่องเหนือธรรมชาติได้บ้างมั้ย”
“ช่วยเรื่องเหนือธรรมชาติยังไงเหรอเพคะ”
“ก็แบบ...ผู้หยั่งรู้ที่ล่วงรู้ทุกอย่าง หรือคนที่มีคำตอบให้กับทุกคำถามอะไรประมาณนั้นน่ะ รู้จักบ้างมั้ย”
“เอ่อ...ถ้าเป็นคนที่ตอบได้ทุกคำถาม ก็มีนักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงอยู่คนหนึ่งนะเพคะ”
“จริงเหรอ! เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหนล่ะ?” มีจริงๆ ด้วยเหรอเนี่ย ถ้างั้นก็มีทางหาวิธีกลับร่างแล้วสิ รู้งี้น่าจะถามเนียร์ตั้งแต่แรกก็จบ ไม่ต้องมาเสียเวลาอยู่ตั้งหลายอาทิตย์แบบนี้หรอก!
“ท่านเดลฟีแห่งวิหารเทพฟีบีเพคะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป
รู้ไว้ใช่ว่า (เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนที่ไม่มีจังหวะอธิบายจะมาบอกไว้ตรงนี้นะคะ)
- ไข่มุก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของอาณาจักรเซเรเนียมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ ไข่มุกจากหอยมุกตามธรรมชาติ และไข่มุกจากเลือดของชาวเซเรเนียซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คืือ เศวตรมุก (White Pearl) จากประชาชนทั่วไปซึ่งมีสีขาว และ ชาดโลหิต (Vermillion Blood) จากเชื้อพระวงศ์ที่เป็นสีแดงสด โดยปกติแล้วไข่มุกประเภทที่เกิดจากเลือดจะมีราคาสูงกว่าประเภทแรก ทำให้ประชาชนที่ฐานะไม่ดีนักยอมเจ็บตัวขายไข่มุกจากเลือดเพื่อยังชีพ แต่เพราะมีเงือกที่อาการสาหัสจากการเสียเลือดมากทางราชวงศ์จึงจัดตั้งองค์กรรับซื้อไข่มุกอย่างเป็นทางการขึ้น โดยมีการเก็บข้อมูลของผู้ขายทุกคนไว้เพื่อไม่ให้มีใครขายเลือดมากเกินไปจนเป็นอันตรายอีก
ชี้แจงแถลงไข
1. ก่อนอื่นก็สวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน! ขอโทษนะคะที่่หายไปนานเลย คราวนี้เรียกว่าจีหมดไฟไปเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ แงงง TT เพราะเรียนมหาลัยก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นแต่จีก็ไม่มีอารมณ์หยิบขึ้นมาแต่งเลย นี่ถ้าไม่เห็นว่ามีคอมเม้นต์ใหม่ในรี้ดอะไรต์ก็คงยังไม่ได้แต่งต่อ ขอบคุณคุณ Yeev นะคะทีี่มาให้กำลังใจกัน
2. จีจะพยายามอัปให้ได้ 3 ตอนในอาทิตย์นี้ค่ะ! แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าจะมาอีกทีวันไหนนะคะ เพราะมันขึ้นอยู่กับอารมณ์จีล้วน ๆ เลย ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้านะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันอยู่ทั้งที่จีหายไปนานถึงครึ่งปีนะคะ ;-; (พอมาดูตอนที่อัปล่าสุดแล้วตกใจเลย เวลาผ่านไปเร็วมากเลยค่ะ รู้ตัวอีกทีก็ปีใหม่ซะแล้ว)
ความคิดเห็น