ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [อยู่ระหว่างการรีไรต์ค่ะ] When I became a Mermaid เมื่อโชคชะตาเล่นตลกผลักฉันตกทะเลมาเป็นเงือก!

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 : ผูกมิตร

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 65


    บทที่ 5 ผูกมิตร

              [ในห้วงฝันของลิธารากอช]

              “อย่างนี้นี่เอง” เซเรน่าตอบรับเรื่องที่ฉันเล่าด้วยสีหน้าหม่นเศร้า ทำเอารู้สึกผิดที่ปล่อยไลแคนท์ไปเฉย ๆ ขึ้นมาเลย

              “อ่า แต่ฉันไม่ได้ลงโทษยัยนั่นหรอกนะ ฉันไม่กล้าสั่งประหารใครน่ะกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเธออยากให้ทำโทษยังไงบอกฉันได้เลยนะเดี๋ยวฉันไปทำให้ก็ได้ อย่างเช่นตบหน้าเรียกสติสักฉาดสองฉาดเป็นไง”

              “ฮะ ๆ ไม่ต้องหรอกค่ะคุณเซเรีย ถึงอย่างไรตอนนี้เราทั้งคู่ก็ยังมีชีวิต อีกอย่างถ้ามีข่าวลือว่าองค์รัชทายาทถูกวางยาพิษโดยสาวใช้คนสนิทของพี่สาว ท่านพี่...จะพลอยโดนต่อว่าไปด้วย เราไม่อยากให้ท่านพี่ต้องอับอายและไม่ชอบเราไปมากกว่านี้แล้วค่ะ” 

              “เซเรน่า...” โธ่ เจ้าหญิงน้อยของฉันรักพี่สาวมากขนาดนี้เลยนี่เอง คงจะเจ็บปวดมากเลยสินะเวลาโดนคนที่รักรังแกน่ะ ฮือออ อยากกอดโอ๋จังเลย

              คอยดูเถอะโจเซฟีน ฉันจะทำให้เธอกลับมาญาติดี...ไม่สิ รักเซเรน่าให้ได้เลย!

              “อ๊ะ จริงสิ วันนี้เรามีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณเซเรียตั้งเยอะ ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าที่ที่คุณเซเรียจากมาจะเป็นโลกใบนี้ในอนาคต ถึงเราไม่ได้ขึ้นไปบนบกบ่อย ๆ แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าต่างกันมากอย่างกับว่าเป็นคนละโลกกันเลยล่ะค่ะ เรื่องราวของเงือกก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่าไปเลย อยากรู้จังนะคะว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราจะยังดำรงอยู่หรือเปล่า...คุณเซเรียคิดว่าอย่างไรคะ”

              “อืมมม ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันก็คงจะคิดว่าเรื่องของเงือกเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันแหละนะ แต่ตอนนี้ได้มาเจอกับตัวขนาดนี้ก็รู้ซึ้งเลยล่ะว่าพวกเธอมีอยู่จริง ...ถ้าฉันได้กลับไปที่นั่นและถ้ามีโอกาสฉันเองก็อยากลองสำรวจใต้ทะเลยุคปัจจุบันดูเหมือนกัน ดีไม่ดีถ้าฉันบังเอิญจมน้ำอีกจะได้พวกเธอมาช่วยไว้ไง”

              “อ๊า อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิคะ ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่แถวนั้นคุณเซเรียก็แย่น่ะสิ!”

              “ตายแล้ว~เซเรน่าโมโหฉันเหรอ ขนาดหน้าตอนโมโหยังน่ารักเลย”

              “นี่เราจริงจังนะคะ คุณเซเรีย!”

              “เข้าใจแล้วน่าเข้าใจแล้ว ฮ่า ๆๆ”

              หลังจากนั้นพวกเราก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อย โดยที่เซเรน่าไม่ได้แสดงอาการที่บ่งบอกว่าตัวเองเศร้าเสียใจออกมาอีกเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ฉันรู้ว่าถึงภายนอกจะดูบอบบางไม่สู้คนแต่แท้จริงแล้วเซเรน่าไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับเข้มแข็งมาก...บางทีอาจจะมากกว่าฉันเสียอีก

              .

              .

              .

              สามวันต่อมา

              “องค์หญิงเซเรน่า ถวายบังคมเพคะ”

              “อรุณสวัสดิ์” หลังจากยกโทษให้ไลแคนท์ไปในวันนั้น นางก็ทำดีกับฉันตลอดต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ ส่วนโจเซฟีนก็พลอยเลิกแกล้งฉันไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ฉันมาอยู่ในร่างนี้ล่ะนะ “จะว่าไป...ทำไมวันนี้พวกเงือกสาวใช้ดูวุ่นวายกันจังล่ะเนียร์”

              “เพราะเงือกทุกตนกำลังตกแต่งพระราชวังเพื่อต้อนรับเดือนใหม่กันอยู่เพคะ”

              “อ้อ...”

              จริงสิ ที่อาณาจักรเซเรเนียมีประเพณีตกแต่งพระราชวังทุกวันขึ้นเดือนใหม่นี่นา เดือนนี้เดือนออคโทเนอร์งั้นสีที่ใช้ตกแต่งก็เป็น...สีส้มสินะ

              พูดถึงสีส้มแล้วหน้าโจเซฟีนก็ลอยขึ้นมาทุกทีเลย ฉันคิดว่าผมสีแสดนั่นมันสวยเปรี้ยวเข้ากับบุคลิกของนางมากเลยนะ แต่เพราะมีข่าวลือประหลาด ๆ เกี่ยวกับมันโจเซฟีนถึงได้ชอบแต่งตัวโทนสีส้มอิฐเพื่อไม่ให้สีผมของตัวเองเด่นเกินไป คิดตามดูแล้วชีวิตนางก็น่าสงสารเอาเรื่องเหมือนกัน

              “อ๊ะ! นั่นท่านพี่ออกมาจากห้องแล้วนี่นา...แปลว่าพิธีใกล้จะเริ่มแล้วสิ” ฉันอุทานเมื่อเห็นโจเซฟีนในชุดพิธีการยาวระย้าสีรัตติกาลปรากฏตัวออกมาที่ทางเดิน

              “จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้เลยเพคะ” เนียร์ว่าดังนั้นก่อนจะว่ายนำฉันไปยังลานกว้างที่ใช้ทำพิธีจุดไฟนิรันดร์

              มาถึงตรงนี้ก็ขออธิบายเกี่ยวกับพิธีนี้หน่อยแล้วกัน พิธีจุดไฟนิรันดร์คือพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาช้านานตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร ในสมัยก่อนพิธีที่ว่าจะเป็นการอัญเชิญเหล่าเทพเจ้าลงมาจุดไฟที่คบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ประจำอาณาจักรเพื่อมอบแสงสว่างและเปลวไฟแก่ประชาชนในอาณาจักรนี้ปีละครั้ง แต่หลังจากที่โจเซฟีนเกิดด้วยความสามารถพิเศษที่นางมีทำให้พวกเราไม่จำเป็นต้องรบกวนเหล่าเทพอีกต่อไป และยังสามารถจุดไฟได้บ่อยขึ้นแก้ปัญหาไฟมอดก่อนครบรอบปีด้วย นั่นจึงเป็นข้อดีแสนวิเศษอย่างหนึ่งของโจเซฟีนเลยล่ะ!

              “เชิญนั่งตรงนี้เลยเพคะ” เนียร์พูดพลางผายมือไปทางบัลลังก์สีขาวขนาดย่อมทางขวาสุดของบัลลังก์ทั้งสี่ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากบัลลังก์ของฉันแล้วบัลลังก์ที่เหลือนั้นว่างเปล่า ก็นะโจเซฟีนเป็นผู้ประกอบพิธีก็เลยไม่ได้นั่ง ส่วนราชากับราชินีก็ยังไม่กลับมาจากต่างประเทศ บัลลังก์ทั้งสี่นี้ก็เลยมีฉันนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่คนเดียว

              ตึง ตึง ตึง!

              เสียงกลองเริ่มพิธีดังขึ้นตามด้วยเสียงเป่าแตรสังข์ดังกึกก้อง โจเซฟีนลอยตัวอยู่เหนือคบเพลิงสูงชะลูด นางยกมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น...

              พรึ่บ!

              เฮ~~

    วินาทีนั้นฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อเปลวไฟขนาดมหึมาลุกโชนขึ้นมันควรจะแผดเผาร่างโจเซฟีนไปแล้ว ทว่านางกลับนิ่งสงบไม่สะทกสะท้านอยู่กลางกองเพลิง มีเพียงเสื้อผ้าสีดำสนิทของโจเซฟีนเท่านั้นที่มอดไหม้ไปกลายเป็นชุดสีขาวนวลสว่างแทน ตอนนั้นเองที่ฉันนึกขึ้นมาได้ถึงความหมายของชุดพิธีการนั้น สีดำที่ไหม้ไปคือความทุกข์ ความเศร้า ความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่คั่งค้างในเดือนก่อน และชุดสีขาวคือความสุข ความดี ความบริสุทธิ์ ถือเป็นการเผาสิ่งที่ไม่ดีในอดีตทิ้งไปเพื่อต้อนรับเดือนใหม่นั่นเอง...

    แสงจากคบเพลิงส่องสว่างโชติช่วงไปทั่วทั้งอาณาจักร ประชาชนพากับปรบมือและโห่ร้องด้วยความยินดี โจเซฟีนว่ายออกมาจากกองไฟแล้วลงมานั่งบนบัลลังก์ทางซ้ายสุด เพื่อฟังการแสดงดนตรีปิดพิธีด้วยกันกับฉัน

    ไหน ๆ ก็...ลองผูกมิตรดูดีไหมนะ

              “ท่านพี่นี่เก่งจังเลยนะเพคะ” ด้วยความคิดแบบนั้นฉันจึงลองชวนนางคุย

              “...!” โจเซฟีนดูตกใจมากทันทีที่ได้ยินเสียง นางก็หันมามองหน้าฉันฉับพลัน “เจ้า...ว่าอะไรนะ”

              “เราบอกว่าท่านพี่เก่งเพคะ”

              “เรื่องอะไร”

              “ก็ที่สามารถจุดไฟนิรันดร์ได้ไงเพคะ ความสามารถเดียวกันกับเหล่าเทพเลยนะ ท่านพี่ไม่ภูมิใจบ้างหรืออย่างไร”

              “อ้อ...” โจเซฟีนตอบมาแค่นั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ฉันแอบเห็นว่าหูของนางแดงขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนจะดีใจอยู่เหมือนกัน “ขอบใจนะ”

              ถ้าเป็นตามปกติแล้วองค์หญิงใหญ่จะไม่รู้สึกภาคภูมิในการจุดคบเพลิง เพราะนางรู้ว่าที่ประชาชนโห่ร้องดีใจก็มาจากที่ไฟนิรันดร์ถูกจุดขึ้นมา มิใช่เพราะชื่นชมผู้จุดมันแต่อย่างใด โจเซฟีนจึงได้แต่เชิดหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรอยู่บนบัลลังก์ ทั้งที่ในใจอยากจะหนีไปให้ไกลจากเสียงเซ็งแซ่เหล่านั้น

              ทว่าเมื่อเสียงของเซเรน่าดังขึ้นมันก็ดึงความสนใจของนางไปจากฝูงชนได้ วินาทีที่น้องสาวผู้เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จามาตลอดเอ่ยทักนาง โจเซฟีนก็รู้สึกว่าเสียงโหวกเหวกของชาวเมืองลอยไกลออกไป นางรู้สึกสบายใจบนบัลลังก์นี้เป็นครั้งแรก

              “อื้ม” เมื่อกี้...นับเป็นครั้งแรกที่โจเซฟีนบอกขอบคุณเซเรน่าเลย ถึงเอาจริง ๆ จะขอบคุณฉันก็เถอะ อันที่จริงนางก็ไม่ได้มีนิสัยโมโหร้ายจนคุยด้วยไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่เพราะว่าเซเรน่ารู้สึกว่าต้นเหตุที่ทำให้โจเซฟีนชวดตำแหน่งรัชทายาทไปเป็นความผิดของตัวเอง ยัยนั่นเลยไม่กล้าพูดคุยกับพี่สาวเลยถ้าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องคุยจริง ๆ ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้จึงห่างเหินกันมากขึ้นทุกวัน

              แต่ฉันจะไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะดีขึ้นของทั้งสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่ เพื่อให้ตอนที่เซเรน่ากลับมาจะได้ไม่โดนรังแกอีก

     

              หลังจากจบพิธีทุกคนก็แยกย้ายกันไป เหลือก็แต่ฉันที่กำลังง่วนอยู่กับการพลิกสาหร่ายทรงเครื่องเสียบไม้ไปมาอยู่เหนือคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ ถามว่าฉันมานั่งย่างสาหร่ายไปทำไมน่ะเหรอนั่นก็เพราะว่า...

              ฉันกำลังจะทำอาหารไปให้หวานใจเซเรน่าอยู่ยังไงเล่า~

              เนื่องจากรู้มาจากความทรงจำของเซเรน่าว่าซามูเอลชอบกินสาหร่ายมาก รวมกับความคิดของฉันเองที่ว่าเขาน่าจะไม่เคยกินสาหร่ายย่างมาก่อน เพราะเท่าที่ฉันรู้มาคือพวกเงือกเขาไม่ย่างของกินกัน ดังนั้นฉันจึงจะทำอาหารจานพิเศษนี้ให้เขากินเพื่อเพิ่มค่าประทับใจของเขา (ให้เซเรน่า) ยังไงล่ะ!

              “ตายแล้ว! องค์หญิงขึ้นไปทำอะไรตรงนั้นเพคะ!?” เสียงใครดังมาจากข้างล่างน่ะ อ้อ...เนียร์นี่เอง

    “อ้าว ว่าไงเนียร์ ฉัน...เราขึ้นมาย่างสาหร่ายแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ลงไปแล้วล่ะ”

    “ย่างสาหร่าย? ทำอาหารเหรอเพคะ อ๊ะ! แต่เราไม่เอาไฟนิรันดร์มาทำอาหารกันหรอกนะเพคะองค์หญิง!” เนียร์ว่าพลางว่ายขึ้นมาหาฉันจนมาประชิดตัวได้ในที่สุด แต่ฉันมันก็เป็นคนใจกล้าจึงย่างสาหร่ายต่อไปโดยไม่สนใจเนียร์ซึ่งพองแก้มด้วยความโมโหอยู่ข้าง ๆ

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็...นั่นเป็นคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์นะเพคะ ถ้าจะทำอาหารใช้ไฟในครัวเอาก็ได้นี่เพคะ”

    “เรื่องนั้นน่ะ ไฟของทั้งอาณาจักรก็มีคบเพลิงนี่เป็นแหล่งต้นกำเนิดทั้งนั้นนะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นไฟที่คบเพลิงนี่หรือไฟที่ใช้ในครัวก็ถือเป็นไฟเดียวกันหมดนั่นแหละ”

              “แต่...แต่ว่า”

              “จ้า ๆ ย่างเสร็จพอดี เอาเป็นว่าเราจะไม่เอาอาหารมาย่างที่คบเพลิงนี่อีกแล้ว โอเคนะ”

              “โอเค? คืออะไรหรือเพคะ” อ๊ะ ฉันเผลอพูดไปเหรอเนี่ย

              “เอ่อ...มันเป็นภาษาอังกฤษแปลว่าตกลงน่ะ”

              “ภาษาอังกฤษ?”

              “เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ!” คุยกันต่อไปก็เสียเวลา ฉันต้องรีบเอาสาหร่ายย่างนี่ไปให้ซามูเอลนะ! มันสำคัญมากกว่าการมาอธิบายคำว่าโอเคให้เธอฟังตั้งเยอะ “เนียร์ช่วยไปหาผ้าคลุมมีฮู้ดมาให้เราสักชุดนะ”

              “ทำไมล่ะเพคะ”

              “เอาเถอะน่า แค่เอามาให้ก็พอเราจะรออยู่ที่ห้องนะ ได้แล้วก็เอามาให้เราด้วยล่ะ~”

    หลังจากนั้นฉันก็ว่ายหนีเนียร์ไปที่ห้องของตัวเอง จัดการเอาสาหร่ายย่างและผลไม้หน้าตาเหมือนเชอร์รี่ใส่ลงในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นั่งรอให้เนียร์ประมาณห้านาทีให้หลังเธอก็เอาชุดมาให้ตามที่ขอ

    “ขอบใจนะ”

    “เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ ว่าแต่องค์หญิงให้หม่อมฉันเตรียมชุดให้เพราะอะไรหรือเพคะ”

    “เราจะออกไปข้างนอกสักหน่อยน่ะ”

    “อ้าว แต่ปกติเวลาออกไปข้างนอกองค์หญิงก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุมนี่เพคะ”

    “พอดีว่าเราจะแอบออกไปน่ะสิ”

    “หา!?”

    “เราจะแอบออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง แต่ไม่อยากให้พวกองครักษ์คอยตามคุม เจ้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยพูดกับทุกคนให้ทีนะอย่าให้ใครจับได้ล่ะว่าเราไม่อยู่ที่นี่” หลังจากสวมเสื้อคลุมเสร็จฉันก็ฉวยเอาตะกร้าบนโต๊ะขึ้นมาถือแล้วว่ายไปที่หน้าต่างห้อง

    ใช่ ฉันกำลังจะหนีออกไปทางหน้าต่าง แบบเดียวกันกับตอนที่แอบหนีไปเที่ยวที่โรงเลี้ยงสัตว์กับซามูเอลนั่นแหละ

    “ดะ...เดี๋ยวสิเพคะ องค์หญิง!”

    ฟุ่บ!

    ไม่รอให้เนียร์พูดต่อฉันก็กระโจนออกนอกหน้าต่างไป ก่อนจะรีบเร่งว่ายออกไปด้วยความเร็วสูงเพื่อไม่ให้เนียร์ตามมาจับตัวไว้ได้ทัน

    ออกจากที่นี่ตอนนี้กว่าจะถึงราซเบียก็น่าจะสักช่วงบ่าย ๆ คงพอทานเป็นของว่างได้อยู่แหละ

    เอาล่ะ ฉันกำลังจะไปหานายแล้วซามูเอล!

    .

    .

    .

    [ณ อาณาจักรราซเบีย]

    และแล้วฉันก็เข้ามาในอาณาจักรราซเบียได้โดยสวัสดิภาพ จริง ๆ กว่าจะผ่านด่านตรวจทั้งสามเข้าไปอาณาจักรได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน แต่ด้วยความที่ฉันแค่อยากเอาสาหร่ายย่างมาให้ซามูเอลไม่ได้จะมาเจรจาซื้อขายที่ดิน ฉันจึงเลือกที่จะปีนกำแพงเข้ามาแทนการผ่านด่านตรวจ โชคดีที่การคุ้มกันไม่ได้เข้มงวดอย่างที่คิดไว้ และตอนนี้ก็กำลังมุ่งตรงไปยังวังหลวงซึ่งเป็นที่อยู่ของซามูเอลนั่นเอง

    “เงือกตัวนั้นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้!”

    อ๊ะ! ถูกองครักษ์ที่เฝ้าวังหลวงเจอเข้าจนได้

    “เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ ไม่ได้ผ่านด่านตรวจเข้ามาใช่ไหม!” องครักษ์ตนนั้นยกดาบขึ้นจ่อคอฉันไว้แล้วตะคอกถาม

    ฉันจึงเปิดฮู้ดที่ใช้อำพรางหน้าไว้ออกแล้วจ้องหน้าเขาตรง ๆ พอองครักษ์เห็นหน้าฉันชัดเจนก็เบิกตาโพลงลดดาบในมือลงแทบไม่ทัน “องค์หญิง! ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบว่าเป็นพระองค์”

    “ไม่เป็นไร” เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้ เซเรน่าคงจะได้รับอภิสิทธิ์ในฐานะว่าที่ภรรยาของซามูเอล ดังนั้นถึงจะเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายก็น่าจะไม่ถึงขั้นต้องโทษหรอก... แต่ก็มีแอบลุ้นอยู่แหละนะ “ว่าแต่เจ้าพอจะรู้ไหมว่าซามูเอลอยู่ที่ไหน เรามาหาเขาน่ะ”

    “อ่า...บนห้องของท่าน ชั้นสองทางซ้ายมือพ่ะย่ะค่ะ” คุณองครักษ์ทำหน้างงเล็กน้อยแต่ก็ยอมบอกฉันแต่โดยดี “ให้กระหม่อมไปแจ้งให้ท่านทราบไหมพ่ะย่ะค่ะ”

    “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวเราขึ้นไปหาเอง ขอบคุณนะ” ว่าแล้วฉันก็บอกลาคุณองครักษ์ก่อนจะว่ายเข้าไปในวังมุ่งขึ้นไปที่ชั้นสองแต่...

    ห้องทางซ้ายมันไม่ได้มีห้องเดียวนี่นา

    อืม...เคาะถามดูดีไหมนะ ไม่ได้ ๆ นี่ฉันกะมาเซอร์ไพรส์เขานะ ถ้ามาเคาะถามก่อนแบบนี้มันก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ!

    งั้นก็คง...ต้องเสี่ยงดวงดูแล้วล่ะ

    คิดได้ดังนั้นฉันก็ว่ายเข้าห้องห้องแรกไป แต่ภายในห้องมืดสนิทจนดูเหมือนไม่มีใครอยู่ ฉันจึงต้องสอดส่ายสายตาที่เริ่มปรับมองเห็นในความมืด มองหาว่ามีคนอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า...

    ฟุ่บ!

    เอ๊ะ...!?

    ทำไม...รู้สึกเหมือนโดนกอดจากด้านหลัง?

    “เจ้ากลับมาหาข้าแล้วเหรอ...เซล่า” เสียงเย็นเนิบที่ข้างหูกระตุกสัญชาตญาณที่เคยคิดว่าหายไปนานแล้วของฉันให้กลับมา

    “กรี๊ดดดดดดดดด!”

    ฉัน...กลัวผีสุด ๆ เลย

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

             ชี้แจงแถลงไข

              ข้อคิดของตอนนี้ก็คือ...อย่าสุ่มเข้าห้องคนอื่นเล่นอย่างกับสุ่มกาชานะจ๊ะ ว่าแต่เซเรียไปเจออะไรเข้าอีกล่ะเนี่ย แล้วนางจะรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้หรือไม่!?...คอยดูกันในตอนต่อไปนะคะ

              ปล. อย่าลืมกดหัวใจให้กำลังใจจีกันด้วยนะคะ มีความคิดเห็นอย่างไรก็คอมเม้นต์บอกกันด้านล่างได้เลยค่ะ แล้วก็ถ้าไม่อยากพลาดตอนใหม่กดปุ่ม FAVORITE เพื่อติดตามนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยน้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าชอบมากแล้วแชร์ไปให้เพื่อนอ่านด้วย จีก็จะดีใจมาก ๆ เลยค่ะ ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่า~

     

    ประเพณีและพิธีกรรมในตอนนี้

              1) เรื่องของเดือนในนิยายเรื่องนี้จะถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ โดยให้ 1 ปีมี 12 เดือนเหมือนเดิม แต่ 1 เดือนมี 28 วัน และแต่ละเดือนมีดังนี้

              เจนัวร์, ฟลูเวร่า, มิโนเร่, พิลาร์, มาร์, จูลลิน, จิวล์, อาร์เลียร์, เซทีเมอร์, ออคโทเนอร์, นอร์เซมเพียร์, เดลเลโก้

              ซึ่งแต่ละเดือนอาณาจักรเซเรเนียจะมีการตกแต่งพระราชวังด้วยสีประจำแต่ละเดือนคือ                   น้ำตาล, ชมพู, เขียว, ขาว, แดง, เหลือง, ฟ้า, เงิน, น้ำเงิน, ส้ม, ทอง, ม่วง ตามลำดับ

              2) ส่วนพิธีจุดไฟนิรันดร์ที่กล่าวถึงข้างต้นก็คือพิธีประจำอาณาจักรเซเรเนียที่จัดขึ้นทุกปีนั่นเอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×