คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 แรกพบ
บทที่ 1 แรกพบ
จนถึงตรงนี้ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าใจแล้วว่าตัวเองทะลุมิติมาอยู่ที่อื่น แต่คงไม่ใช่สำหรับเซเรีย
หลังจากนั่งมึนอยู่พักหนึ่งฉันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี่มันจะต้อง...เป็นความฝันอย่างแน่นอน
ก็แหม ลำพังแค่มีคนมาเรียกว่าองค์หญิงยังไม่น่าเป็นไปได้เลย แล้วนี่ถึงขนาดมีร่างกายท่อนล่างเป็นหางปลาเชียวนะ! มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไงกันเล่า
ใช่แล้วล่ะ ฉันต้องกำลังฝันว่าตัวเองเป็นองค์หญิงเงือกที่อาศัยอยู่ในปราสาทใต้มหาสมุทรเป็นแน่ ว่าแล้วก็คิดถึงจัง ตอนเด็กฉันก็ฝันอยากเป็นนางเงือกอยู่เหมือนกันนะ ฮะฮ่า
แต่ทำไมฉันถึงกำลังฝันได้ล่ะ จำได้ว่าล่าสุดฉันกำลังเดินกลับคอนโดฯอยู่ไม่ใช่เหรอ?
เซเรียนั่งนิ่งอยู่บนเตียงพลางคิดถึงที่มาที่ไป โดยไม่ได้ยินเสียงของสาวใช้ที่กำลังร้องเรียกตนอยู่เลยแม้แต่น้อย กระทั่งนางยกมือขึ้นสะกิดเงือกสาวจึงรู้สึกตัว
“องค์หญิงเซเรน่าเพคะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่เพคะ” หญิงรับใช้มองเจ้านายของนางด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
“อา...เปล่า ฉันสบายดี” ในที่สุดเซเรียก็ตัดสินใจตอบกลับไป ว่าแต่ในฝันนี่ฉันมีชื่อใหม่ด้วยเหรอเนี่ยเจ๋งดีแฮะ
“ฉันหรือเพคะ!” แต่เพราะเสียงของสาวใช้ที่ดังขึ้นกว่าเดิม ทำให้เธอใจหายไปแวบหนึ่ง
ทำไมล่ะ ฉันพูดอะไรผิดหรอ?
“เอ่อ คำว่าฉันเป็นคำเรียกแทนตนของสามัญชนอย่างพวกหม่อมฉันนะเพคะ แน่นอนว่าถึงจะใช้แค่ในอาณาจักรเซเรเนียแต่มันก็...” อ๋ออ~เพราะแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงตะลึงขนาดนั้น ถ้างั้นก็คงต้องใช้คำอื่นสินะ อืมมม
“แหม เราแค่ล้อเล่นน่ะ เนียร์อย่าตกใจไปเลย”
“เฮ้อ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิเพคะ” อะฮ่า แสดงว่าเรานี่ใช้ได้แล้วสินะ
“อื้อ เราสบายดีไม่ต้องห่วง” ฉันตอบพลางยิ้มให้เธอเพื่อยืนยันว่าตัวเองโอเคจริง ๆ แต่จะว่าไปนี่มันต่างกับฝันปกติเกินไปมั้ยนะ โดยทั่วไปแล้วเวลาฝันมันจะเหมือนมีบทพูดขึ้นมาให้อัตโนมัติแต่ครั้งนี้พูดได้ตามที่คิดเลยนี่นา...แปลกจัง “เอ้อ เมื่อครู่เธอบอกว่ามีใครรอทานข้าวกับเราอยู่ใช่มั้ย”
“เพคะ องค์หญิงใหญ่กับองค์ชายเซนทั้งสองพระองค์หยุดเสวยไปตั้งแต่ที่องค์หญิงขอตัวขึ้นมาพักน่ะเพคะ” โอ้โห มีเป็นเรื่องเป็นราวเลยแฮะ พอตื่นแล้วต้องจดไว้ไปเล่าให้เพื่อนฟังแล้วล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็พาเราไปหาพวกเขาได้แล้ว หากสายกว่านี้จะถูกต่อว่าเอาได้”
โอเค ถ้างั้นก็ตามน้ำไปให้สุดเลยละกัน ใช่ว่าคนเราจะมีโอกาสเป็นเจ้าหญิงกันง่าย ๆ นี่เนอะ ถึงจะเป็นในความฝันก็เถอะ
“เพคะ”
เนียร์ว่าแล้วก็ว่ายน้ำนำทางฉันผ่านประตูห้องนอนบานใหญ่ ทางเดินยาวสีขาวสะอาดรายล้อมด้วยห้องมากมายหลายสิบห้อง ฉันกวาดตามองรอบตัวสถานที่นี้สวยสมกับเป็นความฝัน ทว่าความรู้สึกต่าง ๆ กลับเหมือนจริงเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงภาพฝัน ราวกับทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง...แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า
จะว่าไปแล้วฉันไม่คุ้นชื่อหรือหน้าตาของสาวใช้คนนี้เลยแฮะ ทำไมถึงมาโผล่ในความฝันของฉันได้ล่ะ?
“ถึงแล้วเพคะ” เนียร์หยุดว่ายน้ำแล้วหันกลับมาพูดกับฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “หากรู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีกก็เรียกหม่อมฉันได้ตลอดเลยนะเพคะ”
“อื้อ ขอบใจเธอมากนะเนียร์”
ได้ยินดังนั้นเธอก็ย่อตัวคำนับก่อนจะว่ายน้ำแยกไปอีกทาง
“เอาล่ะ” ชักจะสนุกแล้วสิ มาสวมบทเจ้าหญิงให้เต็มที่ดูดีกว่า!
คิดได้ดังนั้นฉันก็ยกมือขึ้นจัดทรงผมและเสื้อผ้าที่ยุ่งจากการนอนจนเรียบร้อย ก่อนจะตัดสินใจว่ายน้ำลงบันได้ไปอย่างที่เนียร์บอก จะว่าไป...ถ้านี่เป็นปราสาทของเงือกก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีบันไดเลยนี่ เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว หรือจะมีเอาไว้ประดับเพิ่มความสวยงามเท่านั้นกันนะ?
ฉันมัวแต่คิดอะไรเพลิน ๆ จึงไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยว่าตนเองว่ายน้ำมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว
พอลงมาถึงชั้นล่างสิ่งแรกที่ฉันเห็นก็คือโต๊ะทานอาหารตัวยาวสีขาวประดับมุกและทองคำ ตามมาด้วยร่างของเงือกหญิงตนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างของโต๊ะ และร่างของเงือกชายอีกตนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ทางหัวโต๊ะ ห่างจากที่นั่งของเงือกตนแรกไปมากโข
สองคนตรงนั้นคงเป็น... องค์หญิงใหญ่กับองค์ชายเซนสินะ
“มาจนได้นะองค์หญิงรัชทายาท องค์ชายเซนมาทานข้าวด้วยทั้งที มีอย่างที่ไหนอ้างว่าไม่สบายแล้วปลีกตัวไปตั้งนานสองนาน ช่างรักษาหน้าวงศ์ตระกูลได้ดีเหลือเกิน” ยัยผมส้มที่ฉันนึกขึ้นมาได้จากไหนก็ไม่รู้ว่าชื่อโจเซฟีนนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ทางด้านขวาของโต๊ะกินข้าวพร้อมสะบัดบ๊อบใส่ฉัน โถ...ตัวเองมีมารยาทมากมั้ง เชอะ!
“...” แต่ก็อย่างว่านี่มันเป็นแค่ความฝัน จะไปต่อปากต่อคำกับคนในฝันไปทำไมล่ะ
ฉันว่ายน้ำไปที่เก้าอี้ตรงหัวโต๊ะอย่างกับเคยชิน ก่อนจะเลื่อนมันออกแล้วนั่งลงอย่างสวย ๆ ทำเป็นเมินสิ่งที่นางพูดไป
“ข้าขออภัยแทนนางด้วยเพคะที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลารอนานขนาดนี้”
จ้ะแม่คุณ ทั้งที่องค์ชายคนนั้นก็ไม่เห็นว่าอะไรเลยสักคำยังจะมาเหน็บแนมกันไม่เลิกอีกนะ เอ...หรือยัยนี่จะเป็นคนที่ฉันเคยรู้จักและไม่ชอบหน้าหรือเปล่าหว่า ถึงได้มาอยู่ในฝันฉันด้วยบทเหมือนตัวร้ายในนิยายแบบนี้เนี่ย
แต่ถ้าคิดว่าฉันจะยอมปล่อยไปแบบนางเอกแสนดีล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ :)
“นั่นสิคะ ถ้าต้องรอกันนานขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่รีบทานกันต่อเลยล่ะ เอาแต่มาพูดจาจิกกัดกันแบบนี้คือมารยาทที่เชื้อพระวงศ์พึงมีหรือคะ” ฉันเน้นเสียงที่คำว่านานกับมารยาทเป็นพิเศษย้อนโจเซฟีนกลับไป
“นี่เจ้า!”
“อ๊ะๆๆ” เห็นนางลุกผึงขึ้นจากเก้าอี้ฉันก็ส่งเสียงยั้งไว้ก่อน “ท่านพี่เองก็เคยศึกษามารยาทบนโต๊ะอาหารมาไม่น้อย เรื่องที่ว่าไม่ควรพูดคุยเสียงดังระหว่างทานอาหารก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอคะ อย่ามาทำเหมือนคนขาดการศึกษาต่อหน้าแขกคนสำคัญแบบนี้สิ เดี๋ยวจะเสียชื่อถึงวงศ์ตระกูลได้นะคะ”
ฉันพูดพลางเหยียดยิ้มเย้ยหยันแบบที่เคยเห็นในละคร และดูเหมือนฉันจะมีแววด้านนี้อยู่ไม่น้อยเพราะ...
“กรี๊ดดด!!”
ทันทีที่พูดจบนางก็แผดเสียงกรีดร้องด้วยความโมโหดังลั่นจนต้องยกมือขึ้นปิดหู ก่อนจะหายใจฟึดฟัดแล้วว่ายน้ำหนีกลับขึ้นไปบนชั้นสองของปราสาท
ฮู่วว เท่านี้ฉันก็จะได้กินข้าวอย่างมีสงบสุขสักที ...ถึงแม้การกินอาหารในความฝันจะไม่ช่วยให้อิ่มในโลกแห่งความเป็นจริงก็เถอะนะ
ฉันก้มลงทำท่าจะตักอาหารเข้าปาก แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าองค์ชายเซนผู้เห็นเหตุการณ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกำลังมองอยู่ เขาถือส้อมค้างไว้ในมือแถมยังตาโตอย่างกับเพิ่งเห็นไก่ออกลูกเป็นตัว ไอ้ฉากเมื่อกี้มันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยเรอะ
“คือว่าถ้าจะรอให้ท่านพี่กลับลงมาอีกที เราว่าวันนี้ก็คงทานไม่เสร็จหรอกเพคะ รีบทานเถอะองค์ชายไม่ได้ว่างทั้งวันนี่นา”
“อะ...อืม”
เสียงขององค์หญิงรัชทายาทช่วยให้เงือกหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ความคิดและทานอาหารต่อตามที่นางแนะนำ ทว่าในใจของเขายังคงติดใจสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่
มันเกิดอะไรขึ้นกับเซเรน่าที่เขารู้จักกันนะ เงือกที่ไม่เคยโต้ตอบหรือแม้แต่ปริปากต่อกรเวลาที่โดนพี่สาวของตัวเองรังแก มาบัดนี้กลับไม่ก้มหน้าทนอีกต่อไปทั้งยังแสดงให้องค์หญิงใหญ่เห็นว่าตนเองเหนือกว่าได้โดยไม่หวั่นไหวเลยสักนิด
ทันใดนั้นหัวใจของเซนก็เต้นเร็วขึ้นอย่างไร้สาเหตุ มันเหมือนกับตอนที่เขารู้ตัวว่าจะได้มีน้องสาวไว้ให้แกล้งเล่นเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่มีผิด
เรื่องนี้...ชักจะน่าสนุกขึ้นแล้วสิ
.
.
.
ฉันรู้นะว่ามันฟังดูเหลือเชื่อแต่อาหารชุดใหญ่ที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ มันทำให้ฉันอิ่มได้จริง ๆ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันรู้ซึ้งถึงประโยคที่ว่าอิ่มจนท้องจะระเบิดแล้วล่ะ รู้สึกสงสัยขึ้นมาเลยแฮะว่าพวกคนรวยที่กินอาหารมื้อละหนึ่งโต๊ะยาว ๆ แบบนั้นเค้ากินกันหมดได้ยังไง?
ว่าแต่ความรู้สึกของการเป็นเงือกมันเป็นแบบนี้เองสินะ อากาศเย็นตลอดเวลาเพราะอยู่ก้นมหาสมุทรเทียบกับบนบกแล้วเหมือนสวรรค์เลย แถมตัวก็ไม่หนักด้วยเพราะแรงลอยตัวหรือเปล่านะ ฉันนอนคิดเรื่อยเปื่อยพลางกลิ้งตัวไปมาบนเตียง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
อยากเจอจัง
หือ? อยากเจอเหรอ...ในความฝันความคิดเราเป็นอิสระขนาดนี้เลยเหรอ จะว่าไปแล้วนี่มันเป็นฝันที่ยาวนานเกินไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย คิดเรื่องความไม่สมเหตุสมผลหลายรอบจนเริ่มปวดหัวแล้วแฮะ
“เฮ้อ~”
แกรบ
อ๊ะ! อะไรน่ะ เสียงดังมาจากทางหน้าต่าง
ไม่รู้ด้วยสัญชาตญาณหรืออะไร ฉันผุดขึ้นจากเตียงนอนก่อนจะพุ่งตรงไปยังบานหน้าต่างทางด้านซ้ายของห้องอย่างรวดเร็ว
ปึง!
พริบตาที่บานหน้าต่างถูกเปิดออก ตรงหน้าของเซเรียก็ปรากฏร่างของเงือกชายตนหนึ่ง ผู้มีเส้นผมยาวพลิ้วไสวตามสายน้ำ ปลายนิ้วมีเอกลักษณ์สีแดงแกมม่วงเกาะขอบหน้าต่างแน่น นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างมองตรงมายังเงือกสาวเจ้าของห้อง สีแดงระเรื่อพาดผ่านแก้มทั้งสองข้าง ริมฝีปากบางเปิดออกเอ่ยคำทักทายแฝงความลำบากใจ
...นึกออกแล้ว
“สะ...สวัสดียามบ่าย”
“ซามู!!”
ตึกตัก~ตึกตัก
ทันทีที่สายตาประสานกัน หัวใจของฉันก็พลันเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แค่เห็นเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ
ความรู้สึกแบบนี้ ใช่ที่คนเขาเรียกกันว่า...รักแรกพบหรือเปล่านะ?
“ขอโทษนะเซเรนแต่ข้าไม่อยากโกหก คือว่าข้า...มาแอบดูเจ้าที่หน้าต่างนั่นได้สักพักหนึ่งแล้วล่ะ!”
“เอ๊ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของซามูเอลที่ขึ้นสีแดงแจ๋ฉันก็โล่งอก ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ฉันที่ตกหลุมรักเขาแล้วล่ะเขาเองก็น่าจะมีใจให้ฉันเหมือนกันแหละน่า ก็ถ้าเขาไม่คิดอะไรจะมาเขินที่ถูกจับได้ว่าแอบมองทำไมเล่า
อ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน...นี่ฉันรักคนที่เจอกันในฝันเนี่ยนะ มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?
“แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ! ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยแค่บังเอิญผ่านมาแถวนี้แล้วเกิดนึกถึงเจ้า-ไม่สิ ๆ สงสัยว่าเจ้าเป็นยังไงบ้างก็เลย...” ซามูเอลเพื่อนสนิทของเซเรน่ามีสีหน้าลนลานอย่างเห็นได้ชัด เขารีบร้อนอธิบายเหตุผลเสียจนเงือกสาวหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ค่าๆ เข้าใจแล้วค่ะ”
“หมะ...ไม่โกรธเหรอ” ฉันโกรธคนหล่อ ๆ อย่างคุณไม่ลงหรอกค่ะ! เอ๊ย ไม่ใช่สิ ห้ามพูดความในใจออกไปนะยัยเซเรีย
“ทำไมต้องโกรธล่ะคะ ก็ซามูอุตส่าห์มาหาเพราะเป็นห่วงเรานี่นา” ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้เขา
“อ่า เอ่อ...ก็จริง” แต่ดูเหมือนพ่อหนุ่มหล่อคนนี้จะยังไม่หายกังวล ฉันจึงต้องพูดย้ำไปอีกครั้ง
“เราดีใจที่ซามูมาหานะคะ ดังนั้นเราไม่โกรธสักนิด~เดียวเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ”
“ยังไงก็เข้ามาข้างในก่อนไหมคะ ถ้าพวกทหารมาเจอเข้าได้วุ่นวายแน่เลย”
“จริงด้วย! ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย ถ้าเช่นนั้นก็...ขอรบกวนหน่อยนะ” ว่าแล้วซามูก็ว่ายน้ำผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ส่วนฉันก็ทำหน้าที่ปิดหน้าต่างให้หลังจากเขาว่ายเข้ามา แต่จะว่าไปไอ้การชวนเพื่อนต่างเพศเข้าห้องนอนแบบนี้เนี่ย...
มันโคตรไม่ระวังตัวเลยนี่นา!!
เขาจะคิดว่าฉันเป็นคนใจง่ายรึเปล่านะ ไม่สิ...ใจเย็นก่อนนะเซเรียนี่มันก็แค่ความฝัน อีกอย่างเขาก็เข้ามาในห้องเราแล้วนะจะให้ไล่ออกไปก็น่าเกลียดไหมล่ะ
“เอ่อ...ว่าแต่ที่ซามูบอกว่าสงสัยว่าเราเป็นยังไงบ้างน่ะค่ะ หมายถึงอะไรงั้นเหรอคะ?”
“อ๋อ นั่นข้าก็หมายถึงข่าวลือของเจ้าที่แพร่กระจายมาถึงอาณาจักรของข้าน่ะสิ”
“ขะ...ข่าวลือเรื่องอะไรเหรอคะ” โอ้ นี่ถึงขนาดมีข่าวลือด้วยเหรออย่างกับเป็นดาราเลย หวังว่าจะไม่ใช่ข่าวแย่ ๆ แล้วกันนะ
“เรื่องที่เจ้าทำตัวแปลกไปน่ะ”
“…เอ๋?”
“คือข้าไปได้ยินพวกชาวบ้านเขาพูดกันประมาณว่า ‘องค์หญิงเซเรน่าเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน นางลุกขึ้นมาต่อกรกับพี่สาวของนางแล้วล่ะ’ ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ซ้ำยังรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาก็เลยคิดว่าควรจะมาดูให้แน่ใจว่าเจ้าสบายดีรึไม่ ประจวบกับข้ามีธุระที่โรงเลี้ยงสัตว์แถวนี้พอดี ก็เลยถือโอกาสเดินทางมาที่นี่และมาหาเจ้า”
ฟังซามูเอลอธิบายไปฉันก็คิดตามไปด้วย ข่าวลือนี่น่าจะมาจากตอนทานอาหารกับโจเซฟีน แต่มันก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเอง ข่าวไปไวอย่างกับมีทวิตเตอร์แน่ะ
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าเซเรน ไม่สบายตรงไหนบอกข้าได้นะ” อ๊ะ...รู้สึกตัวอีกทีซามูเอลก็เข้ามากุมมือฉันไว้แล้ว ใกล้จัง
“มะ...ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เราสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองฉันอีกครั้งด้วยแววตาจริงจัง “แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาให้รีบบอกข้าทันทีเลยนะ!”
“ค่ะ...เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” แค่มองสีหน้าเขาเปลี่ยนไปมาก็ทำให้ฉันเอ็นดู คนอะไรน่ารักชะมัด
“อือ อ้อแล้วก็! ข้าบอกไปหลายครั้งแล้วก็จริงแต่ก็จะพูดอีกครั้งแล้วกัน เลิกพูดสุภาพกับข้าเสียทีเถอะนะ นิสัยให้ความสำคัญกับอายุมากกว่ายศถาบรรดาศักดิ์เนี่ยเลิกได้แล้ว-”
“ตกลง!”
“อะ...อืม” ได้ยินดังนั้นซามูเอลก็เริ่มคิดแล้วว่าเซเรน่าแปลกไปจริง ๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ต่อให้เขาพูดหว่านล้อมขนาดไหนนางก็ยังคงยืนยันคำเดิม แต่มาวันนี้กลับตกลงเสียง่าย ๆ ทำให้ขุนนางหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเงือกสาวตนสำคัญของเขาจริง ๆ
แต่ฝั่งของเซเรียเพียงแค่ตกลงไปตามนั้น เพราะคิดว่าในความฝันตัวเองควรจะพูดได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่มาพูดเพราะกับคนสนิทเหมือนไม่ใช่ตัวเองแบบนี้... ซึ่งก็ไม่ใช่จริง ๆ เพียงแต่เธอยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
เยส~ในที่สุดก็จะได้พูดแบบปกติสักที ไม่รู้ทำไมพอเจอซามูเอลแล้วเหมือนสมองสั่งการให้พูดมีหางเสียงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ซึ่งฉันไม่ทำแบบนั้นแน่ถ้าสนิทกันขนาดนี้แล้วน่ะ
แต่ตอนนี้ถึงเวลารู้ตัวได้แล้วล่ะ เซเรีย บลานเชตต์
…
หืม...?
เหมือนนึกอะไรออกเลย
“โอ๊ย!” ฉับพลันศีรษะของฉันก็เจ็บแปลบรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมา ความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างเจาะทะลุกะโหลกทำให้มือยกขึ้นกดขมับโดยอัตโนมัติ
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าเป็นอะไร!” ซามูโผเข้ามาประคองร่างฉันที่เกือบทรุดลงกับพื้นไว้
“หัว...หัวฉัน โอ๊ย!!”
“ทำใจดีๆ ไว้นะเซเรน เซเรน!”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน...ก่อนเปลือกตาอันหนักอึ้งจะปิดลง
โปรดติดตามตอนต่อไป
*สำหรับคนที่อ่านเวอร์ชั่นแรกในเด็กดีมาก่อน เราได้ตัดส่วนของชื่อเล่นที่ซามูเอลและเซเรน่าใช้เรียกกันสองคนออกไปนะคะ เนื่องจากมาคิดดูแล้วชื่อเยอะเกินอาจทำให้เกิดความสับสนได้ เวอร์ชั่นรีไรต์นี้ทั้งสองคนจึงจะเรียกกันด้วยชื่อย่อจากชื่อจริงคือ ซามู และ เซเรน ซึ่งคนที่สนิทกันนอกจากสองคนนี้ก็ใช้เรียกได้เหมือนกันค่ะ อีกเรื่องคือชื่อของสาวใช้คนสนิทของเซเรน่าไรต์ได้เปลี่ยนจากชื่อ เซียร์ มาเป็น เนียร์ เพราะไรค์เพิ่งตระหนักว่าตัวละครชื่อ ซ.โซ่ เยอะมากจนตาลายแล้ว55*
รวมตัวละครเปิดตัวในตอนนี้
เซเรีย : นักศึกษาสาวที่เข้ามาอยู่ในร่างเซเรน่า
เซเรน่า : องค์หญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรเซเรเนีย
เนียร์ : สาวใช้ประจำตัวของเซเรน่า
โจเซฟีน : องค์หญิงใหญ่ พี่สาวของเซเรน่า
เซน : องค์ชายและอัครราชทูตแห่งอาณาจักรเครสต้า
ซามูเอล : ขุนนางแห่งอาณาจักรราซเบีย เพื่อน(คนสำคัญ)ของเซเรน่า
ความคิดเห็น