ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [อยู่ระหว่างการรีไรต์ค่ะ] When I became a Mermaid เมื่อโชคชะตาเล่นตลกผลักฉันตกทะเลมาเป็นเงือก!

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 : สายสัมพันธ์

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 66


    ระหว่างที่ฉันและซามูเอลกำลังมุ่งหน้าไปที่โต๊ะของตระกูลราซเบีย เงือกสาวตนหนึ่งว่ายสวนทางกับฉัน ถึงจะแค่แวบเดียวแต่ฉันมั่นใจว่าต้องเป็นเธอจึงหันไปมองแล้วส่งเสียงเรียก

    “เซล่า” เธอหันกลับมาตามเสียงของฉัน ชัดเจนแล้วว่าฉันคิดถูก

    “อ้าว…พี่เซเรน่า”

    เธอคือโรเซล่าหรือเซล่าน้องสาวของเซนนั่นเอง คนที่ซามาเอลเข้าใจผิดว่าเป็นฉันตอนนั้นนั่นแหละ วันนี้เธออยู่ในชุดกระโปรงสีมินต์ไล่ม่วงดูน่ารักสดใส

    …แต่่สีหน้าของเธอดูจะต่างจากที่เคยเจอในความทรงจำของเซเรน่าเล็กน้อย จะว่าไงดีล่ะ ดูไม่ค่อยทะเล้นเหมืออย่างเคย อาจจะเพราะเป็นงานทางการล่ะมั้ง

    “สวัสดีค่ะพี่เซเรน่า แล้วก็...เอ่อ” โรเซล่ายิ้มให้ฉัน ก่อนจะหันมองซามูเอล ขมวดคิ้วคล้ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด “สวัสดีค่ะคุณซามูเอล”

    ซามูเอลพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ จะว่าไป...ทำไมเซล่าถึงไม่อยู่กับพ่อแม่และพี่ของเธอล่ะ?

    “ว่าแต่เราหายไปไหนมาเหรอ พี่มาตั้งนานแล้วไม่เห็นมาทักทายกันเลย ไม่ต้องไปอยู่กับท่านพี่หรอกเหรอ”

    “อ๋อ พอดีเซล่าไปเตรียมของขวัญวันเกิดให้พี่เซนอยู่น่ะค่ะ แต่ตอนนี้ได้เวลาไปทำหน้าที่พิธีกรแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วโรเซล่าก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วว่ายหายไปทางเวทีอย่างรวดเร็ว

    ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนเซล่าจะไม่ค่อยอยากคุยด้วยยังไงก็ไม่รู้ …คิดมากไปเองล่ะมั้ง

     

    หลังจากนั้นเราก็มาถึงโต๊ะที่เตรียมไว้สำหรับครอบครัวซามูเอลในที่สุด โต๊ะนี้อยู่ไกลจากโต๊ะของฉันกับโจเซฟีนพอดูเลย แถมยังใหญ่กว่าตั้งเยอะ แต่นั่นก็คงเพราะบ้านนี้มีกันตั้งห้าหกคนนั่นแหละ จะให้โต๊ะขนาดเท่ากับเซเรเนียที่มีแค่ฉันกับโจเซฟีนก็ไม่ได้ พอมาถึงฉันก็กล่าวทักทายทุกคนบนโต๊ะ ส่วนซามูเอลก็ขอพี่ซเวน่าให้ฉันนั่งร่วมโต๊ะด้วยซึ่งพี่เขาก็อนุญาตแต่โดยดี ซามูเอลจึงจัดให้ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างระหว่างเขากับพี่ซเวน่า

    “ว้าว วันนี้สวยมากเลยนี่ เซเรน่า” ซามาเอลที่นั่งถัดจากซามูเอลไปโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อคุยกับฉัน เขาพูดชมฉันพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ ปกติแล้วฉันเป็นคนทำตัวไม่ถูกเวลาโดนชมว่าสวยเท่าไหร่ อย่างตอนอยู่โลกนู้นคนที่จะชมก็มีแต่เกลนี่แหละ และเวลาที่เกลชมฉันก็จะตอบว่า ‘เหรอ แกก็สวยนะ’ แล้วก็จะโดนยัยนั่นบอกว่า ‘ชมได้จืดชืดมาก’ กลับมา แต่ในสังคมชนชั้นสูงแบบนี้น่าจะต้องชมกลับให้เป็นมารยาทใช่มั้ยนะ

    “ขอบคุณนะ ซามาเอลเองก็ดูดีมากเลย” พอฉันตอบไปแบบนั้นซามาเอลก็ทำท่าเหมือนจะชวนคุยต่อ แต่เขากลับชะงักไป ฉันจึงมองตามเขาไปจนเห็นสายตาไม่เป็นมิตรคล้ายไม่ไว้ใจของซามูเอลที่จับจ้องฝาแผดของตัวเองอยู่ เพราะทำท่าเหมือนจะบอกว่า ‘ให้มันน้อย ๆ หน่อย’ ออกมาชัดขนาดนั้น ซามาเอลจึงได้แต่หัวเราะแห้งแล้วเปลี่ยนไปชวนซามูเอลคุยแทน

    “เอ่อ...เจ้าพานางมาด้วยแบบนี้ คนที่โต๊ะนางไม่ว่าอะไรเหรอ”

    “โต๊ะเซเรนมีแค่นางกับพี่สาวของนางเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้พี่ของนางก็ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ จะให้นางนั่งคนเดียวข้าก็เป็นห่วงเลยพามา”

    หือ? เมื่อกี้ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวนะมีเซนอยู่ด้วยอีกคน แต่ที่ซามูเอลจงใจไม่พูดถึงเขาแสดงว่าไม่ชอบหมอนั่นสุด ๆ เลยสิ อาจจะเพราะเขาชอบมาวนเวียนอยู่รอบตัวเซเรน่าล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนั้นแต่หมู่นี้เห็นหน้าเซนบ่อยขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ

    “ไว้จบพิธีเปิดเมื่อไหร่ค่อยพากลับไปก็ได้”

    “อ่า…แล้วแต่เจ้าละกัน”

    ทันทีที่ซามาเอลพูดจบฉันก็เหลือบเห็นโจเซฟีนว่ายกลับเข้ามาในโถงงานเลี้ยงและตรงไปที่โต๊ะของตัวเอง ซึ่งถึงฉันจะไม่ได้ยินเพราะอยู่ไกล แต่ก็พอจะเดาได้จากสีหน้าของโจเซฟีน ทีแรกนางดูแปลกใจแต่พอเข้าไปถามเซน (ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเป๊ะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งนั้น) นางก็ทำหน้าตกใจมากกว่าเดิมแล้วหันมองไปรอบ ๆ จนกระทั่งสบตากับฉันเข้า ฉันจึงได้แต่ยิ้มแห้งส่งไป

    ขอโทษนะคะคุณพี่สาว ถ้าจบพิธีเปิดแล้วจะรีบกลับไปทันทีเลยค่า~

    แก๊ง แก๊ง แก๊ง

    พอเสียงนาฬิกาซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณเปิดพิธีดังขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็ทยอยลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วมองไปทางเวทีที่ประดับประดาสวยงามซึ่งมีร่างของโรเซล่าและเซนปรากฏอยู่บนนั้น

    “สวัสดีผู้ให้เกียรติมาร่วมงานทุกท่านนะคะ ดิฉันโรเซล่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติมาเป็นตัวแทนดำเนินการเปิดพิธีในครั้งนี้ เนื่องจากนี่เป็นการจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านพี่เป็นปีแรก หลังจากชวดมาหลายปีเพราะตรงกับวันราชทูต ในที่สุดทางเราก็สามารถจัดงานวันเกิดให้ท่านพี่ได้เสียทีค่ะ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ดิฉันขอเรียนเชิญราชาเวทิสและราชินีเคเรน่า ท่านพ่อและท่านแม่ขึ้นมากล่าวอวยพรให้ท่านพี่ค่่่ะ”

    พอโรเซล่าพูดจบราชาและราชินีก็ว่ายขึ้นไปบนเวทีแล้วกล่าวอวยพรให้เซนที่กำลังมีรอยยิ้มธุรกิจแบบดูออกชัดสุด ๆ ว่าไม่ได้ตื่นเต้นกับงานเลยสักนิด คงจะชินที่ตัวเองไม่ได้จัดงานแล้วมีเวลาไปเที่ยวเล่นมากกว่าล่ะมั้ง ฮะฮะ

    จากนั้นตัวแทนจากอาณาจักรอื่น ๆ ก็ขึ้นพูดอวยพรเรียงตามลำดับตัวอักษรตัวแรกไปจนกระทั่ง...

    “ลำดับต่อไปเชิญท่านหญิงซเวน่าแห่งอาณาจักรราซเบียค่ะ” สิ้นเสียงโรเซล่าพี่ซเวน่าก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วว่ายไปที่เวทีจัดงาน และถ้านี่ตาพี่ซเวน่าแล้วก็แปลว่า...ต่อไปเป็นตาฉันแล้วน่ะสิ

    อ๊ากกก ต้องพูดต่อหน้าเงือกจากทั่วทุกสารทิศจำนวนหลายสิบตนที่นี่จริง ๆ เหรอเนี่ย ตื่นเต้นชะมัด ถ้าทำพลาดขึ้นมาเซเรน่าต้องขายหน้าแล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ ฮืออออ

    “เป็นอะไรรึเปล่า” ซามูเอลคงอ่านสีหน้าฉันออกจึงกระซิบถาม

    “คือฉัน…ประหม่าที่ต้องพูดต่อหน้าทุกคนนิดหน่อยน่ะ”

    “ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้” เขายิ้มบางก่อนจะยื่นมือมากุมมือฉันเบา ๆ “ข้าจะคอยให้กำลังใจอยู่ตรงนี้ ถ้ารู้สึกตื่นเต้นก็ให้มองมาที่ข้านะ”

    “ขอบคุณนะซามู รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” โอเค อย่างที่ซามูบอกฉันททำได้อยู่แล้ว แค่พูดเหมือนอวยพรวันเกิดเพื่อน แต่เพิ่มความใจกว้างในฐานะตัวแทนอาณาจักรไปด้วยเท่านั้นเอง ...แค่ตัวแทนอาณาจักรเองเนอะ

    “และลำดับสุดท้าย...องค์หญิงเซเรน่าแห่งอาณาจักรเซเรเนียค่ะ”

    ถึงตาฉันแล้ว

    ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้า ๆ ระหว่างนั้นก็ใช้สมองประมวลหาหัวข้อการพูดเอาไว้คร่าว ๆ

    “เจ้าทำได้เซเรน”

    “อื้อ จะพยายามนะ”

    ว่าแล้วฉันก็ว่ายผ่านโต๊ะมากมายขึ้นไปบนเวทีโดยมีทุกชีวิตจับจ้องมาอย่างไม่วางตาทำเอาเกร็งไปทั้งร่าง แต่พอเหลือบมองโจเซฟีน นางก็ยกมือขึ้นมากำแล้วส่งยิ้มให้เป็นเชิงให้กำลังใจ นั่นทำให้ฉันรู้สึกฮึดขึ้นมา คือตอนที่ซามูเอลเชียร์มันก็ดีใจอยู่หรอกนะ แต่พอเป็นโจเซฟีนที่เคยร้ายใส่มาดีด้วยมันยิ่งทำให้มีกำลังใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลย...รู้สึกดีจัง

    เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเอาใจช่วยขนาดนี้แล้ว ฉันต้องทำได้!

    “เราองค์หญิงเซเรน่า เอส. ไฮเดสเพียร์ ในฐานะตัวแทนของอาณาจักรเซเรเนียขอกล่าวอวยพรองค์ชายเซน เคสต้า แห่งอาณาจักรเครสต้า เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ยี่สิบสาม เราหวังว่าองค์ชายจะมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งราชทูตได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป ขอให้พระแม่แห่งท้องทะเลอำนวยพรให้องค์ชายมีแต่ความสุขสมปรารถนาค่ะ”

    ขณะพูดฉันสบตากับเซน น่าจะเป็นเวลานานที่สุดตั้งแต่ที่เคยมองมาเลย นัยน์ตาสีม่วงของเขาดูจดจ่อกับสิ่งที่ฉันพูดมาก ๆ เซนในตอนนี้ดูจริงใจไร้ซึ่งรอยยิ้มปั้นแต่งไร้อารมณ์ร่วมอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้ กลับกันรอยยิ้มของเขาดูราวกับ…

    ดีใจที่ได้ยินคำอวยพรของฉันเอามาก ๆ 

    ตึกตัก~ตึกตัก

    ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองส่งเสียงดังก้องขึ้นมาจนหนวกหู

     

    ...

    ในที่สุดฉันก็ได้กลับลงมาจากเวที โดยเลือกที่จะโยนความสงสัยเกี่ยวกับความรู้สึกประหลาดเมื่อกี้ทิ้งไป

    หลังพูดอวยพรเสร็จ ฉันก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของอาณาจักรเซเรเนีย ไม่ใช่โต๊ะของครอบครัวซามูเอล เพราะเขาบอกว่าหลังพิธีเปิดจะพาฉันมาที่เดิม ฉันจึงว่ายมาเองเลยจะได้ไม่ต้องรบกวนเขาหลายรอบ เสร็จจากช่วงกินเลี้ยงค่อยไปหาแล้วกัน

    “ไงยัยตัวดี พี่ไปทำธุระแป๊บเดียว หนีไปนั่งกับคนอื่นเฉยเลยนะ”

    “ก็แหม...น้องไม่อยากนั่งกับตาเซนนั่นสองต่อสองนี่คะ” ใช่ หมอนั่นน่ะคุ้มดีคุ้มร้ายแต่คุ้มร้ายมากกว่า ชอบทำตัวน่าหมั่นไส้ แถมยังชอบแกล้งชอบแหย่ฉันอีก ไม่ชอบเลย :(

    “ตายแล้ว เรียกองค์ชายแบบนั้นได้ยังไงกันฮึ!” โจเซฟีนต่อว่าพลางยกมือขึ้นตีหางฉันเบา ๆ “ไม่ดีเลยนะ”

    “ค่า ๆ ไม่เรียกแล้วก็ได้ค่ะ” ต่อหน้าพี่จะไม่เรียกแล้วกัน แต่ลับหลังน่ะไม่แน่ ฮิ ๆ

    “ดีมาก” ว่าแล้วโจเซฟีนก็เอามือมายีหัวฉันอย่างมันเขี้ยว “ขอให้เลิกพูดทั้งต่อหน้าและลับหลังพี่ด้วยนะ”

    “ท่านพี่ยังอุตส่าห์รู้ทันอีกนะคะเนี่ย โอ๊ย อย่าขยี้ผมสิคะ” ฉันงอแงพลางยกมือขึ้นลูบผมปุ ๆ เพราะกลัวมันจะเสียทรง

    “ฮะ ๆๆ ถือว่าเป็นการทำโทษที่เราหนีพี่ไปนั่งที่อื่นแล้วกันนะ”

    ฉันมองโจเซฟีนตาปริบ ๆ ความเคืองเล็กน้อยที่นางเข้าข้างเซนแทบจะหายไปทันที เมื่อเห็นสีหน้าของโจเซฟีนที่ปรากฏตรงหน้า จนเผลอพูดออกไปเบา ๆ

    “...หัวเราะแล้ว”

    “เอ๊ะ?”

    “ท่านพี่หัวเราะ...อย่างมีความสุขเป็นครั้งแรกเลย”

    เท่าที่ฉันเห็นในความทรงจำของเซเรน่า ตั้งแต่จำความได้สิ่งเดียวที่เธอได้รับจากพี่สาวคือสายตาชิงชัง รอยยิ้มเย้ยหยัน และคำพูดที่คอยเสียดแทงหัวใจ แต่มาตอนนี้ทั้งสายตา รอยยิ้ม หรือแม้กระทั่งคำพูดมันช่างอบอุ่น อ่อนโยน เอ็นดูและรักใคร่ ราวกับว่าสิ่งที่เซเรน่าเผชิญมาตลอดมันเป็นเพียงเปลือกที่โจเซฟีนสร้างขึ้นมา เพื่อป้องกันหัวใจตัวเองจากเรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่ตัวตนที่แท้จริงของนาง...ก็เป็นเพียงคนที่ต้องการความรักคนหนึ่งเท่านั้นเอง

    “หยะ...อย่างนั้นเหรอ”

    “อื้อ ท่านพี่ยิ้มแล้วสวยมากเลย ทีหลังก็ยิ้มบ่อย ๆ นะคะ” พอได้ยินฉันพูดแบบนั้นพร้อมรอยยิ้ม โจเซฟีนก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยแก้มเจือสีชมพูอ่อน

    “ขอบคุณนะเซเรน...พี่จะพยายาม”

    “ค่ะ”

    “อ่า งั้นเรารีบทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยวนานแล้วจะไม่อร่อย”

    “ค่า~” ว่าแล้วฉันก็ตักอาหาร (ที่มีคนเอามาเสิร์ฟให้ระหว่างที่กำลังคุยกับโจเซฟีนอยู่) ใส่จานของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ตักเข้าปากโจเซฟีนก็ถามคำถามหนึ่งออกมา ทำให้ฉันต้องชะงักมือและตอบกลับ

    “ว่าแต่...เราไม่มีของขวัญให้องค์ชายบ้างเหรอ”

    “อ๋อ มีสิคะ ของอาณาจักรไง” จะว่าไปก็ลืมไปเลยนะเนี่ย เดี๋ยวต้องเอาไปให้ก่อนกลับอาณาจักรสินะ

    “ไม่ใช่แบบนั้นสิ หมายถึงให้เป็นการส่วนตัวน่ะ” โจเซฟีนพูดพลางใช้นิ้วเกาแก้ม

    “เอ่อ...จำเป็นต้องมีด้วยเหรอคะ” ฉันถามกลับด้วยความงง ฉันกับเขาก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะให้ของขวัญเขาเป็นการรส่วนตัว แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะอยากได้ของขวัญจากฉันสักหน่อย

    “ก็ถ้าสำหรับคนอื่นคงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเจ้า...ของขวัญของเจ้าน่าจะสำคัญกับเขาไม่ใช่เหรอ” ประโยคหลังโจเซฟีนเสียงเบาลงและแววตาก็ดูเศร้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ฉันสงสัยน่ะคือเรื่องที่นางคิดว่าของขวัญของฉันจะสำคัญกับหมอนั่นต่างหาก ทำไมถึงเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปได้นะ?

    “ไม่หรอกค่ะ องค์ชายจะมาสนใจของขวัญของน้องทำไมล่ะคะ น้องไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้นสักหน่อย”

    “เอ๊ะ!? งั้นเหรอ พี่นึกว่าเซเรนกับองค์ชาย...เอ่อ สนิทกันเสียอีก เข้าใจผิดไปเหรอเนี่ย”

    โจเซฟีนถามน้องสาวของตัวเองด้วยหัวใจลิงโลด นางเข้าใจว่าน้องสาวและองค์ชายที่นางแอบรักชอบพอกันอยู่ จากเรื่องเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพราะนางบังเอิญเห็นตอนที่องค์ชายมาส่งน้องสาวของนางที่วังจากหน้าต่างทางเดินชั้นสอง นางเห็นสายตาของเขาที่มองดูเซเรน่า

    มันเป็นสายตาแสนพิเศษ สำหรับชายที่ทำหน้าตายทุกครั้งเวลามาทำราชกิจที่เซเรเนีย การแสดงสีหน้าแบบนั้นมันยากจะหาคำอื่นมาอธิบายนอกจากคำว่า ‘ชอบพอ’ ซึ่งโจเซฟีนปรารถนาจะได้รับมันจากใครสักคนมานานมากแล้ว นางถึงได้เข้าใจว่าเซเรน่าและเซนชอบพอกันอยู่ แต่เมื่อมาได้ยินจากปากน้องสาวโดยตรงว่าไม่ใช่ความจริง นางก็ทั้งแปลกใจและโล่งอกในคราวเดียวกัน อย่างนี้นางก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมีความหวังในรักครั้งแรกของตัวเองใช่ไหม…ยังคาดหวังได้ใช่หรือเปล่า

    “อ่า...ค่ะ แต่ท่านพี่ถามแบบนี้ มีของจะให้องค์ชายเป็นการส่วนตัวเหรอคะ”

    “อ๊ะ! ก็...นิดหน่อยน่ะ” โจเซฟีนเบือนหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อไปทางอื่น แต่มันไม่สามารถเล็ดลอดจากสายตาสุดแหลมคมของฉันไปได้หรอกนะ หึ ๆ

    “เอ๋ หรือว่า~นี่ท่านพี่แอบชอบองค์ชายอยู่ป่ะเนี่ย” ฉันแกล้งแหย่โจเซฟีน พลางใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนเธอเบา ๆ ไปด้วย

    “จะ...จะบ้าเหรอ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ!” คิกๆๆ หน้าแดงขนาดนั้นยังจะปฏิเสธอีก ซึนเสมอต้นเสมอปลายเลย พี่สาวใครคะเนี่ย

    “แน่เร้อออ~”

    “ก็บอกว่าไม่ไง!

    โจเซฟีนว่าพลางผลักฉันอย่างแรง เอ่อ...จริงๆ มันก็อาจจะไม่ได้แรงขนาดนั้นแต่เพราะฉันนั่งไม่ดีเองแหละมั้ง ถึงได้ไถลจนจะตกเก้าอี้ในอีกไม่กี่วิข้างหน้าแบบนี้

    “ว้าย!”

    ตุบ

    อ้าว? ไม่เจ็บแฮะ

    แต่เดี๋ยวนะ เหตุการณ์นี้มันเดจาวูแปลกๆ

    อย่าบอกนะว่า...

    “ซุ่มซ่ามอีกแล้ว” ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นฉันก็เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่อยู่เหนือหัวโดยอัตโนมัติและสิ่งที่พบก็คือ... ใบหน้าคล้ายหน่ายใจของเซนที่กำลังช่วยประคองร่างซึ่งเกือบจะถึงพื้นเต็มทีของฉันไว้

    “ขะ...ขอบคุณ”

    “ว้าย! เซเรนพี่ทำเจ้าตกเก้าอี้เหรอ ขอโทษนะขอโทษ” โจเซฟีนที่เพิ่งหันมาเห็นเหตุการณ์ รีบรุดเข้ามาดึงร่างฉันกลับไปนั่งที่เดิม พลางกล่าวขอโทษฉันและขอบคุณเซนรัว ๆ “ขอโทษนะเซเรน พี่คงออกแรงเยอะไปหน่อยน่ะ ขอโทษจริง ๆ นะพี่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ขอบพระทัยองค์ชายมากเพคะที่ช่วยน้องข้าไว้”

    “อืม” ว่าแล้วเซนก็ถอยไปนิดหน่อยก่อนจะดึงเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ฉันออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามโจเซฟีน “ข้านั่งด้วยได้ไหม”

    “ดะ...ได้สิเพคะ เชิญเลย” โจเซฟีนลุกลี้ลุกลนตอบพลางผายมือไปทางเก้าอี้ตัวที่เซนกำลังจับจองอยู่

    จากนั้นหมอนั่นก็นั่งลงข้าง ๆ ฉัน ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกและมองหน้าฉันนิ่ง โดยไม่แตะอาหารเลยสักคำ...

    ...

    นี่ก็สักพักแล้วนะ นอกจากไม่พูดไม่จาแล้วยังจะมาจ้องกันทำไมนักเนี่ย! ฉันกินข้าวไม่ลงแล้วนะโว้ย เฮ้อออ แต่ก็ช่างมันเถอะ คิดซะว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน

    “เอ่อ...ไม่ทานเหรอเพคะ” แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะตักข้าวเข้าปาก เสียงของโจเซฟีนก็ทำให้ฉันต้องชะงักมืออีกครั้ง

    “ไม่ล่ะ”

    “อ่า เพคะ”

    “...”

    “...”

    เดธแอร์อีกแล้วโว้ยยยย ตาเซนนี่ชวนคนอื่นคุยไม่เป็นรึไงฟะ ไม่รู้รึไงว่าเงียบแล้วมันอึดอัดน่ะฮะ! ช่วยไม่ได้นะ

    “เอ้อ ท่านพี่มีของขวัญจะให้องค์ชายนี่คะ ให้ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

    “เอ๊ะ! เอ่อ...” โจเซฟีนอ้ำอึ้งพลางมองฉันกับเซนสลับกัน คงจะอายถ้าฉันนั่งอยู่ด้วยสินะ

    “เดี๋ยวน้องไปเข้าห้องน้ำก่อน เชิญท่านพี่ตามสบายเลย” ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วว่ายออกไปจากโถงงานเลี้ยง โดยไม่รอให้โจเซฟีนกับเซนอนุญาต

    เอาล่ะ...ฉันก็ช่วยได้เท่านี้แหละนะ ที่เหลือก็พยายามเข้าล่ะท่านพี่!

     

    ...

    โอเค นี่ก็ผ่านไปตั้งพักใหญ่แล้ว สองคนนั้นน่าจะคุยกันเสร็จแล้วแหละ ฉันจะได้กลับไปทานข้าวสักที หิวจะตายอยู่แล้ว

    คิดได้ดังนั้นฉันก็เปิดประตูห้องน้ำออก ตั้งใจจะว่ายกลับไปที่โถงจัดงาน

    ผลัก~

    “โอ๊ะ!” แต่กลับชนกับใครคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ “ขอโทษค่ะ อ้าว...ซามูเอล”

    “ไง” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ไม่เรียกข้าว่าซามูแล้วเหรอ”

    “อ๊ะ” คำพูดของซามูเอลทำให้ฉันนึกขึ้นได้ ยังไงตอนนี้ต้องสวมบทเป็นเซเรน่าก่อนนี่นะ “ฉันลืมตัวไป ขอโทษทีนะ…ซามู”

    “อือ” ใบหน้าซึ่งดูเศร้าหมองนั้นก้มลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยขึ้นมาส่งยิ้มให้ฉัน “ข้าขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม”

    “...อื้ม ได้สิ” ยังไงก็ไม่ต้องรีบกลับไปอยู่แล้ว แถมซามูเอลเป็นคนสำคัญของเซเรน่าด้วย จะเสี่ยงให้เขาแคลงใจไม่ได้

    พอตอบตกลงซามูเอลก็จับมือฉันแล้วพาว่ายไปตามทางเดิน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ระเบียงแห่งหนึ่ง...

    “...”

    บอกว่าขอคุยด้วย แต่จนถึงตอนนี้เขากลับเงียบไม่พูดกับฉันสักคำเดียว เอาแต่เหม่อมองไปข้างนอกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่จะให้บรรยากาศมันเงียบไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้ ฉันควรจะชวนคุยอะไรสักอย่าง แต่ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกดีด้วยไม่งั้นซามูเอลต้องเครียดไปมากกว่านี้แน่ “เอ่อ...”

    “เรื่องงานหมั้น...” แต่ฉันยังไม่ทันได้ถามเขาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “เจ้าได้บอกใครหรือยัง”

    “เอ่อ...เรื่องนั้น ฉันอยากบอกท่านพ่อกับท่านแม่เป็นตนแรก ก็เลยยังไม่ได้บอกใครเลยน่ะ”

    “...อย่างนี้นี่เอง เพราะงั้นเขาถึงได้พูดอย่างนั้นออกมาสินะ” ซามูเอลพึมพำเสียงแผ่วเบาราวกำลังพูดกับตัวเอง ก่อนจะปรับเสียงให้ดังขึ้นแล้วหันมาคุยกับฉันในที่สุด “ข้าอยากให้เจ้าบอกเรื่องนี้กับองค์ชายเซนนะ”

    “เอ๋...ทำไมต้องบอกเขาด้วยล่ะ” อีกแล้ว ทำไมทุกคนถึงเอาแต่พูดถึงเซนนะ ทั้งพี่ทั้งซามูเอลเลย ฉันดูสนิทกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เห็นอยากจะสนิทเลยสักนิด พอเห็นฉันเอียงคอสงสัย ซามูเอลก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะมองฉันด้วยแววตาจริงจังกว่าเดิมแล้วพูด

    “เพราะถ้าเขาไม่รู้ก็จะคอยตามราวีเจ้าไม่เลิกราอยู่อย่างนี้ไง ข้าไม่อยากให้เขามาเข้าใกล้เจ้า”

    ว่าแล้วเขาก็จับมือฉันขึ้นมาแนบแก้ม แล้วมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง

    “ข้ารู้ว่าเจ้าคงลำบากใจที่ไม่ได้บอกองค์ราชากับองค์ราชินีก่อน แต่อย่างน้อย...แค่แสดงออกให้เขารู้ว่าเรารักกันก็พอ อย่างนั้นได้ใช่ไหม”

    ตึกตัก~ตึกตัก

    “อ่า…คือ”

    ให้ตายเถอะ! สายตานั่นมันอะไรกันน่ะ เห็นขี้อายแบบนั้นพอรุกจริงจังแล้วทำเอาฉันไปไม่เป็นเลย เขินเป็นบ้า อ๊าก~ใจเต้นแรงจนจะไหม้แล้วว ส่วนหน้านี่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงแดงเป็นมะเขือเทศไปแล้วแน่ ๆ ฮือ ><

    แล้วที่ถามเมื่อกี้...ที่ว่าแสดงออกว่ารักกันมันหมายความว่ายังไงน่ะ!

    “สะ...แสดงออกที่ว่าหมายถึงยังไงเหรอ”

    “ก็...” ว่าแล้วเขาก็เลื่อนมือที่กุมมือฉันอยู่ตรงแก้ม เลื่อนลงมาอยู่ข้างลำตัว “จับมือแล้วเดินไปด้วยกันแบบนี้...ตกลงไหม”

    “อะ...อื้อ” ตอบได้เท่านั้นฉันก็พูดต่อไม่ไหว ได้แต่ก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าอันอาบบด้วยความขวยเขินถึงแม้จะไม่ทันแล้วก็ตาม

    ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าบนทางเดินที่เราว่ายกันอยู่นั้นมีอะไรอยู่เบื้องหน้าบ้าง ...แต่ที่รู้แน่นอนเลยคือสัมผัสอบอุ่นที่มือซึ่งประสานกันไว้ของเราสองคน และเสียงหัวใจที่ดังโครมครามของตัวเอง

    แต่ที่ฉันได้เป็นคนรับรู้แบบนี้มันจะดีแล้วจริงเหรอ...เซเรน่า

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    //เซเรียผู้น่าสงสาร ไม่ได้กินข้าวสักที555

    รู้ไว้ใช่ว่า (เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนที่ไม่มีจังหวะอธิบายจะมาบอกไว้ตรงนี้นะคะ)

     - ที่จริงแล้วความเปลี่ยนไปของโรเซล่าที่เซเรียสังเกตเห็นนั้นมีที่มาอยู่ค่ะ ปมตรงนี้จะถูกเฉลยในเรื่องของเพื่อนจีเองซึ่งคงยังไม่ลงเร็ว ๆ นี้ และเนื่องจากไม่มีฉากเฉลยในเรื่องนี้เลย ดังนั้นนักอ่านอาจจะเก็บประเด็นนี้ไว้หรือลืมไปก็ได้ค่ะ เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักใน When I became a Mermaid ของเราเท่าไหร่

    รวมตัวละครที่เปิดตัวในตอนนี้

    โรเซล่า : องค์หญิงลำดับที่สามแห่งอาณาจักเครสต้า น้องสาวของเซน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×