ในตอนนี้ ยูริและ7พี่น้องได้มารวมตัวกันที่ห้องของเด็กสาวในเวลาเช้าตรู่
พวกเขาจะช่วยเธอชิงตัวของปีศาจรับใช้หรือการ์กอล์ยตนนั้นมาโดยงานนี้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างเต็มที่จากซาร์ทและเบลเฟที่เป็นอสูรเช่นกัน...
ปีศาจกับอสูรมาจากเผ่าพันธ์ุเดียวกัน ทั้งสองไม่ต่างกันนัก นับว่าเป็นพวกพ้องที่มีเหลืออยู่น้อยนิด
"ก่อนอื่นเราต้องมีแผน"
แอสโมสผู้มีวัยวุฒิมากที่สุดเอ่ยขึ้นมา หากจะทำการใหญ่แผนต้องรัดกุม...
ยิ่งการบุกฐานทีมสำรวจยิ่งต้องรอบคอบ...
"อืม..."
ร่างบางที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงยกมือขึ้นกอดอกและครุ่นคิด
"ถ้าฉันรู้ว่าพวกนั้นเอาเรฟไปไว้ที่ไหน ฉันก็เทเลพอตเข้าไปได้..."
"สำหรับเธอเข้าง่ายแต่ออกยาก...เธอเอาคนอื่นเทเลพอตมาด้วยไม่ได้อย่าลืมสิ"
มาม่อนบอกในขณะที่ยื่นโหลลูกกวาดที่ลูซิลฟ์เป็นคนทำมาให้
เธอมองมันอย่างระแวงจนเจ้าของเล็บสีแดงต้องกินไปลูกหนึ่งเพื่อยืนยันว่ามันก็แค่ลูกอมฟื้นฟูพลังธรรมดา
เขาไม่วางยายัยเด็กแคระให้เสียของหรอก ยาเขามีค่ามากกว่าที่เธอคิดเยอะ...
"หรือจะบุกโต้งๆ?"
มือเรียวขาวซีดหยิบลูกกวาดมาเม็ดนึงแล้วเอาใส่ปาก...ความหวานของนํ้าตาลทำให้เธอสงบใจไม่ให้ฟุ้งซ่านได้บ้าง
"ถ้าปลอมตัวหรือลอบเข้าไปล่ะ?"
เบลเฟที่ปกติจะดูบ้าๆบอๆแต่วันนี้ดูเอาจริงเอาจังจนเด็กสาวแปลกใจแต่ก็ดีกว่าให้เขาพุ่งมากอดเธอเหมือนแต่ก่อน
"พวกทีมสำรวจก็เหมือนจิ้งจอกผสมงูพิษ...ผมว่าไม่รอดครับ"
"บางทีนายก็พูดจาโหดร้ายโดยไม่รู้ตัวนะเบล"
เบลเฟหันไปมองเด็กชายผมทองที่ทำหน้างงๆว่าเขาหมายถึงอะไร...
เบล เด็กชายผู้น่ารักไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขามักจะพูดจาเชือดเฉือนโหดร้ายแทงใจดำคนอื่นเสมอ...
เมื่อไม่มีใครเสนอแผนอะไรออกมาอีก ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่ในใจของเด็กสาวกำลังปรึกษากับจิตอีกดวงอย่างเงียบๆ
[มีเวทย์หนึ่งที่น่าจะพอช่วยได้นะ]
อะไรล่ะ?
[อืม เวทย์'ญาณทิพย์'น่ะ ทำให้รู้ตำแหน่งของคนที่ต้องการพบได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
แต่ต้องมีสิ่งของของคนๆนั้นเป็นเงื่อนไขในการหานะ]
เธอสิ้นสุดการติดต่อกับมิเลอร์แล้วหันมอง7พี่น้อง
"พวกนายรู้จักเวทย์ญาณทิพย์ไหม?"
หนุ่มน้องเบลทำหน้าคิดสักพักแล้วจึงพยักหน้า
"เวทย์ญาณทิพย์ ถ้ามีสิ่งของจากการ์กอล์ยตนนั้นก็จะหาตัวเขาได้...คุณยูริพอจะมีไหมครับ?"
เบลเดินมาใกล้ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างมีหวัง
ยูริคิดสักพักแล้วเดินไปมุมหนึ่งของห้องแล้วหยิบรองเท้าบูทที่เธอเคยจับการ์กอล์ยร่างบางใส่
แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็ถอดคืนเพราะไม่ชินและอึดอัดเธอเลยเอามาเก็บไว้
อีกอย่าง เธอยังไม่เคยใช้มันแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นก็ถือได้ว่านี่เป็นของของเรฟ...
"งั้นมาเริ่มกัน คุณรู้บทเวทย์นี้รึเปล่า?"
เบลถาม ยูริทำหน้านึกแป๊บนึงแล้วพยักหน้า โชคดีที่เธออ่านมันแล้วเพราะชื่อมันดูแปลกดีเลยคิดว่ามันน่าจะสนุกดี(?)
เด็กสาวถือรองเท้าไว้ก่อนจะหลับตาแล้วท่องภาษาแปลกๆออกมา
เธอลืมตาขึ้น แสงสีขาวครอบคลุมดวงตาทั้งสอง...
เธอกำลังอยู่ในนิมิตเพื่อหาเจ้าของรองเท้านี้...
เจอแล้ว!
ร่างบางหลับตาและลืมขึ้นอีกครั้งอย่างดีใจแต่กลับแฝงความขุ่นเคืองอย่างที่สุดไว้...
พวกนั้นกล้าเอาเขาขังไว้ที่คุกใต้ดินแล้วล่ามโซ่ไว้!!!!
"นี่ เรายังไม่มีแผนใช่ไหม?"
เด็กสาวถามขึ้นแล้วเดินไปเก็บรองเท้าคู่นั้นเข้าที่
พี่น้องที่เหลือต่างพยักหน้าและมองเธอที่กำลังถกกระโปรงขึ้นสูงจนเห็นที่สายรัดสีดำตรงขาอ่อน เธอเอามีดเล็กบางเสียบเอาไว้จนเต็มแล้วปล่อยกระโปรงลง
"แผนของฉันคือ บุกเข้าทางประตูหน้า ชิงตัวเรฟปละหลับออกมา ใครขวางตาย!!!!!"
ยูริแผ่รังสีฆ่าฟันอย่างไม่อาจห้าม พวกพี่น้องนิ่งไปสักพักก่อนจะยกยิ้มขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ลิเวียหรือเบล...
สัญชาตญาณที่เก็บซ่อนไว้นานของอสูรและความวิปริตที่มีในนักเวทย์ทุกคนกำลังกรีดร้อง
พอกันทีกับการเสแสร้งเป็นคนดี ครั้งนี้พวกเขาจะโยนกฎทุกอย่างทิ้งและทำตามใจเพื่อพี่น้องคนที่8อย่างเต็มความสามารถ...
พวกเขาเป็นผู้ที่ซื่อสัตว์และยึดมั่นในพวกพ้อง หากใครเป็นอะไรไปพวกเขาก็พร้อมเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเพื่อปกป้องพวกพ้องของพวกเขาและตอนนี้ น้องสาวเพียงคนเดียวกำลังเดือดจัด...คิดว่าพวกเขาจะทนรึไง??
"หึ! ฉันก็คิดไว้อยู่ว่าต้องเป็นแบบนี้"
แอสโมสลุกขึ้นยืน สลัดหน้ากากของพี่ชายแสนดีไป เหลือเพียงพ่อมดเจ้าเล่ห์ผู้เชี่ยวชาญการชักจูงไม่แพ้อสูรจิ้งจอกที่ชำนาญการล่อลวงเท่านั้น
มาม่อนหุบยิ้มของเขาลง บนบ่าของเขามีอรสพิษสีดำหนึ่งในข้ารับใช้คลอเคลียอยู่
ซาร์ทยิ้มแสยะกว้าง เปลวเพลิงถูกพ่นผ่านไรฟันตามแรงหายใจออกมาจากปากเล็กน้อย...เขาอยากจะเผาอะไรสักอย่างในตอนนี่
เบลเฟยิ้มหวาน แผ่รังสีคุกคามและความกดดันที่มองไม่เห็น นัยน์ตาสีแดงฉานดุจโลหิตกำลังพราวระยับเมื่อคิดถึงเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิด
ลูซิลฟ์เพียงแค่แสยะยิ้มและเค้นเสียงหัวเราะเบาๆ ในหัวก็นึกถึงหนูทดลองยาพิษที่ทำไว้มากมายสักคนสองคนไปด้วย
เบลยังคงหน้านิ่งและยิ้มจางๆเท่านั้น
และลิเวีย เขามองเหล่าพี่น้องนิ่งๆ แสยะยิ้มบางจนมองไม่เห็น...
"แต่ จะบุกทั้งที เอาให้ตราตรึงใจไปเลยดีกว่า~"
เบลเฟผู้ชื่นชอบความรื่นเริงเสนอขึ้นพร้อมรอยยิ้มอาบยาพิษ...
ทางด้านศูนย์บัญชาการทีมสำรวจ
เอลวินยังคงนั่งอ่านเอกสารรายงานพฤติกรรมของปีศาจร่างบางที่ถูกคุมตัวไว้ที่คุกใต้ดิน
นอกจากรายงานเดิมๆที่กล่าวว่า การ์กอล์ยหนุ่มไม่ได้พยายามหนี ไม่มีท่าทีต่อต้านและไม่พูดอะไรไปมากกว่าคำว่า 'นายท่าน' และ 'ยู' เท่านั้น...
ชายผมทองวางรายงานลงและนั่งเอนหลังนวดขมับที่ปวดระบม
นี่มัน ผิดพลาดไปหมด...เขาไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้
ทั้งหมดที่เขาต้องการทำคืออยากจะพบเธอและปกป้องเธอโดยให้มาอยู่ในสายตาเขาที่ทีมสำรวจ เพราะไม่ช้าก็เร็ว ความลับของเธอจะต้องแตกแน่ๆ การนำเธอมาไว้ที่นี่โดยอ้างว่าจะควบคุมดูแลไว้นั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
แต่ทุกอย่างก็พังหมด...หรือเขาไม่ควรทำอะไรตั้งแต่แรก? เขาควรแค่มองอยู่เฉยๆและปล่อยเธอไปแบบนี้น่ะหรอ??
อ่า เขาไม่รู้แล้วว่าควรทำอะไรต่อไป...
"พักสักหน่อยไหมเอลวิน"
ฮันจิเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตโดยมีมิเกะตามหลังมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง...
เอลวินเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆและนั่งหลังตรงอ่านเอกสารต่อ
สาวแว่นหันไปมองปรึกษากับชายร่างสูงผู้เงียบขรึมก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินออกไป
ทางด้านรีไวล์ เขากำลังยืนมองร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียงโดยมีโซ่ล่ามแขนขาและคอเอาไว้อีกฟากของซี่กรงด้วยสายตาเรียบนิ่ง
เรฟเพียงแค่นั่งก้มหน้าอยู่เฉยๆ ในใจก็สาปแช่งมนุษย์และภาวนาถึงเด็กสาวที่เขายอมมอบชีวิตให้...
คิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาสีแดงสดสลักรูปไม้กางเขนก็สั่นระริกด้วยความกลัวจากเบื้องลึกของจิตใจ...
ถ้าหากต้องตายอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ขอพบเธออีกสักครั้ง...
รีไวล์ยืนกอดอกมองร่างที่นั่งสั่น แม้จะพยายามกลั้นแค่ไหนเขาก็ดูออกว่ามันกำลังกลัวและร้องไห้อยู่
"โฮ่ย หยุดทำท่าทางแบบนั่นสักที มันน่ารำคาญ"
รีไวล์พูดเสียงเรียบ เรฟชะงักไปแล้วเม้มปากแน่น...
"แก...เป็นอะไรกับยัยเด็กเหลือขอนั่น"
เขาตัดสินใจถามออกไปและรอดูคำตอบของผู้ที่ถูกคุมขัง
เรฟนิ่งเงียบ เขาไม่อยากจะพูดอะไรกับมนุษย์คนไหนทั้งนั้น ความเกลียดและความกลัวเริ่มขีดให้เขาออกห่างจากพวกนั้น...
รีไวล์เห็นว่าร่างสูงเงียบไปเลยขมวดคิ้วขึ้น...
"เฮ้อ ฉันไม่เอาไปรายงานไอ้วิกทองนั่นหรอก...ก็แค่อยากรู้..."
รีไวล์ถอนหายใจออกมา เขาอ่อนข้อให้สุดๆอย่างที่ไม่เคยทำเพื่อถามข้อมูลของเด็กสาวผมขาวร่างเล็กนั่น
เรฟดูจะลังเล เขาไม่สามารถจับกระแสของการโกหกจากชายที่อยู่นอกคุกนี้ได้...
"...ยู...นายท่านเป็นคนที่ช่วยข้า...จากความยึดติดและความโดดเดี่ยว"
ในที่สุดเขาก็พูด เขายอมเชื่อความรู้สึกของตนเองที่บอกว่าชายผมดำไม่ได้พูดหลอกลวงหรือโกหกเขา
ปีศาจมีสัญชาตญาณพิเศษอย่างหนึ่งที่สามารถจับกระแสอารมณ์จากนํ้าเสียงและท่าทางของมนุษย์ได้
และรีไวล์ ไม่ได้โกหกเขา...
รีไวล์เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยและกลับมาเป็นปกติ...
"...ขอโทษ"
"ห๊ะ??"
"ที่จิกหัวแก..."
"เอ่อ..."
เรฟหน้าเหวอไป ชายคนนี้พูดขอโทษด้วยสีหน้าเหมือนจะไปฆ่าใครแบบนั้นเนี่ยนะ? แต่นี่มันก็หน้าปกติของชายคนนี้อยู่แล้วนี่??
รีไวล์พูดจบก็รีบเดินออกไปทันที เขายอมรับว่าตอนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นเขาทำตัวงี่เง่าแค่ไหน...คิดแล้วใบหูก็เริ่มแดงขึ้นมาจนเปลี่ยนจากการเดินเป็นวิ่งออกไปแทน...
เรฟมองตามไปอย่างเหวอๆ ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดี...
ตู้มมมมม!!!!!!!!!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วทั้งกำแพงโรเซ่ กลุ่มควันสีม่วงชมพูลอยเอื่อยจากฐานที่มันของทีมสำรวจ
ความประทับใจแรกที่เบลเฟบอก...
ไหนๆก็จะไปบุกรังเขาก็เอาให้มันยิ่งใหญ่ไปเลยสิ!!!!
ยูริเทเลพอตผ่านกลุ่มควันสีแสบตาที่เบลเฟร่วมมือกับแอสโมสที่กลายเป็นพ่อมดสติเฟื้อง? สร้างขึ้นมาด้วยความรัก(?)
คุณสมบัตินอกจากจะสร้างความแตกตื่นและบดบังทัศนวิสัยแล้วยังมีฤทธิ์หลอนประสาทอ่อนๆด้วย...
พวกเธอตกลงกันว่าจะแบ่งกันกระจายออกไปสร้างความปั่นป่วนและชิงตัวเรฟออกมา
แอสโมสคู่กับมาม่อนถ่วงเวลาอยู่ที่หน้าลานกว้างของที่ทำการทีมสำรวจ
โดยตอนนี้แอสโมสกำลังใช้มนตร์สะกดจิตให้ทหารที่ออกมาสู้กันเอง และมาม่อนอัญเชิญงูยักษ์สีดำราวกับรัตติกาลที่ตัวยาวจนไม่อาจทราบจุดสิ้นสุดมาพันรอบบริเวณนี้ไว้ ทั้งยังอัญเชิญสัตว์แปลกๆออกมาไล่กวดพวกทหารอีกหลายสิบตัว...
เรียกได้ว่าปิดทางเข้าออกหมดทุกทาง นักสังหารทั้ง8ได้ยึดพื้นที่นี้ไว้แล้ว...
ซาร์ทคู่กับลูซิลฟ์บุกทะลวงเข้าไปเพื่อเปิดทาง โดยชายเลือดร้อนนั้นกางปีกเพลิงบินวนเผาทุกสิ่งที่ขวางหน้าไปอย่างสนุกสนาน...เขาเป็นอสูรเพลิงฟินิกซ์
ส่วนลูซิลฟ์ก็จับทหารที่รอดจากไฟของซาร์ทมาฉีดยาหลากสีเข้าไปและจดบันทึกผลราวกับเป็นนักวิจัยที่มาทำการทดลองนอกสถานที่โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องหรือเปลวเพลิงที่ลุกโหมเป็นฉากหลัง...
เบลคู่กับเบลเฟ เด็กชายไม่ค่อยสนใจการต่อสู่เท่าไหร่ แต่หากมีใครมาโจมตีเขา เขาก็แค่โต้กลับด้วยเวทย์นํ้าแข็งโดยแช่แข็งพวกนั้นไว้กับที่...มันจะไม่ละลายหากเขาไม่อนุญาต
ส่วนเบลเฟก็สุขสันต์กับการปั่นป่วนการไหลเวียนกระแสเลือดในร่างของพวกที่จะเข้ามาทำร้ายตนอย่างการความคุมเลือดที่มีคุณสมบัติเหมือนนํ้าให้แข็งตัวและกลายเป็นเข็มนับล้านเล่มทิ่งแทงออกมาจากภายในร่างของพวกนั้นเองจนทั้งร่างดูเหมือนเม่นสีแดงอย่างไงอย่างนั้น...
ถึงจะบอกว่าอสูรเงือกนี่เป็นMแต่ความSมันมีมากกว่าเห็นๆ...
และสุดท้าย ยูริคู่กับลิเวีย ตลอดทางพวกเธอจัดการทหารไปคนละหลายสิบแล้ว
อันที่จริงเด็กสาวเพียงแค่ช็อตพวกเขาไปตามรายทางที่เดินผ่าน ส่วนลิเวียเขาแค่เดินตามมาเท่านั้น...
ยูริหาทางที่จะลงไปที่คุกใต้ดินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด...
ถึงเธอจะรู้ว่าเรฟอยู่ที่ไหนและเธอก็เคยโดนขังอยู่ที่นั่นด้วย แต่อย่าลืมว่าเธอเป็นคนหลงทิศขึ้นสมอง ดังนั้นการที่จะให้เธอนำทางนั้นเป็นความคิดที่โง่มาก...
"..."
ลิเวียมองร่างเล็กที่ยืนมองสลับทางเดินที่แยกออกซ้ายขวาพลางตีหน้าเครียด
เขาวางมือลงบนบ่าของเธอแล้วมองทางแยกสักพักก่อนจะเดินไปทางขวา
"นายรู้ได้ไง??"
ยูริเดินมาขนาบข้างคนพูดน้อยแล้วถามอย่างสงสัย
ลิเวียปรายตามองเธอวูบนึงแล้วชี้ที่จมูก...
"นายเป็นหมารึไง(=_=)"
"มังกร(- -)..."
ลิเวียคิ้วกระตุกก่อนจะเดินตามกลิ่นเบาบางของอสูรการ์กอล์ยไปเรื่อยๆ
มังกรเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรทั้งหมด เขามีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมยิ่งกว่าสุนัขล่าเนื้อซะอีก....
และในที่สุดเธอก็หาทางลงมาที่คุกใต้ดินได้สำเร็จโดยมีอุปสรรคเล็กๆน้อยๆอย่างลูกหลงจากแรงระเบิดกับพวกทหารที่เริ่มมารวมกันมากขึ้น
"ต้องรีบแล้ว"
ยูริวิ่งลงไปที่ชั้นใต้ดินและเทเลพอตไบ่ดูห้องขังทุกห้องจนมาถึงห้องสุดท้าย
เรฟเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่เทเลพอตเข้ามากอดเขาไว้แน่นจนหงายหลังล้มนอนลงไปจนกลายเป็นว่าเธอกำลังนอนคร่อมร่างโปร่งบางของเขาอยู่...
การ์กอล์ยหนุ่มหน้าแดง พยายามดันร่างเล็กๆที่มีแรงมหาศาลนี่ออกอย่างทุลักทุเล
"...ยูริ"
ลิเวียที่พังประตูเหล็กของห้องขังเพื่อเปิดทางให้เดินเข้ามาสะกิดร่างบางที่ยังคลอเคลียอยู่กับเรฟที่หน้าแดงไปทั้งหัวแล้ว...
"อ่า โทษที ไปกันเถอะ"
ยูริผละออกมาให้ลิเวียปลดโซ่ที่พันธนาการร่างของเรฟออกโดยใช้กรดละลายมันและรีบวิ่งออกไปจากชั้นใต้ดินทันทีเพราะดูเหมือนพี่น้องอีก6คนข้างบนจะไม่ออมมือกันเลย เสียงระเบิดและแรงสั่นสะเทือนที่เหมือนกับแผ่นดินไหวดังต่อเนื่องจนกลัวว่ามันจะถล่มลงมาในไม่ช้า...
เดาไม่ยากว่าฝีมือใคร ถ้าไม่ใช่ระเบิดไฟของซาร์ทก็คงเป็นสัตว์อัญเชิญของมาม่อน
พวกยูริสามารถออกมารวมกลุ่มกับพี่น้องที่เหลือได้ในเวลาต่อมา
"แล้ว เอาไงต่อดีล่ะคุณน้องสาว?"
ลูซิลฟ์ถามขึ้นยิ้มๆ วันนี้เขาอารมณ์ดีมากที่พิษของเขาทำงานได้ดีเยี่ยมจนส่งทหารไปเฝ้ายมบาลได้หลายสิบ
ยูริเงยหน้ามองคนถามแล้วหันไปมองสภาพของทหารที่...เอิ่ม...
เอาเป็นว่าเละแล้วกัน...
แต่ก่อนที่จะได้ตัดสินใจอะไร ร่างของคนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เอลวินเดินออกมาจากกลุ่มควัญไฟที่ลอยเอื่อย ตามหลังด้วยรีไวล์และคนอื่นๆในทีมสำรวจที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดี...
เด็กสาวเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบนิ่งมองไปยังชายร่างสูงผมทองที่ครั้งนึงยังเป็นแค่ไอ้วิปริตที่ไล่ตามเธอในร่างไททัน...แต่ตอนนี้เป็นถึงผู้บัญชาการทีมสำรวจที่เก่งกาจที่สุดตรงหน้า
"มีอะไรอีก"
เธอเปิดบทสนทนาขึ้น นํ้าเสียงเรียบนิ่งเป็นโทนเดียวจนจับความรู้สึกไม่ได้
"ฉันอยากให้เธอคิดใหม่..."
"ถึงจะย้อนไปได้ไม่ว่ากี่ครั้งคำตอบของฉันก็ยังคงเหมือนเดิม..."
"...งั้นเธอจะเป็นศัตรูกับเราหรอ?"
"แล้วการที่ฉันบุกมาทำลายปราสาททีมสำรวจนี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรอคะ หัวหน้าน่วยฮันจิ..."
ยูริตอบ สายตาก็จ้องมองสาวแว่นไปด้วยก่อนจะละสายตาออกมา
"พวกคุณเริ่มก่อน...ฉันก็แค่ตอบโต้"
เธอหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมขึ้น นัยน์ตาของเธอปราศจากอารมณ์ใดๆโดยสิ้นเชิงแล้ว...
นั่นหมายถึงว่า หากยังไม่เลิกรา เธอก็พร้อมจะลงมืออย่างไร้ปราณีเช่นกัน
"เธอจะไปที่ไหน นอกกำแพงนั่นมีที่ไหนให้ไปอีก"
รีไวล์ก้าวออกมายืนด้านหน้า จ้องมองเธอด้วยอารมณ์หลากหลายยากจะอธิบาย
ทั้งสองมองกันนิ่งๆ เธอไม่คิดจะตอบหรือพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนเหงื่อผุดพรายขึ้นมามากมาย
"น้องน้อยของเราดูเหมือนจะไม่อยากเจรจาอะไรอีกแล้ว ดังนั้นขอตัวก่อนได้รึเปล่า~?"
เบลเฟสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอเลยออกมายืนขวางเธอไว้พร้อมยิ้มหวานไปให้ชายร่างเล็กที่ทำหน้าเหมือนกับจะพุ่งมาหักคอเขาได้ทุกเมื่อ
"ฉันไม่ได้คุยกับแก"
"หยาบคายจังน้าา~"
รีไวล์หน้ามืดไปเป็นแถบ ชายหน้าสวยตรงหน้ากำลังกวนประสาทเขา...
"พอได้แล้วรีไวล์"
เอลวินเห็นรีไวล์จับด้ามดาบในมือแน่นจนใบมีดสั่นระริกก็เอ่ยห้ามแล้วให้ฟาร์ลันมาลากไปไว้ด้านหลังเพื่อสงบสติอารมณ์
"แล้วพวกเธอจะทำยังไง การที่เธอบุกมาทำลายหน่วยสำรวจไปแบบนี้ก็เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับทางการแล้ว...และยังคนพวกนั้น..."
เอลวินหมายถึงพลังประหลาดของบุคคลที่เขาไม่เคยเห็นทั้ง7คน...
หากมันแพร่งพรายไป คงเกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวงในกำแพงแน่ๆ
"เราพร้อมเป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคน เพื่อพี่น้องของเรา"
มาม่อนออกมายืนข้างเบลเฟและดันให้ยูริไปอยู่กับเรฟที่เข้ามาประคองร่างเล็กไปหลบด้านหลังโดยมีลูซิลฟ์เข้าไปดูอาการแปลกๆที่เธอแสดงออกมาสักพักแล้วแต่พยายามฝืนไว้
"...พูดหยั่งกับพวกนายไม่ใช่มนุษย์"
"ก็ไม่ใช่น่ะสิ!"
ซาร์ทกางปีกเพลิงขึ้นมาอีกครั้งแล้วสะบัดขึ้นลง คลื่นความร้อนแผ่กระจายจนเอลวินถอยมาก้าวหนึ่ง
ซาร์ทเค้นยิ้มอย่างเหยียดหยาม มนุษย์ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและชั่วร้ายที่สุด เมื่อเทียบกันแล้วอสูรอย่างพวกเขาดูเป็นคนดีขึ้นมาเลย
"เราเสียเวลากับพวกคุณมากเกินไปแล้ว ขอตัวครับ"
เบลเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำที่ดูโตเกินวัยแล้วก้าวออกมาพร้อมไม้เท้าสีทองที่หัวมีลูกแก้วสีเงินแล้วกระทุ้งมันลงกับพื้นจนรัศมีสีทองแผ่กระจายคลุมบริเวณที่พวกเขาทั้ง9คนอยู่
"ลาก่อน และอย่าได้เจอกันอีก"
แอสโมสยิ้มแสยะแล้วหายไปพร้อมๆกับทุกคน หลงเหลือเพียงละอองสีทองจากการวาร์ปด้วยเวทย์มนตร์ของเบล
เอลวินหน้านิ่ง ก่อนจะหันหลังกลับไปที่ปราสาทีมสำรวจที่มีคนถูกหามออกไปมากมายเพราะบาดเจ็บสาหัส
ตัวปราสาทเองก็แทบจะพังลงมาแล้วด้วย...
รีไวล์สะบัดตัวออกจากเพื่อนทั้งสองแล้วเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ฟาร์ลันมองตามไปอย่างเป็นห่วงแล้วหันกลับมามองอิซาเบลที่รู้สึกไม่ต่างกันแต่ก็ตัดสินใจไม่ตามไปเพื่อให้เขาอยู่คนเดียวก่อนจะเดินไปช่วยขนร่างของทหารบาดเจ็บร่างอื่น
ในตอนนี้ ภายในกำแพงเกิดความวุ่นวายจนถึงขีดสุด เอลวินถูกเรียกไปสอบสวนอย่างหนัก ทางทีมสำรวจเองก็ร่อแร่ ความหวังของมนุษย์ชาติตายไปเกือบครึ่ง ชาวเมืองต่างกร่นด่าสาปแช่งกลุ่มคนที่เข้ามาทำลายทีมสำรวจโดยที่ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยนอกจากทีมสำรวจโดนโจมตีเท่านั้น...
สถานการณ์ในกำแพงตกตํ่าลงมากในช่วงเวลานั้น
ผ่านไปราวๆ5ปี เรื่องก็เริ่มเงียบลง ทีมสำรวจรับสมัครทหารใหม่จำนวนมากเช่นเคย เพื่อทดแทนในส่วนของ5ปีก่อนที่เสียไปมากกว่า60%
ทหารรุ่นใหม่มีจำนวนไม่มากนักแต่ก็มากกว่าในทุกครั้งจึงไม่มีปัญหามากนัก
ทุกอย่างดำเนินไป เรื่องราวของกลุ่มคนปริศนาที่ฉุดให้ทีมสำรวจแทบไม่มีที่ยืนก็เลือนหายไปจนไม่มีใครจดจำ ยกเว้นผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์ 'อสูรคลั่ง'
และก็ผ่านไปอีกหลายปี จนทหารรุ่นที่104ได้เข้าสังกัดทัพ...
=======================================================
มาแบบโคตรสั้น(=_=)....
อ่าวเว้ย!(?) ตัดตอนอย่างโคตรรวบรัดมาที่รุ่น104แล้วจ้า!!!
ยูริของเรากลายเป็นตำนานที่ทำให้ทีมสำรวจเกือบล่มสลาย!! เอาละสิ เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไงนะ!!!!!//ถามตัวเองพลางโขดหัวกับโต๊ะอย่างบ้าคลั่งเพราะคิดพล็อตตอนต่อไม่ออก(?)
วะฮะฮ่า!!!(หัวเราะเฉยๆ)
ในตอนต่อไป จะเข้าสู่ช่วงของพวกเอเลนแล้วนะคะ ติดตามรอได้เลย!!! แอ็ฟฟฟ!!!!!!//โดยยูริโดดถีบดัดหลัง
ไปคิดพล็อตให้ออกก่อนแล้วค่อยให้ความหวังรีดเดอร์สิเฟ้ย!!!!!!!//ยูริบดขยี้ส้นเท้าลงกลางกบาลของไรท์ที่นอนควํ่าอย่างน่าสมเพช(?)
อาจมีคำผิดบ้างก็ขออภัยนะคะ
เจอกันเมื่อโลกต้องการ(?) See you~
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
เดี๋ยวเราอ่านไปอ่านมาจะออกทะเลตามไปด้วยย(=_=)//โดนหมาตบหน้า
ปล. บางทีไรท์ก็คิดนะว่าไรท์กำลังแต่งฟิกไททันหรือนิยายจอมมารข้ามโลก...
สนุกมากค้าาา รอนะคะ!
จากนั้นก็จะเจอกับเอเลนมั้ย แล้วจะทำลายกำแพงเหมือนไรเนอร์รึปล่าว
ปล. ตกลงว่านี้คือฟิคไททัรใช่ไหม แฟนตาซีเกิน
ปล2. ทหารรุ่น 104 มาแล้ว เย้