ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้ามเข้า ห้องเก็บรายงาน

    ลำดับตอนที่ #2 : ชั้นบรรยากาศ

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 53


    ชั้นบรรยากาศ
    ชั้นบรรยากาศคืออะไร

        
    ชั้นบรรยากาศคือ ชั้นของอากาศที่ล้อมรอบโลกและด้วยแรงดึงดูดของโลกทำให้ชั้นบรรยากาศคงสภาพอยู่ได้ ชั้นบรรยากาศมีความหนารวมแล้วประมาณ 310 ไมล์ อากาศในชั้นบรรยากาศแต่ละชั้นจะแตกต่างกัน แต่ในทุก ๆชั้นล้วนเป็นส่วนสำคัญของสิ่งแวดล้อมของโลก
    การแบ่งชั้นบรรยากาศสามารถแบ่งออกได้ 4 แบบ ดังต่อไปนี้

         1.
    แบ่งชั้นบรรยากาศตามลักษณะและระดับความสูง

         2.
    แบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์

         3.
    แบ่งชั้fนบรรยากาศโดยใช้ก๊าซเป็นเกณฑ์

         4.
    แบ่งชั้นบรรยากาศทางอุตุนิยมวิทยา
    1. แบ่งชั้นบรรยากาศตามลักษณะและระดับความสูงแบ่งได้ 2 ส่วน คือ

         
    1. ชั้นบรรยากาศส่วนล่างเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ผิวโลกอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงทุกระยะที่สูงขึ้น 100 เมตร อุณหภูมิจะลดลง 0.64 องศาเซลเซียสจนกว่าจะถึงบรรยากาศส่วนบน

              
    1. โทรโพสเฟียร์ (Troposphere)คือ บรรยากาศชั้นล่างสุดสูงจากผิวโลก 8 - 15 กิโลเมตรมีอิทธิพลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมากที่สุดอากาศที่มนุษย์หายใจเข้าไปคืออากาศชั้นนี้ เมฆ พายุ ลม และลักษณะอากาศต่าง ๆ เกิดขึ้นในบรรยากาศชั้นนี้ อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งและรวดเร็วกว่าบรรยากาศชั้นอื่น ๆ

             
    2. สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere)ความสูง 15 - 50 กิโลเมตร บรรยากาศชั้นนี้มีก๊าซโอโซนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย และก๊าซโอโซนนี้เองที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสีอุลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นรังสีอันตรายต่อผิวหนังของมนุษย์และพืช ไม่ให้ส่องลงมากระทบถึงพื้นโลก   ก๊าซชนิดนี้เกิดจากการที่โมเลกุลของก๊าซออกซิเจนแตกตัวและจัดรูปแบบขึ้นใหม่เมื่อถูกรังสีจากดวงอาทิตย์ช่วยดูดซับรังสีเหนือม่วง ของแสงอาทิตย์ทำให้บรรยากาศอุ่นขึ้นเครื่องบินไอพ่นจะบินในชั้นนี้เนื่องจากมีทัศนวิสัยดี

            
    3. มีโซสเฟียร์ (Mesosphere)สูงจากพื้นดิน 50 - 80 กิโลเมตรเหนือชั้นโอโซนอุณหภูมิจะลดลงตามความสูงที่เพิ่มขึ้นโดยอาจต่ำได้ถึง  83 องศาเซลเซียสอุกกาบาตหรือชิ้นส่วนหินจากอวกาศที่ตกลงมามักถูกเผาไหม้ในชั้นนี้ การส่งคลื่นวิทยุทั่วๆไปก็ส่งในชั้นนี้เช่นกัน

       
     2. บรรยากาศส่วนบนมีคุณสมบัติตรงข้ามกับบรรยากาศส่วนล่าง คือแทนที่อุณหภูมิจะต่ำลงแต่กลับสูงขึ้นและยิ่งสูงยิ่งร้อน มากบรรยากาศส่วนนี้จำแนกเป็น 3 ชั้นเช่นกัน คือ

            
     1. เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere)สูง 80 - 450 กิโลเมตรความหนาแน่นของอากาศจะลดลงอย่างรวดเร็วแต่อุณหภูมิจะสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสสามารถส่งวิทยุคลื่นยาวกว่า 17 เมตรไปได้ทั่วโลกโดยส่งสัญญาณจากพื้นโลกให้คลื่นสะท้อนกับชั้นไอออนของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนซึ่งถูกรังสีเหนือม่วงและรังสีเอกซ์ทำให้แตกตัว

             
    2. เอกโซสเฟียร์ (Exsphere)บรรยากาศชั้นนี้สูงจากพื้นโลกประมาณ 450 - 900 กิโลเมตร มีก๊าซอยู่น้อยมากมนุษย์อวกาศจะต้องควบคุมบรรยากาศให้มีความดันเท่ากับความดันภายในร่างกายต้องสวมใส่ชุดที่มีก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจดาวเทียมพยากรณ์อากาศจะโคจรรอบโลกในชั้นนี้

             
    3. แมกเนโตสเฟียร์ (Magnetosphere)ชั้นนี้มีความสูงมากกว่า 900 กิโลเมตรไม่มีก๊าซใดๆ อยู่เลย
    2. แบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์แบ่งได้ 4 ชั้นดังนี้

        
    1. โทรโพสเฟียร์ (Troposhere)อยู่ระหว่าง 0-10 กม.โดยอุณหภูมิจะค่อยๆลดลงตามความสูง โดยเฉลี่ยกม.ละ 6.5องศา c เป็นชั้นที่สำคัญมากเพราะเป็นบริเวณที่มีไอนำ เมฆ หมอก และพายุ

        
    2. สตราโตสเฟียร์ (Stratoshere)อยู่ระหว่างความสูง 10-50 กม.เป็นชั้นที่ไม่มีเมฆ มักใช้ในการเดินทางทางอากาศ โดยอุณหภูมิจะคงที่ จนถึงความสูง 50 กม. และจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตรา0.5 องศา c ต่อ1กม.

        
    3. เมโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นชั้นบรรยากาศระหว่าง 50-80 กม. โดยอุณหภูมิจะลดลงตามความสูง

        
    4. เทอร์โมสเฟียร์(Thermoshere)ตั้งแต่ 80-500กม.อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกแล้วอัตราการสูงขึ้นจะลดลงอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 227-1727 องศา c โดยชั้นนี้จะมีความหนาแน่นของอนุภาคต่างๆจางมาก แต่ก๊าซต่างๆในชั้นนี้จะอยู่ในลักษณะที่เป็นอนุภาคที่เป็นประจุไฟฟ้าเรียกว่า อิออนสามารถสะท้อนคลื่นวิทยุได้บรรยากาศในชั้นนี้ถือเป็นบริเวณที่เปลี่ยนจากบรรยากาศของโลกมาเป็นก๊าซระหว่างดาวที่เบาบางและเป็นชั้นนอกสุดของบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก เรียกว่า เอกโซสเฟียร์

        
    นอกจากนี้ ยังเรียก ชั้นโฮโมสเฟียร์ คือ ชื่อเรียกบรรยากาศชั้น โทรโพรสเฟียร์สตราโตสเฟียร์และมีโซสเฟียร์รวมกัน
    3. แบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้ก๊าซเป็นเกณฑ์แบ่งได้ 4 ชั้น คือ

         1.
    โทรโพสเฟียร์ เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่ติดกับพื้นโลก สูง 0-10 กม.มีก๊าซที่สำคัญคือ ไอน้ำ

         2.
    โอโซโนสเฟียร์ เป็นชั้นบรรยากาศสูง10-50 กม. มีก๊าซที่สำคัญคือ โอโซน

         3.
    ไอโอโนสเฟียร์ เป็นชั้นบรรยากาศสูง 80-600 กม. มีสิ่งที่สำคัญคือ อิออน

         4.
    เอกโซเฟียร์ เป็นชั้นบรรยากาศซึ่งสูงตั้งแต่ 600 กม. ขึ้นไป โดยความหนาแน่นของอะตอมต่างๆมีค่าน้อยลง
     


    4. แบ่งชั้นบรรยากาศทางอุตุนิยมวิทยาแบ่งได้ 5 ชั้น ดังนี้

         1.
    บริเวณที่มีอิทธิพลความฝืด ระหว่าง 0-2 กม.

         2.
    โทรโพสเฟียร์ชั้นกลางและบน อุณหภูมิจะลดลงสม่ำเสมอ ตามความสูง

         3.
    โทรโพพอส เป็นเขตแบ่งว่า มีไอน้ำกับไม่มีไอน้ำ

         4.
    สตราโตสเฟียร์ มีโอโซนมาก

         5.
    บรรยากาศชั้นสูงคล้ายกับเอกโซสเฟียร์
    ชั้นบรรยากาศ 



     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    เมฆ (Clouds)
              “เมฆ” เป็นกลุ่มละอองน้ำที่เกิดจากการควบแน่น ซึ่งเกิดจากการยกตัวของกลุ่มอากาศ (Air parcel) ผ่านความสูงเหนือระดับควบแน่น และมีอุณหภูมิลดต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ตัวอย่างการเกิดเมฆที่เห็นได้ชัด ได้แก่ “คอนเทรล” (Contrails) ซึ่งเป็นเมฆที่สร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ เมื่อเครื่องบินไอพ่นบินอยู่ในระดับสูงเหนือระดับควบแน่น ไอน้ำซึ่งอยู่ในอากาศร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ ปะทะเข้ากับอากาศเย็นซึ่งอยู่ภายนอก เกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ โดยการจับตัวกับเขม่าควันจากเครื่องยนต์ซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนควบแน่น เราจึงมองเห็นควันเมฆสีขาวถูกพ่นออกมาทางท้ายของเครื่องยนต์เป็นทางยาว
    ในการสร้างฝนเทียมก็เช่นกัน เครื่องบินทำการโปรยสารเคมี “ซิลเวอร์ไอโอไดด์” (Silver Iodide) เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนควบแน่น เพื่อให้ไอน้ำในอากาศมาจับตัว และควบแน่นเป็นเมฆ
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/contrail_s.jpg
    ภาพที่ 2 “คอนเทรล” เมฆซึ่งเกิดขึ้นจากไอพ่นเครื่องบิน
    การเรียกชื่อเมฆ
               เมฆซึ่งเกิดขึ้นในธรรมชาติมี 2 รูปร่างลักษณะคือ เมฆก้อน และเมฆแผ่น เราเรียกเมฆก้อนว่า “เมฆคิวมูลัส” (Cumulus) และเรียกเมฆแผ่นว่า “เมฆสเตรตัส” (Stratus) หากเมฆก้อนลอยชิดติดกัน เรานำชื่อทั้งสองมารวมกัน และเรียกว่า “เมฆสเตรโตคิวมูลัส” (Stratocumulus) ในกรณีที่เป็นเมฆฝน เราจะเพิ่มคำว่า “นิมโบ” หรือ “นิมบัส” ซึ่งแปลว่า “ฝน” เข้าไป เช่น เราเรียกเมฆก้อนที่มีฝนตกว่า “เมฆคิวมูโลนิมบัส” (Cumulonimbus) และเรียกเมฆแผ่นที่มีฝนตกว่า “เมฆนิมโบสเตรตัส” (Nimbostratus)
              เราแบ่งเมฆออกเป็น 3 ระดับ คือ เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง และเมฆชั้นต่ำ
              หากเป็นเมฆชั้นกลาง (2 - 6 กิโลเมตร) เราจะเติมคำว่า “อัลโต” ซึ่งแปลว่า “ชั้นกลาง” ไว้ข้างหน้า เช่น เราเรียกเมฆก้อนชั้นกลางว่า “เมฆอัลโตคิวมูลัส” (Altocumulus) และเรียกเมฆแผ่นชั้นกลางว่า “เมฆอัลโตสเตรตัส” (Altostratus)
    หากเป็นเมฆชั้นสูง (2 - 6 กิโลเมตร) เราจะเติมคำว่า “เซอโร” ซึ่งแปลว่า “ชั้นสูง” ไว้ข้างหน้า เช่น เราเรียกเมฆก้อน
    ชั้นสูงว่า “เมฆเซอโรคิวมูลัส” (Cirrocumulus) เรียกเมฆแผ่นชั้นสูงว่า “เมฆเซอโรสเตรตัส” (Cirrostratus) และเรียกชั้นสูงที่มีรูปร่างเหมือนขนนกว่า “เมฆเซอรัส” (Cirrus)
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/cloud_tri.jpg
    ภาพที่ 3 ผังแสดงการเรียกชื่อเมฆ
    ประเภทของเมฆ
              นักอุตุนิยมวิทยา แบ่งเมฆออกเป็นทั้งสิบชนิดออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
             
     
     http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/dot(1).gif เมฆชั้นสูง (High Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับสูงมากกว่า 6 กิโลเมตร
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Cc_s.jpg
    เมฆเซอโรคิวมูลัส (Cirrocumulus)
    เมฆสีขาว เป็นผลึกน้ำแข็ง มีลักษณะเป็นริ้วคลื่นเล็กๆ มักเกิดขึ้นปกคลุมท้องฟ้าบริเวณกว้าง
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Cs_s.jpg
    เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus)
    เมฆแผ่นบาง สีขาว เป็นผลึกน้ำแข็ง ปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง โปร่งแสงต่อแสงอาทิตย์ บางครั้งหักเหแสง ทำให้เกิดดวงอาทิตย์ทรงกลด และดวงจันทร์ทรงกลด เป็นรูปวงกลม สีคล้ายรุ้ง
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Ci_s.jpg
    เมฆเซอรัส (Cirrus)
    เมฆริ้ว สีขาว รูปร่างคล้ายขนนก เป็นผลึกน้ำแข็ง มักเกิดขึ้นในวันที่มีอากาศดี ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม
           
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
       http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/dot(1).gif เมฆชั้นกลาง (Middle Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับสูง 2 - 6 กิโลเมตร
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Ac_s.jpg
    เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus)
    เมฆก้อน สีขาว มีลักษณะคล้ายฝูงแกะ ลอยเป็นแพ มีช่องว่างระหว่างก้อนเล็กน้อย
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/As_s.jpg
    เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus)
    เมฆแผ่นหนา ส่วนมากมักมีสีเทา เนื่องจากบังแสงดวงอาทิตย์ ไม่ให้ลอดผ่าน และเกิดขึ้นปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้างมาก หรือปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด
              
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/dot(1).gif เมฆชั้นต่ำ (Low Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับต่ำกว่า 2 กิโลเมตร
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/St_s.jpg
    เมฆสเตรตัส (Stratus)
    เมฆแผ่นบาง ลอยสูงเหนือพื้นไม่มากนัก เช่น ลอยปกคลุมยอดเขามักเกิดขึ้นตอนเช้า หรือหลังฝนตก บางครั้งลอยต่ำปกคลุมพื้นดิน เราเรียกว่า “หมอก”
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Sc_s.jpg
    เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus)
    เมฆก้อน ลอยติดกันเป็นแพ ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจน มีช่องว่างระหว่างก้อนเพียงเล็กน้อย มักเกิดขึ้นเวลาที่อากาศไม่ดี และมีสีเทา เนื่องจากลอยอยู่ในเงาของเมฆชั้นบน
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Ns_s.jpg
    เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus)
    เมฆแผ่นสีเทา เกิดขึ้นเวลาที่อากาศมีเสถียรภาพ ทำให้เกิดฝนพรำๆ ฝนผ่าน หรือฝนตกแดดออก ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าร้องฟ้าผ่ามักปรากฏให้เห็นสายฝนตกลงมาจากฐานเมฆ

             
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/dot(1).gif เมฆก่อตัวในแนวตั้ง (Clouds of Vertical Development)
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Cu_s.jpg
    เมฆคิวมูลัส (Cumulus)
    เมฆก้อนปุกปุย สีขาวเป็นรูปกะหล่ำ ก่อตัวในแนวตั้ง เกิดขึ้นจากอากาศไม่มีเสถียรภาพ ฐานเมฆเป็นสีเทาเนื่องจากมีความหนามากพอที่จะบดบังแสง จนทำให้เกิดเงา มักปรากฏให้เห็นเวลาอากาศดี ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/clound/Cb_s.jpg
    เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus)
    เมฆก่อตัวในแนวตั้ง พัฒนามาจากเมฆคิวมูลัส มีขนาดใหญ่มากปกคลุมพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หากกระแสลมชั้นบนพัดแรง ก็จะทำให้ยอดเมฆรูปกะหล่ำ กลายเป็นรูปทั่งตีเหล็ก ต่อยอดออกมาเป็น เมฆเซอโรสเตรตัส หรือเมฆเซอรัส
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    http://www.keereerat.ac.th/webQuest/webman/pictuer/greenhouse_1.gif
     
     
    ปรากฏการณ์เรือนกระจก ( Greenhouse Effect )
        ปรากฏการณ์เรือนกระจก หมายถึง สภาพที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซต่าง ๆ ในบรรยากาศผิวโลกมีปริมาณเกินภาวะสมดุล ทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายกระจกหลังคาที่หุ้มเรือนกระจก และทำให้อุณหภูมิระหว่างผิวโลกกัฐก๊าซดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศของโลก
    สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
    การพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีผลต่อการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจก สู่บรรยากาศมากขึ้น ก๊าซเรือนกระจกที่ควรรู้จักมีดังนี้
    1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO )
    คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งเป็นก๊าซที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศตลอดเวลา จากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้การทำลายพื้นที่ป่าไม้ยังเป็น การเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากขาดต้นไม้ที่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีเกิด จากการ เผาไหม้ทำให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เหลืออยู่มากในบรรยากาศ
    2. ก๊าซคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน ( Chiorofluorocarbons, CFC )
    ก๊าซ ซีเอฟซีมีหลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาใช้กันมาก คือ ซีเอฟซี 11 ซีเอฟซี 12 ซีเอฟซี 22 เป็นก๊าซที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้สำหรับทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใช้เป็นสารขับดันในกระป๋องสเปรย์ต่าง ๆ เช่น สเปรย์ปรับอากาศ สีกระป๋อง เมื่อมนุษย์นำสารซีเอฟซี ขึ้นมาใช้ในอุตสาหกรรมหรือนำผลิตภัณฑ์มาใช้ สารซีเอฟซี จะระเหยเป็นไอลอยสู่บรรยากาศและจะดูดกลืนอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานกว่า 100 ปี และมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 1 หมื่นเท่า
        ปัญหาอีกประการคือ ซีเอฟซี จะลดปริมาณโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ปกติโอโซนในชั้นนี้จะทำหน้าที่ดูดกลืน รังสีอัลตราไวโอเลตที่มาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนังของมนุษย์ไม่ให้ผ่านทะลุมายังพื้นโลก เมื่อโอโซนลดลง รังสีอัลตราไวโอเลตถูกปล่อยลงสู่พื้นโลกมากขึ้นอาจส่งผลต่อมนุษย์โดยทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ตาเป็นต้อกระจก
         นอกจากก๊าซทั้งสองชนิดที่กล่าวมานี้ ยังมีก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ และโอโซน ซึ่งก๊าซเหล่านี้มีค่าเก็บกักความร้อนเป็น 30 150 และ 2,000 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ตามลำดับ โดยมีเทนเป็นก๊าซที่เกิด จากบ่อถ่านหินหลุมก๊าซธรรมชาติ จากการเผาอินทรีย์สาร การฝังขยะ และจากการสลายตัวของสารอินทรีย์แบบไม่มีอากาศ
    ( Anaerobic ) รวมทั้งการทำนาข้าว ส่วน ไรตรัสออกไซด์เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การเผาไหม้มวลชีวภาพ สำหรับโอโซนเกิดจากปฏิกิริยาของก๊าซมลภาวะต่าง
    http://www.keereerat.ac.th/webQuest/webman/pictuer/greenhouse.gifๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนโตรเจนออกไซด์กับแสงอาทิตย์
     
     
    ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก
    ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ มีดังนี้
    1. ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 0.8 องศาเซลเซียสต่อระยะ 10 ปี ทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลง แต่ทะเลทรายเพิ่มขึ้น
    2. ฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในเขตเมืองหนาว ฤดูหนาวจะสั้นลง ฝนตกมากขึ้น ฤดูร้อนจะยาวมากขึ้น อากาศจะร้อนและแห้งแล้ง ส่วนเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน บริเวณที่แห้งแล้งจะแห้งแล้งมากขึ้น ดินเสื่อมคุณภาพมากขึ้น บริเวณที่ชุ่มชื้นจะมีฝนมากขึ้น พายุรุนแรงและเกิดอุทกภัยบ่อยขึ้น
    3. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น ปริมาณของน้ำทะเล ประกอบกับน้ำจากขั้วโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นสาเหตุของการพังทลายบริเวณชายฝั่ง ระบบชลประทาน และการระบายน้ำได้รับความเสียหาย เกิดการรุกล้ำของน้ำเค็มในผิวดิน แม่น้ำ พื้นที่ไร่นา ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเพาะปลูก และอุตสาหกรรมชายทะเล นอกจากนี้ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจทำให้บริเวณหาดทรายหรือเกาะต่าง ๆ จมหายไปใต้น้ำ เกิดภาวะน้ำท่วม ปัญหามลพิษทางน้ำ
    4. ผลผลิตทางการเกษตรลดลงหรือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะสภาพดินฟ้า อากาศ และพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย ความเหมาะสมลดลง มีการระบาดของแมลงศัตรูพืชมากขึ้น เกิดความเสียหายทางการเกษตร อาหารจะขาดแคลน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม
    5. สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ถูกทำลายไปจากโลก เป็นผลจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น จะเกิดความแห้งแล้ง ดินเค็ม น้ำท่วม ทำให้แหล่งกำเนิดและถิ่นที่อยู่อาศัยของพืช สัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ถูกทำลายลงทุกที และบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากโลก
    6. เนื่องจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยจะทำให้เป็นมะเร็งที่ผิวหนังมากขึ้น
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    รูโหว่โอโซน
    การที่ขนาดของรูโอโซนเริ่มปรากฏว่ามีควาก็แสดงให้เห็นว่า มาตรการลดการผลิต Chlorofluorocarbon(CFC) เริ่มปรากฏผลในทางที่ดีให้เห็นได้เป็นครั้เนื่องจาก CFC สามารถทนอยู่ในบรรยากาศได้เป็นเวลานานมากแม้เราตัดการผลิตทั้งหมดบนโลกอย่างปุปปับวกว่าจะเห็นผลที่แท้จริงก็ต้องเป็นอวลาอย่า

    หากเราสามารถรักษามาตรการลดการผลิต CFC ไปเรื่อยๆแล้วขนาดของรูโอโซนคงจะเริ่มหดตัวลงในไม่ช้านีหากไม่มีเหตุการณ์สุดวิสัยทางธรรมชาติเช่นการระเบิดภูเขาไฟ ที่พ่นละอองของเหล็วเล็กๆ ที่เรียกว่า aerosol ขึ้นไปในบรรยากาศเป็นจำนวนมาก จนไปช่วยเพิ่มอัตราการทำงานโอโซนในธรรมชาตเราก็คงจะได้เห็นการฟื้นตัวของโอโซนอีกในไ

    **
    รูโหว่โอโซนนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับโลกร

    เกี่ยวข้องแน่นอนเพราะมีรายงานว่ามีการตรวจสอบสภาวะเรือนกร… 2006 ที่ผ่านมาพบว่า
    กลุ่มโอโซนเป็นช่องโหว่(ภาษาสวีดิชใช้คำขยายตัวเป็นวงกว้างถึง 27.4 ล้านตารางกิโลเมตรเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆคือคงจะใหญ่กว่าประเ
    โลกของเรามีก๊าซต่าง ๆในชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอยู่โดยรอบ ทำหน้าที่คล้ายเรือนกระจกหรือกรีนเฮาส์เป็ทำให้โลกมีอุณหภูมิพอเหมาะสำหรับการดำรงชี
    แต่ในปัจจุบันมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกอย่าที่สามารถทำลายเกราะป้องกันของโลกทำให้เกิก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4)
    ก๊าซคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC8) และก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) เป็นต้น
    และก๊าซเหล่านี้บางยังก่อให้เกิดปรากฎกา… GREENHOUSE EFFECT
    โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรซึ่งจะทำให้อุณหภูมิอากาศของโลกสูงขึ้นส่งและมหาสมุทรจะขยายตัวจนเกิดน้ำท่วมได้ในอน

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจก( GREENHOUSE EFFECT ) เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ
    ก่อมลพิษทางอากาศ
    ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนซึ่งปกป้องผิวโลก
    ก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากอุ

    และการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนนี่เองที่มเกิดรูโหว่ของชั้นบรรยากาศโอโซน ที่เรียกว่า"รูโอโซน" ขยายตัวเป็นวงกว้าง
    ถึง 27.4 ล้านตารางกิโลเมตรเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆคื

    สารประกอบคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC)
    สารประกอบคลอโรฟลูออโรคาร์บอนเรียกสั้นๆ ว่า สาร CFC” หรืออีกชื่อหนึ่งฟรีออน” (Freon) เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ มิได้เกิดเองตามธรรมชาติหากแต่มีแหล่งกำเนิดจากโรงงานอุตสาหกรรม และอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และสเปรย์ สาร CFC มีองค์ประกอบเป็น คลอรีน ฟลูออไรด์และโบรมีน ซึ่งมีความสามารถในการทำลายโอโซน ตามปกติสาร CFC ในบริเวณพื้นผิวโลกจะทำปฏิกิริยากับสารอื่แต่เมื่อมันดูดกลืนรังสีอุลตราไวโอเล็ตในบโมเลกุลจะแตกตัวให้คลอรีนอะตอมเดี่ยวและทำปฏิกิริยากับก๊าซโอโซน เกิดก๊าซคลอรีนโมโนออกไซด์ (ClO) และก๊าซออกซิเจน
    ถ้าหากคลอรีนจำนวน 1 อะตอมทำลายก๊าซโอโซน 1 โมเลกุลได้เพียงครั้งเดียวก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ทว่าคลอรีน 1 อะตอม สามารถทำลายก๊าซโอโซน 1 โมเลกุลได้นับพันครั้ง เนื่องจากเมื่อคลอรีนโมโนออกไซด์ทำปฏิกิริแล้วเกิดคลอรีนอะตอมเดี่ยวขึ้นอีกครั้ง ปฏิกิริยาลูกโซ่เช่นนี้จึงเป็นการทำลายโอโ
    การลดลงของโอโซน
    นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบรูโหว่ขนาดใหญ่ของบริเวณขั้วโลกใต้ เกิดขึ้นจากกระแสลมพัดคลอรีนเข้ามาสะสมในกในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤษภาคม กันยายน (ขั้วโลกเหนือไม่มีเมฆในชั้นสตราโตสเฟียร์เนื่องจากอุณหภูมิไม่ต่ำพอที่จะทำให้เกิดกเมื่อถึงเดือนตุลาคมซึ่งแสงอาทิตย์กระทบเข้ากับก้อนเมฆ ทำให้คลอรีนอะตอมอิสระแยกตัวออกและทำปฏิกิทำให้เกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ของชั้นโอโซน ซึ่งเรียกว่า รูโอโซน” (Ozone hole)

    ***
    รูโหว่โอโซนมีส่วนทำให้น้ำในโลกระเหยออกไปนอกอวกาศหรื

    รูโหว่โอโซนไม่ได้ทำให้น้ำในโลกระเหยออกแต่โอโซนทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีที่เปทำหน้าที่กรองรังสีอุลตราไวโอเล็ตจากดวงอา… 99% ก่อนถึงพื้นโลกถ้ามีรูโหว่แสงอาทิตย์ก็จะส่องลงมายังพื้นหากร่างกายมนุษย์ได้รับรังสีนี้มากเกินไป จะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังส่วนจุลินทรีย์ขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรีย จะถูกฆ่าตาย
    ที่เราเรียกว่า รูโอโซนคือระดับที่ต่ำของปริมาตรโอโซน ในบรรยากาศการสูญเสียโอโซนในบรรยากาศระดับเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง
    เพราะว่า โอโซนช่วยดูดซับรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งจะทำให้ผิวหนังของมนุษย์มีโอกาสเสี่ยงต่อกสูงขึ้น
    รูรั่วของโอโซนมีผมต่อจุลินทร์ชีพ ถ้าจุลินทรีตาย ก็เรื่องใหญ่มากห่วงโซ่อาหารขาดสะบั้น
    มนุษย์คงจะมีปัญหาในการดำรงชีพแน่นอน

    จากรายงานการประเมินโอโซนในปีค.ศ. 1991 พบค่าโอโซนต่ำลงในฤดูร้อนด้วย
    และเมื่อผู้คนอยู่กลางแจ้งจะได้รับแสงอัและในปีหลังๆ พบว่ามีปัญหาสุขภาพมากขึ้น หากมีรังสียูวีเล็ดรอดลงมาบนโลกได้มากขึ้น
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×