คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : อาวุธคู่กายที่ต้องตามหา
พสุธาวาท ธารารักษ์ วาตการณ์ ประกายเพลิงวิ่งลงมาที่อาศรมท่านฤๅษี แต่ท่าทางจะช้ากว่าบางคน เด็กผู้หญิงที่ลงมาก่อนนั้นนั่งสมาธิแน่นิ่งอยู่ พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่หยุดดู เกศสิรินทร์รัตน์นั่งสมาธินิ่งเหลือเกิน นิ่งจนเกิดแสงสว่าง แสงแห่งอำนาจเจิดจ้าประดุจแสงตะวันทอสาดส่อง “เราจะยอมแพ้นางไม่ได้นะ” ประกายเพลิงพูด และเดินไปนั่งสมาธิบ้าง “เอาสิพระโอรส พระธิดา ทรงรวบรวมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งธาตุในตัวออกมา พระโอรส พระธิดาทรงกำเนิดใหม่จากสิ่งเหล่านั้น มีพลังของสิ่งเหล่านั้นอยู่ในตัวอยู่แล้ว เช่นกันกับพลังแห่งสุริยะตะวันในตัวพระธิดาเกศสิรินทร์รัตน์” ท่านฤๅษีพูด ทั้งห้า นั่งสมาธิ พสุธาวาทเกิดแสงสีน้ำตาล ธารารักษ์เกิดแสงสีฟ้า วาตการณ์แสงสีเขียว ประกายเพลิงแสงสีแสด เกศสิรินทร์รัตน์แสงสีแดง ทั้งห้ารวบรวมพลังในตนเองได้แล้ว ประกายเพลิงรีบใจร้อนออกจากสมาธิและสาดพลังนั้นไปในที่โล่ง พลังมหาศาลพุ่งออกจากฝ่ามือเป็นเปลวเพลิงผลาญทุกสิ่งได้ แต่เมื่อสิ้นสุดพลังนั้น พระธิดาน้อยแห่งไฟก็ต้องทรุดลงกระอักเลือด ธารารักษ์วิ่งเข้ามาประคองพี่น้องไว้ “พระธิดาประกายเพลิงอย่าพึ่งรีบร้อน พลังกล้าแข็งมากแล้ว แต่ร่างกายยังกล้าแข็งไม่พอ” ท่านฤๅษีพูด “ท่านตาเจ้าขา หลานอยากทำให้ได้ตามที่ท่านตาเคยบอก ท่านตาบอกว่าพวกเรามีหน้าที่ หลานอยากทำให้เสร็จสิ้น” ประกายเพลิงพูด “หน้าที่ยังทำไม่ได้หรอก พระโอรสพระธิดาต้องโตก่อน ทั้งศัตรูเก่ายังตามผลาญ ศัตรูใหม่ก็มุ่งเอาชีวิต หน้าที่ก็รออยู่ตรงหน้า ยังไงซะจะรีบร้อนก็ไม่ผ่านมันไปง่ายๆหรอก” ท่านฤๅษีพูด “แล้ววันนี้ประกายเพลิงจะฝึกต่อได้ไหมขอรับท่านตา” พสุธาวาทพูด “โอ๊ย ไม่ไหวหรอก” ประกายเพลิงพูด วาตการณ์เดินเข้าไปหาพี่น้อง “ไปพักบนเรือนแก้วก่อนเถอะ” วาตการณ์พูด ธารารักษ์คอยช่วย ประกายเพลิงนั้นค่อยๆลุกขึ้นไป
บนเรือนแก้ว “ประกายเพลิงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมลูกธารารักษ์” มาลีรินทร์พูด “เพคะ ประกายเพลิงรีบไปหน่อยก็เลยไม่ไหว” ธารารักษ์พูด “โถ่เป็นไงบ้างลูกแม่” มาลีรินทร์ลูบศีรษะลูกสาวเบาอย่างอ่อนโยน ความรู้สึกของประกายเพลิงเริ่มอึดอัดในร่างกายอีกแล้วทุกอย่างดูปั่นป่วน ราวเลือดทั้งร่างกายพุ่งขึ้นจุกอยู่ที่ลำคอ และค่อยกระอักออกมา สีหน้าซีดเซียวลงของประกายเพลิงเห็นได้ชัด ประกายเพลิงก้มมองกำไล ที่ยังอยู่ตรงข้อมือ ธารารักษ์เองก็มองกำไลด้วยสายตาผูกพันนิดหน่อย ประกายเพลิงดูจะรักกำไลนี้มาก “กำไลนี้ปกป้องลูกมาตลอด ลูกยิ่งมองกำไลนี้ ยิ่งเหมือนจะเยียวยา ไม่นานลูกก็คงดีแล้วเพคะเสด็จแม่” ประกายเพลิงพูด
นานขึ้น ฝีมือของเด็กทั้งห้าเริ่มคล่องแคล่วขึ้นมาก เริ่มเก่งกันแล้วทุกๆคน เริ่มใช้พลังแห่งจตุรธาตุ และ สุริยะตะวันได้ ฝีมือการรบเริ่มแพรวพราวแล้ว “ท่านตาเจ้าขา บอกพวกเราได้รึยัง ว่าหน้าที่ของพวกเราจะต้องทำอะไร” ประกายเพลิงอยากรู้มาก “บอกไม่ได้หรอก พระธิดาประกายเพลิงต้องรอให้ถึงเวลา แล้วก็จะเจอกับหน้าที่เอง” ท่านฤๅษีพูด “ใบ้สักนิดก็ไม่ได้เหรอขอรับ” วาตการณ์พูด ท่านฤๅษีส่ายหน้า “แล้วหน้าที่นี้ เป็นหน้าที่ของพวกเราสี่คนใช่ไหม... สี่คนเท่านั้นใช่ไหมขอรับ คนนอกไม่เกี่ยว” พสุธาวาทพูดและปรายสายตาไปแลเกศสิรินทร์รัตน์นิดหน่อย เกศสิรินทร์รัตน์ไม่สบตาหรอก แต่ก็ไม่มีทีท่าหวั่นกลัวแต่อย่างใด กลับเชิดใส่เสียด้วยซ้ำ “เจ้ากล้าเหรอเกศสิรินทร์รัตน์” พสุธาวาทลุกขึ้นยืน “เราไม่ได้ทำอะไร” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “พสุธาวาท บ้าไปแล้วเหรอ เราก็ไม่เห็นว่าเกศสิรินทร์รัตน์จะทำอะไรนี่นา” ประกายเพลิงแย้งตามที่เห็น “ต่อหน้าตา เถียงกันอย่างนี้เลยเหรอ” ท่านฤๅษีพูด “ขอโทษขอรับ คือ.. หลานลืมตัว” พสุธาวาทพูด “หลานขอโทษเจ้าค่ะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูดและลุกขึ้นเดินออกไป พสุธาวาทตามออกไป ธารารักษ์คว้าแขนไว้ “ใจเย็นๆนะ เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผล” ธารารักษ์พูด พสุธาวาทไม่สนใจเดินต่อไป ธารารักษ์ลุกขึ้นจะตามไป วาตการณ์ดึงตัวธารารักษ์นั่งลงประกายเพลิงเหลียวมา “ไม่ต้องไป” ประกายเพลิงพูดเสียงแข็ง “ใช่ เจ้าไปก็ยิ่งคุยด้วย ยิ่งไม่รู้เรื่องไปวุ่นวายเสียเปล่าๆ” วาตการณ์พูด “ท่านตาเจ้าขา หลานอยากรู้จริงๆ เกศสิรินทร์รัตน์มีความเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเรารึปล่าว” ประกายเพลิงพูด “สักวันพระธิดาจะรู้เอง แต่สิ่งที่ตาจะบอกต่อไปนี้ ต้องรอให้สองคนนั้นกลับมาก่อน” ท่านฤๅษีพูด
เกศสิรินทร์รัตน์เดินมา “จะหนีไปไหน จะไปจากที่นี่เหรอ ไปสิ ไปให้ไกลที่สุดได้เลยยิ่งดี เจ้าแอบนำเรื่องของเราไปบอกมเหสีวิฤดีรึปล่าวก็ไม่รู้” พสุธาวาทพูด “ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับมเหสีวิฤดี เค้าทำร้ายเราสารพัด แล้วทำไมเราต้องอยู่ข้างเข้า” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “งั้นก็หมายความว่าเจ้าอยู่ข้างเรานาสิ” พสุธาวาทพูด “เจ้าเองก็ทำร้ายเราด้วยคำพูด แต่ละคำไม่เคยถนอมน้ำใจกันเลย แล้วทำไมเราต้องอยู่ข้างเจ้า” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “อ๋อ... ที่แท้เจ้าก็โอนเอน ไม่ยอมปักหลักอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนี่เอง” พสุธาวาทพูด “ก็เรามันไม่มีค่านี่นา ไม่มีใครต้องการ แม้แต่พ่อแม่แท้ๆเรายังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร” เด็กผู้หญิงพูดไปก็เริ่มน้ำตาคลอ กล่าวถึงชีวิตที่ผ่านมาแล้ว ถูกมเหสีวิฤดีทำร้าย ทุบตีมามากมาย หากแต่จะพักดีกับใครสักคน ก็ถูกกล่าวหาว่าร้ายสารพัด สิ้นหวังและหมดกำลังใจ “ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา ไม่มีใครสงสารเจ้าหรอก” พสุธาวาทพูด ใครจะรู้ว่าคำพูดสั้นๆบาดลึกลงไปในจิตใจของเกศสิรินทร์รัตน์เสียแล้ว ชั่วชีวิตทุกข์มามากพอ ทั้งเจ็บ ทั้งแค้น เพราะคำพูดของราชโอรสน้อยที่เหมือนเกิดมาเพื่อทำร้าย เกศสิรินทร์รัตน์ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่น้ำตาที่คลออยู่เริ่มไหลออกมาแล้ว “เจ้าจะคิดยังไงก็เรื่องของเจ้า” เกศสิรินทร์รัตน์พูด พสุธาวาทไม่เห็นใจเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนน้ำตาจะไหลกลับทันทีเมื่อมีเสียงเรียกเสียงหนึ่งเข้ามา “คุยอะไรกันนักหนา เราจะรอไม่ไหวแล้วนะ ท่านตาบอกให้รอพวกเจ้า พวกเจ้าก็ช้าอยู่ได้” เสียงก้องๆแต่ไม่เล็กแหลมของเด็กผู้หญิงแห่งเปลวเพลิงดังขึ้น พร้อมกับเจ้าขอเสียงที่เดินมาเรียกถึงที่ “ประกายเพลิง ใจเย็นๆก็ได้” ธารารักษ์พยายามรั้งประกายเพลิงให้ใจเย็นขึ้น พสุธาวาทหันมามองเกศสิรินทร์รัตน์อีกครั้งก่อนจะเดินกลับไป
เมื่อทั้งห้า มากกันครบแล้ว “เอาหละทีนี้ พระธิดาเกศสิรินทร์รัตน์ แบมือรับศัสตราของพระธิดาสิ” ท่านฤๅษีพูด เกศสิรินทร์รัตน์ทำตามที่ท่านฤๅษีว่า ท่านฤๅษีเรียกธนูมา และมอบให้เกศสิรินทร์รัตน์ “ธนูนี่เจ้าคะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “ใช่ ธนูของพระธิดา ธนูนี้ทรงอานุภาพมาก ศรนี้เป็นศรธนูไฟ อิทธิฤทธิ์ของมันก็จะทำให้คู่ต่อสู้ร้อนรุ่มในร่างกาย ร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว” ท่านฤๅษีพูดและชี้ศรสีแดงให้เกศสิรินทร์รัตน์ดู และพูดต่อ “แต่ถ้าเจ้าอยากจะให้อาการร้อนรุ่มนั้นหายไป ก็ต้องใช้ศรน้ำ” ท่านฤๅษีชี้ไปที่ศรสี่ฟ้า “แล้วของพวกเราหละขอรับ” วาตการณ์พูด “ของพระโอรส และพระธิดาทั้งสี่ ต้องแยกย้ายกันไปตามหา” ท่านฤๅษีพูด “อ่าว แล้วทำไมเกศสิรินทร์รัตน์ถึงไม่ต้องไปตามหาหละขอรับ” พสุธาวาทพูด “พระศัสตราของพระโอรสและ พระธิดาทั้งสี่คือจตุรศัสตรา และจตุรธาตุ กับ จตุรศัสตรานี้แหละ ที่จะต้องทำหน้าที่บางอย่าง” ท่านฤๅษีพูด
รุ่งเช้า บนเรือนสวยสดงดงาม เป็นผลึกแก้วทั้งหลัง แต่เรือนนั้นแข็งแรงไม่พังทลายง่ายๆ เด็กสี่คน ก้มลงกราบพระมารดาเพื่อขอพร “ขอให้ลูกของแม่ทุกคนโชคดี แม่จะรอลูกนะ พสุธาวาท ธารารักษ์ วาตการณ์ ประกายเพลิง” มาลีรินทร์บอกกับลูกๆ “ลูกจะเอาชีวิตรอดกลับมาหาเสด็จแม่ให้ได้พระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด “จะลูก” มาลีรินทร์กอดวาตการณ์ไว้ และเอื้อมลูบศีรษะประกายเพลิง มาลีรินทร์เอื้อมมือลูบศีรษะลูกๆของนางและกอดเอาไว้ราวให้ขวัญกำลังใจ กอดทีละคน แล้วก็กอดพร้อมๆกันทั้งสี่คน มาลีรินทร์กระจายความรักให้ลูกๆทั้งสี่อย่างทั่วถึง แววตาที่อ่อนโยน กับอ้อมกอดที่เปี่ยมด้วยพลังยิ่งทำให้ทั้งสี่มั่นใจ และ ไม่หวั่นเกรงสิ่งใดๆแล้ว เกศสิรินทร์รัตน์ ฝากดูแลเสด็จแม่ด้วยนะ” ธารารักษ์พูด “ด้วยชีวิตเลย เราสัญญา” เกศสิรินทร์รัตน์พูด
เด็กทั้งสี่พี่น้องเดินเข้าไปในป่า พสุธาวาทเรียกดาบออกมา และปักลงบนพื้นดิน “ภายในเจ็ดราตรี เราจะมาพบกันอีกครั้งที่นี่” พสุธาวาทพูด “รักษาชีวิตให้รอดกลับมาเจอเราให้ได้นะ” วาตการณ์บอกกับพี่น้อง ทั้งสี่ผงกหัวรับ สีหน้าแววตามุ่งมั่นของเด็กผู้หญิงทรงอาภรณ์สีแสดร้อนแรงแห่งเปลวเพลิงดูจะพร้อมที่สุด กระโดดขึ้นไปและเหาะไป เด็กผู้ชายแต่งกายสีเขียวดูคล่องแคล่วแพรวพราวในการรบพุ่งเป็นคนที่สองที่กระโดดแยกตัวไป เด็กผู้ชายแห่งพื้นพิภพเดินมาหาเด็กผู้หญิงแห่งสายน้ำ “ระวังตัวด้วยนะ” พสุธาวาทบอกกับพี่น้องอย่างห่วงใยและเหาะแยกไป ธารารักษ์ถอนหายใจเล็กน้อยและเหาะออกไป
ตัวอย่างตอนต่อไป
“กำไลนั่น...” แววตาครุ่นคิดของโอรสนาคราชฉายฉาดขึ้น ประกายเพลิงก้มมองกำไลวงนั้นและหันขึ้นมองโอรสนาคราชด้วยแววตาที่ไม่ค่อยจะแข็งกร้าวสักเท่าไร แต่ก็ไม่อ่อนโยนลง โอรสนาคเพียงมองผ่านกำไลนั้นนิดหน่อย และ หันไปมองธิดาราชอีกคน ธารารักษ์นั่นเอง ธารารักษ์เองก็คิดๆอะไรอยู่
“อยู่ที่ความรู้สึกของพระโอรส มีความผูกพันกับจักรนั่นรึปล่าว หากรู้สึกสัมผัสได้ว่าพลังนั้นคือกงจักรวาโยก็หมายความว่าที่เห็นนั่นหละจตุรศัสตราคู่บุญของพระโอรส” น้าผีตอบ
คราวนี้วาตการณ์ก็ค่อยๆเดินเข้าไปเก็บปีกและหางน้อยๆมา “นี่เจ้า เอาปีกกับหางเราคืนมานะ” กินรีน้อยวัยเดียวกันพูด
“ที่นี่มันที่ไหนกันนะ ดูเหมือนผืนป่าจะถูกเผาทำลายจนสิ้น อากาศก็ร้อน” พสุธาวาทบ่น แล้วก็มีลูกไฟโจมตีมาไม่หยุด พสุธาวาทเอนตัวไปมาเพื่อหลับลูกไฟเหล่านั้น และเรียกดาบออกมา ฟันลูกไฟเหล่านั้นทิ้งไป พสุธาวาทมองหาตัวการ แต่แล้วก็มีตาข่ายตกลงมาใส่หัว “โอ๊ย อะไรกันเนี่ย” พสุธาวาทพูด
ความคิดเห็น