คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ภายใต้แววตาก้าวร้าวแข็งกร้าว ลึกลงไปในจิตใจกลับตรงข้าม
“คุณท้าว ช่วยเราอีกครั้งเถอะนะ พสุธาวาทกำลังอยู่ในอันตราย เราต้องรีบไปเตือนเค้า” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “พระธิดาไม่กลัวเค้าจะพูดจาว่าพระธิดา และทำร้ายพระธิดาเหรอเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “จะว่าอะไรเราก็ได้ เรายอม ชาติก่อนเราทำกับเค้ามามาก ชาตินี้เค้าทำให้เราเจ็บใจบ้าง ก็สมควร แต่เราต้องรีบไปเตือนเค้าจริงๆ เราทนไม่ได้หรอกคุณท้าว” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “โถ่พระธิดา แล้วจะให้หม่อมฉันทำอย่างไร” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ก็พาเราออกไปจากที่นี่เหมือนคราวที่แล้วไง” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “ไม่ได้แล้วหละเพคะ องค์สุริยะเทพประหารหม่อมฉันแน่ๆ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “โถ่ งั้นคุณท้าวก็ออกไปก่อนเถอะเราอยากอยู่คนเดียว เผื่อจะคิดอะไรออก” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เพคะ” คุณท้าวแสงศิลาตอบและออกไปจากตำหนัก เกศสิรินทร์รัตน์ก็อยู่แต่เพียงลำพังก็มีนกตัวหนึ่งบินเข้ามา เกศสิรินทร์รัตน์รีบลุกออกไปดู นกตัวนี้แปลก บินเข้ามาในเขตป่าแสงตะวันได้ มันไม่ธรรมดาซะแล้ว” เกศสิรินทร์รัตน์ สีหน้าแววตาของเทพนารีคิดๆอะไรบางอย่าง... และแล้ว นางคงคิดออกยิ้มขึ้นมาทันที เกศสิรินทร์รัตน์เขียนจดหมายและนำไปผูกไว้ที่ขาเจ้านกตัวนั้น “เราฝากจดหมายนี้ไปให้พสุธาวาทด้วยนะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูดและท่าทางเจ้านั้นจะรู้เรื่องซะด้วยสิ มันบินออกไป เกศสิรินทร์รัตน์มองตามออกไปไกลลิบๆ
ที่วนาบุรี บริเวณศาลาริมน้ำ ที่นั่นอยู่ทั้งพสุธาวาท ธารารักษ์ วรยุภัทร ชลากร และ น้าผีด้วย นกตัวหนึ่งบินมาแต่ไกล “เอะ นกนั่น มันเอาอะไรมาด้วย” วรยุภัทรพูดและเข้าไปแกะเอาจดหมายมา “จดหมายใคร” วรยุภัทรถามขึ้น นกตัวนั้นร้องเบาๆ “เกศสิรินทร์รัตน์ส่งให้เจ้า... พสุธาวาท” วรยุภัทรพูดและยื่นจดหมายให้ พสุธาวาทรีบคว้าและแอบยิ้มน้อยๆ และเปลี่ยนสีหน้ากลับอย่างรวดเร็ว คลี่จดหมายออกอ่าน “เกศสิรินทร์รัตน์บอกว่ายังไงบ้าง” ธารารักษ์พูด “วาตการณ์ กับ ประกายเพลิงอยู่ที่ป่าแสงตะวัน สองคนนั้นตกลงที่จะร่วมมือกับสุริยะเทพ อาทิตยกร และนรกานต์ ทำลายพวกเรา” พสุธาวาทพูด “ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” วรยุภัทรพูดอย่างตกใจ “วาตการณ์ กับ ประกายเพลิงไม่หน้าเป็นอย่างนั้นไปได้” ชลากรพูด “เป็นไปแล้ว เกศสิรินทร์รัตน์บอกให้พวกเราระวังตัว และเตรียมพร้อมตลอดเวลา พวกนั้นต้องบุกมา เร็วๆนี้แหละ” พสุธาวาทพูด “ถ้างั้นเราจะยังไม่กลับเมืองบาดาล” ชลากรพูด “เจ้ากลับไปก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรหรอก” ธารารักษ์พูด “แต่เราเป็นห่วงเจ้า” ชลากรพูด “ชลากร เรายอมรับนะว่าชาติก่อนเรารักเจ้า แต่ชาตินี้ความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนไปได้” ธารารักษ์พูด “พระโอรสชลากร... คิดให้ดีก่อนที่พระโอรสจะสูญเสียคนที่รักพระโอรสเสมอมาไป” น้าผีพูด “น้าผีหมายถึงใคร” ชลากรพูด “ก็หมายถึงคนที่รักพระโอรสทุกภพทุกชาตินาสิพระเจ้าข้า” น้าผีพูด วรยุภัทรถอนหายใจ และหันกลับไปมองนกตัวนั้น “เอาอย่างนี้กว่า” วรยุภัทรพูด และเนรมิตนกน้อยกลายเป็นบุรุษผู้หนึ่ง “เราจะให้ชื่อเจ้าว่าวิหค วิหคเจ้าจงรับหน้าที่เป็นตัวสื่อสาร เจ้ากลับไปที่ป่าแสงตะวันและบอกเกศสิรินทร์รัตน์ว่าพวกเราจะระวังตัว นางเองก็ต้องระวังวาตการณ์ กับ ประกายเพลิงด้วย” วรยุภัทรพูด
ในป่าแสงตะวัน “วรยุภัทรนี่ฉลาดจริงๆ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “พระธิดาวรยุภัทรเป็นกินรี ทรงสง่างามและมีอำนาจเหนือนกทุกตัว พระธิดาจะทำให้นกตัวไหนกลายเป็นมนุษย์ก็ได้” วิหคพูด “งั้นขอบใจเจ้ามากนะวิหค เจ้ากลายกลับเป็นนกเถอะ แล้วจะบินไปไหนก็ตามแต่ใจเจ้าแล้วกัน” เกศสิรินทร์รัตน์พูด
รุ่งเช้าในตำหนักของสุริยะเทพ อาทิตยกรนั่งอยู่ในนั้นด้วย นรกานต์ก็อยู่ด้วย วาตการณ์ กับ ประกายเพลิงก็เข้ามา “เมื่อไหร่พวกเราจะไปบุกยึดวนาบุรีกันซะที” วาตการณ์พูด “ไม่นานหรอก ตอนนี้กริชของอาทิตยกรชุบอยู่ในน้ำอมฤทธิ์ที่ป่าหิมพานต์ ต้องชุบสามวันถึงจะใช้งานได้” สุริยะเทพพูด “ชุบเพิ่มพลังงั้นเหรอ ดี อย่างนี้เราก็แน่ใจหน่อยว่าจะเอาชนะพวกมันได้” ประกายเพลิงพูด “ก่อนที่จะครบสามวัน พวกเจ้าก็ให้พวกเรารอไปถึงไหน จะให้ทำอะไร” วาตการณ์พูด “พวกเจ้าอยากจะไปถล่มเมืองพวกมันเล่นก็ตามใจสิ” นรกานต์พูด
ที่วนาบุรี มีการป้องกันพระนคร วางกำลังไว้แน่นหนา ขุนวิชิตก็ซ้อมรบอย่างขยันขันแข็ง พสุธาวาทเองก็ไม่แพ้กันหมั่นลองใช้ตรีบ่อยๆ ส่วนธารารักษ์ ส่งขนมหอมๆหวานๆมาให้ทหารที่ซ้อมรบได้กินกันเพื่อเพิ่มพลัง และ ขวัญกำลังใจ ก็นางถนัดอย่างนั้นนี่นา ฤดีรินทร์เองไม่สนใจว่าใครจะเป็นอะไร เอาแต่นั่งแต่งตัวโดยบังคับให้วลีคอยรับใช้ คอยช่วยหยิบเครื่องแต่งกายให้ ชลากรเองก็ขยันซ้อม วรยุภัทรไม่ซ้อมแต่เก่งกาจอยู่พอตัว นั่งอยู่ในตำหนักแทบตลอดวัน ใจลอยไปไกล แววตาคิดเรื่องหนักอกอยู่ตลอด ในตำหนักของวรยุภัทรนั่นเอง วาตการณ์กระโดดลงมา “วาตการณ์” วรยุภัทรรบลุกขึ้น วาตการณ์รีบคว้าแขนวรยุภัทรทันที “ไปกับเรา” วาตการณ์พูด “ไม่... ปล่อยเรานะ” วรยุภัทรพูด “เราจะเอาเจ้าไปกักขังไว้ที่ป่าแสงตะวัน” วาตการณ์พูด “เจ้าเปลี่ยนไปมาก เหมือนไม่ใช่วาตการณ์คนเดิมที่เรารู้จัก” วรยุภัทรพูด “งั้นเจ้าก็รู้จักกับวาตการณ์คนใหม่ไว้ซะ” วาตการณ์พูด และพยายามดึงวรยุภัทรให้ไปกับตน วรยุภัทรดิ้นจนหลุด กำลูกไฟในมือขว้างไปใส่วาตการณ์ วาตการณ์คล่องแคล่วหลบได้ทัน และกระโดดหายไป วรยุภัทรยังมองตามหาอยู่ และถอนหายใจ
บ่อน้ำอมฤทธิ์ กริชดูมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาก สุริยะเทพ และ อาทิตยกรเข้ามาดูกริช “อีกแค่สองวันเท่านั้น ไอ้พสุธาวาทมันก็จะต้องตาย พร้อมกับพี่น้องของมัน” สุริยะเทพพูด “ใช่พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าพวกมันจะโง่ได้ถึงเพียงนี้” อาทิตยกรพูด “วาตการณ์ กับ ประกายเพลิงนาเหรอ” สุริยะเทพพูด “พระเจ้าข้า พวกมันโกรธจนลืมตาไม่ขึ้น สุดท้าย พวกมันก็ต้องตายด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ” อาทิตยกรพูด “พวกมันคิดว่าตัวเองฉลาด แต่นรกานต์ฉลาดมากที่คิดวิธีนี้ได้” สุริยะเทพพูด
ในตำหนักหนึ่งในป่าแสงตะวัน ราชธิดาแห่งเปลวเพลิงนั่งนิ่งสีหน้าหมองเศร้า หวนนึกถึงความหลังย้อนกลับไปแต่ภพก่อน และภพนี้ ภาพที่แทรกเข้ามาคือตอนที่ชลากรมาคุยเรื่องกำไล ตอนนั้นเป็นเวลาดึกสงัด ท่ามกลางอุทยานในยามทิวาราตรี จันทราดาราดวงสว่างพร่างพราว คำพูดแปลกๆของชลากรบ่งบอกว่ารัก แม้สายตาจะราบเรียบ “ทำไมเราถึงเชื่อ ทำเราถึงเข้าใจว่าเจ้ารักเรา ทำไมต้องมีไอ้กำไลบ้าๆนั้นด้วย เราเจ็บใจที่สุด ทั้งหมดเราคิดไปเอง รัก... ไม่ใช่เพราะรักเหรอเราถึงเป็นแบบนี้” ประกายเพลิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้ำตาที่คลออยู่หยดลงมาบ้างทำให้ธิดาราชต้องรีบเช็ดทันที กำมือแน่น “เราแค้น... แค้นตัวเองที่รักเจ้า แค้นตัวเองที่เราไม่ยอมเปลี่ยนใจซักที ตั้งสองภพสองชาติ ทำไมเรายังรักเจ้าอยู่ แล้วคืนนั้นทำไมต้องมีคำพูดแบบนั้นด้วย เหมือนให้ความหวัง... แล้วมันก็แตกสลาย ทำไมต้องเป็นแบบนี้...” ประกายเพลิงพูดและพรวดลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักนั้นไป “ประกายเพลิง” เสียงของราชโอรสผู้กร้าวกาจดังขึ้นมา “วาตการณ์” ประกายเพลิงเรียกชื่อพี่น้อง “เจ้าจะไปไหน” วาตการณ์พูด “วนาบุรี” ประกายเพลิงพูด “จะไปที่นั่นอีกทำไม” วาตการณ์พูด “ไม่รู้เหมือนกัน...” ประกายเพลิงเริ่มหลบตาวาตการณ์น้ำตาคลออยู่ด้วย “ไม่ต้องไปหรอกประกายเพลิง เดี๋ยวก็ได้สู้กันอีกรออาทิตยกรดีกว่า” วาตการณ์พูด “เราร้อนใจ เจ้าก็รู้ว่าในตัวเราคืออะไร มันคือไฟนะวาตการณ์” ประกายเพลิงพูดและลงไปยังวนาบุรี “เดี๋ยว ประกายเพลิง” วาตการณ์จำต้องตามลงไป
ที่วนาบุรีประกายเพลิงกระโดดลงมา เจอกับวรยุภัทร “ประกายเพลิง” วรยุภัทรพูด ประกายเพลิงเดินไปไม่หยุดคุย แต่วาตการณ์เห็นก็หยุด “วาตการณ์” วรยุภัทรเรียกเบาๆ “ทำไม เรียกเราทำไม” วาตการณ์พูด “เจ้าจะกลับมาเป็นวาตการณ์คนเดิมแล้วใช่ไหม” วรยุภัทรพูดอย่างมีความหวัง “เราติดสินใจแล้ววรยุภัทร” วาตการณ์พูด “เจ้าจะไม่มีวันเหมือนเดิมใช่ไหม” วรยุภัทรพูด “อาจจะใช่” วาตการณ์พูด “เรา... เราจะบอกเจ้าว่าที่จริงเราไม่ได้รักชลากรหรอกนะ” วรยุภัทรพูด วาตการณ์มีสีหน้าที่เรียบเฉย วรยุภัทรมีนัยน์ตาที่ขอร้องนิดหน่อยแต่ก็ดูเรียบๆ
ส่วนประกายเพลิงเดินมาหยุดมองอะไรบางอย่าง ที่ศาลาริมน้ำ บริเวณนั้น ธารารักษ์ยื่นถาดขนมใบใหญ่ให้ชลากรลองชิมอยู่ ยังไม่ทันที่จะหยิบ ประกายเพลิงก็เดินเข้าไป ผลักถาดขนมนั่นตกน้ำไปหมดทั้งถาด “ประกายเพลิง” ชลากรหันมาท่าทางโกรธมาก ประกายเพลิงมองดูถาดที่อยู่ในน้ำสีหน้าเหมือนจะเสียใจที่ทำให้ถาดตกน้ำ ประกายเพลิงกัดฟันและมองชลากรด้วยสายตากร้าวแข็ง “คือ... เรา” ประกายเพลิงยังไม่ทันที่จะพูดอะไร “ทำไมทำแบบนี้หละประกายเพลิง เราตั้งใจมากนะ” ธารารักษ์พูด “ไปเลยนะประกายเพลิง ถ้าเจ้าจะมาสร้างปัญหา” ชลากรพูด ประกายเพลิงทั้งเจ็บใจทั้งเสียใจยกมือขึ้นกำลูกไฟไว้ในมือ ชลากรรีบมาขวางหน้าธารารักษ์ไว้ “กลับไปซะประกายเพลิงหากเจ้าแตะต้องธารารักษ์แม้แต่ปลายเล็บ เราจะไม่เกรงเจ้าอีกต่อไป” ชลากรพูด ประกายเพลิงร้องไห้ออกมาทันทีและกระชากเสื้อชลากรมา ผลักชลากรตกน้ำและกระโดดขึ้นไป “ชลากร เป็นไงบ้าง” ธารารักษ์พูด
ตัวอย่างตอนต่อไป
“ธารารักษ์เอาอาทิตยกรลงไปสู้ในน้ำเราจะพาทุกคนหนีไปเอง” วรยุภัทรพูด “ทำยังไงหละ” ธารารักษ์ลังเล วรยุภัทรคิดอะไรออกตอนนี้ก็ทำไปก่อนวิ่งเข้ามา ผลักอาทิตยกร กับ ธารารักษ์ลงไปในลำธารนั่น
“เราขอโทษ คือเราจำเป็นจริงๆ” ธารารักษ์พูดและใช้พลังจากคทาธาร พลังนั้นกลับตรงกันข้าม ดูทรงพลัง ดูมีอำนาจ พลังนั่นพุ่งเข้าหาอาทิตยกร อาทิตยกรหลบไม่ทันโดนพลังนั้นไปเต็มๆ เซไถล ทรุดลงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก “พลังของเจ้า...” อาทิตยกรแปลกใจมาก
ความคิดเห็น