คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : วนาบุรี ศรีมหานครา ประภารำไพภูษิต วิจิตรามหานครินทร์
กลางป่าใหญ่ หมู่แมกไม้นานาพรรณซ้อนสลับลึกเร้น ร่มรื่นจนแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงพื้น สายมากแล้วในวันนั้น แม้แสงอาทิตย์จะไม่ส่องลงมาถึงตัว แต่น้าผีก็ต้องกางร่มใบบัวไว้ก่อน มาลีรินทร์ และแก้วตาดวงใจทั้งสี่ของนางต่างนั่งพวก กินผลไม้กัน "เสด็จแม่จะให้พวกเราพากลับวนาบุรีเลยไหมเพคะ" ประกายเพลิงพูด "ดีเหมือนกันนะลูก เสด็จพ่อของพวกเจ้าคงเฝ้ารอจะได้พบพวกเจ้าอยู่ แต่..." มาลีรินทร์พูด "เสด็จแท่จะหมายถึงเกศสิรินทร์รัตน์เหรอเพคะ" ประกายเพลิงพูดอย่างรู้ใจพระมารดาว่าจะเอ่ยถึงใคร "อย่าไปสนใจเลยพระเจ้าข้า ถือว่าหมดกรรมต่อกัน ถ้ายังมีกรรมผูกพันอยู่ สักวันหนึ่งโชคชะตะจะพาเค้ามาหาพวกเราเอง" พสุธาวาทพูด ประกายเพลิงยิ้มแปลกๆ "มีเค้าเจ้าก็ด่าทอสารพัด ไม่มีแล้วจะบ่นคิดถึงน้องสาวอีกคนไม่ได้นะ เจ้ามีพวกเราเป็นน้องอยู่แล้วสาม เจ้าไม่เคยนับเกศสิรินทร์รัตน์เป็นน้อง แต่ระวังเถอะ อยู่ไปเจ้าจะคิดถึงขึ้นมา" ประกายเพลิงพูด "ประกายเพลิง" พสุธาวาทเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว "พอทีเถอะลูก แม่ว่า... กลับวนาบุรีกันก่อนดีกว่า" มาลีรินทร์พูด "ถ้างั้นก็เริ่มเดินทางกันเลยดีไหมพระเจ้าข้า" วาตการณ์พูด
เดินอยู่ในป่าในไม่นานไม่กี่วันก็ถึงเสียที มหานครอันสงบร่มเย็น วนาบุรี "นี่นาเหรอเพคะ วนาบุรี น่าอยู่เหลือเกิน" ธารารักษ์พูด "ใช่แล้วจะลูก วนาบุรีน่าอยู่มาก" มาลีรินทร์พูด "งั้นเราก็เข้าไปกันเถอะพระเจ้าข้าเสด็จแม่" พสุธาวาทพูดและเดินเข้าไป ทหารที่เฝ้าประตูรีบกันไว้ มาลีรินทร์วิ่งเข้าไป "ทหาร จำเราได้ไหม" มเหสีมาลีรินทร์พูด "พระมเหสี" ทหารสองคนที่เฝ้าประตูพูดขึ้นและก้มลงคุกเข่า และทำความเคารพมเหสีมาลีรินทร์ มาลีรินทร์ยิ้ม "นี่ลูกๆของเราที่หายไป" มาลีรินทร์พูดพร้อมกับแนะนำพระโอรสและพระธิดา
ในท้องพระโรง พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่พระองค์ก้มลงกราบเหนือหัววนาวุฒิ พระมเหสีมาลีรินทร์นั่งอยู่บนแท่นนั่งมองลงมาอย่าปลื้มใจ "ลูกพ่อ พ่อดีใจเหลือเกิน" วนาวุฒิปลาบปลื้มใจกับการที่พระโอรส และ พระธิดายังทรงสบายดี ทั้งสี่ "คนแรกชื่อพสุธาวาทเพคะ ท่านฤๅษีชุบชีวิตมาด้วยดิน" มาลีรินทร์พูด "พสุธาวาท" องค์เหนือหัววนาวุฒิเรียกพระนามพระโอรสน้อยตรงหน้า "คนที่สอง ชุบชีวิตมาจากน้ำ ชื่อธารารักษ์เพคะ" มาลีรินทร์พูด ธารารักษ์ยิ้ม "ธารารักษ์... ลูกพ่อ" เหนือหัววนาวุฒิเรียกชื่อพระธิดาน้อยน่ารักน่าเอ็นดู "คนที่สาม ชุบชีวิตมาจากลม ชื่อวาตการณ์เพคะ" มาลีรินทร์พูด "วาตการณ์เหรอลูก" วนาวุฒิเรียกชื่อพระโอรสอีกคน "คนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ชุบชีวิตด้วยไฟ ชื่อประกายเพลิงเพคะ" มาลีรินทร์พูด "ประกายเพลิง" วนาวุฒิเรียกชื่อพระธิดาคนสุดท้ายด้วยเสียงที่อ่อนโยน มเหสีวิฤดีนั่งอยู่บนแท่นสีหน้าไม่พอใจ ความอิจฉาริษยาของนาง เป็นเหมือนตัวอย่างให้ฤดีรินทร์ธิดาน้อยทำตามตั้งแต่เด็ก "แล้ว... เกศสิรินทร์รัตน์หละ...มาลีรินทร์" วนาวุฒิกษัตริย์พูด "เกศสิรินทร์รัตน์น่ารักมากเพคะ หม่อมฉันรับเป็นธิดาบุญธรรมแล้ว เกศสิรินทร์รัตน์เล่าให้หม่อมฉันฟังหมดแล้วด้วย ว่าใครเคยทำอะไรให้บ้าง แต่ตอนนี้เกศสิรินทร์รัตน์กลับถูกแสงสุริยะเอาตัวไป หม่อมฉันเชื่อว่าเกศสิรินทร์รัตน์ยังอยู่ดีเพคะ" มาลีรินทร์พูด "จะอยู่ดีได้อย่างไร ในเมื่อถูกจับไปขนาดนั้น" วิฤดีพูด "เกศสิรินทร์รัตน์เป็นคนเก่ง มีธนู แล้วก็ศรไฟ ศรน้ำ เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เกศสิรินทร์รัตน์ได้ฝึกพระเวทมา ไม่เหมือนพระธิดาชาววังที่นั่งแต่งตัวทั้งวัน เค้าเรียกอะไรนะ" ประกายเพลิงพูดและหันมองวาตการณ์เพื่อที่จะให้วาตการณ์พูดต่อ "อ๋อ คงเรียกว่าแก่แดดมั้ง" วาตการณ์พูด ประกายเพลิงกับวาตการณ์ก็แอบหัวเราะกันสองคนพี่น้อง "วาตการณ์ ประกายเพลิง" มาลีรินทร์หันมาดุลูกๆ เด็กทั้งสองคนจึงหยุดหัวเราะเสีย
วันหนึ่งในอุทยาน เด็กผู้หญิงสองสามคนเล่นอยู่กับฤดีรินทร์ ถูกฤดีรินทร์ตะโกนใส่ "เพคะเพคะพระธิดา หม่อมฉันไปเก็บดอกไม้มาให้ก็ได้" เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดและรีบวิ่งไป เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งไปชนธารารักษ์ที่เดินมากับประกายเพลิงพอดี "หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดและจะรีบไป ประกายเพลิงดึงแขนไว้ "จะรีบไปไหน" ประกายเพลิงพูด "เออ... คือ..." เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ทันที่จะตอบ "เร็วสิ...วลีชักช้าอะไรอีกหละ" ฤดีรินทร์ส่งเสียงดังๆขึ้น "หม่อมฉันขอตัวเพคะ" วลีท่าทางจะกลัวฤดีรินทร์มาก รีบวิ่งไป "เดี๋ยว ฤดีรินทร์ให้เจ้าไปทำอะไร" ประกายเพลิงไม่ยอมให้วลีไป และซักไม่หยุด ฤดีรินทร์เริ่มไม่พอใจแล้วเดินเข้ามาหา "อย่ามาทำแบบนี้นะประกายเพลิง" ฤดีรินทร์พูด "ทำแบบนี้ของเจ้านี่มันแบบไหน" ประกายเพลิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบนัยน์ตาหาเรื่องนิดๆ "หาเรื่องเหรอ" ฤดีรินทร์พูด "จะคิดยังไงก็เรื่องของเจ้า" ประกายเพลิงพูด "วอนซะแล้วเหรอเจ้าหนะ" ฤดีรินทร์ไม่พอใจประกายเพลิงเอามาก "คงงั้นมั้ง" ประกายเพลิงพูด "ถ้างั้นก็มาเลย" ฤดีรินทร์พูด "ถ้าเจ้าอยากมีเรื่อง ก็ก้าวเข้ามาเองสิ เรามีสังข์เพลิง แล้วเจ้าหละ... มีอะไร..." ประกายเพลิงพูด ฤดีรินทร์ยิ่งไม่พอใจใหญ่เลย "พอแล้ว หยุดเถอะ... จะมีเรื่องกันให้ได้อะไรขึ้นมา" ธารารักษ์พูด "พระธิดาฤดีรินทร์ หม่อมฉันจะรีบไปเก็บดอกไม้มาให้เดี๋ยวนี่เลยเพคะ" วลีพูด "ไม่เอาแล้ว" ฤดีรินทร์ไม่พอใจขึ้นมาอีก สีหน้าแววตาของประกายเพลิงยังไม่ค่อยจะดี ประกายเพลิงเดินตรงไปเรื่อยๆ "นี่คิดจะหนีเหรอ ไม่แน่จริงนี่" ฤดีรินทร์พูด ประกายเพลิงไม่สนใจที่จะหยุด "คนอย่างประกายเพลิง ไม่กลัวใครอยู่แล้ว" ประกายเพลิงบ่นเบาๆ ฤดีรินทร์ยังเดินตามมาไม่หยุด "พอเถอะฤดีรินทร์ ประกายเพลิงก็เป็นคนแบบนี้แหละ ถ้าเจ้าไม่หยุด ประกายเพลิงก็ไม่หยุด" ธารารักษ์พยายามรั้งไว้ ประกายเพลิงไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหลัง อาจจะใช้หางตาแลนิดๆ แต่ก็เดินต่อไปอย่างไม่สนใจ ฤดีรินทร์เริ่มจะหยุด "ก็มันเริ่มก่อนหนะ" ฤดีรินทร์พูดอย่างไม่ค่อยจะพอใจและสลัดธารารักษ์ออก ธารารักษ์เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยและรีบเดินไปให้ใกล้ประกายเพลิงที่สุด ในขณะเดียวกันที่ฤดีรินทร์ก็หยุดตามมาแล้ว "เจ้าจะเดินไปไหน...ประกายเพลิง" ธารารักษ์พูด "ไปปรึกษากับพสุธาวาท และ วาตการณ์ เรื่องหน้าที่ เรารู้สึกว่า... พบแล้ว" ประกายเพลิงพูด "พบแล้ว... หน้าที่ของพวกเรานาเหรอ" ธารารักษ์พูด "ใช่... หน้าที่ของพวกเรา" ประกายเพลิงพูด
ในตำหนักหนึ่ง สี่พี่น้องหารือกันอยู่ "เราคิดเหมือนเจ้านะประกายเพลิง นรกานต์ นรกานต์นั้นแหละหน้าที่" พสุธาวาทพูด "ต้องใช่แน่ๆ หน้าที่ของพวกเราก็คือทำลายแผนการชั่วของนรกานต์" วาตการณ์พูด "แต่... จะไหวเหรอ พวกเราเป็นแค่เด็ก แต่นรกานต์เป็นผู้ใหญ่นะ" ธารารักษ์พูด "แต่พวกเราไม่ใช่เด็กธรรมดา" ประกายเพลิงพูด "ใช่ แต่ที่ต้องระวังก็คือ นรกานต์ก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ธรรมดาเหมือนกัน" พสุธาวาทพูด ทุกคนผงกหัวรับรู้
ในตำหนักมเหสีวิฤดี "ลูกของนังมาลีรินทร์ทำให้ลูกแม่ไม่พอใจงั้นเหรอ" วิฤดีพูด "เพคะ ประกายเพลิง... ประกายเพลิงกล้าต่อปากต่อคำกับลูก คนทั้งวนาบุรีไม่มีใครกล้ากับลูกเลย แต่มัน..." ฤดีรินทร์พูดอย่างเคืองแค้นใจ "ไม่เป็นไรลูก อย่าไปสนใจมัน แม่จะหาวิธีกำจัดมันให้ลูกเอง ไม้ต้องห่วงนะฤดีรินทร์ลูกรักของแม่" วิฤดีพูดให้ท้ายลูกสาวตัวเองเสมอมา นิสัยเสียทั้งแม่ทั้งลูก วิฤดีขี้อิจฉา ฤดีรินทร์ก็ขี้อิจฉา แม่เป็นยังไง ลูกก็เป็นอย่างนั้น
เช้าที่สดใส วนาบุรีดูจะกระชุ่มกระชวยไปทั้งแผ่นดิน ชาวบ้านชาวเมืองที่ทราบข่าวพระโอรส และ พระธิดาที่หายตัวไป... ทรงกลับคืนสู่วนาบุรีแล้วก็เป็นปิติสุขไปทั่วหล้า ในเวียงวัง เหนือหัววนาวุฒินั่งมองดูทหารฝึกซ้อมรบ เคียงข้างด้วยพระมเหสีมาลีรินทร์ และพระโอรสพระธิดาทั้งสี่ก็เข้าเฝ้านั่งอยู่ข้างๆพระแท่น "ลูกคิดว่า เราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับศัตรูหลายด้านพระเจ้าข้า" พระโอรสพสุธาวาททูลบอกพระบิดา "อืม... จากที่พ่อฟังพวกเจ้าเล่ามา ทั้งศัตรูคู่ปรปักษ์ ทั้งหน้าที่จริงอยู่ที่เราควรตระเตรียมกันให้พร้อม" วนาวุฒิพูด "ลูกอยากควบคุมพยุหโยธาเองเพคะ" ประกายเพลิงพูด "ประกายเพลิง... ยังเด็กอยู่นะลูก แล้วเจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิงด้วยนะ" มาลีรินทร์พูด "โถ่เสด็จแม่ แต่ลูกมีพลังเพลิงพิคาต มีสังข์เพลิง แล้วก็มีฝีมือด้วยนะเพคะ" ประกายเพลิงพูด "ตามใจลูกเถอะมาลีรินทร์ ให้พวกเค้าสั่งการกันเอง" วนาวุฒิพูด "ถ้างั้น ให้พวกเราควบคุมพยุหโยธาเองได้ใช่ไหมพระเจ้าข้า" วาตการณ์พูด
ตัวอย่างตอนต่อไป
“ท่านเองก็ต้องการแก้แค้นไม่ใช่หรือ” นรกานต์พูด “อืม... งั้นตกลง เราจะร่วมมือกับเจ้า สร้างอาวุธที่ทรงอานุภาพ ร้ายแรงจากจตุรธาตุ จตุรศัสตรา” สุริยะเทพพูด “งั้นพรุ่งนี้เราจะไปบุกบ้านเมืองของพวกมันกัน” นรกานต์พูด
ประกายเพลิง กับ ธารารักษ์รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ประกายเพลิงกวาดสายตามองรอบๆ ทหารและนางกำนันวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวน ดวงอาทิตย์เหมือนจะถูกหยิบออกไปจากฟากฟ้า ไม่มีแสง แม้กระทั่งดวงจันทร์ “แปลก อยู่ๆก็มืดลง ท้องฟ้าตอนนี้น่ากลัวจัง” ธารารักษ์พูด “ท่าไม่ค่อยดีแล้วหละ” ประกายเพลิงพูดและรีบวิ่งออกไปจากตำหนัก “วันนี้แหละ บ้านเมืองของพวกเจ้าจะถึงกาลวิบัติ” สุริยะเทพพูด เด็กผู้ชาย สองในสี่ของจตุรธาตุ เรียกสองในสี่ของจตุรศัสตราออกมา ทั้งสองอยู่ในท่าเตรียมพร้อมการต่อสู้ อาทิตยกรโอรสน้อยแห่งแสงสุริยะมองดูตรีศูลในมือคู่ต่อสู้อย่างเคืองแค้น ในเมื่อครั้งนั้นตรีศูลนี้เป็นของตนอยู่
ความคิดเห็น