คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ไออุ่นที่เอาชนะความหนาวเย็น
ให้ สุริโย จันทภพ อัสดร พุทธิกร เพชรการณ์ ศุภฤกษ์ แยกออกมาจากร่างของศนิศักดิ์ พระโอรสทั้งหกกระโดดออกมาจากร่างของพระโอรสศนิศักดิ์ทีละคนจนครบ เช่นเดียวกันกับพระธิดา สุรีย์รินทร์ ศศิจันทร์ อังศุภา วารพุธ พฤกษ์พิศ ศุภวารกระโดดออกมาจากร่างของพระธิดาเสาวภา พระโอรสทั้งเจ็ดดีใจมาก “เสด็จแม่ เหล่าพระโอรสพูดพร้อมกัน “ลูกแม่... สุริโย จันทภพ อัสดร พุทธิกร เพชรการณ์ ศุภฤกษ์ ศนิศักดิ์” รัตนวรางกอดพระโอรสของนางไว้ทีละคน รัตนวรางหันกลับมาหาศุภฤกษ์อีกครั้ง “ศุภฤกษ์ลูก แม่ขอโทษที่พูดกับเจ้าแรงๆ ไม่โกรธแม่นะลูก” รัตนวรางพูด “ลูกจะโกรธเสด็จแม่ได้ยังไงหละพระเจ้าข้า” ศุภฤกษ์พูด เจ้ามัจฉาตัวป่วนก็เข้ามาดูแหวนของเหล่าพระโอรสใหญ่เลย แต่ก็ไม่มีใครบ่นว่าอะไรมันเพราะกำลังดีใจกันอยู่ พระธิดาทั้งเจ็ด รวมถึงเทพธิดาบุปผา มองภาพเหล่านั้นอยู่ พระธิดาทั้งเจ็ดท่าทางจะอิจฉานิดๆ พฤกษ์พิศน้ำตาไหลแล้วสีหน้าเหมือนโกรธอะไรอยู่กำมือแน่น สุรีย์รินทร์เองก็เช่นกันมองดูด้วยสายตาอิจฉากลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ อังศุภามองดูและหันหน้าไปทางอื่นเสีย วารพุธมองไม่กระพริบตา พระธิดาทุกพระองค์ต่างอิจฉาภาพที่อยู่ตรงหน้า “เมื่อไหร่เราจะเป็นแบบนี้บ้าง” พฤกษ์พิศพูดอย่างอิจฉา “พวกท่านเห็นภาพนี้แล้ว คงอิจฉากันสินะ” เทพธิดาบุปผาพูด “ใช่... ท่านเห็นแบบนี้แล้วก็ควรจะช่วยพวกเรา” สุรีย์รินทร์พูด “เมตตาพวกเราเถอะเพคะ ไม่มีสิ่งไหนที่พวกเราจะโหยหาได้เท่าสิ่งนี้อีกแล้ว” วารพุธพูด “ประทานบุปผาสวรรค์ให้พวกเราเถอะเพคะ” พฤกษ์พิศพูด “นะเพคะ” ศศิจันทร์พูด “นะเพคะ” อังศุภา ศุภวาร และ เสาวภาพูดพร้อมกัน เทพธิดาบุปผาเห็นใจพระธิดาทั้งเจ็ด จึงเรียกดอกไม้มา ดอกไม้สีเงิน และ ดอกไม้สีทอง มาอยู่ในมือเทพธิดาบุปผา “เรารู้ว่าพวกเจ้ายังต้องใช้อีกหลายครั้ง ให้พวกเจ้าเด็ดกลีบดอกไม้สีเงินโยนลงในสระวิศิษฏ์แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่วิศิษฏ์ธาตรี แต่ถ้าเจ้าเกิดอยากกลับมา ให้เด็ดกลีบดอกไม้สีทองโยนลงในสระวิศิษฏ์เช่นกัน” เทพธิดาบุปผาพูด “แล้ว สระวิศิษฏ์อยู่ทางไหนหละเพคะ” ศุภวารพูด “ตรงไปทางปัจฉิมทิศ ไม่ไกลมาก แต่พวกเจ้าต้องระวังอย่างหนึ่ง ต้องเก็บบุปผาสวรรค์ให้อยู่ในกล่องแก้วใบนี้ หากนำออกมาเพียงไม่ถึงชั่วยามมันก็จะเหี่ยวเฉา แล้วถ้าบุปผาสวรรค์เกิดเหี่ยวเฉาขึ้นมา จะใช้การไม่ได้” เทพธิดาบุปผาพูดพลางเนรมิตกล่องแก้วออกมาบรรจุบุปผาสวรรค์เอาไว้ สุรีย์รินทร์รับกล่องแก้วมา
ยังไม่สิ้นสะพานรุ้งคู่ กล่องแก้วอยู่ในย่ามของเสาวภาเรียบร้อยแล้ว พระธิดาทั้งเจ็ดยืนคุยกัน “ว่ายังไง เรื่องพวกแหวนเทพบุตรหนะ จะเอายังไงกัน” สุรีย์รินทร์พูด “ไม่รู้สิ แล้วแต่พวกเจ้า ตอนนี้มีทางพบเสด็จแม่แล้ว เราไม่เอาอะไรซักอย่าง” อังศุภาพูด “ใจคอเจ้าจะทิ้งหน้าที่ไปอย่างนั้นนาเหรอ” พฤกษ์พิศพูด อังศุภาไม่ได้เถียง “หรือเจ้าเต็มใจจะร่วมทางไปกับพวกนั้นรึไง” วารพุธพูด “ไม่” พฤกษ์พิศพูด “ก็นั่นแหละ ปัญหาของเราก็เพราะไม่อยากร่วมทางกับพวกนั่นเหมือนเจ้า” วารพุธพูด “แต่เราว่าควรไปด้วยกัน หน้าที่ คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ มันควรสำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอ” ศุภวารพูด “แล้วเจ้าหละว่าไง ศศิจันทร์” เสาวภาพูด “เราว่าที่ศุภวารพูดหนะ ถูกแล้วหละ” ศศิจันทร์พูด “ไปก็ไปก็แล้วกัน” สุรีย์รินทร์พูด
ส่วนพวกพระโอรสทั้งเจ็ดอยู่กับพระมารดา “ไอ้มัจฉาอย่ามาป่วนตอนนี้เลย ไปหาเสบียงกับพวกข้าดีกว่า” ม้าทองพูด “ทำไมหละ ข้ากำลังชื่นชมแหวนเทพบุตรของข้าอยู่” มัจฉาพูด “ของพระโอรสต่างหาก ตามมา” ม้าเงินพูด “ไปเถอะมัจฉา เราขออยู่กับลูกจนกว่าจะกลับเป็นเหมือนเดิม” รัตนวรางพูด “ก็ได้... นี่เห็นแก่เสด็จแม่คนเดียวนะ” มัจฉาพูดและตามเจ้าม้าน้อยทั้งสองไป “เสด็จแม่... พวกเราไม่อยากให้เสด็จแม่ไปตกระกำลำบากด้วยเลย พอจะมีที่ไหนที่พวกเราจะพาเสด็จแม่ไปอยู่ได้บ้างไหมพระเจ้าข้า” อัสดรพูด รัตนวรางนิ่งคิดก่อนจะพูดออกมาว่า “มีอยู่ที่หนึ่งลูก... นครพิงผา” รัตนวรางพูด “คืออะไรเหรอพระเจ้าข้า” จันทภพพูด “นครพิงผา เป็นเมืองหนึ่งแต่ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ” รัตนวรางพูด “ต้องทำยังไงเข้าหละพระเจ้าข้า” สุริโยพูด “เมืองพิงผา ก็เหมือนเมืองสวรรค์แหละลูก แต่เป็นเมืองร้างที่นั่นอยู่ใกล้สิ่งอันตรายเพียงนิดเดียว แต่ปลอดภัยที่สุดเลยรู้ไหมลูก แม่เองยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” รัตนวรางพูด “เสด็จแม่ สะพานรุ้งคู่เริ่มเลือนๆแล้วพระเจ้าข้า” เพชรการณ์พูด “จะลูก” รัตนวรางพูด ศนิศักดิ์ลุกขึ้นยืนและถอยออกไป พระโอรสแต่ละคนถอยออกไป พระโอรส ศุภฤกษ์หายเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยเพชรการณ์ พุทธิกร อัสดร จันทภพ และสุริโย รัตนวรางวิ่งมากอดศนิศักดิ์ “ลูกแม่...” รัตนวรางพูด
ม้าเงิน ม้าทองบินกลับมา ไอ้มัจฉาถือผลไม้มาพวงใหญ่วางลงแบบกระแทกๆ “วางดีๆสิ เดี๋ยวก็ช้ำหมด” ศนิศักดิ์พูด “เจ้ามัจฉาหนะ ทำอะไรดีๆไม่เป็นหรอก ใช่ไหมมัจฉา” เสาวภาพูดพร้อมกับเดินมา “ดูถูก ดูถูก” มัจฉาพูด “แล้วดูผิดตรงไหนหละ” ม้าทองพูด
รุ่งเช้า วันอาทิตย์มาถึงแล้ว ศนิศักดิ์ ก็เปลี่ยนเป็น สุริโย และ เสาวภา ก็เปลี่ยนเป็น สุรีย์รินทร์ สุรีย์รินทร์ตื่นขึ้นมาในป่าและลุกออกไป สุรีย์รินทร์เดินไป ยามนั้นฟ้ายังครึ้มๆ อยู่ๆก็หนาวขึ้น สุรีย์รินทร์เดินต่อไป ความหนาวเริ่มหนักขึ้นทุกที สุรีย์รินทร์โอบตัวเองเอาไว้ “โอ๊ย...” สุรีย์รินทร์เริ่มรู้สึกชาแล้ว “โอ๊ยชาไปทั้งตัวแล้ว” สุรีย์รินทร์พูด ขยับตัวแทบไม่ได้แล้ว “สุริโย...” สุรีย์รินทร์ส่งเสียงดังลั่น
สุริโย และ คนอื่นๆที่หลับอยู่ต้องพากันตื่นขึ้น “เสียงใครที่ไหนเนี่ย” มัจฉาบ่น “เสียงพระธิดาสุรีย์รินทร์” ม้าเงินพูด “ตามไปดูกันเถอะพระเจ้าข้า” ม้าทองพูด “อันตราย เราฝากเสด็จแม่ด้วยแล้วกัน ลูกไปนะพระเจ้าข้า” สุริโยโอรสน้อยพูด “จะลูก รีบไปเถอะไม่ต้องห่วงแม่” รัตนวรางพูด สุริโยจึงวิ่งออกไป
สุริโยวิ่งไป พบร่างสุรีย์รินทร์หมดสติ เนื้อตัวแข็งกระด้างและเย็นเฉียบ “สุรีย์รินทร์... ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้” สุริโยพูด เสียงหัวเราะร่ามาแต่ไกล สุริโยมองหาเจ้าของเสียงนั้น “เจ้าเป็นใคร เจ้าทำอะไรพี่น้องร่วมสาบานของเรา” สุริโยพูดออกมาไม่รู้ตัว “นี่นาเหรอพี่น้องร่วมสาบานของเจ้า เราเห็นพวกเจ้ากัดกันจะเป็นจะตาย” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมา เสียงเย็นๆน่ากลัว เจ้าของเสียงเดินเข้ามายังหัวเราะร่าอยู่ “หัวเราะอยู่ได้ เจ้านี่ท่าทางจะบ้าไปแล้ว” สุริโยพูด “หุบปาก... ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนนังเด็กนี่ เอาแหวนของพวกเจ้ามาให้เราไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะเจอกับความหนาวเย็น หนาวเหน็บอย่างที่สุด” ผู้หญิงคนนั้นพูด “เจ้าเป็นใคร” สุริโยพูด “เราคือนางพญาแห่งความหนาวเย็น สิ่งที่จะทำให้เจ้าสะท้านไปทั้งใจแล้วก็หนาวตายไปในที่สุด นามของเราคือเหมันตรา” เหมันตราพูด สุริโยกำลูกไฟไว้ในมือสาดใส่เหมันตรา เหมันตราหลบได้และสาดพลังให้ความหนาวเย็นใส่ สุริโยโอบกอดตัวเองเพื่อให้รู้สึกอุ่นขึ้น แต่ก็เหมือนจะช่วยไม่ได้ ไอเย็นพัดเยือกเข้าหาร่างกาย สะท้านเข้าไปถึงในใจ “สุริโย... ลูกแม่” รัตนวรางตามมาและวิ่งเข้ามากอดสุริโยเอาไว้ แล้วก็มีพลังบางอย่างทำให้อุ่นขึ้นอย่างหน้าประหลาด มีแสงๆหนึ่งเปล่งขึ้นเจิดจ้า แม้แต่พระธิดาสุรีย์รินทร์ที่แทบจะหนาวตายอยู่แล้วยังรู้สึกดีขึ้น ตื่นขึ้นมา สุรีย์รินทร์ยืนมองดูภาพรัตนวรางกอดสุริโยไม่กระพริบตา ม้าเงิน และ ม้าทองบินตามมา ไอ้มัจฉาที่วิ่งมาก็ต้องหยุดด้วย เหมันตรากรีดร้องลั่น นางต้านแสงลึกลับนั้นแทบไม่ไหว เหมันตราล้มลงนั่งและพยายามทรงตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อทรงตัวได้ นางก็รีบวิ่งมากระชากตัวรัตนวรางออกจากสุริโย “เสด็จแม่” สุริโยส่งเสียง เหมันตราเอามือค้ำคอรัตนวรางไว้ สุรีย์รินทร์วิ่งมายืนเคียงสุริโย “เจ้าอย่าทำอะไรเสด็จแม่นะ” สุริโยพูด “ปล่อยเสด็จแม่ของเสด็จลูกสิ หูแตกรึยังไง” มัจฉาเข้ามายุ่ง “เจ้านั่นแหละไม่ต้องมายุ่งไอ้ตัวประหลาด” เหมันตราพูดและสาดพลังหนาวเย็นใสมัจฉา มัจฉารีบหนีไป “เจ้ามัจฉา จะหนีไปไหนหละ” ม้าเงินส่งเสียงขึ้น “ก็เอาตัวรอดนาสิวะ ใครจะโง่” มัจฉาพูดและวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต สุริโยหันมาหาสุรีย์รินทร์ “เจ้าวิ่งเข้าไปช่วยเสด็จแม่ ส่วนเราจะกันนางแม่มดไว้” สุริโยพูดเบาๆ “ได้” สุรีย์รินทร์พูด ทั้งสอง กำหมัดขึ้นพร้อมกัน “ต้องการอะไร” ทั้งสองถามพร้อมกัน “อยากได้แหวน ก็ได้” สุริโยพูด ทั้งสองเอามือจับแหวนพร้อมกัน เฉียบพลันสุรีย์รินทร์กระโดดขึ้นไปบนฟ้า และกระโดดลงมาดึงตัวรัตนวรางกระโดดขึ้นไปด้วย “พี่ม้าเงิน พี่ม้าทอง ตามสุรีย์รินทร์ไป” สุริโยพูดและเดินเข้าไปหาเหมันตรา กำหมัดเตรียมพร้อม “พวกเจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก” เหมันตราพูด “ก็เหมือนพวกเจ้าไงหละ” สุริโยพูด “นี่สำหรับเด็กปากเสียอย่างเจ้า” เหมันตราพูดและขวางลูกน้ำแข็งใส่ สุริโยรับด้วยแหวนทำให้สะท้อนใส่เหมันตรา สุริโยเรียกดาบออกมาและวิ่งเข้าไปหมายจะฟันเหมันตรา แต่ก็พลาดเหมันตราหนีไปได้
ตัวอย่างตอนต่อไป
“เสด็จน้าวิหคนภารับสั่งว่าเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์แล้วเหรอเพคะ” สุรีย์รินทร์พูด “ใช่จะ พระพี่นางมาลย์สุภัคเทวีก็หวาดกลัว ชอบคิดว่าน้าเป็นนังแม่มด” วิหคนภาสะอึกสะอื้น “เสด็จแม่” พระธิดาน้อยที่นั่งข้างๆวิหคนภาพูด “เออนี่เขมแข พาพระโอรสสุริโย และพี่เจ้าไปที่ตำหนักรับรองก่อนดีกว่า” วิหคนภาหันมาหาพระธิดาน้อยข้างๆ “หลานขอไปหาเสด็จแม่ก่อนเถอะนะเพคะ” สุรีย์รินทร์พูด “ก็ได้จะ” วิหคนภาพูด
ความคิดเห็น