ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทองเนื้อเก้า

    ลำดับตอนที่ #35 : อารยะมณี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 282
      0
      13 เม.ย. 51

                    ถึงที่แดนแคว้นลึกลับอันมีความงดงามไม่แพ้แดนดินถิ่นป่าหิมพานต์เลย ที่นั้นคืออารยะมณี พระราชนัดดาทั้งสิบพระองค์ แล ศิรสิทธิ์ ศดิศรันย์ กับเจ้าวิชิตเชษฐ์มาถึงที่นั่นก็ต่างมองไปทั่วด้วยความสนใจ เวียงวังทองงดงามยิ่งนัก ทั้งสิบพระองค์และผู้ติดตามเข้าไปภายในนั้น

                    ท้องพระโรงโอ่อ่า ข้าราชบริพารล้วนแต่แต่งกายแปลกๆ เหนือราชบัลลังก์เพชร ร่างนารีสง่างามประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแววตาราบเรียบน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนจับจ้องเด็กน้อยที่ยุรยาตรเข้ามา ทั้งสิบพระองค์ ศิรสิทธิ์ ศดิศรันย์ และ วิชิตเชษฐ์นั่งลงตรงหน้าราชบัลลังก์นั้นพลางทำความเคารพอย่างนอบน้อม นารีผู้สูงศักดิ์นั้นยิ้มเล็กน้อยพลางลุกขึ้นยืน พวกเจ้าคงรู้จักเราดีแล้ว เราคืออัญรัตน์เทพธิดาผู้ดูแลที่แห่งนี้ ขอให้พวกเจ้าจงเรียกเราว่า เสด็จแม่... เพราะเรา ก็คือแม่ครูของพวกเจ้านั่นเอง แลข้าราชบริพารเหล่านี้ เป็นมนุษย์ที่ถูกนิรมิตมาจากสิ่งต่างๆ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ดอกไม้ ใบไม้ แลก้อนศิลา ส่วนที่พักของพวกเจ้าเราจะจัดให้ดังนี้ เด็กผู้หญิงทั้งเก้าคนจะพักในเรือนทองหลังใหญ่ ส่วนเด็กผู้ชาย มีสี่คน พักในเรือนทองหลังเดียวกัน เราจะให้คนนำเจ้าไป แต่ละเรือนก็จะมีห้องส่วนตัว พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวนะ เทพธิดาอัญรัตน์รับสั่งอย่างอ่อนโยน เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ เด็กผู้หญิงพูด เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้า เด็กผู้ชายพูด

                    วันเวลายิ่งเลยผ่านเหล่าเด็กๆก็ฝึกปรือศัสตราวุธโดยมีอัญรัตน์เป็นผู้ฝึกสอน จนเกิดทักษะ มีความชำนาญมากยิ่งขึ้นจากเดิมหลายเท่า คืนหนึ่งนพคุณนอนไม่หลับนึกถึงพระมารดาบุญธรรมที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาแต่น้อยจึงคิดอยากจะเข้าไปในป่าหิมพานต์อีกสักครั้ง หากเราได้เข้าไปในป่าหิมพานต์อีกครั้ง ก็คงจะดีสินะ นพคุณคิด นพคุณพรวดลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่าง โอรสน้อยทรงมองออกไปนอกหน้าต่างเรือนทองพลางคิดไปถึงเจ้าเหยี่ยวรุ้งที่เป็นเพื่อนเดินทางในหลายๆครั้ง เราขอเข้าไปอีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น แม้นไม่พบก็จะตัดใจ นพคุณพูดขึ้นลอย

                    วันต่อมาเมื่อตะวันส่องฟ้า ที่ป่าหิมพานต์ พระนัดดาน้อยไอศิกาเศร้าพระทัยที่วิหงค์จันทร์ถูกนำตัวไปลงโทษ นานแล้วแต่ก็ยังคงเศร้าใจไม่หายสักที ไอศิกาน้อยนั่งเศร้าอยู่ครู่ใหญ่ก็มีร่างหนึ่งมีรอยไหม้เต็มตัวเป็นร่างของเด็กผู้ชายกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง เจ้า... นพคุณ... ออกไป ออกไปนะ อย่ามาใกล้เรา ไอศิกาพูดพลางถอยหนีไม่ยอมพูดคุยใดๆทั้งสิ้น พระนัดดา ฟังข้าพระองค์สักครั้งได้ไหม ข้าพระองค์เพียงอยากมาถาม ถามถึงแม่จันทร์ เท่านั้นเอง นพคุณพูด ไม่... เราไม่รู้ เราไม่รู้ได้ยินไหม ไปให้พ้นนะ เราบอกให้ไปให้พ้นไงนพคุณ เราเกลียดเจ้า เจ้าทำให้เราเจ็บ ไม่... ไปให้พ้น ไปจากที่นี่ซะได้ยินไหม ไอศิกาดูเหมือนจะเกลียดและหวาดกลัวนัก นพคุณถอนใจ รังเกียจข้าพระองค์เพราะรอยไหม้เหล่านี้หรือพระเจ้าข้า เฮ้อ... คนรูปงาม มักนิสัยไม่ดี ส่วนคนดี ก็มักจะอัปลักษณ์ ที่แท้พระนัดดาไอศิกาก็ทรงมองคนแต่ภายนอก นพคุณตัดพ้อ ไอศิกาหันกลับมาเพ่งพิศอีกครา ภาพในความคิดก็ปรากฏ อดีตชาติที่ไม่เคยจางหาย พระธิดาภาสสุนันท์ และ พระโอรสเมษกรคือผู้ที่ติดตามกันมาใช้กรรมต่อกัน ปางนั้นเมษกรเคยทำร้ายราชธิดาภาสสุนันท์ทางจิตใจมากมายนัก นั่นคือความรู้สึกที่ติดตัวภาสสุนันท์มาจนเป็นไอศิกา ความรู้เจ็บปวดใจนั่นเอง จริงสินะ จริงอย่างที่เจ้าว่า คนที่ทำร้ายเราคนนั้น ไม่ได้มีรอบแผลน่าสงสารอย่างเจ้า เราคงจำผิด เราขอโทษก็แล้วกันที่โวยวายต่อเจ้าไปหลายหน ไอศิกาว่า ไม่เป็นไรพระเจ้าข้า นพคุณพูด งั้นเราก็เป็นเพื่อนกันได้สินะ... จันทร์แม่ของเจ้า ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็มิรู้ได้ เราเสียใจเหลือเกินไอศิกาปรับทุกข์ไป เหยี่ยวรุ้งก็โฉบมาเอาร่างไอศิกา นพคุณ... ไอศิกาเรียก เหยี่ยวรุ้งโฉบร่างธิดาน้อยออกไปทางหน้าต่าง หยุดนะเจ้าเหยี่ยวรุ้ง หยุดสิ นพคุณกระโดดออกไปทางหน้าต่างตามไป นพคุณกระโดดไปยืนบนร่างเจ้าเหยี่ยวรุ้งตัวนั้นพลางออกคำสั่งต่อมัน ปล่อยไอศิกา... นพคุณว่า เจ้าเหยี่ยวรุ้งเหมือนจะเชื่อฟัง ร่างไอศิกาถูกปล่อยลงจากที่สูงพลัน นพคุณเร่งกระโดดตามลงไปดูอาการ เป็นยังไงบ้างพระนัดดาไอศิกา นพคุณว่า ขอบใจนะ แต่เราไม่เป็นอะไรหรอก เราจะกลับตำหนัก ไอศิกาพูดพลางจะลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงไปอีก โอ๊ย... ไอศิการ้อง ท่าทางพระนัดดาจะไม่ไหว... ข้าพระองค์จะรักษาให้ นพคุณพูดพลางวางมือบนข้อเท้าไอศิกา พลังบางอย่างเหมือนถูกส่งเข้าไปรักษาไอศิกาจนรู้สึกดี ข้าพระองค์จะเดินไปส่งที่พระตำหนัก นพคุณพูดพลางเดินไปเป็นเพื่อนไอศิกา

                    ที่อารยะมณี นพคุณกลับมาก็จะเดินกลับไปที่เรือนทองเพราะค่ำลงแล้ว แต่มาเจอเข้าไปมรกต และ วชิรารัตน์ ไปไหนมาเพคะ สองขนิษฐาถามพี่ชายเยี่ยงเป็นเจ้าชีวิต พี่ไปข้างนอกมา นพคุณพูด อย่าคิดว่าทรงเป็นบุรุษแค่หนึ่งเดียวที่ครอบครองธำมรงค์วิเศษนะเพคะ แม้นว่าฤทธิ์ของแหวนนพเก้าจะมากมาย แต่ฤทธิ์ของแหวนเพชรก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสักเท่าไหร่ อย่าทะนงตนไปเลย แม้จะอยู่ที่ไหนมีแต่คนรัก มีแต่คนเอ็นดู แต่น้องหละคนหนึ่ง ที่ไม่รักพี่นพคุณ มรกตพูด น้องด้วย... พี่นพคุณทรงมาเหมือนคนที่จะมาแก่งแย่งความรักของเสด็จตาเสด็จยายไป ทั้งยังเป็นที่เอ็นดูของเสด็จแม่สร้อยสายเพชร ประหนึ่งเช่นสายเลือดแท้ๆ พี่นพคุณคงไม่ทราบสิเพคะ ว่าเสด็จแม่ของน้องนี้ ท่าทางจะรักและเอ็นดูพี่มากกว่าน้องเสียอีก ทรงมาทำไมก็ไม่รู้ น่าจะหายสาบสูญไปเสีย ราชนัดดาแห่งมณีนพรัตนามีเก้า ก็ครบชุดนพเก้าแล้ว มิเห็นจะต้องมีคนที่มาเป็นส่วนเกิน วชิรารัตน์ว่า นพคุณมิโต้ตอบอย่างใดได้แต่ก้มหน้าไม่อยากจะต่อปากต่อคำ แล้วนี่จะมาทำตัวเป็นที่รักของเสด็จแม่อัญรัตน์อีก ความจริงพี่นพคุณไม่น่าจะเกิดมาเลย พิมพ์เพทายพูดพลางเดินมารวมกันมรกต และ วชิรารัตน์ พวกเจ้าหนำใจหรือยัง นพคุณพูด ไม่หนำใจง่ายๆหรอกเพคะ วชิรารัตน์พูด นพคุณถอนใจพลางจะเดินหนี พี่นพคุณทรงทราบไว้เถอะ ว่าพวกเรามิยอมรับพี่นพคุณหรอก มรกตพูด นพคุณไม่เอ่ยอะไรได้แต่เดินหนีไปเพียงแต่เท่านั้น วชิรารัตน์ มรกต พิมพ์เพทายมองตามไป ดูสิพวกเจ้า ทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน มรกตพูด ดูไปเถอะจะด้านชาได้นานแค่ไหน คนที่ชอบทำตัวเด่นนัก ต้องเจออย่างนี้แหละ พิมพ์เพทายพูด ใช่ เราเห็นด้วย วชิรารัตน์ว่า

                                    ดวงตะวันจันทราสลับสี                                   ยามราตรีทิวากาลทุกวารผัน

                    เมื่อผ่านกาลล่วงเลยเป็นคืนวัน                                      ก็เปลี่ยนผันต่อไปเป็นเดือนปี

                                    จากกล้าไม้เติบใหญ่ได้กิ่งก้าน                          สุมามาลย์แย้มบานรัศมี

                    รัศมีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงฤดี                                                   ทั่วธาตรีทุกสิ่งต่างเปลี่ยนไป

                                    จากกุมารกุมารีก็แกร่งกล้า                 ผ่านเพลาพาเจ้าให้เติบใหญ่

                    เป็นแรกรุ่นดรุณเดชดนัย                                                  แลขวัญใจดรุณีที่แรกงาม

                    เหล่าราชนัดดาน้อยสิบพระองค์จากมณีนพรัตนานคร และผู้ติดตามอีกสามคนนั้นต่างฝึกปรือศิลปวิทยาอย่างมุ่งมั่น บ้างก็เก่งฉกาจ บ้างก็พอได้ ตามกำลังแลความหมายของอัญมณีแต่ละชนิด ฝึกฝนมาแต่เยาว์ชันษาจนกระทั่งเติบใหญ่เข้าสู่วัยที่เหมาะสมแก่การเป็นนักรบ และ นักรัก

                    ณ ดินแดนอันไกลแสนไกล ไกลสุดลูกหูลูกตา ก็หาทางเข้าทางออกมิได้ง่ายๆ แดนนั้นเป็นที่เลี่ยงลือ ว่าเป็นที่อยู่ของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย คือถิ่นงามที่เลื่องชื่อเป็นหนักหนา นามนั้นเป็นที่ประจักษ์ทั่วทั้งโลกา ถิ่นนั้นมีนามว่า ป่าหิมพานต์...

                    เวียงทิฆัมพรมีความงดงามมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกสิ่งที่ยังคงมิผันแปรตามกาลเวลาก็คือ จิตใจของใครบางคน ที่ยังเศร้าหมองมิเปลี่ยนแปลง เสียงซอแว่วไปทั่วราชมณเฑียร แว่วไปไกลถึงตำหนักของปักษมาลี ปักษมาลีบรรทมอยู่บนแท่นในยามทิวากาลก็ตื่นขึ้นมา เสียงซอนั่นอีกแล้ว น่ารำคาญจริง... คุณท้าว เราจะไปเผาซอนั่น ปักษมาลีพูด เพคะ คุณท้าวเมฆรัตน์พูดพลางลุกขึ้นเดินตามปักษมาลีออกไป

                    เสียงซอแว่วหวานในทำนองที่เศร้าโศก ตำหนักหนึ่งเงียบเชียบไร้ผู้คนมีแต่เสียงซอที่ครวญขึ้นกังสดาร

                                    ยินซอเสียงเพียงแว่วแผ่วปลิวมา                       สำเนียงว่าโศกาอาดูรแท้

                    ซอสามสายเสียดสีดังจับแด                                               ก็เพียงแค่พ้อไปเป็นดนตรี

                                    เสียงโอดครวญซอสายสีกันลั่น                        ฤทัยสั่นพลันคิดจิตขวัญหนี

                    สีซอเสียงส่งถึงชนนี                                                          ดวงฤดีแดดิ้นแทบสิ้นใจ

                                    สำเนียงแผ่วแว่วไปในไพรสณฑ์                     ดั่งมีมนต์ต้องกัณฑ์ให้หวั่นไหว

                    คนครวญซอพ้อเพ้อละเมอไป                                           ด้วยจิตใจถวิลสู่ผู้เกิดเกล้า

                    ตำหนักงามของเวียงทิฆัมพร เสียงซอสายอื้ออึงดังอยู่ เจ้าของซอที่บรรเลงเพลงกล่อมไพรอยู่นั้น นั่งอยู่บนพระแท่นอย่างสง่างาม คือนารีผู้ทรงศักดิ์ สง่างามทั้งๆที่ใบหน้าชุ่มด้วยชลนัยน์ แววตาบ่งถึงความเศร้า เสียงซอต้องหยุดลงเมื่อมีผู้มาขัด หยุด... เสียงของปักษมาลีประกาศก้องกวนใจนัก นารีสง่างามนั้นวางซอสามสายสุดรักลงแล้วยืนขึ้น เสด็จป้า แล้วก็คนของเสด็จป้า ถือวิสาสะเข้ามาในนี้ไม่ได้นะเพคะ นารีนั้นพูด ก็เจ้าส่งเสียงกวนใจเราทำไมหละไอศิกา ปักษมาลีพูด คุณท้าวเมฆรัตน์... นายของเจ้านอนกลางวันอยู่รึ ถึงได้โมหาโทโสเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ ทั้งที่เราก็แค่สีซอของเราเป็นประจำอยู่แล้ว นารีสง่างามนามไอศิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ปักษมาลีดูจะไม่พอใจกับคำพูดเช่นนั้น คุณท้าว... ไปเอาซอของมันมา ปักษมาลีพูด อย่าเข้ามานะไอศิกาขวางพลางคว้าซอสามสายนั่นขึ้นมากอดแน่น เสด็จป้าจะทำอะไรกับซอของจันทร์เพคะ ไอศิกาพูดอย่างระหวาดระแวง ซอนี่มันกวนใจเรา เราจะทำลายมัน คุณท้าว... ไปเอามา ปักษมาลีพูด เพคะ คุณท้าวเมฆรัตน์พูดพลางจะเข้าไปยื้อแย่ง อย่าเข้ามานะ... อยากลองรึไงว่าฤทธิ์ของเราเป็นอย่างไรบ้าง ไอศิกาพูดอย่างพยายามที่จะปกป้องของสิ่งเดียวที่นางวิหงค์จันทร์ทิ้งไว้ให้ คุณท้าวเมฆรัตน์เริ่มกล้าๆกลัวๆ พระธิดาเพคะ คือหม่อมฉันว่า... พระนัดดา... เออ... หม่อมฉันเกรง…” คุณท้าวเมฆรัตน์อ้ำอึ้ง เกรงว่าไอศิกาจะฆ่าเจ้างั้นรึ เราจัดการเองก็ได้ เจ้านี่ไม่ได้เรื่อง ปักษมาลีว่าพลางเข้าไปแย่งซอจากมือของพระนัดดาไอศิกา เอามานี่ ปักษมาลีว่า ไม่... ไอศิกายื้อไว้สุดชีวิตพลางใช้สายตาจ้องปักษมาลีไม่วางตา เหมือนเป็นสายตาพิคาด พลังบางอย่างเหมือนผ่านดวงเนตรนัดดาราชมาสู่ร่างปักษมาลีจนต้องล้มลง โอ๊ย... เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนักนะไอศิกา ปักษมาลีพูด ไม่แข็งนักหรอกเพคะ ยังมีรู้จักนอบน้อมอยู่ แต่ต้องกับคนที่ควรเท่านั้น ไอศิกาพูด คุณท้าว... กลับ ปักษมาลีพูดพลางเดินออกไป คุณท้าวเมฆรัตน์ถวายความเคารพพระนัดดาไอศิกาก่อนที่จะตามพระธิดาปักษมาลีออกไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×