คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : จะต้องพบกับการพลัดพรากไปอีกนานแค่ไหนกัน
ชั่วครู่ อาทิตยกรก็เดินนำทหารสองสามคนที่พาตัวพสุธาวาทมา ท่าทางของพสุธาวาทบาดเจ็บมากๆ อาวุธก็ยังไม่ได้ “พสุธาวาท” วาตการณ์ ประกายเพลิง และ ธารารักษ์ต่างก็พูดด้วยความเป็นห่วงพี่น้อง “พวกเจ้ามาตายพร้อมๆกับพี่น้องของพวกเจ้าซะเถอะ” อาทิตย์กรพูดและส่งเสียงกึกก้องร้องเรียกอาวุธบางอย่างมา “ตรีศูล” อาทิตย์กรพูด ตรีศูลปรากฏบนมือแล้ว แสงของตรีศูลเปล่งรัศมีออกมาเจิดจ้าแจ่มจรัส วาตการณ์ ประกายเพลิง ธารารักษ์เองยังแปลกใจต้องหลบแสงนิดหน่อย พสุธาวาทเพ่งมองแสงนั้นเต็มตา “จตุรศัสตรา... แน่นอน จตุรศัสตรา” พสุธาวาทพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ อาทิตยกรยังไม่รู้ สาดพลังตรีศูลนั่นใส่คู่ต่อสู้ไป “เดี๋ยวก่อน ระวังเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยนะลูก” สุริยะเทพห้ามปรามเด็กชายผู้เป็นลูกไว้ “ทำไมหละพระเจ้าข้า” อาทิตยกรพูด “เพราะนาง คือพระพี่นางของเจ้าเมื่อภพกัน ขอให้เจ้าคิดเสมอเหมือนว่านางคือขนิษฐา” สุริยะเทพพูด “อ๋อ นางคือพระพี่นางอัปสรสิรินทร์หรือพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” อาทิตยกรพูด “ใช่... อัปสรสิรินทร์” สุริยะเทพพูด อาทิตยกรสาดพลังของตรีศูลใส่พสุธาวาทเป็นอันดับแรก ทุกคนกำลังตกใจทำอะไรไม่ถูก หน้าสิ่วหน้าขวานไม่มีใครทำอะไร เกศสิรินทร์รัตน์ตัดสินใจวิ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าพสุธาวาท องค์สุริยะเทพเห็นพระธิดาในอดีตภพก็รีบวิ่งไปรั้งมือพระโอรส “หยุดก่อนอาทิตยกร นั่นพี่สาวของเจ้า” สุริยะเทพพูด พสุธาวาทเพ่งมองตรีศูลอย่างจดจ่อ “หากแต่ตรีศูลนั้น คือศัสตราคู่บุญแห่งเรา จงมาหาเราเถิด” พสุธาวาทพูดอย่างแน่วแน่และมุงมั่น ตรีศูลหลุดลอยออกจากอาทิตยกรและมาหาพสุธาวาท พสุธาวาทรับตรีศูลมา ใช้พลังของตรีศูลทำลายตาข่ายที่ขังตนอยู่ ตาข่ายนั้นค่อยๆเลือนหายไป พสุธาวาทดูมีเรี่ยวมีแรงอย่างน่าประหลาด วาตการณ์ ประกายเพลิง ธารารักษ์ใจชื้นขึ้นมาก เริ่มที่ประกายเพลิง และ วาตการณ์ ต่างพากันเรียกศัสตราคู่บุญญาธิการออกมาควงไว้ในมือ ธารารักษ์จึงเรียกคทาออกมาบ้าง ทั้งสี่วิ่งเข้ามารวมกัน วาตการณ์ และ ประกายเพลิง วิ่งเข้าประจัญ เหล่าเทพบริวารที่ออกมาสู้รบต่างพ่ายแพ้ เพราะต้านฝีมือเด็กๆพวกนั้นไม่ได้ “พวกเจ้าทั้งสี่ รีบหนีไปก่อนเถอะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “แล้วเจ้าหละ เจ้าเห็นเราเป็นคนแบบนี้ แต่เราก็ยังรู้จักนึกถึงคนอื่นอยู่บ้างนะ” ประกายเพลิงพูด “เอาเถอะ อย่าห่วงเลยประกายเพลิงดูเหมือนคนพวกนี้จะไม่ทำร้ายเรา” เกศสิรินทร์รัตน์พูด ทั้งสี่ เหาะหนีไปก่อนแล้ว เหลือแต่เกศสิรินทร์รัตน์ พวกเทพบริวารจะตามไป เกศสิรินทร์รัตน์เข้าขวาง “เจ้ามาสิ มาสู้กับเราก็ได้” เกศสิรินทร์รัตน์กำหมัดแน่นเตรียมพร้อมรบ “พวกเจ้า หยุด ถอยกลับ” สุริยะเทพสั่งการ
ที่เรือนแก้ว มาลีรินทร์กอดพระโอรสพระธิดาทั้งสี่ของนางไว้อย่างอบอุ่น “ลูกรัก ลูกๆของแม่ แม่ดีใจที่พวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยกัน พรุ่งนี้เรากลับวนาบุรีกันเถอะนะลูกรักของแม่ ทั้งสี่คนเลยนะ เกศสิรินทร์รัตน์ด้วยนะลูก วรยุภัทรจะไปเที่ยวในเมืองด้วยก็ได้นะลูกนะ” มาลีรินทร์พูด “ลูกไม่มีปัญหาหรอกพระเจ้าข้า” พสุธาวาทพูด มาลีรินทร์ยิ้มๆแล้ว “ดีลูก งั้นพรุ่งนี้เราจะกลับวนาบุรีด้วยกัน เออ... แม่เกือบลืมขอบคุณเกศสิรินทร์รัตน์ที่ช่วยพสุธาวาทไว้หนะ” มาลีรินทร์หันไปหาเกศสิรินทร์รัตน์ “ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ชีวิตหม่อมฉันถวายให้พระมเหสี และหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์แห่งวนาบุรีทุกพระองค์ รวมทั้งพสุธาวาท” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “พสุธาวาท ขอบคุณเกศสิรินทร์รัตน์สิลูก” มาลีรินทร์พูด “เสด็จแม่ขอบคุณเกศสิรินทร์รัตน์แล้ว ลูกก็คงไม่ต้องขอบคุณอีก แล้วเกศสิรินทร์รัตน์ก็บอกแล้วด้วย ว่าที่ทำเป็นเพราะสัญญาที่ให้กับเสด็จแม่ ที่ให้กับตัวเอง อย่างนี้ก็เป็นบุญเป็นคุณด้วยเหรอพระเจ้าข้า” พสุธาวาทพูด “เจ้าจะคิดยังไงก็ช่าง” เกศสิรินทร์รัตน์พูดแม้จะแอบเจ็บใจอยู่ลึกๆทุกครั้ง “ทำแค่นี้อย่านึกนะว่าเราจะซาบซึ้ง” พสุธาวาทพูด “ก็เราก็ไม่ได้นึกว่าเจ้าจะซาบซึ้งนี่นา” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “พรุ่งนี้เดี๋ยวกลับวนาบุรีไป เจ้าก็ต้องไปอยู่กับมเหสีวิฤดีอีก เจ้าคงไม่ทรยศรายงานนางไปซะหมดเปลือกนะว่าพวกเราเป็นยังไงกันบ้าง” พสุธาวาทพูด “พสุธาวาท พอแล้วได้ไหมลูก พสุธาวาทของแม่เป็นคนดี ว่าง่าย แต่กับเกศสิรินทร์รัตน์ ทำไมลูกต้องแข็งกร้าวทุกครั้ง” มาลีรินทร์ถามลูกชาย “ลูกก็ไม่รู้ ลูกไม่ได้ทำอะไรที่แข็งกร้าวนี่พระเจ้าข้า ลูกก็แค่พูดตามที่เห็นๆกันอยู่” พสุธาวาทพูด มาลีรินทร์ถอนใจและส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พระมเหสีเพคะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะสู้หน้าเสด็จแม่วิฤดีได้ยังไง” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “สมน้ำหน้าอยากทำตัวเป็นนกสองหัวเองหนิ สมแล้ว” พสุธาวาทพูด “พสุธาวาท พอทีเถอะ เกรงใจเสด็จแม่บ้างสิ ต่อพระพักตร์นะ” ประกายเพลิงพูด “เกศสิรินทร์รัตน์ เจ้าอยู่กับแม่ เจ้าเป็นลูกแม่ดีกว่านะ อย่าไปอยู่กับมเหสีวิฤดีเลยแม่ห่วงความปลอดภัยเจ้า” มาลีรินทร์พูด “มเหสีวิฤดี คงไม่คิดทำร้ายใครถึงตายหรอก” ธารารักษ์พูด “รู้ได้ไงว่าไม่คิด ที่เราต้องพรากจากเสด็จพ่อ เสด็จแม่นี่ ไม่ใช่เพราะนางคิดจะฆ่าพวกเราเหรอ” ประกายเพลิงพูด “ใช่ วิฤดีเป็นคนขี้อิจฉา” วาตการณ์พูด “แต่พวกเจ้าก็ยังไม่มีใครเลยพบวิฤดีนี่นาลูก” มาลีรินทร์พูด “แค่ที่เห็นๆกันอยู่ก็ชัดแล้วหละพระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด
บนเรือนแก้วผลึกใส งดงามประดับระยับแวววาว แสงทองที่ส่องลอดเข้ามา ช่างสดสวยเหลือเกิน อากาศยังเย็นเยือก หมอกยังลงจางๆอยู่ ดวงดาราเป็นร้อยเป็นพันที่ล่องลอยอยู่ในยามทิวาราตรีต่างทยอยดับแสงกันไปหมด ยามเช้าแบบนี้บรรยากาศช่างสดชื่นรื่นรมย์เหลือเกิน
เด็กทั้งสี่คน แห่งจตุรธาตุ รวมทั้งเกศสิรินทร์รัตน์ต่างพากันก้มลงกราบท่านฤๅษี ท่านตาเจ้าขาหลานก็จะไปอยู่แล้ว ตกลงหน้าที่ที่ว่านั่นคืออะไรเหรอเจ้าคะ” ประกายเพลิงพูด “เมื่อกลับไปอยู่ในวนาบุรีเสียสักพักหรือระหว่างทาง สิ่งที่พระธิดารอคอยก็จะก้าวเข้ามาทักทายจนตั้งตัวไม่ติด แต่ขอให้ทุกคนจงจำไว้ว่า หน้าที่ที่ว่านี้ยิ่งใหญ่มาก นั่นหมายถึงมนุษย์ทั่วทั้งผืนปฐพีฝากความหวังไว้เพียงที่เดียว พระโอรสและพระธิดาต้องรักกันให้มาก ต้องสามัคคีกัน ภาระนี้มันใหญ่อาจต้องแลกกับหลายอย่าง อาจจะต้องทุกข์ทนในช่วงเวลานั้น หากแต่มีปัญหาอะไรก็มาหาตาได้” ท่านฤๅษีพูด “ขอรับ หลานจะจำไว้” พสุธาวาทพูด “พวกเราคงต้องเดินทางกันแล้ว ลูกต้องกราบลาท่านฤๅษีด้วยนะเจ้าคะ ลูกแม่ กราบลาท่านตาสิลูก” มาลีรินทร์พูด เด็กทั้งห้าก้มลงกราบท่านฤๅษีอย่างนอบน้อม
เดินอยู่ในป่า มาลีรินทร์ท่าทางจะเหนื่อยมากแล้ว “เสด็จแม่ เหนื่อยแล้วเหรอพระเจ้าข้า” วาตการณ์เดินเข้ามาหาพระมารดา “หยุดพักก่อนก็ได้นะเพคะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด ประกายเพลิงถูกเสี้ยนหนามบาดขาจนได้แผล “บ้าเอ๊ย... ไปตายซะเถอะไอ้หนามบ้า” ประกายเพลิงอารมณ์เสียแล้ว มาลีรินทร์ได้ที่นั่งพักแล้วก็นั่งลง ประเพลิงเองก็นั่งลงดูแผลตัวเอง “เราจะไปเก็บผลไม้” พสุธาวาท และ เกศสิรินทร์รัตน์พูดพร้อมกัน “นี่เจ้าแย่งเราอีกแล้วเหรอ” พสุธาวาทไม่ค่อยพอใจ “อะไรหละ เราไม่แย่ง” เกศสิรินทร์รัตน์ไม่พอใจเช่นกันที่ถูกกล่าวหา “ไปกันทั้งคู่นั่นแหละ” วาตการณ์ตะโกนบอกตัดปัญหา เมื่อทั้งสองแยกออกไป มาลีรินทร์หาวนิดหน่อย “ค่ำเร็วจังเลยนะเพคะเสด็จแม่” ธารารักษ์ชวนมาลีรินทร์คุย ตอนนั้นประกายเพลิงก็เจ็บแผลมากจะลุกจะดินก็เจ็บ แต่ก็ไม่มี... ไม่มีใครช่วยดูแล ไม่มีใครช่วยดูแล ไม่มีใครคอยถามอย่างห่วงใย ตะวันก็คล้อยลงเรื่อยๆ วาตการณ์ กับ วรยุภัทร ก็ช่วยกันก่อไฟ ประกายเพลิงมองรอบๆ “โถ่ ไม่มีใครสนใจจะมาถามเราเลยรึไง ว่าแผลบ้าเนี่ยไปโดนอะไรมา” ประกายเพลิงไม่พอใจที่ทุกคนเมินตนไป
ค่ำลงเรื่อยๆ ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แต่ละคนนั่งกินผลไม้กันจนอิ่มหนำ ความเหน็ดเหนื่อยและอากาศร้อนในตอนกลางวันเริ่มจางหาย แทนที่มาด้วยอากาศเย็น ประกายเพลิงยังก้มๆเงยๆมองแผลของตนเหมือนพยายามเรียกร้องความสนใจ ธารารักษ์ลุกขึ้นและเดินมาหาวรยุภัทร “เจ้าชอบโลกมนุษย์ไหม” ธารารักษ์ถาม “ไม่รู้สิ” วรยุภัทรพูด ยิ่งเป็นแบบนั้นประกายเพลิงยิ่งไม่พอใจที่ไม่มีใครมาทักถาม แต่วรยุภัทรลุกขึ้นเดินมาหาประกายเพลิงอย่างเป็นมิตร “เจ้าไปโดนอะไรมา” วรยุภัทรพูด “เสี้ยนหนามบ้าๆในป่าเนี่ยแหละ โอ๊ย... เจ็บจะแย่อยู่แล้ว” ประกายเพลิงพูด “เราก็โดนเหมือนกัน แต่มันไม่ได้บาดเรามากเท่ากับเจ้า” วรยุภัทรพูด ประกายเพลิงยิ้มๆนิดหน่อย ว่าอย่างน้อยยังมีคนถาม วรยุภัทรเดินแยกไปแล้ว ธารารักษ์เดินมา “ไปส่งหน่อยได้ไหม เราจะไปหาฟืนแถวนี้มาเพิ่ม” ธารารักษ์พูด ประกายเพลิงเชิดหน้าทำเมินไม่สนใจ ธารารักษ์ถอนหายใจแรงๆหนึ่งครั้ง และเดินชนประกายเพลิงไป ประกายเพลิงหันไป ท่าทางเจ็บไม่เบา สีหน้าไม่พอใจ ประกายเพลิงไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เพราะยังไงก็พี่น้อง ประกายเพลิงจึงนั่งลงแตะแขน “โอ๊ย... โง่... คนเจ็บอยู่แล้ว เมื่อยอยู่แล้วยังจะชนอีก” ประกายเพลิงได้แต่บ่นอยู่แค่นั้น
ตกกลางคืน วรยุภัทรราชธิดากินรีน้อยนั้นนอนแน่นิ่งหลับใหลอยู่แถวๆโคนต้นไม้ อยู่กับธารารักษ์ ประกายเพลิงเองก็หลับสนิทเช่นกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ วาตการณ์ หลับอยู่บนต้นไม้ พสุธาวาทเองก็อยู่บนกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่ง เกศสิรินทร์รัตน์นอนใกล้ๆกับมาลีรินทร์ มาลีรินทร์เองก็หลับลึกอยู่ใต้ต้นไม้ สายลมค่อยๆพัดมาแผ่วๆ น้าผีมาพอดี “อ่าว หลับกันซะหมดเลย แล้วอย่างนี้น้าผีจะอยู่กับใคร ไปดีกว่า” น้าผีพูดและไปไหนก็ไม่รู้
ดึงขึ้นทุกที สายลมเย็นเยือกพัดแผ่วเข้ามาช้าๆ กองไฟที่ก่อไว้ก็เริ่มมอดลงไปบ้างแล้ว แสงลึกลับแสงหนึ่ง ฉาดฉายกระจ่างวาบ พาร่างของมเหสีมาลีรินทร์หายไปด้วย เด็กๆยังคงหลับไม่รู้สึกตัวเลยสักคน กระทั่งรุ่งเช้า “เพราะเจ้า เจ้านอนกับเสด็จแม่ ทำไมเจ้าไม่ดูแลเสด็จแม่ให้ดี” พสุธาวาทคอยหาหนทางยัดเยียดความผิดให้เกศสิรินทร์รัตน์ทุกครั้ง “อะไรกัน อะไรก็ลงที่เราอยู่เรื่อย แล้วเมื่อคืนทำไมเจ้าไม่ตื่นมาเฝ้าเองหละ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เจ้ามันไม่เอาไหน ถึงไม่มีใครต้องการเจ้า แม้แต่พ่อแม่ของเจ้าเอง” พสุธาวาทพูด “รู้ได้ไงว่าพ่อแม่ของเราไม่ต้องการเรา” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “ก็ถ้าต้องการ จะปล่อยเจ้ามาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเหรอ ซ้ำยังถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพ่อแม่ของเจ้ารักเจ้า จะปล่อยให้ลูกรักอย่างเจ้าโดนแบบนี้เหรอ” พสุธาวาทพูด เกศสิรินทร์รัตน์พยายามไม่เชื่อ ไม่เชื่อคำพูดลอยของพสุธาวาท แต่ก็ทนไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อสภาพที่เห็นๆกันอยู่ ก็เป็นอย่างที่พสุธาวาทพูดทั้งสิ้น เกศสิรินทร์รัตน์ เด็กผู้หญิงผู้เข้มแข็ง เก่งกาจไม่แพ้ผู้ชายถึงกับน้ำตาคลอ “พสุธาวาทนี่คนนะ เจ้าจะพูดจาอะไร ใส่ใจความรู้สึกเกศสิรินทร์รัตน์บ้างสิ หรือว่าเจ้าไม่มีสมอง” ประกายเพลิงพูด “ไม่เป็นไรประกายเพลิง ที่เค้าพูดมันก็จริงอยู่ เรามันตัวปัญหา อยู่ที่ไหนก็คอยสร้างแต่เรื่อง พ่อแม่ของเราถึงไม่ต้องการเรา จำเอาไว้นะพสุธาวาท ถึงชีวิตของเราจะไม่มีใครต้องการ แต่กับพระมเหสีมาลีรินทร์ หรือว่าเสด็จแม่แล้ว เราคือลูกของพระองค์” เกศสิรินทร์รัตน์พูด อยู่ๆก็มีแสงฉายวาบขึ้นมาอีกที แสงนี้ดูช่างร้อนแรงแสงกล้าเหลือเกิน แสงนั้นเจาะจงส่องใส่เกศสิรินทร์รัตน์โดยเฉพาะแสงนั้นเองเอาตัวเกศสิรินทร์รัตน์ไป ประกายเพลิงวิ่งเข้ามาอยู่ที่เกศสิรินทร์รัตน์หายไปสีหน้าตื่นตกใจ “อะไรกันเนี่ย” ประกายเพลิงพูด “ฝีมือสุริยะเทพ” วาตการณ์พูด “แล้วเรื่องเสด็จแม่ของพวกเจ้าหละ... จะใช่ฝีมือสุริยะเทพรึปล่าว” วรยุภัทรพูด “ถ้าไม่ใช่สุริยะเทพ แล้วจะเป็นใครไปได้” พสุธาวาทพูด “ก็ฝีมือข้าไง” น้ำเสียงเหี้ยมๆดังมา ทุกคนรีบหันมองหาต้นเสียง
ตัวอย่างตอนต่อไป
“ลูกเอ๋ย ลูกรักทุกคนของแม่ ขออย่าให้ลูกแม่มาถึงที่นี่เลย แม่ยอมตาย ยอมทุกอย่าง ขออย่าให้เจ้าต้องเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อแม่เลย ในนี้ช่างน่ากลัวนัก มีแต่ความมืด มีแต่เสียงอะไรน่ากลัวน่ากลัว แม่เห็นตั้งแต่ก้าวแรก มันช่างมีอันตรายแฝงอยู่มากมายเหลือเกิน อย่าได้เข้ามาช่วยแม่เลย ลูกรัก หากเจ้ามาแล้ว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจเจ้าจงกลับไปเสียเถอะลูกเอย....” พูดไปก็ร่ำไห้ แม่ทุกคนรักลูก ดูแลฟูมฟักมาตลอดเวลา แต่กับมเหสีมาลีรินทร์แล้ว ทำได้เพียงร่ำไห้ อาลัยหาลูก เป็นห่วงลูก พระนางถูกพรากลูกไปเป็นเวลาหลายปี เหมือนถูกควักดวงใจออกไป และแล้ว โชคชะตาก็พาพระโอรส และ พระธิดากลับสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของพระมารดา แต่ตอนนี้สิ ต่างคนต่างตกอยู่ในอันตราย
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ... ตรี คทา จักร สังข์ อาวุธของพวกเจ้าไงหละ” นรกานต์พูด ทั้งสี่พี่น้องหันมองหน้ากัน “อย่านะลูก... อย่า...” มาลีรินทร์ส่ายหน้า “แค่นั้นเหรอ” ประกายเพลิงพูด “ปล่าว... มีจตุรศัสตราแล้ว ก็ต้องมีจตุรธาตุด้วย หรือจะเรียกง่ายๆว่า ชีวิตพวกเจ้า” นรกานต์พูด มาลีรินทร์มีสีหน้าตกใจ “ไม่นะ ลูกแม่” มาลีรินทร์ส่ายหน้า
ความคิดเห็น