คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : กำเนิดจันทรัตน์ขัตตินะนารี และ มรกตจรนาวดี
“รติวุฒิ...” เสียงนี้เพรียกขึ้นด้วยความแปลกพระทัยเป็นหนักหนา ในความน่าแปลกใจ นอกจากจะแปลกใจที่ได้เห็นรติวุฒิมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น รติวุฒิทรงเครื่องยศสูงศักดิ์ และ อาจดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าพระธิดาสร้อยสายเพชรด้วยซ้ำ “พระโอรสรติวุฒิต่างหากหละลูก สร้อยสายเพชร” เสียงของพระมเหสีกรกนกแว่วมาสะกิดใจพระธิดาของนางให้หลุดจากภวังค์แห่งความงุนงง แต่นางก็ยังแปลกใจอยู่ดี “เราคือเจ้ารติวุฒิ ทายาทแห่งอสุรเวหานคร” รติวุฒิพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “ไม่... เจ้าคือรติวุฒิ ยักษ์น้อยที่กำลังจะหนาวตายในป่าถ้าเราไม่ช่วยไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน” สร้อยสายเพชรพูด “รติวุฒิคนนั้นก็คือหม่อมฉันคนนี้ ไม่ว่าหม่อมฉันจะเป็นใคร หม่อมฉันก็ไม่เคยรู้สึกกับใคร เท่าที่รู้สึกพระองค์เลย พระธิดา... ทรงให้เกียรติหม่อมฉัน โดยการเสด็จไปเป็นมิ่งขวัญแก่อสุรเวหานครด้วยเถอะ” รติวุฒิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่หวั่นเกรงใดๆ แต่ให้เกียรติพระธิดาสร้อยสายเพชรอย่างที่สุด องค์เหนือหัว และ พระมเหสีต่างยิ้มและสบพระเนตรกันด้วยความเห็นพ้อง แต่คนที่พูดอะไรไม่ออก และ ทำอะไรไม่ถูกมีอยู่นางหนึ่งคือพระธิดาสร้อยสายเพชร “รู้ใช่ไหมว่าเรารักใคร” สร้อยสายเพชรพูด “พระธิดาก็รู้เช่นกัน ว่าหม่อมฉันรักใคร” รติวุฒิยังยืนยันหนักแน่น “ว่ายังไงสร้อยสายเพชร” องค์เหนือหัวฤทธิ์นาทรับสั่ง “ตกลงเพคะ หม่อมฉันเลือก ที่จะไปอยู่นครอสุรเวหากับพระองค์” คำนี้ถูกเอ่ยขึ้นจากปากธิดาราชผู้แข็งกร้าว คุณท้าวกานดายังหันมองนางด้วยความแปลกใจ “พระธิดา” คุณท้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สร้อยสายเพชรพยายามฝืนกลั้นน้ำตาที่คลออยู่
สูงสุดทัดเทียมเทียบเลียบกับสรวง มีวังหลวงตระหง่านงามนามลือเลื่อง
คือเวียงแก้วแววฟ้ารดาเรือง ถิ่นประเทืองเรืองยศด้วยรจนา
องค์อสุราพานางเที่ยวชมถิ่น นางถวิลหมองเศร้าเจ้ายี่หวา
สร้อยสายเพชรหม่นหมองนองน้ำตา ราชธิดาเสด็จมาด้วยอาลัย
นครินทร์ปิ่นแก้วแววระยับ ไม้ประดับแปลกตาน่าหลงใหล
สถาปัตย์สร้างด้วยแก้วแวววิลัย แปลกไฉนใยน้องหมองชีวา
บุปผารัตน์พันธุ์งามนามขึ้นชื่อ ที่เลื่องลือคือยอดแห่งพฤกษา
อสุราอดิศรกษัตรา ทูนทั้งหล้าถวายให้พระน้องนาง
แต่แววตาก็หารื่นรมย์ไม่ แวววิสัยลึกลับเหมือนกับสาง
ทั้งแก้วแหวนภรณ์ทองมากองวาง ยังเมินหมางไม่สนใจและใยดี
พระตำหนักแก้วในนคราอสุรเวหานคร หรือ เวียงแก้วกลางหาว“พระธิดาสร้อยสายเพชร... หม่อมฉันสุดจะหาสิ่งใดมาให้แล้ว เมื่อไหร่จะทรงแย้มพระโอษฐ์บ้าง ทั้งบุปผารัตน์ดอกไม้ขึ้นชื่อแห่งอสุรเวหานคร ทั้งแก้วแหวนอาภรณ์งามๆ เที่ยวชมเมืองจนทั่ว ก็ยังทำพระพักตร์เศร้าตรมอยู่แบบนี้ หม่อมฉันทรมานใจมาก พระธิดาทรงรับรู้บ้างไหม” รติวุฒิพูด “หม่อมฉันมาที่นี่ ก็แต่ตัว แต่ใจ... ไม่ได้อยู่กับพระองค์” สร้อยสายเพชรยังแข็งกร้าวเหมือนเดิม
สูรยานภากระจ่างแสง สุดร้อนแรงแผลงเพลิงเริงเรืองศรี
พินทุแขเคียงอยู่คู่ราตรี ดวงมณีวิภูษานภาพรรณ
ต่างสลับสับเปลี่ยนและเวียนหมุน ราชนิกุลผู้จุติจากสวรรค์
จะกำเนิดพร้อมสรรพาวุธครัน มุกสวรรค์จักกำเนิดราชเทวี
เยาวมาลย์เจ็บครรภ์ครันเจ็บขา เจ้าลูกยาจะประสูติแล้วหรือนี่
จะเป็นราชบุตรฤๅเป็นบุตรี ทิวานี้แม่จักได้ประจักษ์ใจ
เสียงแวแวแว่วหวิวปลิวเข้าหู ยอดพธูเหลียวมองด้วยสงสัย
เกิดหลงรักลูกรักสนิทใน เจ้าดวงใจของแม่เป็นนารี
มีแหวนงามน้ำเนืองเรืองจรัส มณีรัตน์สุกใสไม่หมองศรี
มุกดาหารสร้อยสอดยอดมณี แหวนวงนี้ติดตัวของเจ้ามา
นางเทวีโอบกอดเจ้ายอดรัก ผูกสมัครหลงรักเจ้ายี่หวา
อดิศรแอบมองทาริกา องค์ศักดาแอบยิ้มพิมพ์สุขใจ
“ลูกแม่... ลูกเกิดมาพร้อมกับแหวนมุกดา แม่จะเรียกเจ้าว่าอะไรดีหนอลูกรัก...” สร้อยสายเพชรโอบกอดลูกน้อยพลางนึกชื่อ “ไข่มุก... จันทรัตน์ ใช่ จันทรัตน์แปลว่าไข่มุก ลูกจ๋า เจ้าชื่อ จันทรัตน์ ขัตติยะนารี แม่จะเรียกเจ้าว่า จันทรัตน์” สร้อยสายเพชรพูดอย่างปลาบปลื้มใจ
ไกลสุดไกลภายใต้คุ้งน้ำหนึ่ง มีแดนซึ่งพิศวงน่าสงสัย
อยู่ภายใต้คุ้งน้ำงามอำไพ คือเมืองใหญ่อยู่ใต้สายนที
อันเวียงวังวิจิตราน่าหลงใหล หนึ่งเทพไท้นิรมิตวิศิษฏ์ศรี
นาคราชน้อยใหญ่ไพร่พลมี เฝ้าอยู่ที่ตรงหน้าทวารา
เสียงหวีดร้องก้องกรรณก็ดันแว่ว กำเนิดแล้วนาคน้อยกลอยใจข้า
นพมาศราชเทวีศรีสุดา อุ้มลูกยาดื่มนมชื่นชมใจ
นางพิศมองแหวนแก้วมรกต ที่เรืองยศรจนาน่าสงสัย
ธำมรงค์วงน้อยพลอยพิไล สมฤทัยบิตุรงทรงศักดา
แดนสมุทร ใต้บาดาลอันกว้างสุดลึกล้ำเหลือจะกำหนดวัดได้ ใต้สุดในท้องนที นคราหนึ่งงดงามด้วยเกล็ดแก้วแวววับสีพฤกษางดงามเกินจะพรรณนา ภายในนั้น นพมาศราชเทวีโอบอุ้มทาริกาน้อยด้วยความชื่นชมยินดี เคียงข้างพระสวามีของนาง “แหวนมรกต... งามเหลือเกินนะเพคะ” นพมาศพูด “มรกต... มรกต รจนาวดี เจ้าว่าเพราะไหมนพมาศ” เจ้าแห่งแดนสมุทรรับสั่ง “เพคะ องค์มัศวุฒิกษัตริย์ เจ้าแห่งแดนสมุทร” นพมาศกล่าวยกยอ “ดวงใจของพ่อ... พรุ่งนี้พี่จะเรียกโหรมาทำนายชะตาของลูก” มัศวุฒิพูด
วันรุ่งขึ้น ท้องพระโรงอันประดับพระดาด้วยเกล็ดแก้วสีพฤกษา เหนือพระราชบัลลังก์ องค์เหนือหัวมัศวุฒิ เคียงด้วยพระมเหสีนพมาศที่โอบอุ้มพระธิดามรกต ทาริกาน้อยเอาไว้ “ว่ายังไงโหรหลวง ดวงชะตาของมรกตเป็นเช่นไร” มัศวุฒิเอ่ยขึ้นด้วยความสนพระทัย “ทูลองค์เหนือหัว พระมเหสี ดวงพระชะตาของพระธิดา มรกต รจนาวดี โดยรวมแล้ว พระธิดาทรงเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มาจุติ แต่จะมีเหตุให้ต้องพรากจากบ้านเมืองไปในระยะหนึ่ง แล้วจะกลับมาโดยปลอดภัยพระเจ้าข้า การจากบ้านเมืองของพระธิดาไม่น่าเป็นห่วง จะได้ทรงพบกับใครสักคน ที่เป็นคู่บุญญาบารมีเสมอกัน” โหรทูล
นภาภัทรนคร นคราอันวิจิตรพิสดารด้วยสถาปัตย์ที่งดงามเกินจะพรรณนา พระราชตำหนักหนึ่ง “คนที่เจ้าพี่ และลูกจะสู้ด้วยนั้นเป็นยักษ์นาหรอเพคะ” พระมเหสีแห่งนคราเอ่ยขึ้น “อย่าตกพระทัยไปเลยนะพระเจ้าข้าเสด็จแม่ นิตย์นภา ในเมื่อพวกยักษ์มารุกรานเรา เราก็ต้องไปเจรจาดูก่อน” พระโอรสนภราชรับสั่ง “ใช่ พี่กับลูกไม่บุ่มบ่ามทำอะไรโง่ๆหรอก” กษัตริย์แห่งนครานั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าพี่ภัทราช... ขึ้นชื่อว่ายักษ์มาร หากเสด็จไปเจรจาแล้ว ไม่ได้กลับมาหละเพคะ” พระมเหสีนิตย์นภาพูดอย่างกังวล “โถ่เสด็จแม่ ลูกก็มีฝีมือนี่พระเจ้าข้า เสด็จพ่อลูกขออาสาทำงานนี้เอง” นภราชพูด พระมเหสีนิตย์นภารั้งแขนพระโอรสไว้ “ไม่นะลูก...” นางพูด “ลูกไม่ห่วงอาลัยสิ่งใดแล้ว ทั้งลูก ทั้งเมีย ถูกเวรกรรมพรากไปจนสิ้น ตอนนี้ใจลูกคิดแต่เรื่องเดียวคือศึกพระเจ้าข้า ศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกพร้อม... แม้แต่ชีวิตก็ยอมสละได้ในศึกครั้งนี้” นภราชพูด “แต่แม่สิลูก แม่หนะทนไม่ได้ แม่ทนที่จะให้ลูกของแม่เป็นอะไรไปไม่ได้ แม่ไม่มีใครแล้วนะนภราช มีเจ้าคนเดียวนะลูก” นิตย์นภาพูด “เจ้าก็ยังมีหลานนพคุณไง นิตย์นภา” ภัทราชกษัตริย์รับสั่ง “นพคุณไปอยู่หนใดไม่มีใครหาเจอแล้วหละพระเจ้าข้า” นภราชพูดด้วยความสิ้นหวัง
อสุรเวหานคร ตำหนักหนึ่ง “นึกว่าใคร... ที่แท้ ก็ท่านเองหรอกรึ ที่กล่าวหาว่าเราส่งคนไปรุกรานเมืองท่าน” รติวุฒิพูด “ที่แท้ก็ท่าน ที่ส่งคนมารุกรานเรา” นภราชพูด “เราไม่ได้ทำ... ยักษ์ที่อยู่ในเมืองท่าน เป็นนักโทษที่เนรเทศออกไป เราไม่มีความเกี่ยวข้อง และไม่ขอรับผิดชอบ” รติวุฒิพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทรงศักดิ์น่าเกรงขาม “แต่นั่นก็เป็นนักโทษของท่าน ท่านขับให้พ้นเมืองท่านแล้ว ปล่อยให้มารุกรานเมืองเรา ยิ่งเป็นยักษ์ เป็นมาร ท่านนั่นแหละที่จะต้องจัดการกับคนของท่านให้เด็ดขาด” นภราชพูด “แต่ยักษ์พวกนั้นไม่ใช่คนของเรา” รติวุฒิปฏิเสธ “ทำไมท่านจึงไร้ความรับผิดชอบเพียงนี้” นภราชพูด “ใครกันแน่ที่ไร้ความรับผิดชอบ ยังมีภูมิหลังเลวๆบางอย่าง ที่ท่านทำโดยไม่รู้ตัว ท่านอยากจะรู้ไหมหละ” รติวุฒิพูด “เรื่องอะไรที่เราทำ... เท่าที่จำความได้ ก็มีแต่ท่านเท่านั้นที่ทำ แล้วเรื่องลูกเมียของเรา เป็นฝีมือของท่านด้วยรึเปล่า” นภราชพูด “เรื่องอะไรที่เราต้องทำแบบนั้น” รติวุฒิพูด “ก็เพราะความรักไงหละ ที่ท่านรักสร้อยสารเพชร ท่านนิรมิตทุกสิ่งให้นางได้ นางเกลียดสุวรรณลักษณา ทำไมเราจะดูไม่ออก” นภราชพูด “สร้อยสายเพชรไม่ได้เกลียดสุวรรณลักษณา และนางรักเจ้าต่างหากหละนภราช รู้ตัวไหมว่านางรัก เราว่าเจ้าก็รู้อยู่แล้วนะ เอาเป็นว่าเตรียมทัพไว้แถบชายแดนให้ดีๆเถอะ เราจะบุกไปเอาเมืองของท่าน มาเป็นเมืองของเรา” รติวุฒิเริ่มโกรธ “ไหนท่านบอกว่ายักษ์พวกนั้นไม่ใช่คนของท่าน ท่านไม่ได้คิดที่จะรุกรานเรา แต่นี่ ท่านได้ลั่นวาจาออกมาเอง ว่าจะบุกเมืองเรา ได้ เราจะรอ...” นภราชก็พอกันเวลานั้นกำลังเข้าใจผิด “กว่าทัพเราจะเข้าประชิดชายแดนท่านก็คงอีกเป็นเดือนๆ เพราะเราจะให้เวลาท่านเตรียมทัพให้พร้อมก่อน” รติวุฒิพูด “ได้... การศึกครั้งนี้ ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ให้เอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน” นภราชพูด
ความคิดเห็น