คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : จะรอดไหมนะวนาบุรี
ที่เขตป่าแสงตะวัน ธิดาราชแห่งสุริยะเทพยังคงถูกกักขังไว้ในตำหนัก สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าเบื่อหน่ายที่นี่เหลือเกิน สุริยะเทพ และ อาทิตยกรเดินเข้ามาหา “อัปสรสิรินทร์ลูกพ่อ” สุริยะเทพพูด เกศสิรินทร์รัตน์หันไปมองต้นเสียง “หม่อมฉันไม่ได้ชื่ออัปสรสิรินทร์ แล้วหม่อมฉันก็ไม่ใช่ลูกพระองค์” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เกศสิรินทร์รัตน์ เสด็จพ่อรักเจ้ามากแค่ไหน อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย ถ้าเสด็จพ่อไม่รักเจ้า เสด็จพ่อคงไม่เคืองใจจตุรธาตุถึงเพียงนี้” อาทิตยกรพูด “ถ้าเจ้าจะบอกว่าเราคือต้นเหตุที่ทำให้องค์สุริยะเทพตามล่าจตุรธาตุ... ก็ได้เรายอมรับ แต่เราจะไม่รับองค์สุริยะเทพเป็นพ่อ ไม่รับเจ้าเป็นพี่ เพราะเรามีเสด็จพ่อวนาวุฒิ เสด็จแม่มาลีรินทร์ แล้วก็พี่ๆของเราอีกถึงสี่คนอยู่แล้ว เราไม่ต้องการ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “ก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปนี้จะออกไปนอกตำหนักได้ แต่พ่อก็ยังต้องขอกักขังเจ้าไว้ในป่าแสงตะวัน พ่อไม่อยากเสียเจ้าไปอีก” สุริยะเทพพูด ทันใดนั้นมีเทพบริวารเข้ามา “ท่านนรกานต์มาขอพบพระเจ้าข้า” เทพบริวารพูด สุริยะเทพมองพระธิดาอย่างเหนื่อยใจและเดินออกไป อาทิตยกรส่ายหน้า คิดให้ก่อนนะ เกศสิรินทร์รัตน์” อาทิตยกรพูดและเดินตามพระบิดาออกไป
นรกานต์มาพบสุริยะเทพ เรื่องเทพจตุรธาตุนั่นเอง “ท่านเองก็ต้องการแก้แค้นไม่ใช่หรือ” นรกานต์พูด “อืม... งั้นตกลง เราจะร่วมมือกับเจ้า สร้างอาวุธที่ทรงอานุภาพ ร้ายแรงจากจตุรธาตุ จตุรศัสตรา” สุริยะเทพพูด “งั้นพรุ่งนี้เราจะไปบุกบ้านเมืองของพวกมันกัน” นรกานต์พูด “ตกลง” สุริยะเทพพูด “พรุ่งนี้งั้นเหรอ” เกศสิรินทร์รัตน์ที่แอบฟังอยู่พูดอย่างตกใจ
ริมทะเล เด็กผู้หญิงสองคนเดินเล่นอยู่ นั่นก็คือ ธารารักษ์ กับ ประกายเพลิงนั่นเอง “ออกมาเที่ยวแบบนี้ถ้าเสด็จแม่ทรงกริ้วขึ้นมา ต้องแย่แน่ๆ” ธารารักษ์พูด “ไม่หรอก เสด็จแม่ใจดีจะตายไม่กริ้วง่ายๆ” ประกายเพลิงพูด สองพี่น้องเดินเที่ยวไปและต้องชะงักอีกทีเมื่อมีลูกนาคราชตนหนึ่งเลื้อยขึ้นฝั่งมา นาคราชน้อยตนนั้นกลายร่างเป็นเด็กผู้ชาย ชลากรนั่นเอง “อ๋อ... นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกเจ้านี่เอง” ชลากรพูด “ก็นึกว่าใครเหมือน ทำไม จะมาเอาสังข์คืนรึไง หรือว่าเจ้ายังไม่เข็ดนะ” ประกายเพลิงพูด “ประกายเพลิง นี่เราเอาของเค้ามานะ” ธารารักษ์พูด “เราไม่สนใจหรอกนะ ในเมื่อมันเป็นของเราไปแล้ว” ประกายเพลิงพูด ธารารักษ์ถอนหายใจ “ช่างเถอะเราไม่มาเอาคืนหรอก เออ... ประกายเพลิงเราขอดูกำไลนั่นชัดๆทีได้ไหม” ชลากรพูด “จะดูทำไม” ประกายเพลิงพูด “ก็เราก็แค่อยากเห็นชัดๆ” ชลากรพูด ประกายเพลิงค่อยๆยื่นมือให้ “ถอดออกมาก่อนได้ไหม” ชลากรพูด “ไม่ได้ เราไม่ถอด” ประกายเพลิงลงเสียงหนักเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเสียแล้ว “ก็ได้ๆ” ชลากรพูด และมองกำไล พิเคราะห์ดูอย่างดี ธารารักษ์เองก็มองกำไลนั่นอย่างพิเคราะห์ด้วยเช่นกัน “เราว่าเรามีความผูกพันกับกำไลนั่น” ชลากรพูด “ผูกพัน...” ประกายเพลิงพูดน้ำเสียงแปลกใจ “ใช่... ผูกพัน เหมือนกับ... หัวใจเราอยู่ที่นั่น” ชลากรพูด “จะบ้าเหรอ แค่กำไลธรรมดา” ประกายเพลิงพูด “ไม่... มันไม่ธรรมดาหรอก” ธารารักษ์พูด ทุกคนต้องหันมามองธารารักษ์ “มันเป็นคำมั่นสัญญา” ธารารักษ์พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ประกายเพลิงยิ่งแปลกใจไปอีก “พูดอะไรของเจ้า” ประกายเพลิงพูด ธารารักษ์ตกใจนิดหน่อยก่อนจะได้สติ “ปล่าว” ธารารักษ์พูด
ในป่า ประกายเพลิง และ ธารารักษ์เดิน ชลากรเดินตามมา ประกายเพลิงหยุดเดิน “นี่เจ้าจะตามมาทำไม เราจะกลับวนาบุรี” ประกายเพลิงพูด “ขอตามไปเที่ยวเมืองของเจ้าได้ไหม” ชลากรพูด ประกายเพลิงหันมองธารารักษ์ เหมือนให้ช่วยตัดสินใจ “ให้เค้าตามมาเถอะประกายเพลิง เราว่าไม่เป็นไรหรอก” ธารารักษ์พูด “ถ้างั้นก็ตามใจ” ประกายเพลิงพูด
ที่นครแห่งหนึ่ง ดูสงบสุขร่มเย็น ร่มรื่น เมืองกินรีนั่นเอง เมืองมหานคราที่มีป่าห้อมล้อม มีน้ำตกใสเย็น มีหมู่นกบินไปมาดูสดชื่นเหลือเกิน ในตำหนักหนึ่ง “โถ่เจ้าพี่ วรยุภัทรเป็นเด็กนะเพคะ ก็ต้องอยากออกไปเที่ยว เจ้าเล่นไม่ให้ลูกออกไปไหนเลย ลูกก็หนีไปเองหละสิเพคะ” ศกุนนา มเหสีเมืองนี้พูดและโอบกอดเด็กหญิงผู้เป็นลูกสาวไว้ “วรยุภัทร เจ้าอย่าให้พ่อได้โกรธเจ้านะ ถ้าเจ้าทำแบบนี้อีกครั้ง ก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่เอง” องค์วรยุทธ์กษัตริย์เมืองนั้นพูด “แต่ลูกก็กลับมาแล้วนี่เพคะ” ธิดาน้อยเถียงพระบิดา “จริงด้วยเพคะ หม่อมฉันว่า เราควรให้อิสระกับลูกนะเพคะ” ศกุนนาพูด “เจ้าก็ให้ท้ายลูกอยู่เรื่อยแหละ ศกุนนา ตอนนี้มันยามศึก เหล่านาคินทร์จะยึดเมืองกินรีของเราให้ได้ ถ้าพวกนาคราชเจอวรยุภัทรตอนออกไปเที่ยวเล่น มีหวัง...” องค์วรยุทธ์ละไว้ “แต่ลูกเอาตัวรอดได้” วรยุภัทรพูด “เด็กดื้อ พ่อไม่เชื่อเจ้าหรอก” วรยุทธ์พูด
วันต่อมาที่นครอันร่มเย็นเป็นสุข วนาบุรีนั่นเอง โอรสน้อย พสุธาวาท และ วาตการณ์ฟันดาบกันอยู่ เป็นเพียงแค่การฝึกซ้อมรบเพื่อให้ความมั่นใจว่าหากมีศัตรูมาคู่ปรปักษ์มารุกรานจะต้านไว้ได้ และแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหนะขุนวิชิต” วาตการณ์พูด “ข้าพระองค์ก็ไม่เคยเห็นท้องฟ้าวิปริตเช่นวันนี้มาก่อน” ขุนวิชิตตอบ พสุธาวาท และ วาตการณ์ชะเง้อมองท้องฟ้าที่เริ่มแปรปรวนและแสงตะวันที่ค่อยลับดับแสงไป ท้องฟ้ายามนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน จะเกิดอาเพศอะไรกับวนาบุรีนะ
ในตำหนักหนึ่งของวนาบุรี “มาที่นี่อีกทำไม” ประกายเพลิงกำลังตะโกนด่าชลากรอยู่ “ประกายเพลิง ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวเค้าก็ไปเอง” ธารารักษ์พูด และดึงตัวประกายเพลิงกลับมานั่งลงบนแท่น ธารารักษ์และประกายเพลิงนั่งลงบนแท่นแล้ว ชลากรยืนกอดอกอยู่ในตำหนักนั้น วลีเดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ วลีก้มลงกราบทำความเคารพ “หม่อมฉันนำดอกไม้มาถวายเพคะ” วลีพูด ประกายเพลิง และ ธารารักษ์ยิ้มรับ “ขอบใจมากนะ” ธารารักษ์พูด ประกายเพลิงหยิบดอกมาขึ้นมาชื่นชมในมือพร้อมกับธารารักษ์ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกข้างนอก “เสียงอะไรหนะ” ประกายเพลิงพูดและวางดอกไม้ลงก่อนจะพรวดลุกขึ้นยืนทันที ชลากรเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ประกายเพลิง กับ ธารารักษ์รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ประกายเพลิงกวาดสายตามองรอบๆ ทหารและนางกำนันวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวน ดวงอาทิตย์เหมือนจะถูกหยิบออกไปจากฟากฟ้า ไม่มีแสง แม้กระทั่งดวงจันทร์ “แปลก อยู่ๆก็มืดลง ท้องฟ้าตอนนี้น่ากลัวจัง” ธารารักษ์พูด “ท่าไม่ค่อยดีแล้วหละ” ประกายเพลิงพูดและรีบวิ่งออกไปจากตำหนัก “ประกายเพลิง” ธารารักษ์พูดและวิ่งตามไป ชลากรก็รีบตามไปด้วย “พระธิดา” วลีพูด
ข้างนอก ฟ้ามืดครึ้มน่ากลัวเหลือเกิน เด็กสี่คนแห่งจตุรธาตุวิ่งมารวมกัน สุริยะเทพ และ นรกานต์นำทัพใหญ่มา เด็กทั้งสี่ทั้งตกใจ ทั้งแปลกใจ ทุกอย่างมาอย่างไม่ทันตั้งตัว โอรสน้อยนาคราชที่วิ่งตามมาเห็นเข้า ถึงกับต้องหยุดชะงัก สี่พี่น้องหันมองหน้ากันแววตาวิตกกังวลเหลือหลาย “ประกายเพลิง ธารารักษ์ พาเสด็จพ่อ เสด็จแม่ แล้วก็ทุกคนหนีไปก่อนได้ไหม” พสุธาวาทพูด “ได้” ทั้งสองตอบพร้อมกันและรีบวิ่งไป
“วันนี้แหละ บ้านเมืองของพวกเจ้าจะถึงกาลวิบัติ” สุริยะเทพพูด เด็กผู้ชาย สองในสี่ของจตุรธาตุ เรียกสองในสี่ของจตุรศัสตราออกมา ทั้งสองอยู่ในท่าเตรียมพร้อมการต่อสู้ อาทิตยกรโอรสน้อยแห่งแสงสุริยะมองดูตรีศูลในมือคู่ต่อสู้อย่างเคืองแค้น ในเมื่อครั้งนั้นตรีศูลนี้เป็นของตนอยู่ พสุธาวาท และ วาตการณ์ รีบวิ่งเข้าประจัญทันที “ทำลายเมืองนี้ให้ราบคาบ” อาทิตยกรสั่งการ
กลางป่า คนทั้งเมืองวนาบุรีต่างเกาะกลุ่มกันหนีไปหาที่ปลอดภัย โดยมีธิดาราชทั้งสอง สองในสี่ของจตุรธาตุเดินนำทางไปพร้อมเพรียงกับโอรสราชนาคินทร์ เหนือหัววนาวุฒิ และ มเหสีมาลีรินทร์เดินตามพระโอรส และพระธิดาน้อยไป คุณท้าวมิ่งขวัญ วลีเองก็หนีมาเช่นกัน วิฤดี กับ ฤดีรินทร์หนีมาด้วย รวมทั้งคุณท้าวสินี และนางกำนัลอีกหลายคน พวกทหารบางส่วนก็ตามมาเช่นกัน “ชลากร ฝากทีได้ไหมเราจะกลับไปที่วนาบุรี” ประกายเพลิงพูด “ได้...ไม่มีปัญหา” ชลากรพูดอย่างเป็นมิตร “ไปกันเถอะธารารักษ์” ประกายเพลิงหันมาหาพี่น้อง และเด็กทั้งสองคนก็เหาะขึ้นไป “ระวังตัวด้วยนะลูก” มาลีรินทร์ร้องตามพระธิดาทั้งสองไป
ที่ป่าแสงตะวัน “เสวยอะไรหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันเห็นพระธิดานั่งจ้องสำรับมาตั้งนานแล้ว” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ยังกินไม่ได้หรอกจะคุณท้าว เรายอมอดตายอยู่ที่นี่ ต่อหน้าต่อตาคุณท้าวเลย เราขออย่างเดียว ให้เราออกไปจากป่านี้ทีได้ไหม” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “โถ่พระธิดา ยังไงก็ไม่ได้หรอกนะเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “โถ่ คุณท้าวจะดูเราตายไปต่อหน้าตาเหรอ คุณท้าวไม่รักเราแล้วเหรอจ๊ะ” เกศสิรินทร์รัตน์พยายามพูดให้คุณท้าวแสงศิลาใจอ่อน แล้วก็สำเร็จ “ก็ได้เพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด
ตัวอย่างตอนต่อไป
อาทิตยกรมุ่งธารารักษ์เป็นเป้าหมายแรกเพราะธารารักษ์ล้มอยู่แล้วด้วย อาทิตยกรจะใช้กริชแทงธารารักษ์ ธารารักษ์กลิ้งหลบ ประกายเพลิงส่งมือให้ธารารักษ์จับมือพี่น้องไว้แลดึงตัวเองขึ้นประกายเพลิงผลักธารารักษ์ให้ล่วงหน้าไป พลังของตนจะไม่มีอยู่แล้วยังอวดเก่ง ปล่อยพลังเพลิงพิคาตออกมาจากฝ่ามือ “เพลิงพิคาต” ประกายเพลิงพูด
มาลีรินทร์นั่งพักได้สักครู่ก็มีลูกไฟโจมตีมา มาลีรินทร์โชคดีที่หลบทัน มาลีรินทร์รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีลูกไฟไป
ทั้งสี่ต่างก็อ่อนเพลีย พสุธาวาทคิดขึ้นมาได้ “พวกเราไปหาท่านตากันดีไหม ท่านตาอาจช่วยพวกเราได้” พสุธาวาทพูด “อืม... ใช่ท่านตาต้องช่วยได้แน่ๆ” ธารารักษ์พูด
ความคิดเห็น