คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : สิรินทร์รัตน์เทวี-อัปสรสิรินทร์ สองคนนี้คือใคร
เมื่อกำแพงที่ขวางกั้นหายไป เด็กทั้งสี่คนต่างวิ่งเข้าไปหาพระมารดา “เสด็จแม่” ทั้งสี่ร้องเรียกเป็นเสียงเดียวกัน มาลีรินทร์กอดลูกๆทุกคน ราวจะแผ่ความรักความอบอุ่นให้ทั่วถึง ประกายเพลิงสะอึกนิดหน่อย กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้บ้างไม่ได้บ้างกุมมือพระมารดาที่แตะศีรษะไว้ “อุ่นเหลือเกิน ฝ่าพระหัตถ์ของเสด็จแม่ช่างอุ่นยิ่งกว่าเปลวเพลิงเสียอีก อุ่นจนลูกไม่อยากไม่อยากให้ทรงปล่อยมือจากศีรษะของลูก” ประกายเพลิงพูดและก้มลงกราบพระมารดา “เสด็จแม่พระเจ้าข้า” พสุธาวาทก้มลงกราบพระมารดา “พสุธาวาท” มาลีรินทร์เรียกชื่อพระโอรส และโอบกอดไว้อย่างอบอุ่น วาตการณ์กราบมาลีรินทร์และซบลงที่ตัก มาลีรินทร์ลูบศีรษะพระโอรสอีกคนช้าๆอย่างอ่อนโยน ธารารักษ์เองก็อยู่ในอ้อมกอดของพระมารดาด้วย เสียงสะอึกสะอื้นของพระมารดาช่างพาใจเสียยิ่งนัก “ลูกดีใจ ที่เสด็จแม่กอดพวกเราพร้อมๆกัน แต่... เสด็จแม่ยังทรงกันแสง เสด็จแม่ไม่ดีพระทัยเหรอพระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด “แม่ดีใจสิลูก ดีใจ ดีใจที่สุดถึงแม่ตายในวันนี้ แม่ก็ไม่เสียดายชีวิต... แม่โชคดีที่มีพวกเจ้าเป็นลูก... แม่ช่างโชคดีเหลือเกินที่พวกเจ้ารักแม่มากขนาดนี้... พวกเจ้ามีหน้าที่ จะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เพราะแม่คนเดียวไม่ได้หรอกนะลูก” มาลีรินทร์พูด “ทำไมจะไม่ได้ ชีวิตของเสด็จแม่สำคัญที่สุด” ธารารักษ์พูด “ยังไงก็ไม่ได้... ระหว่างแม่คนเดียว กับคนทั้งปฐพี พวกเจ้าไม่ควรเห็นแก่ตัว... ทั้งสี่เป็นสายเลือดกษัตริย์ขัตติยะ พวกเจ้าต้องเสียสละ เข้าใจใช่ไหมลูก” มาลีรินทร์สั่งกับลูกๆทั้งสี่ “ยังไงก็ไม่ได้พระเจ้าข้า เสด็จแม่ก็สำคัญกับพวกเรา พวกเราทิ้งเสด็จแม่ไม่ได้” พสุธาวาทพูด “สั่งเสียกันจบรึยัง พวกเจ้าใช้เวลาเปลืองกันจริงๆ” นรกานต์พูด ทุกคนต่างหันไปหานรกานต์ ทั้งสี่ลุกขึ้น และเรียกอาวุธประจำตัวออกมา มาลีรินทร์ส่ายหน้า “อย่าลูก... ไม่...” มาลีรินทร์พยายามห้าม พระโอรส และ พระธิดาต่างหันมามองพระมารดาอีกครั้งก่อนจะหันไป นรกานต์ยิ้มอย่างพอใจ พสุธาวาทกำลังจะโยนตรีไปและกะทันหันพสุธาวาทกลับใช้พลังของตรีนั่นสาดใส่นรกานต์ วาตการณ์ กระโดดขึ้นยืนบนจักรของตัวเอง และบังคับจักรให้หมุนไปบาดบั่นไพรี “ประกายเพลิง ธารารักษ์พาเสด็จแม่หนีไป” พสุธาวาทพูด ประกายเพลิงรีบประคองพระมารดาลุก “เร็วเข้าเพคะเสด็จแม่” ประกายเพลิงพูด “ระวังนะเพคะ” ธารารักษ์พูดอย่างเป็นห่วงพระมารดา ทั้งประกายเพลิง และ ธารารักษ์ยื่นมือให้มาลีรินทร์ “เสด็จแม่จับมือพวกเราไว้นะเพคะ” ประกายเพลิงบอก มาลีรินทร์ทำตามที่พระธิดาพูดและประกายเพลิง กับ ธารารักษ์ก็กระโดดขึ้นเหาะขึ้นไป “พวกเจ้า... ตามไป” นรกานต์สั่งพวกผีดิบให้ตามขึ้นไป
นรกานต์ยังถูกรุมล้อมด้วยตรีศูล และ กงจักร ทั้งสองศัสตราต่างทรงอานุภาพ จักรถูกบังคับลอยมาฟาดฟันนรกานต์ แต่นรกานต์ก็หลบได้ทุกครั้ง ส่วนพลังของตรีศูลนั้นแผ่กระจายเป็นวงกว้างจนนรกานต์อาจได้รับบาดเจ็บบ้าง แม้คมจักรจะยังไม่เฉือนบาดบั่นนรกานต์ แต่ก็ทำให้นรกานต์ต้องหลบจนเหนื่อยเช่นกัน โอรสเจ้าของจักรกระโดดลงมาทรงตัวบนพื้นบินอย่างสง่างามเรียกจักรมาในมือและวิ่งตรงเข้าประจัญ เช่นเดียวกันที่พสุธาวาทก็วิ่งเข้าไปด้วยพร้อมกัน ทั้งพสุธาวาท และ วาตการณ์ ผลัดกันเข้าออก นรกานต์สู้อยู่คนเดียว แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่สู้กับเด็กสองคนก็เลยพอต้านกันได้ นรกานต์นั้นมีดาบวาตการณ์มีจักร พสุธาวาทก็มีตรีศูล วาตการณ์และพสุธาวาทกระโดดถีบนรกานต์พร้อมกัน นรกานต์เซไถล และใช้ดาบยันตัวลุกขึ้นได้ดังเดิม และตรงดิ่งเข้ามากิ่งกลางระหว่างเด็กทั้งสองคน ทั้งสองที่ยืนใกล้ๆกันต่างแหวกทางให้นรกานต์พลาดล้มลง พสุธาวาทรีบเข้าไป ใช้เท้าวางบนอกเบาๆไม่ได้เหยียบลงไป วาตการณ์เดินเข้ามา เปลี่ยนจักรในมือให้เป็นดาบ และกำลังจะปักดาบลงไปใส่นรกานต์ “อย่าพึ่ง... ไม่ต้องฆ่าให้ตายหรอกเป็นเวรเป็นกรรมเสียปล่าว” พสุธาวาทพูด วาตการณ์หยุดฟังและโยนดาบปักลงเฉียดๆนรกานต์ และเรียกดาบขึ้นมาดาบกลายเป็นจักรดังเดิมและหมุนมาหาเจ้าของ “ถ้างั้นก็รีบไป” วาตการณ์พูดและทั้งสองก็กระโดดเหาะออกไปพร้อมกัน
ฝ่ายธารารักษ์ และ ประกายเพลิง พาพระมารดาเหาะหนีไป ก็มีพวกผีดิบตามมา “ประกายเพลิง ธารารักษ์ระวังด้วยนะลูก พวกมันตามมาแล้ว” มาลีรินทร์เตือนพระธิดาทั้งสองอย่างเป็นห่วง ประกายเพลิงหยุดและหันกลับไป ขว้างลูกไฟใส่พวกมัน พวกมันก็หายไปบางส่วน แต่พวกก็ยังมีอยู่มาก พวกมันพร้อมใจกันสาดพลังใส่ประกายเพลิง ประกายเพลิงยกแขนขึ้นปิดตา... แสงๆหนึ่งฉายฉาดวาบขึ้นกระจ่างเป็นแสงสีทองจรัส แสงที่ว่านี้เปล่งออกมาจากกำไลข้อมือที่ประกายเพลิงสวมอยู่แสงนั่นสะท้อนพลังกลับใส่พวกผีดิบร่อยหรอไปเยอะเพราะพลังของพวกมันเอง ประกายเพลิงมองกำไล “เจ้าช่วยเราอีกแล้ว” ประกายเพลิงยิ้มและก้มลงมองกำไลข้อมือด้วยสายตาที่อ่อนโยนเหลือเกิน ประกายเพลิงได้โอกาสก็เรียกสังข์ออกมา ประกายเพลิงใช้พลังของสังข์สาดใส่พวกผีดิบ เป็นพลังของเปลวไฟของเปลวเพลิง เผาผลาญจนสิ้น พวกผีดิบต่างมลายกันไปหมด
กลางป่า เย็นย่ำค่ำลงเสียแล้ว “ไหนแม่ขอดูกำไลที่ช่วยชีวิตเจ้าชัดๆสักครั้งทีเถอะลูก” มาลีรินทร์พูด ประกายเพลิงยังยิ้มอยู่และยื่นมือให้พระมารดาดู มาลีรินทร์เพ่งมองกำไลอย่างพินิจพิจารณา “สวย... สวยมากๆเลยกำไลวงนี้ ได้มาจากไหนเหรอลูก” มาลีรินทร์พูด มันลอยมาหาลูกเองเพคะ ลอยมาจากบนฟ้า” ประกายเพลิงพูด ธารารักษ์ได้แต่มองกำไลนั่น เหมือนจะอิจฉานิดๆ แต่ยังไงซะ หากกำไลเป็นของตนแล้วประกายเพลิงอยากได้ ตนเป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องอยู่ดี พสุธาวาท และ วาตการณ์กระโดดลงมา “อ่าว มากันแล้วเหรอลูก แม่กำลังขอดูกำไลของประกายเพลิง กำไลที่ประกายเพลิงบอกว่าช่วยชีวิต” มาลีรินทร์พูด “อ๋อ กำไลนี่เอง” พสุธาวาทพูด “ท่าทางธารารักษ์ก็อยากได้ไม่เบาเลยนี่พระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด “จริงเหรอลูก” มาลีรินทร์พูด “มันเป็นของประกายเพลิง ตั้งตอนที่มันลอยลงมาจากฟากฟ้าแล้วหละเพคะ ถึงลูกจะอยากได้แค่ไหน มันก็ไม่ใช่ของลูกประกายเพลิงเป็นเจ้าของมัน ลูกไม่มีสิทธิ์ แล้วลูกก็ไม่คิดอยากได้ด้วย” ธารารักษ์พูด “แน่ใจ” ประกายเพลิงพูด
มืดแล้ว ทุกสรรพสิ่งต่างหลับใหล ธารารักษ์นั่งอยู่ใกล้ๆกองไฟเพื่อให้อบอุ่น มีบางสิ่งกระทบหลังธารารักษ์เบาๆ แต่มันก็ทำให้ตกใจไม่น้อย ธารารักษ์รีบหันไปทันที สบตากับที่สิ่งมากระทบ “น้าผี” ธารารักษ์พูดอย่างตกใจ ประกายเพลิงหัวเราะ “น้าผี มาแบบนี้อีกแล้วนะ ชอบทำให้คนอื่นตกใจจริงๆ” ประกายเพลิงพูด “น้าผีหนะ เป็นผีนะจ๊ะ” ธารารักษ์พูด “พระเจ้าข้า น้าผีรู้แล้วก็ได้” น้าผีพูด “เออน้าผีอยู่เฝ้าเวรยามให้ทีได้ไหม พวกเราจะพักผ่อน” วาตการณ์พูด “เอาอย่างนั้นเหรอ” น้าผีพูด “ก็อย่างนั้นนาสิ น้าผีเป็นผี ไม่ง่วงหรอกใช่ไหม” พสุธาวาทพูด
อรุณรุ่ง... ดินแดนแห่งความแห้งแล้ง ร้อนระอุอบอ้าวเหลือเกินนั้นในตำหนักหนึ่ง เด็กผู้หญิงนั่นคือเกศสิรินทร์รัตน์พยายามพังประตูออกไป...แต่ก็ไม่สำเร็จ นางกำนัลสองสามคนเปิดประตูเข้ามา “สำรับเพคะ” นางกำนัลพูดอย่างนอบน้อม นางกำนัลวางสำรับลงเหนือแท่น เกศสิรินทร์รัตน์นั่งอยู่บนแท่นก็มองดูนางกำนัลที่เดินเข้ามา เกศสิรินทร์รัตน์นั่งนิ่งๆอยู่ชั่วครู่ก็อาละวาดขึ้น เกศสิรินทร์รัตน์เริ่มโดยการปัดสำรับหกเลอะเทอะ “พาเราออกไป ได้ยินไหม พาเราออกไปสิ” เกศสิรินทร์รัตน์โวยวายใส่พวกนางกำนัล “ไม่ได้จริงๆเพคะพระธิดา” นางกำนัลพูด “งั้นพวกเจ้าก็ออกไป อย่างมายุ่งกับเรา ไปซะ ไป...” เกศสิรินทร์รัตน์พูด นางกำนัลพูดไล่ออกมาก็สวนทางกับคุณท้าวแสงศิลา “พระธิดาหละ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “อยู่ข้างในเจ้าค่ะคุณท้าวแสงศิลา ท่าทางพระธิดาจะไม่อยากอยู่ที่นี่” นางกำนัลพูด “งั้นเหรอ โถ่ ทลหัวของหม่อมฉัน” คุณท้าวแสงศิลาพูดและเดินเข้าไป
เกศสิรินทร์รัตน์นั่งอยู่บนแท่น คุณท้าวแสงศิลาเดินเข้ามา “ออกไป เราไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้า ออกไป” เกศสิรินทร์รัตน์ตะโกนไล่ “พระธิดา... ทูนหัวของหม่อมฉัน อัปสรรินทร์ ทูนหัวของหม่อมฉันหม่อมฉันคุณท้าวแสงศิลาไงเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด เกศสิรินทร์รัตน์หันมาหาช้าๆ “คุณท้าว” เด็กน้อยโผเข้ากอดอย่างหาที่พึ่ง “โถ่ ทรงไปจุติใหม่เลยจำหม่อมฉันไม่ได้ จุติกับแสงสุริยะแท้ๆแต่กลับจำเสด็จพ่อไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ใคร ใครคือพ่อของเรา แล้วคุณท้าวเป็นอะไรกับเรา แล้วคุณท้าวบอกว่า เราเกิดจากอะไรนะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “คือ... เออ เอาเป็นว่าหม่อมฉันเป็นแม่นมของพระธิดาเมื่ออดีตชาติของพระธิดาแล้วกันเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ถึงว่า เราถึงรู้สึกว่าคุณท้าวอบอุ่น แล้ว... พระบิดา พระบิดาของเราเมื่ออดีตชาติหละ คุณท้าวรู้ใช่ไหม” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เพคะ...” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ใครจ๊ะ” เกศสิรินทร์รัตน์มีสีหน้าแววตาที่อยากรู้มาก “องค์สุริยะเทพเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “สุริยะเทพเหรอ” เกศสิรินทร์รัตน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “นั่นนาเหรอพระบิดาของเรา... ไม่...” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เป็นไปแล้วเพคะ พระธิดา องค์สุริยะเทพ ทั้งรักทั้งหวงอัปสรสิรินทร์ธิดาในพระองค์ยิ่งนัก รักยิ่งกว่าดวงใจ หากแต่ใครกล้าทำร้ายพระธิดา ก็หมายความว่าพวกมันก้าวเข้ามาหาพยามัจจุราช” คุณท้าวแสงศิลาพูด “แล้ว... สุริยะเทพ มีความแค้นอะไรกับใครไหม” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “มีเพคะ เทพจตุรธาตุ เทพจตุรธาตุหักหาญน้ำพระทัยพระธิดาสิรินทร์รัตน์เทวี พระธิดาสิรินทร์รัตน์เทวี เป็นบุตรีขององค์สุริยะเทพ องค์สุริยะเทพทั้งรักทั้งหวงพระธิดาองค์นี้มาก แล้ว... สิรินทร์รัตน์เทวีชอบพออยู่กับธรากรเทพ แต่แล้ว ธรากรเทพก็ไปจุติเป็นเทพจตุรธาตุ พระธิดาสิรินทร์รัตน์เทวีเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า เพื่อหวังว่าธรากรเทพจะทำตามสัญญาที่จะกลับมาหา แต่กลับไม่ จึงได้ตามไปจุติ องค์สุริยะเทพโกรธแค้นธรากรเทพ ที่ธรากรเทพทำให้พระธิดาสิรินทร์รัตน์เทวีเสียพระทัยจนหนีไปจุติ แล้วสิรินทร์รัตน์เทวี ก็มาจุติเป็นบุตรีแห่งองค์สุริยะเทพอีกครา นามว่าพระธิดา อัปสรสิรินทร์ แต่นั้นมา ธรากรเทพจะไปเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ สุริยะเทพก็ไปตามผลาญไม่หยุดหย่อน” คุณท้าวแสงศิลาเล่าให้เกศสิรินทร์รัตน์ฟัง “คุณท้าวจะหมายความว่า เราคือสิรินทร์รัตน์เทวีนั่นนาหรือ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “เพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “เออ... คุณท้าวจ๋า คุณท้าวรักเราไหม ถ้าคุณท้าวรักเรา พาเราออกไปข้างนอกได้ไหม ให้เราหนีออกไปได้ไหมจ๊ะคุณท้าว” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “หม่อมฉันก็อยากให้พระธิดามีความสุข หม่อมฉันก็อยากจะช่วยพระธิดา แต่... หม่อมฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด “โถ่ หรือคุณท้าวไม่รักเรา” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “ยังไงก็ไม่ได้หรอก” เด็กผู้ชายคนหนึ่งส่งเสียงเข้ามา “พระโอรสอาทิตยกร” คุณท้าวแสงศิลาพูดและนั่งลงก้มกราบทำความเคารพพระโอรสผู้หน้าเกรงขาม “เราคืออาทิตยกร เรามีศักดิ์เป็นอนุชาของพระพี่นางสิรินทร์รัตน์เทวี และ พระพี่นางอัปสรสิรินทร์ แล้วเราก็มีศักดิ์เป็นเชษฐาของเจ้า เกศสิรินทร์รัตน์” อาทิตยกรพูด “อาทิตยกรงั้นเหรอ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด
ตัวอย่างตอนต่อไป
“นี่นาเหรอเพคะ วนาบุรี น่าอยู่เหลือเกิน” ธารารักษ์พูด “ใช่แล้วจะลูก วนาบุรีน่าอยู่มาก” มาลีรินทร์พูด “งั้นเราก็เข้าไปกันเถอะพระเจ้าข้าเสด็จแม่” พสุธาวาทพูดและเดินเข้าไป ทหารที่เฝ้าประตูรีบกันไว้
หม่อมฉันเชื่อว่าเกศสิรินทร์รัตน์ยังอยู่ดีเพคะ” มาลีรินทร์พูด “จะอยู่ดีได้อย่างไร ในเมื่อถูกจับไปขนาดนั้น” วิฤดีพูด “เกศสิรินทร์รัตน์เป็นคนเก่ง มีธนู แล้วก็ศรไฟ ศรน้ำ เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เกศสิรินทร์รัตน์ได้ฝึกพระเวทมา ไม่เหมือนพระธิดาชาววังที่นั่งแต่งตัวทั้งวัน เค้าเรียกอะไรนะ” ประกายเพลิงพูด
ในตำหนักหนึ่ง สี่พี่น้องหารือกันอยู่ “เราคิดเหมือนเจ้านะประกายเพลิง นรกานต์ นรกานต์นั้นแหละหน้าที่” พสุธาวาทพูด “ต้องใช่แน่ๆ หน้าที่ของพวกเราก็คือทำลายแผนการชั่วของนรกานต์” วาตการณ์พูด “แต่... จะไหวเหรอ พวกเราเป็นแค่เด็ก แต่นรกานต์เป็นผู้ใหญ่นะ” ธารารักษ์พูด
ความคิดเห็น